![]() |
|
|
|
#1
|
||||
|
||||
|
ขอบคุณข่าวจาก สำนักข่าวไทย
รักษ์ทะเล รักษ์สัตว์ ช่วยกันไม่สร้างขยะ สำนักข่าวไทย 18 พ.ย.- รักษ์ ทะเล รักษ์สัตว์ ช่วยกันไม่สร้างขยะ ช่วงหยุดยาวต่อเนื่องหลายวัน หลายคนคงวางแผน ไปท่องเที่ยว เอาไว้ใช่หรือไม่? หนึ่งสถานที่ที่หลายๆคนวางแผนจะไปท่องเที่ยวพักผ่อนกายใจ คือทะเล นอนมองฟ้าสวยๆและฟังเสียงของคลื่นทะเลที่กระทบชายฝั่ง หนึ่งสิ่งเมื่อเราไปท่องเที่ยวทะเล คือการช่วยกันดูแลรักษาทะเล เพื่อไม่ให้ธรรมชาติและสัตว์ที่อาศัยอยู่ในท้องทะเลต้องได้รับผลกระทบ Animal Time ขอพาทุกๆคนชมความสวยงามของทะเล ที่ อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะลันตา จ. กระบี่ จะสวยแค่ไหนไปชมกันเลย https://tna.mcot.net/pick-586275
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#2
|
||||
|
||||
|
ขอบคุณข่าวจาก ThaiPBS
เปิดปม : จับชีพจรตะรุเตา ![]() 7 เดือนหลังปิดฤดูการท่องเที่ยวและปิดต่อเนื่องจากผลกระทบโควิด-19 ทรัพยากรธรรมชาติทางทะเล อช.ตะรุเตา จ.สตูล ฟื้นตัวอย่างเห็นได้ชัด แต่สภาพเศรษฐกิจที่ยึดโยงกับการท่องเที่ยวกลับยังไม่สามารถฟื้นคืนมาได้ ปะการังเจ็ดสี จุดขายของแหล่งดำน้ำ บริเวณร่องน้ำจาบัง ฟื้นตัวอย่างเห็นได้ชัด พบเห็นปลาและสัตว์น้ำชนิดต่างๆ มากขึ้น หลังจาก ที่นี่ ไม่ถูกรบกวนด้วยกิจกรรมการท่องเที่ยวมานาน 7 เดือน บริเวณนี้ ยังพบปะการังอ่อนหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็น ปะการังเขากวาง ปะการังสมอง ปะการังดาวใหญ่ รวมถึงดอกไม้ทะเล ซึ่งเป็นที่อาศัยของปลาการ์ตูน นายอัสลัม สะกะแย นักวิทยาศาสตร์ทางทะเล อุทยานแห่งชาติตะรุเตา จ.สตูล ดำน้ำสำรวจการฟื้นตัวของทรัพยากรธรรมชาติทางทะเลตั้งแต่ช่วงปิดฤดูกาลท่องเที่ยวและปิดต่อเนื่องจากสถานการณ์โควิด ? 19 ระบาด บอกว่า ก่อนหน้านี้ ร่องน้ำจาบัง เป็นจุดดำน้ำตื้นที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยว ทำให้ทรัพยากรที่นี่ถูกใช้เต็มศักยภาพ แม้จะมีการกำหนดขีดความสามารถในการรองรับนักท่องเที่ยว หรือ CC ไว้ที่ 50 คน ต่อ หนึ่งช่วงเวลา และ เรือทุกลำต้องผูกทุ่นห้ามทิ้งสมอเรือก็ตาม เกาะยาง เป็นจุดดำน้ำอีกแห่งในอุทยานแห่งชาติตะรุเตาที่ทีมสำรวจพบปะการังฟื้นตัว โดยเฉพาะปะการังจาน หรือ ปะการังผักกาด ที่พบทั่วไปในเขตน้ำขึ้นน้ำลงระดับ 2-3 เมตร และ มักได้รับความเสียหายเสื่อมโทรมจากกิจกรรมการท่องเที่ยว นายอัสลัม บอกว่า ด้านทิศตะวันตกของเกาะยาง ซึ่งปิดไม่ให้ท่องเที่ยวมานานกว่า 4 ปี เขาพบปะการังอ่อนฟื้นตัวบนหาดทรายเยอะมาก หลังจาก ได้รับความเสียหายจากการกิจกรรมการท่องเที่ยวเนื่องจากเป็นปะการังน้ำตื้น "เวลามาดำน้ำ บางคนไม่สวมชูชีพ ตรงนี้เป็นปะการังอ่อนน้ำตื้นมาก 2 เมตร เวลาเหยียดตัวตรง ฟิน หรือ ขาไปโดนทำให้ปะการังอ่อนหลุดออกได้ เราเลยปิดเกาะยางฝั่งตะวันตก ไปเปิดให้ท่องเที่ยวฝั่งตะวันออก เพื่อให้ธรรมชาติฟื้นตัว" นายกาญจนพันธ์ คำแหง หัวหน้าอุทยานแห่งชาติตะรุเตา บอกว่า การมีระยะเวลาให้ทรัพยากรธรรมชาติได้ฟื้นตัวเป็นเรื่องที่ดี อีกทั้ง การระบาดของโควิด-19 ส่งผลให้ผู้ประกอบการรวมถึงนักท่องเที่ยวให้ตระหนักถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากความแออัดของแหล่งท่องเที่ยวแต่ละจุดมากขึ้น จึงเป็นโอกาสดีต่อการจัดการท่องเที่ยวในอนาคต "6 เดือนเพียงพออยู่แล้ว เปิดฤดูกาลมาทุกปีจะมีสีสันสวยงามของปะการัง ซึ่งเป็นการฟื้นของธรรมชาติ ช่วงมีโควิดหลายอย่างที่เราใช้ เช่น จัดระเบียบสังคม กำหนดจำนวนนักท่องเที่ยว ตรวจวัดอุณหภูมิ ซึ่งทางอุทยานฯ ควบคุมจำนวนนักท่องเที่ยวได้ดีกว่าเมื่อก่อน คิดว่าคงใช้ระบบนี้ยาวไป" ขณะที่ ธรรมชาติใต้ทะเลฟื้นตัว แต่บรรยากาศการท่องเที่ยวหลังจากมาตรการควบคุมการระบาดโควิด-19 เริ่มผ่อนคลายกลับเป็นไปในทางตรงกันข้าม ปี 2562 อุทยานแห่งชาติตะรุเตามีรายได้จากการจัดเก็บค่าเข้าอุทยานกว่า 30 ล้านบาท จากจำนวนนักท่องเที่ยวกว่า 260,000 คน โดยร้อยละ 60 เป็นนักท่องเที่ยวโซนยุโรป แต่ปีนี้มีเพียงนักท่องเที่ยวชาวไทย และ มีการคาดการณ์ว่า จะได้ส่วนแบ่งนักท่องเที่ยวจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจเพียงร้อยละ 10 โรงแรม ที่พักริมหาด ที่เคยถูกนักท่องเที่ยวต่างชาติจองเต็มข้ามปี ขณะนี้ ต้องปรับลดราคามากกว่าร้อยละ 50 เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวไทย นายเทวากร อาภาภิรมย์ ผู้จัดการเครือโรงแรมบนเกาะหลีเป๊ะ จ.สตูล บอกว่า แม้มีภาพธรรมชาติฟื้นตัวดึงดูดให้ผู้คนเดินทางมาท่องเที่ยว แต่เดือนแรกของฤดูการท่องเที่ยวอุทยานแห่งชาติตะรุเตาปีนี้ยังคงซบเซา "แต่ก่อนมีทั้งนักท่องเที่ยวที่มาจากปากบารา เกาะลังกาวี ลันตา ภูเก็ต ตอนนี้เหลือเส้นทางเดียวคือ จากปากบารา และในนักท่องเที่ยวจากปากบารา ปกติหลีเป๊ะ 80% เป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติ ตอนนี้เหลือเฉพาะคนไทยและชาวต่างชาติที่อยู่เมืองไทย ปกติ 80-90% เต็มจนถึงปีหน้า แต่ปัจจุบันเหลือไม่ถึง 1 ใน 3 ของที่กล่าวมา" วันนี้ ถนนคนเดินบนเกาะหลีเป๊ะที่เคยคึกคักยามค่ำคืน มีนักท่องเที่ยวบางตา กลุ่มผู้ประกอบการ ประเมินว่า ผลกระทบจากโควิด-19 จะส่งผลต่อเศรษฐกิจที่นี่ต่อไป และอาจต้องใช้เวลาฟื้นตัวไม่น้อยกว่า 2-3 ปี จ.สตูลมีด่านชายแดนติดกับประเทศมาเลเซีย 3 แห่ง 1 ในนั้นคือ ด่านตรวจคนเข้าเมืองเกาะหลีเป๊ะ ปี 2561 มีนักท่องเที่ยวเข้า-ออก ทางด่านตรวจคนเข้าเมืองบนเกาะหลีเป๊ะ ประมาณ 50,000 คน จากจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งหมดกว่า 200,000 คน มีข้อมูลว่า สัดส่วนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นในเวลานั้น มาจากการเปิดเส้นทางเดินเรือตรงจากเกาะลังกาวีมาที่เกาะหลีเป๊ะโดยมีเรือเฟอรี่ให้บริการมากกว่าวันละ 3 เที่ยว ข้อมูลจากสำนักงานท่องเที่ยวและกีฬา จ.สตูล ระบุว่า ปี 2557 ซึ่งเป็นปีแรกของการเปิดด่านตรวจคนเข้าเมืองเกาะหลีเป๊ะ มีรายได้จากการท่องเที่ยวอยู่ที่ 6,200 ล้านบาท และเพิ่มขึ้นเป็น 9,100 ล้านบาทในปี 2561 นายพิทักษ์สิทธิ์ ชีวรัฐพัฒน์ ประธานหอการค้า จ.สตูล บอกว่า ควรพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสโดยใช้ด่านตรวจคนเข้าเมืองหลีเป๊ะ ซึ่งถือเป็นจุดแข็งในเรื่องการ Quarantine เข้ามาฟื้นเศรษฐกิจ โดยอาศัยความร่วมมือจากหน่วยงานรัฐ สาธารณสุขและเอกชน วางแผนเพื่อกระจายนักท่องเที่ยวไปยังพื้นที่อื่นๆของจังหวัดสตูล ให้เม็ดเงินหมุนเวียน และสร้างโมเดลการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ "ถ้าประเทศไทยยังไม่ใช้จุดแข็งเรื่องการ Quarantine การดูแลสาธารณสุข แล้วเปิดรับนักท่องเที่ยวอย่างมีเงื่อนไขเข้ามา ประเทศไทยคงต้องลำบากกัน จากนี้ไปเราควรมุ่งเน้นนักท่องเที่ยวที่มีรายได้ และ การปรับราคาขึ้นมา" แม้ข้อเสนอนี้ ดูจะเป็นทางรอดสำหรับภาคธุรกิจแต่ประธานหอการค้าจังหวัดสตูล ยอมรับว่า รูปแบบการท่องเที่ยวหลังโควิด-19 จะต้องเปลี่ยนโฉมไปจากเดิม โดยลดการเน้นจำนวนนักท่องเที่ยว โดยไม่คำนึงถึงความเหมาะสมกับทรัพยากรที่มี https://news.thaipbs.or.th/content/298458
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#3
|
||||
|
||||
|
ขอบคุณข่าวจาก GREENPEACE
ประมงต่างมุมมองกับ 'มด ? ภควรรณ ตาฬวัฒน์' : เคลียร์ 7 ความเชื่อที่ไม่ค่อยจะใช่ ................ โดย Sirichai Leelertyuth "บางครั้งเราเห็นปัญหาสิ่งแวดล้อมถูกพูดให้เป็นขาว-ดำ มีคนดี มีผู้ร้ายที่ทำลายสิ่งแวดล้อม แต่จริงๆแล้ว ปัญหาสิ่งแวดล้อมอยู่ในชีวิตประจำวันและเราต้องหาวิธีบริหารจัดการ" "คุณมด" ภควรรณ ตาฬวัฒน์ นักวิชาการอิสระด้านการจัดการประมงอย่างยั่งยืน แชร์มุมมองจากประสบการณ์การทำงานด้านประมงยั่งยืนและขยะทะเล ในองค์กรระหว่างประเทศ ทั้ง Southeast Asian Fisheries Development Center (SEAFDEC), Marine Stewardship Council (MSC), WWF, แพลตฟอร์ม Global Dialogue on Seafood Traceability (GDST), โครงการด้านขยะทะเลพลาสติกของ World Bank และยังเป็นเจ้าของบริษัทที่ปรึกษาด้านประมงยั่งยืนชื่อ Sea Purpose ![]() จากประสบการณ์ทำงานด้านประมงมาอย่างต่อเนื่อง และอ่านบทความออนไลน์เกี่ยวกับปัญหาการทำประมง คุณมดพบความเชื่อ 7 เรื่องเกี่ยวกับทะเลที่จะมาเล่าให้เราฟังว่า ในมุมมองของเธอ มีเรื่องไหนที่จริง และเรื่องไหนที่ ?เคย? จริงแต่ตอนนี้อาจไม่ใช่อย่างที่เราเชื่อกันอยู่ตอนนี้แล้ว ความเชื่อที่ 1: ชาวประมงขนาดเล็กทำประมงอย่างยั่งยืนเสมอ ร้านขายอาหารทะเลบางแห่งใช้จุดขายว่า สินค้ามาจากชาวประมงขนาดเล็ก โดยขาดรายละเอียดที่มาของสินค้า และเกิดภาพจำว่าชาวประมงขนาดเล็กจับปลาด้วยวิธีที่ยั่งยืนเสมอ คุณมดมองว่าไม่เป็นเช่นนั้นเสมอไป เพราะการทำประมงขนาดเล็กบริเวณชายฝั่งยังมีโอกาสที่จะจับสัตว์น้ำที่ยังไม่โตเต็มวัย หรือใช้วิธีที่ไม่ยั่งยืน เช่น การระเบิดปลา ได้เช่นกัน ประมงขนาดเล็กจึงไม่ใช่ปัจจัยที่การันตีเรื่องความยั่งยืน แต่ประเด็นที่ควรให้ความสนใจและใส่ใจควบคู่ไปมากกว่า คือ การสร้างกลไกการตรวจสอบย้อนกลับ (Traceability) ที่จะช่วยให้รู้ว่าว่าปลาถูกจับมาด้วยเครื่องมือประมงถูกกฎหมาย และมีหลักฐานและรายละเอียดที่มาของสินค้าที่ชัดเจน เพื่อเป็นการให้ข้อมูลกับผู้บริโภคถึงอาหารของตน ความเชื่อที่ 2: การทำประมงแบบทำลายล้าง มาจากประมงระดับอุตสาหกรรมเสมอ ความเชื่อว่าชาวประมงขนาดเล็กทำประมงยั่งยืนเสมอ นำมาสู่ภาพจำฝั่งตรงข้าม ว่าการทำประมงทำลายล้างมาจากระดับอุตสาหกรรมเสมอ จริง ๆ แล้วอุตสาหกรรมประมงมีความหลากหลายทั้งเครื่องมือประมงที่ใช้ และสัตว์น้ำเป้าหมาย การใช้อวนลากจับสัตว์น้ำวัยอ่อน หรือปั่นไฟล่อ คือตัวอย่างของประมงทำลายล้าง แต่บางกรณี เรือประมงอุตสาหกรรมก็ต้องการเฉพาะสัตว์น้ำขนาดใหญ่ โตเต็มวัย เพื่อให้ขายได้ราคาดี เช่น ปูที่นำเนื้อกรรเชียงไปขาย ขนาดใหญ่ ก็จะราคาแพง บางชนิดสินค้าจึงเน้นการจับที่ขนาดมากกว่าปริมาณ ความเชื่อที่ 3: ปลาป่นเป็นสินค้าที่เลวร้ายเสมอ เพราะผลิตจากลูกปลาวัยอ่อนทั้งหมด ปลาป่นถูกใช้เป็นอาหารสัตว์ เช่น อาหารเลี้ยงกุ้ง ซึ่งเชื่อกันว่า เป็นสินค้าที่ทำลายระบบนิเวศ เพราะใช้ลูกปลาวัยอ่อนที่จับได้จากเรืออวนลาก ซึ่งตัดวงจรการเติบโตของสัตว์น้ำ ความเชื่อนี้เป็นความจริง แต่ไม่ใช่ทั้งหมด ปลาป่นยังมาจากเศษปลาจากการผลิตซูริมิ จากโรงงานแปรรูปสัตว์น้ำ หรือมาจากปลาที่โตเต็มวัยอย่างปลาแป้น ด้วยแรงกดดันจากตลาดรับซื้ออาหารสัตว์และอาหารทะเลในต่างประเทศในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทำให้ปัจจุบันเรามีผลิตภัณฑ์ปลาป่นที่ไม่ทำลายระบบนิเวศ ตรวจสอบย้อนกลับได้ หรือกระทั่งได้มาตรฐาน เช่น ปลาป่นที่ทำจากเศษปลาทูน่าที่เหลือใช้จากการทำปลากระป๋อง ความเชื่อที่ 4: การทำประมงเกินขนาด (Overfishing) เกิดจากการทำประมงปริมาณมากเสมอ คำว่า ประมงเกินขนาด (Overfishing) มักจะถูกใช้อธิบายสถานการณ์การทำประมงแบบที่ส่งผลกระทบในวงกว้างต่อสิ่งแวดล้อม จากการจับปลาครั้งละมากๆ คุณมดอธิบายว่า โดยหลักวิชาการแล้ว การทำประมงเกินขนาดนั้น หมายถึง การจับสัตว์น้ำเกินความสามารถในการผลิตของธรรมชาติ ทั้งนี้ ก็ขึ้นกับความสมดุลของจำนวนประชากรสัตว์น้ำด้วยว่า เมื่อถูกจับไปแล้วธรรมชาติจะสามารถผลิตสัตว์น้ำขึ้นมาทดแทนได้ทันหรือไม่ นอกจากนี้ปริมาณปลาที่จับก็ไม่ใช่ตัวชี้วัดเดียว เพราะหากเรือประมงไม่กี่ลำออกไปจับลูกปลาวัยอ่อน ก็จะไปตัดวงจรการเติบโตของปลาตามธรรมชาติ ทำให้ไม่มีลูกปลาที่โตมาเป็นปลาตัวใหญ่ ก็ถือเป็นการทำประมงเกินขนาดได้เช่นกัน จะเห็นว่าขนาดเรือ จำนวนเรือ และปริมาณปลาที่จับ ยังไม่สามารถเป็นตัวชี้วัดได้โดยลำพัง ลักษณะบ่งชี้ว่าทะเลบริเวณใดบริเวณหนึ่งกำลังถูกคุกคามจากการทำประมงเกินขนาด ต้องอาศัยการเก็บข้อมูล ประชากรสัตว์น้ำและการทำประมงอย่างต่อเนื่อง เพราะหากปริมาณปลาที่เกิดใหม่สมดุลกับปริมาณปลาที่ถูกจับ ก็ไม่ถือว่าเกิดการทำประมงเกินขนาด ความเชื่อที่ 5: ประมงเกินขนาด (Overfishing) = ประมงทำลายล้าง (Destructive fishing) บางครั้งมีการใช้ 2 คำนี้แทนกัน แต่จริง ๆ แล้วไม่เหมือนกัน การทำประมงทำลายล้าง (Destructive fishing) จะเห็นได้จากวิธีทำประมงของเรือแต่ละลำ เช่น การทำประมงที่ทำลายหน้าดิน ปะการัง หรือหญ้าทะเล การจับสัตว์น้ำวัยอ่อน การระเบิดปลา การจับฉลามเพื่อทำหูฉลาม ในความหมายที่กว้างมากขึ้น อาจจะรวมถึง การจับปลาในพื้นที่วางไข่และแหล่งอนุบาล และการจับสัตว์น้ำอื่นที่ไม่ใช้เป้าหมายได้ในปริมาณมาก แต่ประมงเกินขนาด (Overfishing) คือภาพรวมของปริมาณสัตว์น้ำ ที่จะรู้ได้เมื่อศึกษาคำนวณปริมาณประชากรสัตว์น้ำในทะเล และผลรวมของการทำประมงของเรือหลาย ๆ ลำ อย่างไรก็ตาม ในบางกรณี อาจมีการใช้คำว่า การทำประมงทำลายล้าง ในความหมายที่รวมถึงการทำประมงเกินขนาดที่ไม่สามารถฟื้นคืนปริมาณสัตว์น้ำได้ ![]() ? Athit Perawongmetha / Greenpeace ความเชื่อที่ 6: เศษซากแหอวนที่ไม่ใช้แล้ว (Ghost Gear) = ขยะพลาสติกในทะเลเสมอ เศษซากแหอวนที่ไม่ใช้แล้ว (Ghost Gear) คือเครื่องมือประมงที่สูญหายไปเป็นขยะทะเล และใช้ในความหมายที่ว่า เมื่อหลุดหายไปในทะเลแล้ว ยังคงสามารถจับปลาต่อไปได้อีก บางครั้งมีการใช้คำว่า "ขยะพลาสติกในทะเล" เมื่อพูดถึง Ghost Gear ซึ่งไม่ถูกต้องเสมอไป ตัวอย่างของเศษอวนที่เป็นขยะพลาสติก แต่ไม่ใช่ Ghost Gear คือ เศษอวนขนาดสัก 5 เซนติเมตร เพราะเล็กจนไม่สามารถจับปลาได้เมื่อหลุดหายไปในทะเล ขณะเดียวกัน ตัวอย่างของ Ghost Gear ที่ไม่ใช่ขยะพลาสติก คือ เศษเครื่องมือประมงที่ทำจากวัสดุอื่น เช่น เบ็ด ที่หลุดไปในทะเลแล้วมีสัตว์กลืนเข้าไปหรือถูกเกี่ยวจนบาดเจ็บ ความเชื่อที่ 7: เศษซากแหอวนที่ไม่ใช้แล้ว (Ghost Gear) มาจากเครื่องมือผิดกฎหมายเสมอ หลายคนเข้าใจว่า Ghost Gear มาจากเครื่องมือประมงผิดกฎหมายเสมอ ความเข้าใจนี้เป็นความจริงแค่เพียงบางส่วนเท่านั้น เพราะ Ghost Gear สามารถเกิดจากการทำประมงทั่วไปในชีวิตประจำวันของชาวประมงเพราะเมื่ออุปกรณ์หมดอายุขัยการใช้งาน ก็มีโอกาสที่จะฉีกขาด จนหลุดหายไปในทะเล และทำอันตรายสัตว์น้ำอื่น ๆ ต้องเข้าใจว่าแม้ว่าจะใช้เครื่องมือประมงถูกกฎหมาย หรือทำประมงในพื้นที่ถูกกฎหมายก็ตาม แต่หากเครื่องมือประมงนั้นเสื่อมสภาพ หรือสภาพอากาศเลวร้าย ก็สามารถกลายเป็นขยะในท้องทะเลได้ ![]() ? Justin Hofman / Greenpeace คุณมดสะท้อนว่า ปัญหาสิ่งแวดล้อมอยู่ในชีวิตประจำวันของเรา ชาวประมงที่ดี ไม่ได้ทำผิดกฎหมาย ก็สร้างปัญหาสิ่งแวดล้อมได้เช่นกัน จึงต้องมีวิธีบริหารจัดการ เช่น มีนโยบายช่วยชาวประมงรีไซเคิลเครื่องมือประมงก่อนหมดอายุขัย เพราะเครื่องมือเหล่านี้เป็นต้นทุนที่ชาวประมงอยากใช้งานให้นานที่สุด ยากที่จะเปลี่ยนบ่อย ๆ ปัญหาสิ่งแวดล้อมไม่ใช่เรื่องคนเลว แต่อยู่ในการดำเนินชีวิตเรา และต้องบริหารจัดการ ความเชื่อเหล่านี้สะท้อนอะไรบ้าง ? คุณมดมองว่าการเหมารวมให้ปัญหาสิ่งแวดล้อมมีตัวร้ายชัดเจน ไม่เกิดผลดีต่อการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม เช่น ภาพจำแบบคู่ตรงข้าม ว่าชาวประมงขนาดเล็กทำประมงยั่งยืนเสมอ และประมงทำลายล้างมาจากระดับอุตสาหกรรมเสมอ อาจทำให้คนมองข้ามการตรวจสอบย้อนกลับที่มาของอาหารทะเล อีกตัวอย่างคือ อาหารทะเลจากฟาร์มเพาะเลี้ยง เช่น ฟาร์มกุ้ง ก็ถูกเหมารวมว่าไม่ดีได้เช่นกัน จากกรณีการทิ้งน้ำเสียสู่ทะเล การบุกรุกพื้นที่ป่าชายเลนเพื่อทำฟาร์ม และใช้ปลาป่นจากลูกปลาวัยอ่อนเป็นอาหารกุ้ง แต่ทุกวันนี้มีฟาร์มกุ้งในไทยหลายฟาร์มที่ได้มาตรฐานเรื่องความยั่งยืน รับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม เช่น มีการบำบัดน้ำเสียในฟาร์ม ตรวจสอบย้อนกลับที่มาของอาหารกุ้งได้ มีการใช้แรงงานในฟาร์มอย่างเป็นธรรม ซึ่งคุณมดมองว่าผู้บริโภคควรหันมาสนับสนุนมาตรฐานเหล่านี้ "สมมติว่ามีฟาร์มเพียง 5-10% ที่ทำฟาร์มอย่างยั่งยืน จะทำอย่างไรให้ขยายเป็น 20%-30% การเหมารวมว่าฟาร์มทั้งหมดไม่ดี มันไม่เปิดโอกาสให้เขาพัฒนา แต่ถ้าเราเปลี่ยนเป็นเลือกอาหารทะเลจากฟาร์มที่ดี ตรวจสอบย้อนกลับได้ ความต้องการอาหารทะเลที่ยั่งยืนจะผลักดันให้ฟาร์มเหล่านี้หันมาโปรโมทสินค้าที่ยั่งยืน มีใบรับรองต่างๆ มาแสดงเป็นจุดขาย จาก 5-10% มันก็จะขยายเป็น 20%-30% ได้" บางคนคิดว่า ไม่ต้องกินอาหารทะเลก็จบปัญหา แต่คุณมดเห็นว่าอุตสาหกรรมอาหารทะเลยังมีมิติอื่น ๆ ที่ต้องมอง เช่น ทำให้เกิดการจ้างงานคนในชุมชนจำนวนมากเพื่อทำงานในอุตสาหกรรม เราใช้ประโยชน์จากทรัพยากรทะเลได้ และการทำประมงทั้งขนาดเล็ก หรือระดับอุตสาหกรรมไม่ใช่เรื่องที่ผิด เพราะมนุษย์ยังต้องพึ่งพาทะเลและมหาสมุทรในฐานะที่เป็นแหล่งอาหาร แหล่งรายได้ และแหล่งพักผ่อนหย่อนใจ แต่เราต้องมุ่งไปสู่หนทางการทำประมงอย่างยั่งยืนอย่างจริงจัง ควบคู่กับการจัดการระบบนิเวศทางทะเลที่สมดุลและเป็นธรรม เช่น การกำหนดเขตคุ้มครองระบบนิเวศทางทะเล ก็จะสามารถช่วยให้สัตว์น้ำฟื้นตัวได้ในระยะเวลาที่เร็วขึ้น "เรากินอาหารทะเลได้ แต่ควรรู้ว่าอาหารทะเลมาจากไหน เพื่อสนับสนุนการทำประมงที่ยั่งยืนและไม่ทำลายระบบนิเวศ" คุณมดย้ำทิ้งท้ายถึงความสำคัญของผู้บริโภคต่อการเปลี่ยนแปลงห่วงโซ่การผลิตอาหารทะเล https://www.greenpeace.org/thailand/...about-fishery/
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#4
|
||||
|
||||
|
ขอบคุณข่าวจาก Greennews
น้ำทะเลหนุนสูงท่วมชายฝั่งอ่าวไทย 'อ.ธรณ์' เตือนรัฐเร่งรับมือโลกร้อน ก่อนกรุงเทพฯจมทะเล ................... โดย ปรัชญ์ รุจิวนารมย์ กรมอุทกศาสตร์ กองทัพเรือ เตือนพื้นที่ชายฝั่งอ่าวไทยตอนในยังคงเสี่ยงน้ำท่วมฉับพลันจากน้ำทะเลหนุนสูง จนถึงวันที่ 23 พฤศจิกายนนี้ ด้าน ผศ.ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ นักวิทยาศาสตร์ทางทะเลชื่อดัง ชี้ เหตุการณ์น้ำทะเลเอ่อท่วมพื้นที่ชายฝั่ง เป็นสัญญาณเตือนถึงวิกฤตการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลจากสภาวะโลกร้อน พร้อมเสนอให้ขับเคลื่อนโครงการจัดการน้ำเมกะโปรเจ็ค "เจ้าพระยาเดลต้า 2040" อย่างจริงจัง เพื่อเตรียมพร้อมรับมือภัยพิบัติก่อนทะเลจะท่วมกรุงเทพฯ เมื่อช่วงเช้าของวันที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ.2563 หลายพื้นที่ในเขตจังหวัดรอบอ่าวไทยตอนใน ตั้งแต่ จ.สมุทรสงคราม จ.สมุทรสาคร จ.สมุทรปราการ จ.ฉะเชิงเทรา และจ.ชลบุรี ต้องประสบกับน้ำท่วมสูงฉับพลันจากปรากฎการณ์น้ำทะเลหนุนสูงสุดในรอบเดือน เป็นเหตุให้เกิดความเดือดร้อนต่อการดำเนินชีวิต และสร้างความเสียหายต่อบ้านเรือนและทรัพย์สินของประชาชนในพื้นที่ ![]() รพ.บางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา นำเรือท้องแบน-รถบรรทุกเร่งอพยพคนไข้ หลังน้ำทะเลหนุนสูงทำน้ำบางปะกงทะลักเข้าโรงพยาบาล และท่วมถนนบางนา-ตราด ช่วง กม.47 ระดับน้ำเฉลี่ย 60 ซม. //ขอบคุณภาพจาก: แจ้งข่าวสาร เตือนภัย Thailand กรมอุทกศาสตร์ กองทัพเรือ เปิดเผยว่า สถานการณ์น้ำท่วมพื้นที่ชายฝั่งหลายจังหวัดรอบอ่าวไทยตอนใน เป็นผลมาจากลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทยตอนบนและภาคใต้มีกําลังแรง ระหว่างช่วงน้ำขึ้นสูงสุด จึงเสริมให้น้ำทะเลหนุนสูงกว่าระดับปกติ โดยคาดการณ์ว่า ที่ปากแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณป้อมพระจุลจอมเกล้าฯ และพื้นที่ใกล้เคียง จะมีระดับน้ำทะเลหนุนสูงถึง 1.7 ? 1.9 เมตร จากระดับทะเลปานกลาง ดังนั้น กรมอุทกศาสตร์ กองทัพเรือ จึงได้ประกาศเตือนประชาชนในพื้นที่ลุ่มต่ำใกล้ชายฝั่ง ให้ระมัดระวังผลกระทบจากระดับน้ำทะเลหนุนสูงกว่าปกติ และติดตามสภาวะระดับน้ำอย่างใกล้ชิด ในช่วงตั้งแต่วันที่ 15 -23 พฤศจิกายน ระหว่างเวลาประมาณ 5.00 น. ? 13.00 น. ทั้งนี้ ประชาชนสามารถตรวจเช็คการคาดการณ์ระดับน้ำล่วงหน้าได้ที่ เว็บไซต์ของกรมอุทกศาสตร์ ในขณะที่ ผศ.ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ รองคณบดีกิจการพิเศษ ภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ระบุผ่านทางเฟสบุ๊คส่วนตัวว่า แม้สาเหตุหลักของสถานการณ์น้ำทะเลเอ่อท่วมพื้นที่ชายฝั่งหลายจังหวัดรอบอ่าวไทยตอนใน เกิดจากปรากฎการณ์น้ำขึ้นสูงสุดในรอบเดือน ประกอบกับการทรุดตัวของชายฝั่งในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล ผศ.ดร.ธรณ์ กล่าวว่า ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น ย้ำเตือนให้เราต้องเริ่มตระหนักถึงการเตรียมรับมือผลกระทบสภาวะโลกร้อน เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลอันเกิดจากน้ำแข็งขั้วโลกละลาย กำลังเป็นภัยคุกคามที่กำลังทำให้พื้นที่ลุ่มปากแม่น้ำเจ้าพระยาจมทะเลอย่างช้าๆ จากข้อมูลการศึกษาการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลโดย องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ สหรัฐอเมริกา (NASA) พบว่า ผลกระทบจากสภาวะโลกร้อนและการละลายของน้ำแข็งขั้วโลก ทำให้ในปัจจุบันระดับน้ำทะเลทั่วโลกมีอัตราเพิ่มระดับขึ้นราว 3.3 มิลลิเมตร/ปี ยิ่งไปกว่านั้น รายงานศึกษาคาดการณ์การเพิ่มขึ้นระดับน้ำทะเล โดยคณะนักวิจัยด้านสมุทรศาสตร์และภูมิอากาศ นำโดย NASA ยังเผยว่า หากมนุษยชาติยังคงปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกในอัตราปัจจุบัน สภาวะโลกร้อนที่รุนแรงขึ้นจะส่งผลให้ชั้นน้ำแข็งทั้งที่กรีนแลนด์และขั้วโลกใต้ละลาย จนทำให้ระดับน้ำทะเลทั่วโลกสูงขึ้นมากกว่า 38 เซนติเมตร เอ่อท่วมพื้นที่ราบต่ำชายฝั่งทั่วโลก รวมถึงพื้นที่สามเหลี่ยมปากแม่น้ำเจ้าพระยา ![]() สภาวะโลกร้อนแผนที่คาดการณ์พื้นที่ที่จะจมอยู่ใต้ทะเลภายในปี 2050 หากไม่มีการควบคุมสภาวะโลกร้อน โดย Climate Central?s Program on Sea Level Rise "โครงการที่ผมพอทราบมีอยู่บ้าง เช่น เจ้าพระยาเดลต้า อาจต้องนำมาคิดจริงจังมากขึ้น หาข้อมูลเพิ่มขึ้นเพราะเราจะสู้กับธรรมชาติโดยไม่รอบคอบ เรามีแต่แพ้กับแพ้ ไอเดียมีหลากหลาย แต่การตัดสินใจต้องมีฐานข้อมูลให้ครบถ้วน ณ ตอนนี้ยังบอกอะไรเพื่อนธรณ์ไม่ได้มาก แต่อยากให้ขยับขับเคลื่อนไปบ้าง เพราะการรับมือเรื่องนี้ต้องวางแผน ต้องพิจารณาข้อมูลโน่นนี่เป็นเวลานาน" ผศ.ดร.ธรณ์ กล่าว อนึ่ง โครงการเจ้าพระยาเดลต้า เป็นหนึ่งในโครงการวิจัยภายใต้แผนงานยุทธศาสตร์เป้าหมายด้านสังคม แผนงานการบริหารจัดการน้ำ ภายใต้ความร่วมมือระหว่างสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) ซึ่งเป็นการบริหารงานวิจัยแบบใหม่ที่มุ่งเน้นก่อให้เกิดการสร้างองค์ความรู้และนวัตกรรมด้านการจัดการทรัพยากรน้ำทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพที่สามารถรองรับการเติบโตในอนาคตของประเทศ https://greennews.agency/?p=22167
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
![]() |
| คำสั่งเพิ่มเติม | |
| เรียบเรียงคำตอบ | |
|
|