![]() |
|
|
|
#1
|
||||
|
||||
|
ขอบคุณข่าวจาก ไทยรัฐ
ปะการังมีอาวุธลับ ต่อกรสภาพอากาศร้อน ![]() (ภาพ ปะการังเขากวาง Credit: Wikipedia) ปะการังมีความไวต่อการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิมาก เมื่อเผชิญการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยก็มีผลกระทบ โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงอย่างน้อย 1 องศาเซลเซียส เหนือกว่าอุณหภูมิสูงสุดในฤดูร้อนโดยเฉลี่ย ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ปะการังเกิดการฟอกขาวและตายไป ในขณะที่อุณหภูมิของมหาสมุทรที่สูงขึ้นและกำลังฆ่าแนวปะการัง นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยนานาชาติฟลอริดา ในสหรัฐอเมริกา กลับค้นพบว่า ความลับฝังอยู่ในยีนของปะการัง ที่อาจช่วยให้พวกมันต่อสู้และรับมือกับการเปลี่ยน แปลงอุณหภูมิตามฤดูกาลได้ การศึกษานี้ใช้เวลากว่า 2 ปี ในการเก็บตัวอย่างจากแนวปะการังรอบเกาะคิวเลบรา ในเปอร์โตริโก มุ่งเน้นไปที่ชนิดปะการังเขากวางจำนวนมากกว่า 200 ตัวอย่าง ที่ใช้เรียนรู้เกี่ยวกับการตอบสนองของปะการังเขากวางต่อการโจมตีของพายุเฮอริเคนเออร์มาและมารีอา ทีมวิจัยพบว่าปะการังจะปรับเปลี่ยนกิจกรรมของดีเอ็นเอเพื่อปรับให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิและเงื่อนไขอื่นๆ โดยขึ้นอยู่กับฤดูกาล ซึ่งการเปลี่ยนแปลงของอีพีเจเนติกส์ (epigenetic) หรือพันธุศาสตร์ด้านกระบวนการเหนือพันธุกรรมเหล่านี้ไม่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงของดีเอ็นเอ แต่อาจส่งผลต่อการแสดงออกของยีน ทีมเผยว่าปะการังใช้ประโยชน์จากการตอบสนองของอีพีเจเนติกส์ เพื่อป้องกันการฟอกขาวของปะการังภายใต้สภาวะการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศนั่นเอง. https://www.thairath.co.th/news/foreign/1947360 ********************************************************************************************************************************************************* แอนตาร์กติกอบอุ่นสุด ในหลายรอบทศวรรษ ![]() คาบสมุทรแอนตาร์กติกเป็นส่วนเหนือสุดของทวีปแอนตาร์กติกา มีฐานปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์และฐานทางทหารจากหลายประเทศตั้งอยู่ ไม่ว่าจะเป็นอาร์เจนตินา ชิลี และสหราชอาณาจักร ซึ่งการวัดอุณหภูมิก็จะทำกันเป็นเรื่องปกติ แต่เมื่อเร็วๆนี้มีผลการศึกษาของนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยซันติอาโกในชิลี เปิดเผยว่า ปี พ.ศ.2563 กลายเป็นปีที่ร้อนที่สุดของคาบสมุทรแอนตาร์กติกในรอบ 30 ปีที่ผ่านมา ด้านนักวิจัยจากฐานทัพอากาศชิลีบนเกาะคิงจอร์จ รายงานว่า ระหว่างเดือน ม.ค.-ส.ค.นั้น บนคาบสมุทรซึ่งอยู่ทางเหนือสุดของทวีปแอนตาร์กติกา จะมีอุณหภูมิสูงถึงระหว่าง 2-3 องศาเซลเซียส ทว่าทางตอนเหนือสุดของคาบสมุทรแอนตาร์กติกกลับมีอุณหภูมิสูงสุดในปีนี้เฉลี่ยอยู่ที่ 0 องศา ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมา 31 ปีแล้ว นักวิจัยเรียกข้อเท็จจริงนี้ว่าเป็นเรื่องที่น่าตกใจ เนื่องจากสามารถบ่งชี้ได้ว่าอัตราการร้อนขึ้นอย่างรวดเร็วของมหาสมุทรที่พบในพื้นที่ดังกล่าวเมื่อปลายศตวรรษที่ 20 กำลังจะกลับมาอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม อุณหภูมิในฤดูหนาวของซีกโลกใต้ที่สูงในทางตรงกันข้ามกับอุณหภูมิที่บันทึกไว้ระหว่างเดือน ส.ค. จนถึงเดือน ก.ย.นั้น สูงถึง -16.8 องศาเซลเซียส ถือว่าต่ำที่สุดนับตั้งแต่ปี พ.ศ.2513. https://www.thairath.co.th/news/foreign/1947350
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#2
|
||||
|
||||
|
ขอบคุณข่าวจาก ข่าวสด
รัสเซียเจอวิกฤตสิ่งแวดล้อมหนัก สัตว์ทะเลหายากตายเกยตื้นนับพัน ![]() พบซากสัตว์ทะเลนับพันตัว ถูกซัดเกยตื้นอยู่ที่ชายฝั่งคาบสมุทรคัมชัตคาในประเทศรัสเซีย โดยเหตุการณ์ครั้งนี้เรียกได้ว่าเป็น Massive mortality events (MMEs) หรือ "วิกฤตสิ่งแวดล้อม" เป็นชื่อเรียกเหตุการณ์การสูญเสียของสัตว์ทะเลจำนวนมาก ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนี้ได้ส่งผลกระทบสัตว์ทะเลหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็น ปลาหมึกยักษ์ที่อาศัยอยู่ใต้ทะเลลึก ปลาดาว เม่นทะเล และปลาอีกหลายชนิด ที่ถูกพัดขึ้นบนชายฝั่ง ผู้เชี่ยวชาญด้านทะเลได้ให้ข้อมูลว่า เหตุการณ์ครั้งนี้น่าจะเกิดจากที่น้ำทะเลเป็นพิษ ซึ่งตอนนี้ทางการของรัสเซียได้ทำการเก็บตัวอย่างน้ำทะเลบริเวณดังกล่าว ไปตรวจสอบเรียบร้อยแล้วอย่างไรก็ตามผู้คนในท้องถิ่นได้ให้สัมภาษณ์ว่า ก่อนเหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นพวกเขาได้พบว่าน้ำในพื้นที่ได้เปลี่ยนสีไป แถมหลายๆ คน ยังรู้สึกระคายเคือง หลังสัมผัสกับน้ำดังกล่าวด้วย อเล็กซี่ นักวิจัยได้เผยว่า "จากผลเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่สามารถเกิดจากพายุ หรือมลพิษจากน้ำมันได้ แต่มันมีความเป็นไปได้สูงเลยว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นอาจมาจากสารปนเปื้อนที่มาในรูปแบบของสารละลาย เป็นสาเหตุให้พืชใต้น้ำและสัตว์น้ำนั้นถูกพัดมาเกยที่ขอบชายฝั่ง ซึ่งสารละลายที่กล่าวมาก็อาจจะไม่ได้ส่งผลแต่ตามผิวน้ำ แต่เป็นผืนน้ำทั้งหมดในบริเวณ อย่างไรก็ตามเราคงต้องน้ำตัวอย่างน้ำทะเล และซากสัตว์น้ำเหล่านี้ไปตรวจสอบดูเสียก่อน" สถานการณ์สัตว์ทะเลเกยตื้นในไทย ![]() นายโสภณ ทองดี อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ได้ออกมาเปิดเผยข้อมูลว่า ในช่วงปี 2562-2563 พบสัตว์ทะเลหายากจำนวนกว่า 970 ตัวที่เกยตื้นขึ้นชายฝั่งในช่วงปีที่ผ่านมา ซึ่งสาเหตุการเกยตื้นส่วนใหญ่นั้นเกิดจากฝีมือมนุษย์ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น สัตว์ทะเลติดเครื่องมือการประมง ขยะในทะเล และปัญหามลพิษในน้ำทะเล กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) รายงานสถานการณ์สัตว์ทะเลหายาก ที่มีความเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ ได้แก่ เต่าทะเล พะยูน โลมา และวาฬ โดยสัตว์เหล่านี้เป็นตัวชี้วัดความสมบูรณ์ของระบบนิเวศ จากผลการช่วยเหลือสัตว์ทะเลหายากเกยตื้น 3 ปีย้อนหลัง พบว่ามีสัตว์ทะเลหายากเกยตื้นเฉลี่ยปีละ 400 ตัว แบ่งเป็นเต่าทะเล 54% โลมาและวาฬ 41% และพะยูน 5% สาเหตุเกยตื้นสำหรับเต่าทะเลและพะยูนเกิดจากติดเครื่องมือประมง เป็นอันดับหนึ่งถึง 74% และ 89% ตามลำดับ ส่วนกลุ่มโลมาและวาฬป่วยตามธรรมชาติมากกว่า 60% นอกจากนี้ ยังมีสถานการณ์เต่าทะเลที่ลดจำนวนลง จำเป็นต้องจัดการแหล่งที่อยู่อาศัย แหล่งวางไข่อย่างเร่งด่วน https://www.khaosod.co.th/lifestyle/news_5075627 ********************************************************************************************************************************************************* มายังไง! แมวน้ำช้างตัวเบิ้มๆ หลงทาง โผล่กระดึ๊บกลางถนนชิลี ชาวชิลีแปลกใจ เจอแมวน้ำช้างตัวใหญ่กระดึ๊บหลงทิศหลงทางบนถนนกลางเมือง เปอร์โต ซิสเนส ชาวบ้านและเจ้าหน้าที่จึงช่วยกันต้อนกลับทะเล ![]() สำนักข่าว UPI รายงานว่า เมื่อช่วงค่ำวันที่ 7 ตุลาคม 2563 มีแมวน้ำช้างขนาดใหญ่พยายามเคลื่อนตัวไปข้างหน้าอย่างหลงทิศหลงทางและวนไปวนมาบนถนนที่เมือง เปอร์โต ซิสเนส ซึ่งเป็นเมืองท่าติดทะเล ในประเทศชิลี ชาวเปอร์โต ซิสเนส เล่าว่า ปกติแล้วไม่แปลกที่จะพบแมวน้ำอยู่แถวชายฝั่ง แต่น่าประหลาดใจมากที่พบแมวน้ำอยู่บนถนนในเมืองที่ไกลจากชายฝั่งอยู่พอสมควร โดยผู้เห็นเหตุการณ์เล่าว่า แมวน้ำช้างตัวดังกล่าวไม่มีท่าทีก้าวร้าว แต่ดูเหมือนสับสนและหวาดกลัวมากกว่า ตำรวจ ทหารเรือ และชาวบ้านที่เป็นห่วง จึงช่วยกันต้อนแมวน้ำช้างกลับสู่ทะเล โดยใช้ผ้าใบกันน้ำมาช่วย เจ้าหน้าที่ทหารเรือให้สัมภาษณ์ว่า พวกเขาจะทำการตรวจตราชายฝั่งให้บ่อยขึ้น เพื่อที่จะได้มั่นใจว่า จะไม่มีสัตว์พลัดหลงขึ้นมาบนชายฝั่งอีก https://www.khaosod.co.th/lifestyle/news_5073971
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#3
|
||||
|
||||
|
ขอบคุณข่าวจาก สำนักข่าวไทย
กรมประมงเตือนระวังกิน ?แมงดาทะเล? อันตรายถึงชีวิต กรุงเทพฯ 8 ต.ค. ? กรมประมงเตือนประชาชนระวัง กิน "แมงดาทะเล" ผิดชนิดอาจได้รับพิษร้ายถึงตายได้ ![]() นายวิชาญ อิงศรีสว่าง รองอธิบดีกรมประมง เปิดเผยถึงกรณีประชาชนในพื้นที่หมู่ที่ 3 ตำบลรัษฎา อำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต รับประทานแมงดาทะเลที่หามาจากป่าชายเลนจนเกิดอาการแพ้และทำให้เสียชีวิตนั้น ล่าสุดกรมประมงได้เร่งประชาสัมพันธ์ย้ำเตือนให้ประชาชนเพิ่มความระมัดระวังในการเลือกรับประทานแมงดาทะเลให้มากขึ้น เพราะหากบริโภคผิดชนิด อาจได้รับพิษรุนแรงอันตรายถึงตายได้ ทั้งนี้แมงดาทะเลที่พบในน่านน้ำไทยมีอยู่ 2 ชนิด คือ แมงดาจาน หรือ แมงดาทะเลหางเหลี่ยม ไม่มีพิษ สามารถรับประทานได้ ลำตัวมีขนาดใหญ่กว่าแมงดาถ้วย พื้นผิวด้านบนเรียบ มีสีน้ำตาลอมเขียว มีหางเหลี่ยม มีสันและหนามเรียงกันเป็นแถวคล้ายฟันเลื่อย พบอาศัยอยู่ตามพื้นทะเล วางไข่ตามริมชายฝั่งที่เป็นดินทราย อีกชนิดคือ แมงดาถ้วย หรือ แมงดาทะเลหางกลม หรือ เหรา หรือ แมงดาไฟ มีพิษ ไม่สามารถรับประทานได้ ลำตัวโค้งกลม มีหางกลม ผิวด้านบนมีขนสั้น สีน้ำตาลอมแดง ต่อจากส่วนท้องมีหางค่อนข้างกลมไม่มีสันและไม่มีหนาม พบอาศัยอยู่ตามพื้นทะเลที่เป็นดินโคลนและตามคลองในป่าชายเลน ฝั่งอ่าวไทยจะพบแมงดาทั้งสองชนิดนี้มากที่สุดตามพื้นที่แนวชายฝั่งของทะเลตั้งแต่ จังหวัดจันทบุรี ฉะเชิงเทรา สมุทรปราการ สมุทรสาคร เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ตลอดไปจนถึงชุมพรและฝั่งทะเลอันดามันตั้งแต่สตูลไปจนถึงระนอง จากข้อมูลทางวิชาการพบว่า สารพิษที่พบอยู่ในเนื้อและไข่ของแมงดาถ้วยคือ สารเทโทรโดท็อกซิน (tetrodotoxin) และซาซิท็อกซิน (saxitoxin) ซึ่งเป็นสารชนิดเดียวกันกับที่พบในปลาปักเป้า เป็นสารที่ส่งผลต่อระบบควบคุมการหายใจถึงขั้นเสียชีวิต โดยพิษในแมงดาถ้วยเกิดจาก 2 สาเหตุหลักคือ แมงดากินแพลงก์ตอนที่มีพิษ หรือกินสัตว์ทะเลอื่น ๆ ที่กินแพลงก์ตอนพิษเข้าไปทำให้สารพิษไปสะสมอยู่ในเนื้อและไข่ของแมงดา เกิดจากแบคทีเรียในลำไส้ที่สร้างพิษขึ้นมาได้เอง หรือสาเหตุประกอบกันทั้งสอง และที่สำคัญสารพิษทั้ง 2 ชนิดนี้เป็นสารที่ทนต่อความร้อนได้ดี การปรุงอาหารด้วยความร้อนวิธีต่างๆ เช่น ต้ม ทอด หรือ อบ เป็นเวลานานมากกว่าชั่วโมงไม่สามารถทำลายสารพิษชนิดนี้ได้ ประชาชนจึงไม่ควรนำมาบริโภคอย่างเด็ดขาด สำหรับผู้ได้รับพิษจากแมงดาทะเล อาการมักจะแสดงภายหลังรับประทานประมาณ 10 ? 45 นาที หรืออาจช้าไปจนถึง 3 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับแหล่งที่อยู่อาศัยของแมงดา ฤดูกาล จำนวนที่รับประทาน หรือปริมาณของสารพิษที่ได้รับ เช่น รับประทานไข่แมงดาถ้วย อาการพิษจะเกิดรุนแรงกว่ารับประทานเฉพาะเนื้อ อาการมักเริ่มจากมึนงง รู้สึกชาบริเวณลิ้น ปาก ปลายมือ ปลายเท้าและมีกล้ามเนื้ออ่อนแรง เริ่มจาก มือ แขน ขา ตามลำดับ รวมทั้งอาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย บางราย อาจมีน้ำลายฟูมปาก เหงื่อออกมาก พูดลำบาก ตามองเห็นภาพไม่ชัด ในรายที่มีอาการรุนแรงมาก จะมีผลทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง หายใจลำบากเนื่องจากกล้ามเนื้อกระบังลมไม่ทำงาน ระบบหายใจล้มเหลว หมดสติ และสมองขาดออกซิเจน หากช่วยไม่ทันอาจเสียชีวิตได้ภายใน 6 ? 24 ชั่วโมง สำหรับวิธีปฐมพยาบาลเบื้องต้นหากได้รับพิษ ให้ผู้ปฐมพยาบาลทำให้ผู้ป่วยหายใจคล่องที่สุด และรีบนำส่งโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด หากผู้ป่วยหยุดหายใจ ให้ทำการผายปอดจนกว่าจะถึงโรงพยาบาล ห้ามให้ผู้ป่วยรับประทานอาหารน้ำหรือยา เนื่องจากผู้ป่วยอาจเกิดอาการสำลักได้ ทั้งนี้ เพื่อความปลอดภัยของประชาชน ขอแนะนำว่าควรหลีกเลี่ยงการรับประทานแมงดาทะเล แต่หากต้องการรับประทานขอให้เลือก แมงดาจาน โดยให้สังเกตลักษณะของหางตามที่กล่าวข้างต้น และงดรับประทานไข่แมงดาทะเลที่อยู่ในลักษณะบรรจุหีบห่อโดยไม่เห็นตัวและหางของแมงดาโดยเด็ดขาด เพราะเราไม่อาจทราบได้แน่ชัดว่าเป็นแมงดาชนิดไหน หรืออาจมีไข่แมงดาถ้วยปะปนอยู่ในไข่แมงดาจานหรือไม่ สำหรับพ่อค้า แม่ค้า ขอให้งดจำหน่ายไข่แมงดาทะเลหากไม่แน่ใจว่าเป็นไข่ที่มาจากแมงดาชนิดใดและขอให้เพิ่มความระมัดระวังในการแยกชนิดพันธุ์แมงดาทั้ง 2 ชนิดจากลักษณะภายนอกให้แน่ชัดก่อนนำมาขายให้ผู้บริโภค หากพบแมงดาถ้วย หรือ เหรา ปะปนเข้ามาให้คัดทิ้งทันที กรณีท่านไม่สามารถแยกความแตกต่างของแมงดาทั้ง 2 สายพันธุ์นี้ได้ สามารถสอบถามข้อมูลทางวิชาการเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานประมงจังหวัดใกล้บ้านท่าน หรือ Call Center กรมประมง โทร. 02-562-0600 . https://tna.mcot.net/latest-news-557677
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
![]() |
| คำสั่งเพิ่มเติม | |
| เรียบเรียงคำตอบ | |
|
|