![]() |
|
|
|
#1
|
||||
|
||||
|
ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการออนไลน์
ห่วงช่วงท่องเที่ยวทำ "ขยะ" ล้น ย้ำ "คัด-แยก-ลด" เอามาเองได้ ก็ควรเอากลับไปเองได้ กรมอนามัยห่วงช่วงเทศกาลท่องเที่ยว คนแห่ไปเที่ยวเยอะ ก่อขยะมหาศาล ย้ำ "คัด-แยก-ลด" ป้องกันขยะล้นแหล่งท่องเที่ยว ร่วมดูแลสิ่งแวดล้อม เน้นใช้วัสดุใช้ซ้ำได้ นำของเข้ามาแล้วควรนำออกไปด้วย ![]() เมื่อวันที่ 10 ธ.ค. นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า ช่วงเทศกาลท่องเที่ยวที่มีเดินทางไปแหล่งท่องเที่ยวในอุทยานแห่งชาติ ทั้งทางบกและทางทะเล รวมถึงสถานที่อื่นๆ ส่งผลให้มีปริมาณขยะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จากข้อมูลของกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช พบว่า ปริมาณขยะมูลฝอยช่วงปี 2564 มีประมาณ 1,864 ตัน เป็นขยะอินทรีย์มากที่สุด 737.58 ตัน หรือ 39.56% ขยะทั่วไป 722.26 ตัน หรือ 39.33% ขยะรีไซเคิล เช่น ขวดแก้ว แก้ว และขวดพลาสติก 291.26 ตันหรือ 15.62% ขยะอันตราย 59.47 ตัน หรือ 3.19% และขยะอื่นๆ 42.95 ตัน หรือ 2.3% เมื่อแยกเป็นขยะพลาสติก ได้แก่ ถุงพลาสติกหูหิ้ว 812,591 ใบ แก้วพลาสติกใช้ครั้งเดียวทิ้ง 208,179 ใบ และโฟมบรรจุอาหาร จำนวน 31,301 ใบ จากข้อมูลทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งทะเลปี 2564 พบว่า ขยะตกค้างชายฝั่ง มากที่สุด คือ ขวดเครื่องดื่มพลาสติก ถุงพลาสติก เศษโฟม ขวดเครื่องดื่ม แก้ว ถุงก๊อปแก๊ป ถุงอาหาร เศษพลาสติก เสื้อผ้า รองเท้า เครื่องประดับ แว่นตา และสร้อยคอ กล่องอาหาร กล่องโฟม และกระป๋องเครื่องดื่ม คิดเป็น 73% ของขยะทั้งหมด ส่วนที่เหลือเป็นขยะประเภทอื่นๆ 27% นอกจากนี้ ประเทศไทยยังติดอันดับ 1 ใน 10 ประเทศที่ทิ้งขยะพลาสติกลงทะเลมากที่สุดในโลก โดยมีปริมาณมากถึง 22.8 ล้านกิโลกรัม ส่งผลเสียต่อธรรมชาติ เช่น หาดทราย แนวปะการัง ขยะบางประเภทยังเป็นพิษต่อสิ่งแวดล้อมหรือส่งผลต่อระบบนิเวศและห่วงโซ่อาหาร เช่น โฟม พลาสติก เมื่อสัตว์กินเข้าไปจะเกิดอันตรายและตายในที่สุด .ขอความร่วมมือนักท่องเที่ยวช่วยกันดูแลรักษาสภาพแวดล้อม และช่วยกันลดปริมาณขยะ โดย 1. คัดแยกและทิ้งขยะลงในถังหรือภาชนะที่จัดไว้ เลือกใช้ภาชนะที่ทำจากวัสดุธรรมชาติแทนกล่องโฟมและถุงพลาสติก หากนำสิ่งที่จะก่อให้เกิดขยะเข้าในแหล่งท่องเที่ยว ควรเก็บคืนออกมาให้มากที่สุด และ 2. ลดปริมาณการนำเข้าขยะ โดยใช้วัสดุอุปกรณ์ที่นำกลับมาใช้ซ้ำได้ เช่น จาน ชาม ช้อน แก้ว โดยนำมาเอง นอกจากนี้ ระวังการก่อไฟเผาขยะในบริเวณแหล่งท่องเที่ยว เพราะจะทำให้เกิดมลพิษและเกิดไฟไหม้. นพ.สุวรรณชัยกล่าว https://mgronline.com/qol/detail/9650000117460 ****************************************************************************************************** ยังน่าห่วง โลกร้อน! 'อาจารย์ธรณ์' โชว์สภาพปะการังฟอกขาว ที่หินต่อยหอย ระยอง หลังผ่านมา 18 เดือน ![]() ผศ.ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านนิเวศทางทะเล และรองคณบดีคณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก Thon Thamrongnawasawat แจ้งผลสภาพของปะการังฟอกขาว หลังผ่านไป 18 เดือน "สภาพของปะการังเป็นอย่างไรบ้าง ? นั่นคือโจทย์ที่ผมอยากรู้เช่นกันว่าผลกระทบจากภาวะโลกร้อนนั้นเป็นอย่างไร" (ดูภาพจากโดรนครั้งแรกที่เห็นปะการังฟอกขาว เมื่อ 3 มิถุนายน 2564) เป็นการเริ่มโครงการระยะยาวโดยคณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ /กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง / ปตท.สผ. ในการใช้โดรน/การสำรวจภาคสนามทำแผนที่ปะการังที่หินต่อยหอย ระยอง นับตั้งแต่เกิดฟอกขาวกลางปี 2564 เราไปทุก 3 เดือนครับ จึงทำไทม์ไลน์ สรุปให้เพื่อนธรณ์ได้ ก่อนหน้านั้น - ปะการังสุขภาพสมบูรณ์ ไม่มีหัวปะการังตาย เพราะน้ำร้อน/ฟอกขาว - ปะการังฟอกเกิน 80% หัวปะการังก้อนตายเยอะ (ดูภาพ) 3 เดือน - น้ำจืดลงทะเล สาหร่ายสีเขียวขึ้นบนหัวปะการัง 6 เดือน - สาหร่ายเยอะมาก ทำให้ปะการังโทรม 9 เดือน - สาหร่ายหายไป แต่หัวปะการังยังคงตาย 12 เดือน - น้ำร้อนอีกครั้ง แต่ฟอกขาวเบากว่าปี 63 15 เดือน - น้ำจืดปีนี้ลงเยอะมาก ปะการังโทรมจากน้ำจืด แต่ไม่มีสาหร่ายเท่าปีก่อน 18 เดือน - ล่าสุด วันนี้ ปะการังขนาดเล็กหลายชนิดเริ่มฟื้น ดูดี แต่ปะการังก้อนที่หัวตายยังคงไม่ฟื้น อย่างไรก็ตาม หากไม่มีน้ำร้อนซ้ำในกลางปีหน้า น่าจะดูดีขึ้น ปัจจัยสำคัญจากผลกระทบโลกร้อน คือ - น้ำร้อนผิดปรกติเกิดถี่ขึ้นแทบทุกปี ปะการังยังไม่ทันฟื้นก็ฟอกขาวใหม่ - ฝนตกหนักในช่วงสั้นๆ มวลน้ำจืดขนาดใหญ่ไหลลงทะเลพุ่งมาถึงหินต่อยหอย ความเค็มเปลี่ยนฉับพลัน ปะการังโทรม สัตว์ทะเล เช่น เม่นทะเล ตายจำนวนมาก ทำให้ไม่มีผู้ควบคุมสาหร่ายในช่วงนั้น - ปะการังอาจไม่ตาย แต่อ่อนแอลง เป็นโรคต่างๆ ได้ง่ายขึ้น นั่นคือข้อมูลที่หินต่อยหอย แนวปะการังกลางทะเลที่น้ำหมุนเวียนดี แต่ถ้าเป็นที่เกาะมันใน แนวปะการังในเขตน้ำตื้นจะเป็นอย่างไรบ้าง ? ช่วงนี้น้ำลงกลางคืน ต้องรอให้เย็นสุดถึงลงไปดู/สำรวจโดรน จะรีบสรุปและนำมารายงานเพื่อนธรณ์ เพราะทุกคนรู้ว่าโลกร้อนส่งผลกระทบรุนแรงต่อระบบนิเวศ แต่เรายังขาดความเข้าใจว่าเสียหายแค่ไหน มีหลักฐานยืนยันไหม ? นั่นคือเป้าหมายหลักของคณะประมงที่จะตามรอยปะการังยุคโลกร้อนไปเรื่อยๆ ให้นานที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ เพราะในอนาคตเมื่อมีกองทุน loss & damage (COP27) มีนั่นมีนี่ เราจะได้ตามโลกได้ทัน "สำคัญกว่านั้นคือเราจะได้ปรับแผนรับมือความเสียหายที่เกิดขึ้น ช่วยเหลือพี่น้องคนทะเลที่ทำมาหากินทั้งท่องเที่ยวทั้งประมงและช่วยย้ำเตือนว่า ก๊าซเรือนกระจกจากมนุษย์กำลังทำร้ายทะเลแสนสาหัส ถ้าไม่ช่วยกัน เราก็ไม่มีทางออก จึงเป็นหน้าที่ของนักวิทยาศาสตร์ทางทะเลที่ต้องบอกซ้ำๆ ย้ำเตือนกันเรื่อยไป เหนื่อยไม่ได้ ท้อไม่ได้ เพราะภารกิจมันยิ่งใหญ่เหลือหลายครับ" หมายเหตุ การสำรวจบริเวณที่เรียกว่า "หินต่อยหอย" คือแนวปะการังกลางน้ำใกล้เกาะมันใน ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีปะการังดีที่สุดแห่งหนึ่งในจังหวัดระยอง https://mgronline.com/greeninnovatio.../9650000117418
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#2
|
||||
|
||||
|
ขอบคุณข่าวจาก ThaiPBS
"อ่าวมาหยา" กับแผนฟื้นฟูธรรมชาติให้ยั่งยืน ![]() ช่วง 3 ปี 6 เดือนที่อุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี จ.กระบี่ ประกาศปิดอ่าว และฟื้นฟูแนวปะการังหน้าหาดใหม่ ทำให้ปะการังและทรัพยากรธรรมชาติกลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง แสงอาทิตย์สุดท้ายก่อนลาลับ สลับกับทิวเขาสูง ตัดกับขอบน้ำทะเลและผืนหาดทรายขาวที่ทอดยาวในหุบเขา คล้ายแอบซ้อนความงดงามรอให้ผู้คนมาสัมผัส เป็นภาพความสวยงามของอ่าวมาหยา จ.กระบี่ ที่รู้จักทั่วโลก โดยเฉพาะเมื่ออ่าวแห่งนี้ถูกเลือกใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง เดอะบีช เมื่อปี 2542 แต่การเข้ามาเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อมของอ่าวมาหยาทำที่นี่บอบช้ำ ผ่านมากว่า 23 ปี หลังการต่อจนชนะสู้คดี และบทเรียนครั้งนั้นทำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาเยียวยาอ่าวมาหยา โดยเฉพาะในช่วง 3 ปี 6 เดือน ที่อุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี ได้ประกาศปิดอ่าวเพื่อฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติ ตั้งแต่วันที่ 1 มิ.ย.2561 วันนี้อ่าวมาหยาเหมือนสาวน้อยที่ตื่นขึ้นจากหลับใหล น้ำทะเลที่ใสสะท้อนจนเห็นพื้นด้านล่าง คล้ายกระจก สอดสลับกับสีสันของปะการังที่เติบโตขึ้นใต้ผืนน้ำ สัตว์น้ำน้อยใหญ่ อย่างฉลามหูดำ ว่ายน้ำอวดสายตานักท่องเที่ยวทั้งต่างชาติและคนไทย ที่ได้เข้ามาสัมผัสความงดงามของอ่าวมาหยาอีกครั้ง นักท่องเที่ยวชาวรัสเซียระบุว่า แม้จะเคยเดินทางมาในไทยแล้วหลายครั้ง แต่นี้เป็นครั้งแรกที่ตนเองและเพื่อนมาที่อ่าวมาหยา และประทับอย่างมาก ธรรมชาติที่สวยงามซึ่งค่อย ๆ ฟื้นตัวอวดสายตาชาวโลก ทำให้อ่าวมาหยา กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ใครหลายคนอยากมาสัมผัส ทางอุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี จึงต้องเข้ามาบริการจัดการ เพื่อป้องกันนักท่องเที่ยวล้นหาด กำหนดให้มาเที่ยวตั้งแต่ 07.00 - 18.00 น. รอบละ 375 คน แต่ละรอบอยู่ในอ่าวมาหยาได้ไม่เกินคนละ 1 ชั่วโมง และไม่อนุญาตให้เรือโดยสารเข้ามาจอดหน้าหาดอีกแล้ว แต่ให้ไปจอดเทียบท่าที่ท่าเรือโล๊ะซามะแทน รวมถึงห้ามนักท่องเที่ยวเล่นน้ำโดยเด็ดขาด เพื่อป้องกันผลกระทบต่อแนวปะการัง ปัจจุบัน มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาที่อ่าวมาหยาเฉลี่ยวันละ 4,125 คน ซึ่งเต็มจำนวนที่อ่าวมาหยาจะรองรับได้ โดยผู้ที่จะมาเที่ยวอ่าวมาหยา จะต้องจองคิวล่วงหน้าผ่านแอปพลิเคชัน QueQ เท่านั้น และจะต้องปฏิบัติตามกฎของอุทยานฯ โดยผู้ที่ฝ่าฝืนจะมีโทษปรับ 5,000 บาท ก่อนหน้านี้ อุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี ได้ทำความเข้าใจกับผู้ประกอบการนำเที่ยว และนักท่องเที่ยวถึงความจำเป็นที่จะต้องวางกฎระเบียบให้เข้มงวดขึ้น เพื่อรักษาความสมบูรณ์ของอ่าวมาหยา ที่ผ่านการพักฟื้นอย่างเต็มที่ไว้ให้นานที่สุด https://www.thaipbs.or.th/news/content/322433
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
![]() |
| คำสั่งเพิ่มเติม | |
| เรียบเรียงคำตอบ | |
|
|