![]() |
|
|
|
#1
|
||||
|
||||
|
ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการออนไลน์
ยกย่องหนุ่มนักท่องเที่ยวช่วยโลมาเกยตื้นที่เกาะสุกร จนว่ายน้ำกลับสู่ท้องทะเลได้สำเร็จ ![]() ตรัง - ชื่นชม! หนุ่มนักท่องเที่ยวชาว อ.สะเดา จ.สงขลา ตัดสินใจวิ่งลงไปช่วยชีวิต "โลมาสีชมพู" ขณะกำลังเกยตื้นอยู่ที่บริเวณชายหาดบนเกาะสุกร จนสามารถกลับคืนสู่ท้องทะเลอันดามันได้สำเร็จ นายเสริมวิทย์ มุเส็มสะเดา หรือ "บังหนึ่ง" อายุ 36 ปี ชาว ต.สะเดา อ.สะเดา จ.สงขลา ได้โพสต์คลิปลงในเฟซบุ๊กส่วนตัววินาทีที่ตนเองกำลังวิ่งลงไปบริเวณชายหาด หน้าญาตา สปา แอนด์ รีสอร์ต ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่หมู่ 1 บ้านเสียมไหม บนเกาะสุกร หรือเกาะหมู อ.ปะเหลียน อีกหนึ่งแหล่งท่องเที่ยวชื่อดังของ จ.ตรัง ขณะที่ได้เร่งทำการช่วยชีวิตของโลมาสีชมพู หรือโลมาปากขวดตัวหนึ่ง ขนาดยาวประมาณ 3 เมตร และหนักประมาณ 100 กิโลกรัม ซึ่งกำลังเกยตื้นอยู่บริเวณหาดทราย และพยายามดิ้นรนอย่างสุดชีวิต เพื่อพาร่างกลับคืนสู่ท้องทะเลอันดามัน จนทำให้เนื้อตัวมีบาดแผลถลอกไปทั่ว เนื่องจากโดนเปลือกหอยบาดเข้า จากนั้น บังหนึ่ง ได้พยายามใช้มือผลักดันร่างของโลมาตัวนี้ให้กลับคืนลงสู่ท้องทะเลอย่างทุลักทุเล เพราะมีขนาดตัวค่อนข้างใหญ่ และลงมือช่วยชีวิตเพียงคนเดียว จึงต้องใช้เวลาอยู่ประมาณ 5 นาที กว่าที่จะสามารถผลักร่างของโลมาตัวนี้ให้กลับลงสู่ท้องทะเลได้สำเร็จ โดยมีชาวบ้านที่เห็นเหตุการณ์มาตะโกนบอกให้กำลังใจ และถ่ายคลิปวินาทีดังกล่าวเอาไว้ ซึ่งหลังจากโลมาตัวดังกล่าวว่ายน้ำกลับรวมฝูง และปลอดภัยดีแล้ว มันก็ได้ตีหาง 2 ครั้ง เสมือนเป็นการขอบคุณผู้ที่ได้ทำการช่วยชีวิตให้รอดจากการเกยตื้นในครั้งนี้ และหลังจากมีการนำคลิปไปโพสต์ลงบนโซเชียล ปรากฏว่ามีผู้เข้ามาชื่นชมหนุ่มชาวสะเดารายนี้กันเป็นจำนวนมาก นายเสริมวิทย์ มุเส็มสะเดา หรือ "บังหนึ่ง" กล่าวว่า ตนเองเดินทางมาเที่ยวเกาะสุกรกับกลุ่มเพื่อนๆ และก่อนหน้านั้นได้ถ่ายคลิปโลมาตัวนี้ขณะกำลังเล่นน้ำอย่างสนุกสนานอยู่กับฝูงรวม 3 ตัว โดยไม่นึกว่าพอถัดมาอีกวัน กลับต้องมาเจอโลมาตัวดังกล่าวเกยตื้นอยู่ ซึ่งจังหวะนั้นมีแค่ชาวประมงพื้นบ้านที่เป็นผู้หญิงเพียงคนเดียว และกำลังอยู่ในอาการตกใจ ทำอะไรไม่ถูก ตนเองจึงตัดสินใจรีบลงไปช่วยโลมาตัวนี้ในทันที เพราะมันเกยตื้นมาพักหนึ่งแล้ว และท้ายสุดก็ช่วยชีวิตได้สำเร็จ จึงรู้สึกดีใจมาก เพราะเป็นครั้งแรกที่มาเที่ยวทะเลตรัง และได้พบเห็นโลมาแบบตัวเป็นๆ ซึ่งที่บ้านเกิดของตัวเองที่ อ.สะเดา จ.สงขลา จะเคยพบเห็นสัตว์ที่อยู่ริมทะเล ก็แค่เพียงนกเงือกเท่านั้น https://mgronline.com/south/detail/9630000115515 ********************************************************************************************************************************************************* เกยตื้นครั้งล่าสุด!! ชมคลิปการข่วยชีวิตวาฬกว่า 100 ตัว ครั้งใหญ่สุดในศรีลังกา ![]() กองทัพเรือและอาสาสมัครของศรีลังกาช่วยเหลือวาฬนำร่อง 120 ตัวที่เกยตื้นครั้งใหญ่ที่สุดของประเทศ แต่พบว่าวาฬบาดเจ็บอย่างน้อย 2 ตัวเสียชีวิต ลูกเรือจากกองทัพเรือและหน่วยยามฝั่งพร้อมกับอาสาสมัครในพื้นที่ได้ผลักดันวาฬอย่างน้อย 120 ตัวในเช้าวันอังคารหลังจากการช่วยเหลือข้ามคืนอันแสนทรหด Indika de Silva โฆษกกองทัพเรือกล่าว ช่วงบ่ายวันจันทร์ (2พฤศจิกายน2563) ฝูงวาฬเกยตื้นที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาบนเกาะ ฝูงวาฬนำร่องถูกคลื่นซัดขึ้นฝั่งที่ Panadura ซึ่งอยู่ห่างจากโคลัมโบไปทางใต้ 15 ไมล์ หรือประมาณ 25 กิโลเมตร ![]() กองทัพเรือและอาสาสมัครของศรีลังการ่วมมือกัน เพื่อช่วยเหลือวาฬนำร่องกว่า 100 ตัวที่เกยตื้นครั้งใหญ่ที่สุดของศรีลังกา เมื่อวันอังคารที่ 3 พฤศจิกายน2563 "เราใช้ยานลาดตระเวนบนบกขนาดเล็กเพื่อดึงวาฬทีละตัวกลับสู่น่านน้ำที่ลึกกว่า น่าเศร้าที่วาฬสองตัวต้องเสียชีวิตจากอาการบาดเจ็บที่ยังคงมีอยู่ เมื่อพวกมันเกยตื้น" เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นได้รับคำสั่งว่า อย่าให้เกิดการเสียชีวิตจำนวนมากอย่างที่เกิดขึ้นในแทสเมเนียเมื่อเดือนกันยายน เมื่อวาฬนำร่องประมาณ 470 ตัวเกยตื้น และมีเพียง 110 ตัวเท่านั้นที่รอดจากการช่วยชีวิต หลังจากพยายามช่วยเหลือหลายวัน "เราคิดว่าครั้งนี้คล้ายกับการเกยตื้นในแทสเมเนียเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา เป็นเรื่องผิดปกติมากที่วาฬจำนวนมากจะมาถึงชายฝั่งของเรา และยังไม่ทราบสาเหตุของการติด" Dharshani Lahandapura หัวหน้าหน่วยงานคุ้มครองสิ่งแวดล้อมทางทะเล (MEPA) ของศรีลังกา กล่าว เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา สำนักข่าวบีบีซีรายงานว่า วาฬนำร่องเกือบ 400 ตัวตายในรัฐแทสเมเนีย นับเป็นการเกยตื้นที่เลวร้ายที่สุดของออสเตรเลีย วาฬเหล่านี้ถูกพัดมาติดอยู่ที่หลุมทรายในน่านน้ำบริเวณที่เรียกว่า แม็กควารี เฮดส์ (Macquarie Heads)ตอนแรกเจ้าหน้าที่กู้ภัยนับจำนวนวาฬได้ 270 ตัว แต่เจ้าหน้าที่บนเฮลิคอปเตอร์พบวาฬตายอีก 200 ตัวในพื้นที่ใกล้เคียง การเกยตื้นครั้งนี้ เป็นหนึ่งในการเกยตื้นครั้งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยบันทึกไว้ทั่วโลก และทำลายสถิติการเกยตื้น 320 ตัวในรัฐเวสเทิร์นออสเตรเลียในปี 1996 มีการใช้สลิงและอุปกรณ์อื่นช่วยดึงวาฬออกจากหาดทราย เพื่อที่จะให้มันจมลงในน้ำทั้งตัว เมื่อวาฬกลับไปลอยอยู่ในน้ำได้ พวกมันก็จะสามารถว่ายน้ำออกไปในเขตน้ำลึก แต่กระแสน้ำที่รุนแรงเป็นอุปสรรค ทำให้วาฬที่ได้รับการช่วยเหลือแล้ว ลอยกลับเข้ามายังชายฝั่งอีกครั้ง ศ.ปีเตอร์ แฮร์ริซัน กลุ่มวิจัยวาฬ มหาวิทยาลัยเซาเทิร์นครอสส์ (Southern Cross University) กล่าวว่า การที่ไม่มีน้ำช่วยพยุงตัวไว้ วาฬจะค่อยๆ ถูกน้ำหนักตัวของมันเองกดทับ ![]() ผู้เชี่ยวชาญด้านวาฬ ระบุว่า วาฬที่รอดตายจะอ่อนแรงและอ่อนแอ วาฬนำร่องมีความยาวได้ถึง 7 เมตร และหนักถึง 3 ตันเป็นสัตว์ที่ชอบเข้าสังคม แม้ว่านักวิทยาศาสตร์จะศึกษาปรากฏการณ์นี้มาหลายทศวรรษ แต่ยังไม่ทราบแน่ชัดถึงสาเหตุของการเกยตื้นของวาฬ https://mgronline.com/greeninnovatio.../9630000115406
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#2
|
||||
|
||||
|
ขอบคุณข่าวจาก ข่าวสด
ยักษ์ทะเลบนดิน! พบโครงกระดูกวาฬ ใต้พื้นดินห่างไกลทะเล ชี้เป็นหลักฐานประวัติศาสตร์ ยักษ์ทะเลบนแผ่นดิน! พบโครงกระดูกวาฬ ใต้ผิวดินกว่า 6 เมตร ห่างไกลทะเล ชี้เป็นหลักฐานประวัติศาสตร์ ในเบื้องต้นพบว่าบริเวณดังกล่าวไกลจากทะเล และไม่พบว่ามีการนำซากวาฬเกยตื้นมาฝังบริเวณนี้แต่อย่างใด ![]() ThaiWhales องค์กรด้านอนุรักษ์วาฬ และทะเลเผยว่า เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน ได้รับแจ้งว่ามีการพบ โครงกระดูกวาฬ ที่ ต.อำแพง อ.บ้านแพ้ว จ.สมุทรสาคร ก่อนแจ้งศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเล และชายฝั่งอ่าวไทยตอนบนฝั่งตะวันตก (ศวบต.) คาดเป็นหลักฐานสำคัญทางประวัติศาสตร์วาฬ และ เรื่องโบราณคดี และธรณีวิทยา โครงกระดูกวาฬที่พบอยู่ลึกจากผิวดินกว่า 6 เมตร เป็นวาฬขนาดใหญ่ยังไม่ทราบสายพันธุ์ พบส่วนกระดูกสันหลัง (Vertebrate) 5 ชิ้น ที่มีขนาดใหญ่ และดูจะใหญ่กว่าซากวาฬบรูด้าที่เคยพบมา จากการสังเกต พื้นที่ใกล้กับแม่น้ำท่าจีน ที่พบมีลักษณะเป็นกระซ้า มีซากเปลือกหอยเล็กๆ ทับถม ทำให้อาจสันนิษฐานได้ว่าพื้นที่นี้เคยเป็นทะเลมาก่อน ซึ่งนักวิจัยทช. กำลังหาวิธีในการเก็บกู้โครงกระดูกที่เหมาะสมที่สุด รวมทั้งหาอายุของพื้นที่ และตรวจหาค่าอายุกระดูกด้วยวิธีทางวิทยาศาสตร์ต่อไป ที่ผ่านมานั้นมีการโครงกระดูกวาฬบนแผ่นดิน ลึกลงไปใต้ดินอยู่หลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็น โครงกระดูกวาฬฟิน ณ หมู่บ้านวิจิตราธานี ถนนบางนา-ตราด ซึ่งอยู่ห่างจากปากแม่น้ำไม่ต่ำกว่า 3 กิโลเมตร และบางชิ้นกลายเป็นฟอสซิลแล้ว หากประมาณจากช่วงอายุที่สามารถเกิดเป็นฟอสซิลได้จึงเชื่อว่าบริเวณนี้เคยเป็นแนวฝั่งทะเลมาก่อนทั้งยังเคยพบ โครงกระดูกวาฬบรูด้า บริเวณหมู่ 8 ตำบลโคกขาม จ.สมุทรสาคร ห่างจากชายฝั่งทะเลประมาณ 2 กิโลเมตร อันเป็นหลักฐานทางธรณีวิทยาว่าพื้นที่แถบนี้เคยเป็นท้องทะเลลึกมาก่อน ![]() จากการศึกษาพบว่าในอดีตกรุงเทพฯ อยุธยา นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ สมุทรสาคร สมุทรสงคราม เคยจมอยู่ใต้ทะเลมาก่อน เพราะในอดีตนั้นโลกอยู่ในช่วงอบอุ่นมากช่วงหนึ่ง ทำให้น้ำแข็งจำนวนมาก ละลายออกจากขั้วโลกทำให้ระดับน้ำทะเลทั่วโลกเพิ่มขึ้นสูง และนั่นคือเหตุผลของการที่หลายจังหวัดในภาคกลางตอนล่างของไทย (ขณะนั้นยังไม่มีเมืองไทยปรากฏขึ้นบนโลก) จมอยู่ใต้ระดับน้ำทะเล ช่วงเวลาที่โลกร้อนในช่วงนี้ ว่าช่วง Medieval Warm Period ตรงกับสมัยทวารวดี หรือก่อนจะมีการก่อตั้งกรุงสุโขทัยนั่นเอง ทำให้ทะเลอ่าวไทยในยุคนั้น มีขอบเขตกว้างขวางกว่าปัจจุบันมาก ![]() ต่อมาโลกเริ่มเย็นลงจนเข้าสู่ช่วง ยุคน้ำแข็งย่อย น้ำทะเลเริ่มจับตัวเป็นน้ำแข็งตามขั้วโลก ระดับน้ำทะเลทั่งโลกเริ่มลดลง ประกอบกับการทับถมของตะกอนแม่น้ำหลายร้อยปี ทำให้จังหวัดต่างๆ ในภาคกลางตอนล่างปัจจุบัน เริ่มโผล่ขึ้นเหนือระดับน้ำทะเล ตรงกับยุคกรุงสุโขทัย ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของอาณาจักรไทย แต่ในปัจจุบันโลกกลับเข้าสู่ช่วงอบอุ่นอีกครั้ง และความร้อนพุ่งทะยานเร็วขึ้น จากสภาพเรือนกระจกที่เกิดจากแก๊สต่างๆ ทำให้เกิดการละลายของน้ำแข็งจากขั้วโลก และธารน้ำแข็ง หรือหิ้งน้ำแข็ง รวมทั้งยอดเขาน้ำแข็งต่างๆ อย่างรวดเร็ว ทำให้ระดับน้ำทะเลทั่วโลกเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงมีความเป็นไปได้ที่วัฏจักรเดิมจะกลับมาอีกครั้ง กับการกลับลงสู่ใต้ทะเลของหลายเมืองริมชายฝั่งทั่วโลก รวมทั้งภาคกลางตอนล่างของไทย https://www.khaosod.co.th/special-stories/news_5277665
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
![]() |
| คำสั่งเพิ่มเติม | |
| เรียบเรียงคำตอบ | |
|
|