![]() |
|
|
|
#1
|
||||
|
||||
|
ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการออนไลน์
ลดขยะพลาสติก! ปกป้องวาฬ เท่ากับว่าช่วยฮีโร่ลดโลกร้อน ![]() วันอนุรักษ์วาฬโลก (World Whale Day) ซึ่งตรงกับทุกวันเสาร์ที่สามของเดือนกุมภาพันธ์ และในทุกปี ?วาฬ? (Whale) สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก มักถูกกล่าวถึงวิถีการดำเนินชีวิตในบทบาทของฮีโร่ช่วยโลกลดโลกร้อน เนื่องจากวาฬเพียงหนึ่งตัว สามารถดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เทียบเท่ากับต้นไม้จำนวนถึง 1,000 ต้น ข้อมูลโดยกองทุนเงินตราระหว่างประเทศ หรือ International Monetary Fund (IMF) รายงานเอาไว้เมื่อ 2 ปีที่แล้ว ? การช่วยปกป้องปลาวาฬหนึ่งตัวนั้นเทียบเท่ากับการปลูกต้นไม้หลายพันต้นเลยทีเดียว? ![]() วาฬเป็นแหล่งดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่มีประสิทธิภาพ วาฬกับคาร์บอนไดออกไซด์ สิ่งสำคัญคือวาฬเป็นแหล่งดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ใหญ่โตและมีประสิทธิภาพโดยเฉพาะวาฬที่มีขนาดใหญ่ ปกติวาฬจะมีอายุขัยโดยเฉลี่ยอยู่ประมาณ 60 ปี ซึ่งในช่วงชีวิตหนึ่งจะสามารถสะสมก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 33 ตัน ในขณะที่ต้นไม้ต้นหนึ่งสามารถดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้แค่ 0.022 ตันต่อปีเท่านั้น เมื่อวาฬตายลงก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เหล่านั้นจะจมลงไปยังก้นมหาสมุทรพร้อมกับร่างของวาฬและถูกเก็บอยู่ในนั้นเป็นเวลาหลายร้อยปี เรียกกลไกนี้ว่า ?carbon sink? เป็นอีกหนึ่งกลไกที่ดึงก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ชั้นบรรยากาศได้มีประสิทธิภาพมาก วาฬกับแพลงก์ตอนพืช แพลงก์ตอนพืชขึ้นชื่อว่าเป็นแหล่งผลิตออกซิเจนแหล่งใหญ่ของโลกที่อยู่ในทะเล ถึงแม้จะมีขนาดเล็กแต่ด้วยปริมาณที่มีอยู่ แพลงก์ตอนพืชผลิตออกซิเจนคิดเป็น 50% จากปริมาณออกซิเจนทั้งหมดบนโลก และยังสามารถดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 37 ล้านล้านตัน คิดเป็น 40% ของปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ถูกผลิตขึ้นอีกด้วย ซึ่ง IMF กล่าวว่าปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ระดับนี้ต้องใช้ต้นไม้ที่เจริญเติบโตเต็มที่ถึง 1.7 ล้านล้านล้านต้นในการดูดซับ คิดเป็นป่าอเมซอนถึง 4 ผืน นอกจากนี้ วาฬยังมีบทบาทสำคัญในการช่วยเพิ่มปริมาณแพลงก์ตอนพืชจากพฤติกรรมที่เรียกว่า ?Whale pump? ปกติวาฬใหญ่จะดำน้ำลึกเพื่อหาอาหารและจะลอยขึ้นสู่ผิวน้ำเพื่อถ่ายของเสียออกจากร่างกาย ของเสียเหล่านี้อุดมไปด้วยสารอาหารที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของแพลงก์ตอนพืชทั้งธาตุเหล็กและไนโตรเจน ทำให้แพลงก์ตอนพืชเจริญเติบโตได้ดี อีกเหตุผลคือ วาฬเป็นสัตว์อพยพ ย้ายถิ่นฐานตามฤดูกาลทำให้สามารถเดินทางข้ามมหาสมุทรได้ไกล ส่งผลให้การกระจายสารอาหารเป็นไปอย่างทั่วถึงกินบริเวณกว้าง IMF ระบุว่าการเพิ่มขึ้นของแพลงก์ตอนพืชเพียง 1% จากปริมาณทั้งหมดที่มีอยู่ จะสามารถเพิ่มการดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากหลายร้อยล้านตันต่อปี เทียบเท่ากับต้นไม้ที่เติบโตเต็มที่ถึง 2 ล้านล้านต้น ![]() เส้นทางการอพยพที่เป็นไปได้ของวาฬหลายๆ ชนิด วาฬกับการอนุรักษ์ แต่ถึงอย่างนั้นประชากรของวาฬทั่วโลกยังอยู่ในขั้นน่าเป็นห่วง ถึงแม้การล่าวาฬเพื่อการค้าจะถูกสั่งห้ามอย่างเป็นทางการในหลายๆประเทศไปตั้งแต่ปี 1986 แต่ยังมีวาฬมากกว่า 1000 ตัวถูกฆ่าในแต่ละปีจากข้อมูลของ World Wildlife Fund (WWF) นอกจากการล่า วาฬยังเป็นสัตว์ใหญ่ในทะเลที่มีอัตราการเสียชีวิตจากการกินขยะพลาสติกสูง มีรายงานวาฬเกยตื้นเสียชีวิตแล้วผ่าท้องพบขยะพลาสติกอุดตันในระบบทางเดินอาหารตั้งแต่ 1 กิโลกรัมไปจนถึง 40 กิโลกรัม สาเหตุการเสียชีวิตหลักอีกอย่างคือผลกระทบการจากอุตสาหกรรมประมง ไม่ว่าจะเป็นอาการบาดเจ็บเพราะชนเรือหรือติดอวนลากโดยไม่ได้ตั้งใจ IMF ได้ประมาณมูลค่าของวาฬ 1 ตัวว่ามีค่ามากกว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐแค่เฉพาะจากอุตสาหกรรมท่องเที่ยวชมวาฬตามแหล่งธรรมชาติ ซึ่งถ้ารวมจำนวนวาฬที่มีทั้งหมดในปัจจุบันจะมีมูลค่ามากกว่า 1 ล้านล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ทั้งหมดที่กล่าวมา ถ้าเราสามารถเพิ่มปริมาณวาฬวาฬที่มีอยู่ในปัจจุบันราว 1.3 ล้านตัวให้เป็น 4-5 ล้านตัวได้ จะสามารถดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากถึง 1.7 ล้านล้านตันต่อปี ในขณะที่ค่าใช้จ่ายในการอนุรักษ์วาฬตกอยู่ที่ประมาณคนละ 500 บาทต่อปีเท่านั้น https://mgronline.com/greeninnovatio.../9640000017329
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#2
|
||||
|
||||
|
ขอบคุณข่าวจาก แนวหน้า
'โขง' วิกฤติ! น้ำลดต่ำสุดรอบ 10 ปี เกิด 'หิวตะกอน'-ระบบนิเวศพัง-ปลาสูญพันธุ์ ![]() 21 กุมภาพันธ์ 2564 ผู้สื่อข่าวรายงานจาก จ.นครพนม ว่า ช่วงนี้สถานการณ์น้ำโขงยังวิกฤต โดยลดระดับลงต่อเนื่องตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2563 ที่ผ่านมา ล่าสุดมีระดับน้ำเฉลี่ยต่ำสุดที่ประมาณ 1 เมตร ถือว่าต่ำสุดในรอบ 15 ปี ทำให้พื้นที่บางจุดเกิดหาดทรายเป็นบริเวณกว้าง ระยะทางยาวเป็นกิโลเมตร นอกจากนี้ยังส่งผลกระทบให้น้ำโขงนิ่งไม่ไหลเชี่ยวตามธรรมชาติ เกิดการตกตะกอนหรือเรียกอีกนัยหนึ่งว่า "หิวตะกอน" จากน้ำสีขุ่นหรือสีปูนกลายเป็นน้ำสีฟ้าครามคล้ายทะเล ถึงแม้สีของน้ำจะสร้างความสวยงานตื่นตาให้กับประชาชน นักท่องเที่ยว แต่ในทางตรงกันข้ามถือเป็นสัญญาณอันตราย ที่บ่งชี้ถึงผลกระทบของการสร้างเขื่อนกั้นน้ำโขงของประเทศเพื่อนบ้าน ทำให้ระบบนิเวศเริ่มพัง ระดับน้ำโขงไม่ไหลเวียนตามธรรมชาติ ส่งผลกระทบต่อลำน้ำสาขาแห้งขอด โดยเฉพาะลำน้ำสาขาสายหลัก อาทิ ลำน้ำอูน ลำน้ำสงคราม และลำน้ำก่ำ มีปริมาณน้ำน้อย ทั้งนี้ ส่งผลกระทบมากที่สุด คือ อาชีพประมง ชาวบ้านจับปลาได้น้อย และกระทบการขยายพันธุ์ของปลาน้ำโขง ไม่สามารถขึ้นไปวางไข่ได้ตามฤดูกาล เนื่องจาก 2-3 ปี ที่ผ่านมา ในช่วงฤดูฝนถือว่าระดับน้ำโขงต่ำ เมื่อเทียบกับหลาย 10 ปีที่ผ่านมา ทำให้ปริมาณปลาน้ำโขงลดลงเท่าตัว ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ อาชีพการประมงในพื้นที่ นางสาวศิราณี งอยจันทร์ศรี ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืดนครพนม เปิดเผยว่า ต้องยอมรับว่าสถานการณ์น้ำโขงในช่วง 2 -3 ปีที่ผ่านมา มีความเปลี่ยนแปลงผิดธรรมชาติเป็นอย่างมาก น้ำโขงลดระดับเร็วตั้งแต่ช่วงฤดูฝน ผลกระทบจากการสร้างเขื่อนของประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งปกติฤดูในทุกปีจะเป็นฤดูน้ำหลากที่ปลาน้ำโขงจะขึ้นไปวางไข่ต้นน้ำในลำน้ำสาขา คือ ลำน้ำอูน ลำน้ำสงคราม ลำน้ำก่ำ แต่เมื่อน้ำโขงปริมาณน้ำต่ำ โอกาสที่ปลาจะขึ้นไปวางไข่ ขยายพันธุ์ยาก ทำให้มีการวางไข่ในพื้นที่ลุ่มน้ำโขง นางสาวศิราณี ระบุว่า จากการวิจัยพบว่าการขยายพันธุ์ในลำน้ำโขง ทำให้ปริมาณการเติบโตของปลาลดลงเกินครึ่ง เพราะมาจากปัจจัยของสภาพแวดล้อม ยิ่งในปีนี้ปริมาณน้ำโขงต่ำ เกิดการตกตะกอน ทำให้แพลงก์ตอนในน้ำ รวมถึงสาหร่าย ตาย ปลาน้ำโขงไม่มีอาหาร จากข้อมูลการสำรวจในช่วงปีที่ผ่านมา ถึงปัจจุบัน พบว่า ปลาน้ำโขงเดิมมีอยู่ประมาณ 1,000 กว่าชนิด แต่ปัจจุบันเริ่มสูญพันธุ์หายากกว่า 100 ชนิด อาทิ ปลาบึก ปลายี่สกไทย ปลานวลจันทร์ ปลานาง ปลาโจก ปลากาดำ หรือปลาอีตุ๊ ส่วนใหญ่จะเป็นปลาเศรษฐกิจที่มีราคาแพง ประมาณกิโลกรัมละ 150 -200 บาท เป็นที่ต้องการของตลาด และมีระยะเวลาการขยายพันธุ์ช้า พ่อพันธุ์แม่พันธ์ต้องอายุ 3-4 ปีขึ้นไป ถึงจะสามารถขยายพันธุ์ได้ ทำให้เริ่มสูญพันธุ์ บวกกับสภาพน้ำโขงเปลี่ยนแปลง ระบบนิเวศถูกทำลาย สิ่งที่ตามมาคือ รายได้จากอาชีพประมง เศรษฐกิจด้านประมงลดลงกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ สำหรับแนวทางการป้องกันแก้ไข สำคัญที่สุด ทางหน่วยงานประมง ร่วมกับศูนย์วิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืดนครพนม ได้ส่งเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่สำรวจ ตรวจสอบ ทำความเข้าใจกับชาวบ้าน ห้ามจับปลาในฤดูวางไข่ และห้ามใช้อุปกรณ์จับปลาที่มีการห้ามในช่วงฤดูปลาขยายพันธุ์ นอกจากนี้ยังได้วางแนวทางในการจัดพื้นที่อนุรักษ์พันธุ์ปลาแบบธรรมชาติ ในลำน้ำโขง ด้วยการสร้างเขตพื้นที่ห้ามจับปลาตามหน้าวัดเขตอภัยทาน โดยใช้ความเชื่อมาเป็นส่วนในการอนุรักษ์ เพื่อขยายพันธุ์ปลาน้ำโขง ที่สำคัญจะต้องเร่งทำการเพาะพันธุ์ขยายพันธุ์ปลา ลงสู่แม่น้ำให้มากที่สุด แต่มีปัญหาเพราะปลาบางชนิดต้องใช้เวลาเพาะเลี้ยงขยายพันธุ์ 3 -4 ปี กว่าจะสามารถขยายพันธุ์ได้ แต่มีปริมาณการจับ และการสูญพันธุ์มากกว่าการขยายพันธุ์ ทำให้ส่งผลกระทบต่อการประมงอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตามในอนาคตเชื่อว่าถึงแม้จะมีการเพิ่มการขยายพันธุ์ปลามากขึ้น แต่ปัจจัยหลักคือระบบนิเวศ ระดับน้ำโขง ที่เปลี่ยนแปลง ทำให้ส่งผลกระทบตามมาขั้นวิกฤติแน่นอนในอนาคต สำหรับ "แม่น้ำโขง" คือ แม่น้ำนานาชาติที่ยาวที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เคยได้ชื่อว่าราชาแห่งสายน้ำ เนื่องจากมีความหลากหลายของพันธุ์สัตว์น้ำเกือบ 1,000 สายพันธุ์ และยังมีความหลากหลายของชนิดพันธุ์สัตว์น้ำอย่างอื่น รวมถึงพืชน้ำ ที่มีคุณค่าต่อการอนุรักษ์ เศรษฐกิจ และความมั่นคงทางอาหารของผู้คนกว่า 60 ล้านคน แต่ปัจจุบัน จีนได้มีการสร้างเขื่อนกั้นแม่น้ำโขงสายหลักที่ไหลผ่านจีนถึง 11 เขื่อน ขณะที่ทุนไทยได้ข้ามแดนไปสร้างเขื่อนไซยะบุรีกั้นแม่น้ำโขงในเขตลาว ที่ผ่านมาหายนะของแม่น้ำโขงเห็นได้อย่างชัดเจนจากน้ำโขงขึ้น-ลงผิดธรรมชาติ ปลาอพยพไม่ตรงกับฤดูกาลจากการกระตุ้นของมนุษย์เนื่องจากมีการปล่อยน้ำออกจากเขื่อนที่ไม่ตรงกับการขึ้นลงตามธรรมชาติ และการเกิดน้ำโขงสีฟ้าราวกับน้ำทะเลเนื่องจากเกิดภาวะหิวตะกอน (hungry water) https://www.naewna.com/local/554297 ********************************************************************************************************************************************************* สวยงาม! 'โลมาปากขวด' 5 ตัว กระโดดบิดตัวโชว์นานกว่าชั่วโมง เจ้าหน้าที่ชุดลาดตระเวนเชิงคุณภาพโชว์ภาพความสวยงามของโลมาปากขวดกระโดดบิดตัวโชว์นานกว่า? 1? ชั่วโมง? ก่อนว่ายน้ำหายไปในน้ำลึก? ขณะออกลาดตระเวนทางทะเล? ![]() 21 ก.พ.64 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เจ้าหน้าที่หน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติ ที่ จม.2 (หยงหลิง) อุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม จ.ตรัง? ออกตรวจลาดตระเวนเชิงคุณภาพ (Smart patrol) เฝ้าระวังทางทะเลบริเวณหน้าที่ทำการหน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติ ที่ จม.2 (หยงหลิง) พบโลมาปากขวดจำนวน 5 ตัว? ว่ายน้ำโผล่ขึ้นหายใจและกระโดดบิดตัว เจ้าหน้าที่ได้ติดตามสังเกตการณ์จากหาดหน้าที่ทำการหน่วยพิทักษ์ฯ ที่ จม.2 (หยงหลิง) ไปจนถึงปากคลองตะเป๊ะ ก่อนโลมากลับออกไปยังน้ำลึก ตั้งแต่เวลา? 17.00 - 18.00 น. วันที่ 20 ก.พ.ที่ผ่านมา สำหรับการลาดตระเวนเชิงคุณภาพ? (Smart? patrol)? มีทั้งการลาดตระเวนทางบกและทางทะเล การลาดตระเวนทางทะเลก็เพื่อป้องกันการทำประมงผิดกฎหมาย การลักลอบจับสัตว์น้ำเพื่อการค้า การท่องเที่ยวในรูปแบบที่ไม่เหมาะสม รวมถึงการปล่อยสิ่งปฏิกูลลงในทะเล เป็นต้น https://www.naewna.com/likesara/554224
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สายน้ำ : 22-02-2021 เมื่อ 04:52 |
|
#3
|
||||
|
||||
|
ขอบคุณข่าวจาก Nation TV
สมุยฮือฮา พบวาฬบรูด้า 2 ตัว ว่ายน้ำหาอาหารใกล้อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะอ่างทอง ฮือฮา!! พบวาฬบรูด้า 2 ตัว ว่ายอวดโฉมโผล่ผิวน้ำใกล้อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะอ่างทอง สร้างความประทับใจให้กับทั้งทางเจ้าหน้าที่อุทยานฯ ร่วมชาวบ้านที่ได้พบเห็น ![]() 21 ก.พ.2564 เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติหมูเกาะอ่างทอง อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี สามารถบันทึกภาพวาฬบรูด้าจำนวน 2 ตัว ยาวประมาณ 8 เมตร 6 เมตร ขณะที่ว่ายหาอาหารอยู่ในทะเลบริเวณเกาะวัวตาหลับ กับเกาะแม่เกาะ ซึ่งอยู่ในพื้นที่เขตอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะอ่าง สร้างความประทับใจให้กับทั้งทางเจ้าหน้าที่อุทยานฯ ร่วมชาวบ้านที่ได้พบเห็น ทางด้าน นายนัฐวัฒน์ หนุ่ยศรีราม หน.อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะอ่างทองเปิดเผยว่า เมื่อช่วงบ่ายของวันที่ 20 ก.พ.2564 ขณะที่ทางเจ้าหน้าที่ของอุทยานแห่งชาติหมูเกาะหมูอ่างทอง ได้นำเรือออกลาดตระเวนตามแนวเขตพื้นหมู่เกาะต่างๆ ในเขตพื้นที่อุทยานฯ ก็ได้ไปพบวาฬบรูด้าจำนวน 2 ตัว ตัวหนึ่งมีความนาวประมาณ 8 เมตร และอีกตัวก็มีความยาวประมาณ 6 เมตร กำลังว่ายน้ำหาอาหาร จึงได้บันทึกภาพไว้ เพื่อส่งให้ทางผู้เชียวชาญตัวสอบว่าเป็นวาฬบรูด้า ที่ทางผู้เชียวชาญได้เคยทำประวัติไว้ก่อนหน้านี้หรือไม่ ซึ่งจากการมองตัวสายตาพยว่าขนาดของวาฬบรูด้าทั้ง 2 ตัว ที่พบมีขนาดที่แต่งต่างกัน จึงยังไม่แน่ชัดว่าจะเป็นวาฬบรูด้า แม่ลูก ที่พากัยว่ายน้ำเข้าหากินหรือไม่ ต้องรอผู้เชียวชาญสอบให้แน่ชัดอีกครั้ง ขณะเดี่ยวกันในช่วง เดือนกุมภาพันธ์-เดือนมีนาคม ของทุกปีก็จะมีวาฬบรูด้า เข้ามาหากินในใกล้พื้นที่อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะอ่างทองแทบทุกปี เนื่องจากในช่วงนี้จะอยู่ในช่วงที่ทางกรมประมงประกาศให้มีการปิดอ่าวตั้งแต่วันที่ 15 กุมภาพันธ์ -15 พฤษภาคม ของทุกปี เนื่องจากเป็นฤดูปลาว่างไข่ จึงทำให้มีฝูงปลาจำนวนมากว่ายเข้าว่างไข่ในเขตอุทยานแห่งชาติหมูเกาะอ่างทอง วาฬบรูด้า ก็จะว่ายน้ำตามฝูงปลามาหากินในเขตอุทยานฯเช่นเดี่ยวกัน ซึ่งหลังจากที่ทางเจ้าหน้าที่พบวาฬบรูด้า 2 ตัวนี้ ทางเจ้าหน้าที่ก็ได้ประชาสัมพันธ์ไปยังพี่น้องชาวประมงในพื้นที่ ร่วมถึงผู้ประกอบการเรือนำเที่ยวต่างๆ ให้ระมัดระวังในการเดินเรือ เพื่อไม่ให้เกิดอันรายกับวาฬบรูด้า ร่วมถึงหากพบวาฬบรูด้า ว่ายน้ำหาอารอยู่ก็อย่าพยายามเข้าใกล้มากจนเกินไป ป้องกันไม่ให้วาฬบรูด้า ได้รับอันตราย หรือเกิดความตื่นตกใจกลัว ทั้งนี้เพื่อจะได้เป็นการช่วยกันดแล และอนุรักษ์วาฬบรูด้า ซึ่งเป็นสัตว์ทะเลหาอยากให้อยู่คู่ท้องทะเลอ่าวไทยตลอดไป.... https://www.nationtv.tv/main/content...ampaign=region
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
![]() |
| คำสั่งเพิ่มเติม | |
| เรียบเรียงคำตอบ | |
|
|