![]() |
|
|
|
#1
|
||||
|
||||
|
ขอบคุณข่าวจาก ไทยรัฐ
กรมทะเลและชายฝั่ง แนะ 5 แนวทางแก้ปัญหาทิ้งขยะพลาสติกลงทะเล กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง แนะนำแนวทางการแก้ปัญหาทิ้งขยะพลาสติกไหลลงทะเล หวังช่วยทะเลกลับมาอุดมสมบูรณ์ ![]() วันที่ 30 พฤศจิกายน 2565 มีรายงานว่า แฟนเพจ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ได้แนะนำแนวทางการแก้ปัญหาทิ้งขยะพลาสติกไหลลงสู่ทะเล ซึ่งจะสามารถช่วยทะเล สัตว์ทะเล และชายฝั่งให้กลับคืนความอุดมสมบูรณ์ ดังนี้ 1. การรณรงค์ ร่วมกันเก็บขยะตกค้างในระบบนิเวศชายหาด ปะการัง และป่าชายเลน เพื่อลดปริมาณขยะลงสู่ทะเล 2. ใช้วัสดุอื่นทดแทนพลาสติก ในการผลิตผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น ใช้ถ้วย จาน และหลอดกระดาษ ใช้โฟมชานอ้อย หรือใบตองในการห่ออาหาร 3. รีไซเคิล นำผลิตภัณฑ์พลาสติกเก่านำกลับมาใช้ใหม่ (Recycle และ Reuse) 4. ติดตั้งทุ่นดักขยะ ในบริเวณคลองท่อระบายน้ำโดยใช้ตาข่ายและอวน หรือแห ดักขยะ จากบริเวณปากแม่น้ำหรือปากคูคลองระบายน้ำป้องกันไม่ให้ขยะพลาสติกหลุดไหลลงทะเล 5. เผาทำลายอย่างถูกวิธี เผาทำลายเพื่อผลิตพลังงานไฟฟ้าโดยใช้เตาเผาขยะที่ถูกหลักวิชาการและนำพลังงานมาผลิตกระแสไฟฟ้า. https://www.thairath.co.th/news/local/2566586
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#2
|
||||
|
||||
|
ขอบคุณข่าวจาก กรุงเทพธุรกิจ
ยูเอ็นแนะ 'เกรตแบริเออร์รีฟ' ขึ้นบัญชี 'เสี่ยงอันตราย' ![]() คณะกรรมการแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็น) แนะนำให้เพิ่มแนวปะการังเกรตแบริเออร์รีฟในรายชื่อแหล่งมรดกโลกที่ตกอยู่ในอันตราย โดยให้เหตุผลว่า ระบบนิเวศของแนวปะการังขนาดใหญ่ที่สุดในโลกได้รับผลกระทบอย่างมากจากการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ และมหาสมุทรที่ร้อนขึ้น สำนักข่าวรอยเตอร์สว่า การฟอกขาวที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งกำลังคุกคามแนวปะการัง ซึ่งรวมแล้วเกิดขึ้น 4 ครั้งในช่วง 7 ปีที่ผ่านมา และเป็นครั้งแรกในช่วงปรากฏการณ์ลานีญาของปีนี้ "ความสามารถของแนวปะการังในการฟื้นตัวจากผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ อยู่ในความเสี่ยงอย่างมาก" กลุ่มนักวิทยาศาสตร์จากองค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) ที่เยี่ยมชมแนวปะการังเมื่อเดือน มี.ค. ที่ผ่านมา ระบุในรายงาน ด้าน"ทันยา พลิเบอร์เซค" รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสิ่งแวดล้อมของออสเตรเลีย กล่าวว่า รัฐบาลจะผลักดันไม่ให้ยูเนสโกกำหนดแนวปะการังให้อยู่ในกลุ่มเสี่ยงอันตราย เพราะการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศกำลังคุกคามแนวปะการังทั้งหมดทั่วโลก ไม่ใช่แค่ที่นี่ที่เดียว "เราจะชี้แจงอย่างชัดเจนต่อยูเนสโกว่า ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเจาะจงมาที่เกรตแบริเออร์รีฟ เหตุผลที่ยูเนสโกในอดีตเลือกเฉพาะพื้นที่ซึ่งมีความเสี่ยงเป็นเพราะว่า ต้องการเห็นการลงทุนของรัฐบาล หรือการดำเนินของรัฐบาลที่มากขึ้น และนับตั้งแต่ที่ออสเตรเลียมีการเปลี่ยนรัฐบาล ทั้งสองสิ่งนั้นก็เกิดขึ้น" พลิเบอร์เซค กล่าว รัฐบาลแคนเบอร์ราพยายามดำเนินการมานานหลายปี เพื่อไม่ให้เกรตแบริเออร์รีฟอยู่ในสถานะเสี่ยงอันตราย เพราะอาจส่งผลให้แนวปะการังสูญเสียการเป็นแหล่งมรดกโลก และลดการดึงดูดนักท่องเที่ยวบางส่วน เมื่อปีที่แล้ว ออสเตรเลียสามารถหลบเลี่ยงไม่ให้ปะการังถูกเพิ่มในรายชื่อตกอยู่ในอันตราย หลังจากความพยายามอย่างหนักของรัฐบาลชุดก่อนหน้า ที่ทำให้ยูเนสโกเลื่อนการตัดสินใจมาเป็นปีนี้ "แนวปะการังเกรตแบร์ริเออร์รีฟ" เป็นแนวปะการังที่ยาวที่สุดในโลก มีความยาวกว่า 2,000 กิโลเมตร อยู่ทางด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศออสเตรเลีย ถือเป็นแนวปะการังที่มีสิ่งมีชีวิตมากมายอาศัยอยู่กันอย่างหนาแน่น มีทั้งปะการังกว่า 350 ชนิด รวมถึงปลาและสิ่งมีชีวิตอีกมากมายกว่า 1,500 ชนิด นับว่าเป็นสวรรค์ของนักดำน้ำเลยทีเดียว แต่ปัจจุบันแนวปะการังแห่งนี้ กำลังอยู่ในภาวะวิกฤติ เพราะมีรายงานว่าในปี 2564 ที่ผ่านมา เป็นปีที่ร้อนที่สุดสำหรับมหาสมุทรโลกและตอนนี้แนวปะการังเกรตแบร์ริเออร์รีฟ กำลังเผชิญกับการฟอกขาวครั้งใหญ่ ซึ่งนับเป็นครั้งที่ 4 แล้วในรอบ 6 ปี โดยการฟอกขาวปะการังครั้งแรกเกิดขึ้นในปี 2541 และอีกครั้งในปี 2545, 2559, 2560 และ 2563 ตามลำดับ สาเหตุสำคัญคือในช่วงฤดูร้อนที่ผ่านมา ออสเตรเลียเผชิญกับอากาศร้อนจัด และทำให้อุณหภูมิของน้ำทะเลสูงกว่าค่าเฉลี่ยประมาณ 2-4 องศา ทำให้ตอนนี้แนวปะการังหลายส่วนเกิดภาวะฟอกขาวและบางส่วนก็ตายไป ซึ่งการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดปะการังฟอกขาว ถ้าหากปะการังโดนแสงแดดมากเกินไป และอุณหภูมิของน้ำทะเลสูงขึ้น แม้จะสูงขึ้นแค่เพียง 1-2 องศาเซลเซียสก็ทำให้ปะการังฟอกขาวได้ เพราะปะการังจะเริ่มเครียด และขับเอาสาหร่ายที่ก่อนหน้านี้อยู่แบบพึ่งพาอาศัยกันออกไป ทำให้ปะการังมีสีขาวซีดและเปราะบาง ในไม่ช้าอาจจะเป็นโรคและตายได้ ด้านมูลนิธิอนุรักษ์ธรรมชาติแห่งออสเตรเลีย ระบุว่า ปรากฏุการณ์ฟอกขาวที่เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศออสเตรเลียอย่างมาก และส่งผลกระทบต่อคนที่รักธรรมชาติแห่งนี้เพราะเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ทะเลมากมาย "เดวิด ริทเตอร์" ผู้บริหารของกรีนพีซ ออสเตรเลีย แปซิฟิก กล่าวว่า เกรต แบร์ริเออร์ รีฟ จะถูกทำลายในอนาคตหากยังไม่หยุดใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล ทั้งถ่านหิน ก๊าซและน้ำมัน และไม่เปลี่ยนผ่านสู่การใช้พลังงานหมุนเวียนให้เร็วกว่านี้ ซึ่งพลังงานหมุนเวียนได้แก่พลังงานลม และพลังงานแสงอาทิตย์ล้วนเป็นทางเลือกที่เสนอคำตอบในการหยุดยั้งไม่ให้อุณหภูมิน้ำทะเลสูงขึ้นมากไปกว่านี้ ซึ่งจะเป็นอันตรายต่อสัตว์น้ำอื่น ๆ และสัตว์น้ำเหล่านี้มีผลต่อความอุดมสมบูรณ์ของแนวปะการัง "แนวปะการังไม่สามารถทนต่อมาตรการการชดเชยคาร์บอนหรือเทคนิคใด ๆได้ ทั้งการสร้างม่านบังแดดยักษ์ให้กับแนวปะการัง หรือการเพาะพันธุ์ปะการังหลอดแก้ว มาตรการเยียวยาเหล่านั้นเป็นเพียงมาตรการปลายทางแต่ไม่ได้ตัดต้นตอของการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อย่างเช่นเผาเชื้อเพลิงฟอสซิล ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญ และเป็นปัญหาที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ" https://www.bangkokbiznews.com/world/1040579
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#3
|
||||
|
||||
|
ขอบคุณข่าวจาก ThaiPBS
"โรคแถบสีเหลือง" ลามปะการังหลายชนิดในอ่าวไทย 1,000 ไร่ ทช.อัปเดตสถานการณ์ "โรคแถบสีเหลือง" พบครั้งแรกทะเลไทย หลังเริ่มลามปะการังหลายชนิดในพื้นที่เกาะขาม จ.ชลบุรี นับ 1,000 ไร่ เร่งประเมินอีก 5 จังหวัดพร้อมเร่งหาทางรับมือสถานการณ์ ![]() วันนี้ (30 พ.ย.2565) นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) เผยภายหลังจากลงดำน้ำเพื่อติดตามการระบาดของโรคปะการังแถบสีเหลือง บริเวณเกาะขามว่า หลังจากที่ได้รับรายงานจากเจ้าหน้าที่ศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอ่าวไทยตอนบนฝั่งตะวันออก (ศวบอ.) เรื่องการสำรวจระบบนิเวศแนวปะการังในปี 2564-2565 ทั้งสิ้น 90 สถานี ครอบคลุม 5 จังหวัด ได้แก่ ตราด จันทบุรี ระยอง ชลบุรี และประจวบคีรีขันธ์ ในบริเวณอ่าวไทยตอนบนและตอนกลาง พบว่าโรคแถบสีเหลืองกระจายตัวอยู่ เฉพาะบริเวณเกาะสัตหีบ-แสมสาร จ.ชลบุรี จำนวน 11 สถานี "ถือเป็นรายงานการพบโรคนี้ครั้งแรกในไทย ปะการังส่วนใหญ่ที่สำรวจพบว่าเป็นโรค ได้แก่ ปะการังโขด และปะการังเขากวาง คิดเป็นร้อยละ 1-10 ของปะการัง" พบพื้นที่เสียหายนับ1,000 ไร่ นายอรรถพล กล่าวว่า จากการรายงานเบื้องต้นของเจ้าหน้าที่ทราบว่า ขณะนี้ได้มีการกระจายตัวของโรคระบาดไปยังปะการังหลายชนิด เช่น ปะการังเขากวาง ปะการังโขด ปะการังลายดอกไม้ ปะการังดอกไม้ ปะการังดอกกะหล่ำ ปะการังวงแหวน ปะการังช่องเล็ก และปะการังช่องเหลี่ยม "ถือว่าการแพร่ระบาดของโรคในแนวปะการังเป็นเรื่องที่ใหญ่พอสมควร จะต้องมีการวางแผนเพื่อศึกษาและแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น เพราะบริเวณที่เกิดการแพร่ระบาดของโรคนั้นมีขนาดของพื้นที่ 1,000 ไร่" อธิบดี ทช.กล่าวว่า ไม่อยากให้ใช้คำว่าโรคระบาด ข้อมูลจากนักวิชาการทช.แจ้งว่า การระบาดที่เกิดขึ้นเป็นสาเหตุมาจากเชื้อแบคทีเรียกลุ่ม Vibrio ซึ่งปะการังแต่ละชนิด ก็จะเป็นแบคทีเรียที่แตกต่างกัน หลังจากนี้ ทช.จะหารือร่วมกับทุกภาคส่วน เพื่อศึกษาและเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต พร้อมทั้งนำเรื่องเข้าสู่กลไกของคณะกรรมการนโยบายและแผนการบริหารจัด การทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งแห่งชาติ เพื่อพิจารณาและกลั่นกรองร่วมกันในการทำงานร่วมกับทุกภาคส่วน ประกอบด้วย กองทัพเรือ จังหวัด องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้ประกอบการ ภาคเอกชน สถาบันการศึกษา และประชาชน เพื่อร่วมกันอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง อีกทั้งช่วยกันสอดส่องดูแลไม่ให้เกิดผลกระทบที่รุนแรงต่อทรัพยากรปะการัง "จะมีการกำหนดขอบเขตเพื่อเตรียมประกาศพื้นที่คุ้มครอง พร้อมทั้งหารือร่วมกับอาสาสมัครพิทักษ์ทะเล เพื่อหาทางออกหลังจากที่แปลงเพาะปลูกปะการังได้รับผลกระทบจากการติดเชื้อแบคทีเรีย" https://www.thaipbs.or.th/news/content/322085
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
![]() |
| คำสั่งเพิ่มเติม | |
| เรียบเรียงคำตอบ | |
|
|