![]() |
|
|
|
#1
|
||||
|
||||
|
ขอบคุณข่าวจาก แนวหน้า
'ประมงหาดเขาปิหลาย-เอกชน' ถกได้ข้อสรุป ปมผลกระทบเขื่อนกันคลื่น ![]() 19 กรกฎาคม 2565 ผู้สื่อข่าวรายงานกรณีชาวประมงพื้นบ้านชุมชนเขาปิหลาย ที่บริเวณชายหาดเขาปิหลาย หมู่ 14 ต.โคกกลอย อ.ตะกั่วทุ่ง จ.พังงา ได้รับความเดือดร้อนในการจอดเรือหลบลมมรสุมในช่วงน้ำทะเลหนุนสูงและคลื่นลมแรงมานานร่วม 100 ปี กระทั่งมีนายทุนอ้างกรรมสิทธิ์ที่ดินทำโครงการก่อสร้างกำแพงกันคลื่นแนวชายหาด ทำให้กลุ่มประมงพื้นบ้านไม่มีพื้นที่จอดเรือ ขณะมีคลื่นซัดฝั่งรุนแรงอีกทั้งน้ำทะเลหนุนเกิดการกัดเซาะชายฝั่ง ชาวเรือต้องนำเรือขึ้นเกยชายฝั่งเพื่อหลีกหนีคลื่นลมในทะเล สร้างความเสียหายแก่เรือและอุปกรณ์หาสัตว์น้ำ ทำให้กลุ่มประมงได้รวมกลุ่มจัดตั้งเป็นองค์กรประมงท้องถิ่นเขาปิหลาย ยื่นหนังสือต่อศูนย์ดำรงธรรมอำเภอตะกั่วทุ่ง เรียกร้องให้มีการตรวจสอบและเปิดเวทีเจรจา ล่าสุดนายพจน์ หรูวรนันท์ ปลัดจังหวัดพังงา พร้อมนายอำเภอตะกั่วทุ่ง เจ้าท่าฯพังงา สทช.6 ที่ดินอำเภอตะกั่วทุ่ง อบต.โคกกลอย กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ตัวแทนเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดิน และกลุ่มประมงพื้นบ้าน ร่วมประชุม ณ ห้องประชุม ที่ทำการ อบต.โคกกลอย อ.ตะกั่วทุ่ง จ.พังงา โดยมีการเจรจาแก้ปัญหาดังกล่าวจนเป็นที่น่าพอใจโดยสรุปว่าให้นายอำเภอตะกั่วทุ่งเปิดเวทีกลุ่มย่อย สอบถามปัญหาและข้อเรียกร้องของชาวประมง จากนั้นจะนัดฝ่ายเจ้าของที่ดินเข้าเจรจาอีกครั้ง โดยทางบริษัทเอกชนแจ้งว่าก่อนหน้านี้ได้เสนอให้ทางกลุ่มประมงพื้นบ้านในเรื่องการจอดเรือเพื่อช่วยแก้ปัญหาไปแล้ว แต่ทางกลุ่มประมงปฏิเสธข้อเสนอดังกล่าว? นายพล ศรีรัฐ ประธานองค์กรชุมชนประมงท้องถิ่น (อนุรักษ์ทรัพยากรสัตว์น้ำ) ชาวประมงพื้นบ้านที่อาศัยในบริเวณดังกล่าว ทราบว่า ก่อนหน้านี้ชาวประมงได้พูดคุยนอกรอบกับทางตัวแทนผู้ถือกรรมสิทธ์ที่ดิน แต่ไม่เป็นผล จึงยื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรมต่อศูนย์ดำรงธรรมอำเภอตะกั่วทุ่ง โดยมีข้อเรียกร้องให้ภาครัฐดำเนินการตรวจสอบ แนวเขตกรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าว อีกเรื่อง คือ ทาง อบต.โคกกลอย อนุญาตให้มีการก่อสร้างเขื่อนกันคลื่นได้อย่างไรมีการศึกษาผลกระทบหรือไม่ ด้านตัวแทนบริษัทเอกชน กล่าวว่า ทางบริษัทฯซึ่งถือครองกรรมสิทธิ์ที่ดินถูกต้องตามกฎหมาย เห็นว่ามีน้ำทะเลหนุนสูงคลื่นซัดสร้างความเสียหายจนเริ่มเข้าแนวเขตที่ดิน จึงต้องทำการก่อสร้างแนวกันคลื่นกัดเซาะตลอดแนวชายฝั่งซึ่งอยู่ในพื้นที่กรรมสิทธิ์และตรงตามกฎหมายกำหนดไว้ ส่วนการแก้ปัญหาให้ชาวประมงนั้น ทางบริษัทฯเคยเสนอที่จอดเรือ รวมถึงอุปกรณ์การลากจูงเรือให้ทางกลุ่มประมงแล้ว แต่ถูกปฏิเสธ กระทั่งการประชุมเจรจาครั้งนี้ทางบริษัทพร้อมรับฟังข้อเสนอเพื่อได้อยู่ร่วมกันได้ ซึ่งทางบริษัทฯมีความจำเป็นสร้างแนวกันคลื่นเพื่อความชัดเจนในการเสนอให้นักลงทุนต่างชาติได้พิจารณาลงทุนการท่องเที่ยวในพื้นที่ พร้อมเปิดให้ชาวบ้านในพื้นที่มีการสร้างงานและรายได้เข้า ขณะที่นายพจน์ หรูวรนันท์ ปลัดจังหวัดพังงา กล่าวว่า ผลสรุปการประชุมครั้งนี้นับว่าเป็นผลดีทั้งทางบริษัทและกลุ่มประมงพื้นบ้าน โดยจะมีการประชุมกลุ่มเล็กทางนายอำเภอตะกั่วทุ่งเป็นประธานหารือความต้องการเพื่อเป็นข้อเสนอจากชาวประมงให้แก่ทางบริษัทและร่วมกันหาทางออก ส่วนภาครัฐเบื้องต้นไม่พบว่าการก่อสร้างแนวกันคลื่นของทางบริษัทฯจะขัดกับกฎหมายด้านต่างๆ https://www.naewna.com/likesara/667682
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#2
|
||||
|
||||
|
ขอบคุณข่าวจาก กรุงเทพธุรกิจ
พบ "ฝูงโลมาหลังโหนก" 6 ? 8 ตัว บริเวณชายฝั่งทะเลปัตตานี พบ "ฝูงโลมาหลังโหนก" 6 ? 8 ตัว บริเวณชายฝั่งทะเลปัตตานี ผลพวงจากกรมประมงเร่งสร้างความเข้าใจ และชาวประมงขานรับ พร้อมปฏิบัติตามแผน MMPA ของประเทศไทย เพื่อป้องกัน และบรรเทาผลกระทบจากการทำประมงต่อสัตว์ทะเลเลี้ยงลูกด้วยนม ![]() นายเฉลิมชัย สุวรรณรักษ์ อธิบดีกรมประมง เปิดเผยว่า ได้รับรายงานจากศูนย์ป้องกันและปราบปรามประมงทะเลปัตตานี กองตรวจการประมง ว่าเมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2565 มีนักท่องเที่ยว พบฝูงโลมาหลังโหนก (Indopacific humpback dolphin) ชื่อวิทยาศาสตร์ Sousa chinensis จำนวน 6 ? 8 ตัว ว่ายน้ำอยู่แถวชายหาดแฆแฆ ตำบลบ้านน้ำบ่อ อำเภอปะนาเระ จังหวัดปัตตานี ซึ่งบริเวณดังกล่าว เป็นเขตอนุรักษ์ของชุมชนปะนาเระ สะท้อนถึงความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรสัตว์น้ำที่ฟื้นคืนกลับมา หลังกรมประมงเร่งสร้างความรู้ ความเข้าใจร่วมกับพี่น้องชาวประมงในพื้นที่เกี่ยวกับการใช้เครื่องมือประมงอย่างไร ไม่ให้ส่งผลกระทบต่อสัตว์ทะเลเลี้ยงลูกด้วยนม รวมถึงการช่วยเหลือสัตว์ทะเลเลี้ยงลูกด้วยนมเบื้องต้น และกรมประมงได้บังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัดเพื่อป้องกันการทำประมงผิดกฎหมาย โดยเฉพาะการทำการประมงในพื้นที่ห้าม การใช้เครื่องมือประมงผิดกฎหมาย หรือการใช้เครื่องมือประมงที่ห้ามใช้ทำการประมงในเขตทะเลชายฝั่ง เป็นต้น โดยที่ผ่านมากรมประมงได้ผลักดันการดำเนินการเพื่อให้สอดคล้องกับข้อกำหนดของกฎหมายว่าด้วยการนำเข้าสินค้าสัตว์น้ำเพื่อคุ้มครองสัตว์ทะเลเลี้ยงลูกด้วยนม (Marine Mammal Protection Act : MMPA) ของสหรัฐอเมริกามาอย่างต่อเนื่อง เพื่อรักษามูลค่าการส่งออกสินค้าประมงไปยังสหรัฐอเมริกา โดยหลังจากที่ประเทศไทย ได้จัดส่งข้อมูลเพื่อประกอบการประเมินความเท่าเทียมในการดำเนินการตามกฎระเบียบ MMPA อาทิ ข้อมูลสถานภาพสัตว์ทะเลเลี้ยงลูกด้วยนมในพื้นที่ทำการประมง ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการทำประมง กฎระเบียบในประเทศ ข้อบังคับด้านการทำประมงเชิงพาณิชย์ ข้อมูลระบบทะเบียน และการอนุญาตทำการประมง หรือมาตรการที่เกี่ยวข้องในการลดการตายหรือลดการบาดเจ็บของสัตว์ทะเลเลี้ยงลูกด้วยนมซึ่งเป็นสัตว์น้ำพลอยจับ (Bycatch) ฯลฯ ผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ไปยังสหรัฐอเมริกา เมื่อวันจันทร์ที่ 29 พฤศจิกายน 2564 ที่ผ่านมา เพื่อเป็นการแสดงถึงเจตจำนงของประเทศไทย ที่ให้ความสำคัญต่อการอนุรักษ์และการบริหารจัดการสำหรับสัตว์ทะเลเลี้ยงลูกด้วยนมที่เป็นรูปธรรม เป็นไปตามหลักสากล และพันธกรณีระหว่างประเทศ ภายใต้การมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน ขณะนี้อยู่ในระหว่างการประเมินของสหรัฐอเมริกา และจะมีการประกาศผลการพิจารณาประมาณเดือนพฤศจิกายน 2565 และบังคับใช้กฎหมาย MMPA ในวันที่ 1 มกราคม 2566 ประเทศไทยได้จัดทำแผนปฏิบัติการระดับชาติเพื่อการอนุรักษ์และบริหารจัดการสัตว์ทะเลเลี้ยงลูกด้วยนม พ.ศ. 2566 ? 2570 ภายใต้ข้อกำหนดกฎหมายคุ้มครองสัตว์ทะเลเลี้ยงลูกด้วยนม (MMPA) ซึ่งประกอบด้วย 5 กลยุทธ์ 19 แผนงาน 51 โครงการ ดังนี้ กลยุทธ์ที่ 1 การติดตามและประเมิน (Monitoring & Estimation) กลยุทธ์ที่ 2 การวิจัยและพัฒนา (Research & Development) กลยุทธ์ที่ 3 การอนุรักษ์และจัดการ (Conservation & Management) กลยุทธ์ที่ 4 การบังคับใช้ (Enforcement) และกลยุทธ์ที่ 5 การสื่อสาร (communication) รวมทั้งมีการเตรียมความพร้อม โดยหารือร่วมกับผู้ประกอบการในการจัดทำโครงการเร่งด่วนเพื่อรองรับกฎระเบียบ MMPA ที่จะประกาศบังคับใช้ โดยรัฐบาลได้อนุมัติงบกลาง 35,687,200 บาท ให้ดำเนินการโครงการเร่งด่วนจำนวน 4 โครงการ ประกอบด้วย 1. โครงการการเพิ่มประสิทธิภาพระบบตรวจสอบย้อนกลับสินค้าสัตว์น้ำ เพื่อรองรับ Marine Mammal Protection Act ของประเทศสหรัฐอเมริกา 2. โครงการการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเพื่อการปรับเปลี่ยนเครื่องมือประมง และวิธีการทำการประมงเพื่อป้องกันการติดโดยบังเอิญของสัตว์ทะเลเลี้ยงลูกด้วยนม 3. โครงการการควบคุมเฝ้าระวังพื้นที่ทำการประมงในบริเวณพื้นที่เสี่ยงต่อสัตว์ทะเลเลี้ยงลูกด้วยนม 4. โครงการการศึกษาแนวทางแก้ไขปัญหาเครื่องมือประมงที่มีผลกระทบต่อพะยูน ทั้งนี้ นอกจากการบริหารจัดการทรัพยากรประมงโดยใช้กลไกต่างๆ แล้ว กรมประมงให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของชุมชน และพี่น้องชาวประมงในพื้นที่ในการดำเนินกิจกรรมต่างๆ อาทิ โครงการพัฒนาอาชีพและส่งเสริมความเข้มแข็งของชุมชนประมง และโครงการเสริมสร้างการมีส่วนร่วมขององค์กรชุมชนประมงท้องถิ่น เพื่อให้บรรลุเป้าประสงค์ของการทำประมงที่ไม่ส่งผลกระทบต่อสัตว์ทะเลเลี้ยงลูกด้วยนม และเป็นไปอย่างยั่งยืน https://www.bangkokbiznews.com/business/1016464
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#3
|
||||
|
||||
|
ขอบคุณข่าวจาก ThaiPBS
เนเธอร์แลนด์พัฒนา หุ่นยนต์ฉลาม ช่วยเก็บขยะและวัดคุณภาพน้ำ เนเธอร์แลนด์ พัฒนาหุ่นยนต์รูปร่างคล้ายฉลาม ทำหน้าที่คอยเก็บขยะชิ้นเล็กไปจนถึงขนาดกลางในแม่น้ำ และสามารถวัดระดับคุณภาพของน้ำได้ ![]() ทีมผู้พัฒนาหุ่นยนต์ฉลามเก็บขยะ ได้แรงบันดาลใจในการผลิตมาจากฉลามวาฬ ที่มีปากขนาดใหญ่ที่คอยงับเหยื่อ หุ่นยนต์ฉลามถูกออกแบบให้มีซี่กรงที่เหมือนซี่ฟันฉลาม ที่จะคอยช่วยกรองและคัดแยกขยะ เช่น ขวดน้ำ ถุงพลาสติก สาหร่าย และเศษขยะที่ลอยอยู่เหนือผิวน้ำ หลังจากที่หุ่นยนต์ฉลามเก็บขยะที่อยู่ในน้ำแล้ว ก็จะนำไปรวมที่จุดคัดแยกขยะ เพื่อนำไปกำจัดด้วยวิธีที่เหมาะสมหรือนำไปรีไซเคิลต่อไป โดรนหุ่นยนต์ฉลามสามารถเก็บและบรรทุกขยะได้ 500 กิโลกรัม/วัน ทำงานได้ 10 ชั่วโมง แล่นได้ในระยะทาง 5 กิโลเมตร โดยทำความเร็วได้ 3 กิโลเมตร/ชั่วโมง แล่นในโหมดอัตโนมัติได้ 6 ชั่วโมง แล้วควบคุมจากทางไกลผ่านคลื่นวิทยุ นอกจากนี้ยังมีระบบ GPS ที่ช่วยในการนำทางพร้อมระบุตำแหน่ง ระบบเซนเซอร์ที่ช่วยให้หุ่นยนต์หลีกเลี่ยงสิ่งกีดขวางได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยังมีระบบข้อมูลสภาพน้ำในแหล่งน้ำที่สามารถดูได้แบบเรียลไทม์ บริษัทผู้ผลิตออกแบบให้หุ่นยนต์ฉลามใช้งานได้ในหลายพื้นที่ และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ขับเคลื่อนด้วยพลังงานแบตเตอรี่ ในระหว่างที่หุ่นยนต์กำลังทำงาน จึงไม่มีการก่อให้เกิดมลภาวะ เพราะไม่มีการใช้พลังงานเชื้อเพลิงที่ทำให้เกิดการเผาไหม้ จึงนำไปใช้กับแหล่งน้ำในเขตเมือง ชนบท เขตอุตสาหกรรม หรือแหล่งน้ำในสวนสาธารณะได้ และด้วยขนาดที่ไม่เล็กและไม่ใหญ่จนเกินไป เพราะมีน้ำหนักเพียง 72 กิโลกรัม หุ่นยนต์จึงเข้าไปเก็บขยะได้ในพื้นที่แคบ ๆ ที่เรือเก็บขยะเข้าไปไม่ถึงได้ แผนการต่อไปของผู้ผลิต คือการพัฒนาหุ่นยนต์ตัวต้นแบบตัวใหม่ที่สามารถทำงานที่มีความท้าทายมากขึ้น เช่น การแก้ปัญหาการรั่วไหลของน้ำมันในหลายพื้นที่ที่ต้องประสบกับปัญหานี้ โดยเน้นไปที่รัฐฟลอริด้าและพื้นที่ที่เป็นอ่าว ในประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งแผนการนี้จะเริ่มต้นภายในปี 2022 https://news.thaipbs.or.th/content/317502
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
![]() |
| คำสั่งเพิ่มเติม | |
| เรียบเรียงคำตอบ | |
|
|