![]() |
|
|
|
#1
|
||||
|
||||
|
ขอบคุณข่าวจาก GREENPEACE
พายุทรายที่เกิดขึ้นในเอเชียตะวันออกเกี่ยวข้องกับวิกฤตสภาพูมิอากาศหรือไม่ ช่วงเช้าของวันที่ 15 มีนาคมที่ผ่านมา ประชาชนในกรุงปักกิ่งตื่นมาพร้อมกับท้องฟ้าที่กลายเป็นสีส้มอันเนื่องมาจากกระแสลมแรงพัดพาพายุทรายขนาดใหญ่ที่มาจากมองโกเลีย พายุทรายได้ทำให้ระดับมลพิษทางอากาศพุ่งสูงขึ้นในหลายพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นตอนเหนือของจีน เกาหลี และบางพื้นที่ของญี่ปุ่น สำนักงานอุตุนิยมวิทยาของจีนบอกว่าพายุทรายนี้เป็น "พายุทรายที่ใหญ่ที่สุดในรอบทศวรรษ" ![]() พายุฝุ่น (หรือพายุทราย) ปกคลุมทั่วปักกิ่งและทำให้คุณภาพอากาศอยู่ในระดับเป็นอันตรายต่อสุขภาพอย่างมาก 6 ชีวิตที่มลายและอีกร้อยที่สูญหาย หน่วยงานจัดการเหตุฉุกเฉินของมองโกเลียรายงานว่าพายุทรายได้คร่าชีวิตคนไป 6 คน ส่วนในจีนสำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ณ วันที่ 15 มีนาคม มีผู้สูญหายอย่างน้อย 341 คน พายุทรายในปักกิ่งได้ก่อให้เกิดทัศนวิสัยต่ำ ยอดตึกระฟ้าซ่อนอยู่ในหมอกควัน ผู้คนที่สัญจรไปมาตามท้องถนน และคนที่ขี่จักรยานต้องสวมหน้ากากและอุปกรณ์สวมศีรษะชั่วคราวเพื่อป้องกันใบหน้าของพวกเขาจากทรายที่กระโชกแรง เมื่อวันที่ 15 มีนาคม ความเข้มข้นของฝุ่น PM10 ในปักกิ่งมีค่าสูงกว่า 8,100 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร (สำหรับบริบทแนวปฏิบัติด้านคุณภาพอากาศของสหรัฐอเมริกาถือว่าระดับระหว่าง 0 ถึง 54 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรอยู่ในระดับ" ดี" และ 55 ถึง 154 อยู่ในระดับ "ปานกลาง" การสัมผัสมลพิษทางอากาศไม่มีในระดับที่ปลอดภัย) ไกลออกไปทางตะวันตก ณ เมือง เจี่ยยู่กวน มณฑลกานซู ค่า PM10 มีค่าสูงถึง 9,985 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรหรือเกือบ 40 เท่าซึ่งถือว่าอยู่ในระดับที่ ?มีผลกระทบต่อสุขภาพอย่างมาก? หลายเที่ยวบินต้องถูกยกเลิกและถูกสั่งห้ามบินเนื่องจากทัศนวิสัยต่ำ โรงเรียนถูกสั่งให้ยกเลิกกิจกรรมกลางแจ้งทั้งหมด และคนที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจได้รับคำแนะนำว่าให้อยู่แต่ในที่พักอาศัย พายุทรายเกิดขึ้นได้อย่างไร? 3 ปัจจัยที่จะทำให้เกิดพายุทรายคือ 1) ขนาดความใหญ่ของพื้นที่ทราย 2) ระดับความแรงของลม และ 3) สภาพบรรยากาศที่สามารถพัดพาทรายไปในอากาศ เนื่องจากสภาพแวดล้อมที่แห้งแล้งกว่าเดิม กอปรกับอุณหภูมิที่พุ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ย 5 ถึง 8 องศาเซลเซียสในมองโกเลีย ทำให้ฝุ่นและทรายสามารถฟุ้งกระจายได้แรงกว่าเดิม นอกจากนี้ พายุไซโคลนที่เกิดขึ้นในมองโกเลียได้นำแรงลมระดับ 6 ถึง 8 ไปยังพื้นที่ทางตอนเหนือของจีนซึ่งเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้การเกิดพายุทราย ยิ่งไปกว่านั้นการตัดไม้ทำลายป่าที่เกิดขึ้นมาเป็นเวลานานและการกดกร่อนของดินทางตอนใต้ของมองโกเลียทำให้มลพิษทางอากาศมีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น ![]() ภาพถ่ายดาวเทียมแสดงให้เห็นถึงพายุทรายที่เกิดในมองโกเลียถูกลมพัดพาไปบริเวณเอเชียตะวันออกและตก พายุทรายเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศหรือไม่? ดร. Liu Junyan นักรณรงค์ด้านสภาพอากาศและพลังงานของกรีนพีซ เอเชียตะวันออก กล่าวว่า "แม้ว่าเหตุการณ์นี้จะไม่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แต่ความถี่ของพายุทรายในมองโกเลียก็เพิ่มขึ้นในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมาเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ" ระหว่างปีพ.ศ. 2483 ถึง พ.ศ.2558 อุณหภูมิเฉลี่ยต่อปีในมองโกเลียเพิ่มขึ้น 2.24 องศาเซลเซียสซึ่งเพิ่มขึ้นประมาณสามเท่าของค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่เพิ่มขึ้น ตั้งแต่ปี พ.ศ.2539 ถึง พ.ศ.2558 ทุ่งหญ้าในมองโกเลียประสบกับความแห้งแล้งมากขึ้นเมื่อเทียบกับสองทศวรรษที่ผ่านมา เช่นเดียวกับความร้อนที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและปริมาณน้ำฝนที่ลดลง การแทะเล็มหญ้าของสัตว์ที่มากเกินไปยิ่งซ้ำเติมปัญหาที่เกิดขึ้นของทุ่งหญ้า เมื่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทวีความรุนแรงขึ้น สภาพแวดล้อมที่นำไปสู่การก่อตัวของพายุทรายจึงเกิดขึ้นบ่อยขึ้น ![]() ภาพเปรียบเทียบก่อนและหลังพายุทรายพัดถล่มในปักกิ่ง เราสามารถทำอะไรได้บ้างเพื่อป้องกันภัยพิบัติที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หนทางที่ดีและยั่งยืนที่สุดเพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบที่เลวร้ายของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศคือเราต้องลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนในระดับโลกลงให้มากที่สุด จีน เกาหลี และญี่ปุ่น ปล่อยก๊าซคาร์บอนถึงหนึ่งในสามของการปล่อยก๊าซคาร์บอนทั่วโลกในปี พ.ศ. 2561 ในฐานะผู้ปล่อยก๊าซที่ใหญ่ที่สุดสามแห่งในเอเชียตะวันออก ล่าสุดเมื่อปี 2563 ทั้งสามประเทศให้คำมั่นสัญญาว่า จะลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิให้เป็นศูนย์ หรือ มุ่งไปสู่ "ความเป็นกลางทางคาร์บอน(Carbon Nuetral) 100% แต่ ณ ปัจจุบัน แผนการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนของทั้งสามประเทศยังไม่มีออกมาให้เห็นเป็นรูปเป็นร่าง กรีนพีซจึงเรียกร้องให้ทั้งจีน ญี่ปุ่น และเกาหลีพัฒนาแผนงานรูปธรรมในระยะยาวขึ้นมา ว่าทำอย่างไรที่จะบรรลุเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้ได้ รวมถึงกรอบเวลาที่ชัดเจนในการเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบบพลังงานหมุนเวียน 100% ![]() กิจกรรมฉายแสงข้อความรณรงค์ยุติถ่านหินในกรุงโซล เกาหลี กรีนพีซในปักกิ่งได้รณรงค์ประเด็นด้านสภาพภูมิอากาศและพลังงานมานานกว่าทศวรรษ ล่าสุดเราได้ป้องกันไม่ให้พันธบัตร "การเงินสีเขียว" หลายล้านดอลลาร์ไปลงทุนในโรงไฟฟ้าถ่านหิน ส่วนกรีนพีซ เกาหลีมีการพูดคุย เสนอแนวทาง และทางออกอย่างยั่งยืนกับนักการเมืองคนสำคัญ และท้ายสุดกรีนพีซ ญี่ปุ่น ได้รณรงค์ต่อต้านการแสดงจุดยืนสนับสนุนถ่านหินของรัฐบาลที่งาน World Economic Forum ในเมืองดาวอสเพื่อเรียกร้องให้สถาบันการเงินรายใหญ่ของญี่ปุ่นยุติการระดมทุนโรงไฟฟ้าถ่านหินแห่งใหม่ คุณคือพลังอันสำคัญที่สามารถร่วมเรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิกการลงทุนโรงไฟฟ้าถ่านหินได้ กรีนพีซได้สร้างความตระหนักแก่สาธารณชนเกี่ยวกับวิกฤตสภาพอากาศผ่านโซเชียลมีเดียและกิจกรรมต่าง ๆ เสียงของประชาชนสามารถผลักดันให้รัฐบาลและองค์กรที่ก่อมลพิษได้รับรู้ความจริงของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ นอกจากนี้พลังของเราสามารถผลักดันให้รัฐบาลเลิกสนับสนุนถ่านหิน และพร้อมเปลี่ยนมาใช้พลังงานหมุนเวียนที่จะสร้างระบบเศรษฐกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และสร้างอนาคตที่ปลอดภัย https://www.greenpeace.org/thailand/...oss-east-asia/
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#2
|
||||
|
||||
|
ขอบคุณข่าวจาก BBCThai
ซากฟอสซิลยืนยัน "ฉลามมีปีก" บินร่อนในทะเลได้เหมือนกระเบนราหู เมื่อ 93 ล้านปีก่อน ![]() ภาพจำลอง "ฉลามมีปีก" Aquilolamna milarcae ที่เคยมีชีวิตอยู่ในยุคเดียวกับไดโนเสาร์ ทีมนักบรรพชีวินวิทยานานาชาติจากฝรั่งเศส เยอรมนี และเม็กซิโก เผยผลวิเคราะห์ซากฟอสซิลของ "ฉลามมีปีก" อายุเก่าแก่ 93 ล้านปี ในวารสาร Science โดยชี้ว่าเป็นฉลามรูปร่างประหลาดที่ไร้กระโดงหรือครีบหลัง แต่กลับมีครีบด้านข้างลำตัวที่ยาวและกว้างคล้ายปีกเครื่องบิน สามารถใช้ร่อนเหมือนกับบินในน้ำทะเลเช่นเดียวกับกระเบนราหูได้ ฉลามโบราณที่สูญพันธุ์ไปแล้วดังกล่าวมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Aquilolamna milarcae มีชีวิตอยู่ในยุคครีเทเชียสที่ไดโนเสาร์ครองโลก ก่อนที่กระเบนราหูซึ่งเป็นญาติใกล้ชิดของฉลามจะถือกำเนิดขึ้นมาหลายสิบล้านปี ฉลามมีปีกชนิดนี้เป็นฉลามที่กรองกินแพลงก์ตอนเป็นอาหารเหมือนกับฉลามวาฬ อาศัยอยู่ในบริเวณ Western Interior Seaway ซึ่งเป็นช่องที่น้ำทะเลไหลเข้าไปในแผ่นดินใหญ่ จนกลายเป็นทางน้ำเชื่อมต่ออ่าวเม็กซิโกและมหาสมุทรอาร์กติกในยุคโบราณ มีการค้นพบฟอสซิลนี้เมื่อปี 2012 ในเหมืองหินทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศเม็กซิโก โดยพบว่าครีบด้านข้างที่คล้ายปีกนกนั้น เมื่อกางออกเต็มที่จะมีความยาวจากปลายข้างหนึ่งไปจรดอีกข้างหนึ่งเกือบ 2 เมตร ในขณะที่ลำตัวมีความยาว 1.65 เมตร ทำให้มันเป็นสัตว์ที่มีความกว้างของลำตัวมากกว่าความยาว นอกจากนี้มันยังมีส่วนหัวสั้น จมูกสั้น แต่มีปากกว้างอีกด้วย ![]() ซากฟอสซิลเก่าแก่ 93 ล้านปี ซึ่งจะนำไปจัดแสดงที่พิพิธภัณฑ์ในประเทศเม็กซิโก ฉลามและกระเบนราหูจัดเป็นสัตว์จำพวก Elasmobranch หรือปลากระดูกอ่อนเหมือนกัน ทั้งยังกรองกินแพลงก์ตอนเช่นเดียวกันอีกด้วย แต่การที่ฉลามมีปีกมีอายุเก่าแก่กว่าและมีครีบด้านข้างขนาดใหญ่เหมือนกระเบนราหูนั้น ไม่ได้หมายความว่ามันเป็นบรรพบุรุษของกระเบนราหูแต่อย่างใด แต่เป็นวิวัฒนาการแบบเบี่ยงเบนเข้าหากัน (Convergent evolution) หรือการที่สัตว์ต่างชนิดพัฒนาโครงสร้างแบบเดียวกันขึ้นมาโดยแยกกันมีวิวัฒนาการแบบเป็นอิสระจากกัน ทีมผู้วิจัยคาดว่าฉลามมีปีกน่าจะว่ายน้ำได้ค่อนข้างช้าและไม่ใช่นักล่าที่น่ากลัว โดยมันจะใช้ครีบด้านข้างที่ทั้งกว้างและยาวช่วยทรงตัวขณะร่อนไปในน้ำเท่านั้น แต่ส่วนใหญ่แล้วจะอาศัยครีบหางที่แข็งแกร่งตวัดไปมาทางซ้ายและขวา รวมทั้งใช้ลำตัวรูปทรงตอร์ปิโดช่วยในการว่ายไปข้างหน้ามากกว่า แม้ยังไม่ทราบแน่ชัดว่าฉลามมีปีกสูญพันธุ์ไปเนื่องจากสาเหตุใด แต่ทีมผู้วิจัยคาดว่าอาจเป็นสาเหตุเดียวกับที่ทำให้ไดโนเสาร์สูญพันธุ์ไปเมื่อ 66 ล้านปีก่อน ซึ่งก็คือหายนะจากอุกกาบาตขนาดยักษ์ที่พุ่งชนโลก โดยผลพวงจากการชนปะทะที่ทำให้เกิดแรงระเบิดมหาศาลและอุณหภูมิสูง เปลี่ยนผิวหน้าของน้ำทะเลให้เป็นกรดอย่างแรง จนแพลงก์ตอนที่เป็นอาหารของฉลามมีปีกตายไปจนหมด https://www.bbc.com/thai/international-56452643
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
![]() |
| คำสั่งเพิ่มเติม | |
| เรียบเรียงคำตอบ | |
|
|