เลือกสีตามสไลต์ที่คุณชอบ:
SaveOurSea.NET  

กลับไป   SaveOurSea.NET > สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม

 
 
Share คำสั่งเพิ่มเติม เรียบเรียงคำตอบ
Prev คำตอบที่แล้วมา   คำตอบถัดไป Next
  #4  
เก่า 03-02-2023
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,809
Default

ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการออนไลน์


ฟักตัวออกจากไข่คลานสู่ทะเลอีก 75 ตัว "ลูกเต่ามะเฟือง"

พังงา - ลูกเต่ามะเฟืองรังที่ 3 ฟักตัวออกจากไข่คลานลงสู่ทะเลอีก 75 ตัว ในพื้นที่จังหวัดพังงา



วันนี้ (2 ก.พ.) สำนักงานทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ 6 โดยส่วนส่งเสริมและประสานงานเครือข่ายทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ศูนย์อนุรักษ์ทรัพยากรป่าชายเลนที่ 9 (บางวัน พังงา) และ 10 (ตะกั่วป่า พังงา) พร้อมด้วย นายหิรัญ กังแฮ นักวิชาการประมง จากศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งทะเลอันดามันตอนบน (ศวอบ.) ร่วมกันติดตามสถานการณ์หลุมฟักไข่เต่ามะเฟือง หลังตรวจพบการยุบตัวของปากหลุมรังฟักไข่รังที่ 3 ตั้งแต่เวลา 03.30 น. ของวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2566 เจ้าหน้าที่ได้เฝ้าติดตามอย่างใกล้ชิด พบปากหลุมได้ยุบตัวมากขึ้นเรื่อยๆ จนถึงวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2566 เวลา 00.00 น. ลูกเต่ามะเฟืองได้ทยอยขึ้นปากหลุมอย่างต่อเนื่อง

เจ้าหน้าที่รอสักพักไม่มีลูกเต่ามะเฟืองขึ้นมา จึงได้ช่วยเปิดปากหลุม และขุดช่วยเหลือลูกเต่ามะเฟืองที่ฟักออกจากไข่ขึ้นมาจากหลุม นำไปปล่อยลงสู่ทะเล จำนวน 73 ตัว นำไปอนุบาลที่ ศวอบ. จำนวน 25 ตัว ไข่เต่ามะเฟืองไม่มีน้ำเชื้อ จำนวน 16 ฟอง และลูกเต่ามะเฟืองตายแรกคลอด จำนวน 5 ตัว คิดเป็นอัตราการฟัก 87% อัตราการรอดตาย 95% ซึ่งรังไข่เต่ามะเฟืองรังที่ 3 เป็นรังที่ตรวจพบเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2565 จำนวนไข่ 119 ฟอง นับเป็นวันที่ 57 หลังจากที่พบแม่เต่ามะเฟืองขึ้นมาวางไข่


https://mgronline.com/south/detail/9660000010450


******************************************************************************************************


ทช.-ธนาคารโลกร่วมฟังเสียงชาว "กระบี่" ก่อนตอกเข็มสะพานเชื่อมเกาะลันตาปลายปี 66

ทางหลวงชนบทนำผู้แทนธนาคารโลกลงพื้นที่รับฟังความคิดเห็นประชาชนชาวกระบี่ เดินหน้าสร้างโครงการสะพานเชื่อมเกาะลันตาปลายปี 2566



นายวีรเดช ชีวาพัฒนานุวงศ์ วิศวกรใหญ่กรมทางหลวงชนบท (ทช.) และนายดำรงศักดิ์ คงช่วย รักษาราชการแทนผู้อำนวยการสำนักงานทางหลวงชนบทที่ 14 นำ คณะผู้แทนธนาคารโลก (World Bank) และผู้แทนสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลัง ลงพื้นที่ประชุมหารือและรับฟังความคิดเห็นประชาชนใน "โครงการสะพานเชื่อมเกาะลันตา" ตำบลเกาะกลาง-ตำบลเกาะลันตาน้อย อำเภอเกาะลันตา จังหวัดกระบี่ ณ มัสยิดบ้านคลองหมาก อำเภอเกาะลันตา โดยมีตัวแทนจากผู้ประกอบการเดินเรือข้ามฟาก องค์การบริหารส่วนจังหวัดกระบี่ ผู้นำชุมชนชาวอูรักลาโว้ย ผู้นำชาวประมงบ้านหัวหิน นายนพรัตน์ ศรีพรหม นายอำเภอเกาะลันตา ส่วนราชการในพื้นที่ นายฮัจยี สวาสดิ์ หมั่นเพียร อีหม่ามมัสยิดสามัคคี บ้านคลองหมาก และผู้อุทิศที่ดิน เข้าร่วมประชุมและแสดงความคิดเห็น

ซึ่งประชาชนในพื้นที่เห็นด้วยกับการก่อสร้างสะพาน เพราะเป็นเรื่องที่ดีสำหรับเกาะลันตาซึ่งจะช่วยลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางของประชาชน รวมถึงส่งผลดีในด้านการท่องเที่ยวจากการเดินทางที่สะดวก ช่วยส่งเสริมการเข้าถึงระบบการศึกษาในพื้นที่ การเข้าถึงระบบสาธารณสุขและการรักษาพยาบาลอย่างรวดเร็ว ส่วนในด้านผลกระทบสิ่งแวดล้อมประชาชนในพื้นที่ไม่ได้กังวลมากนักเพราะมีการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมเรียบร้อยแล้ว

ปัจจุบันเกาะลันตามีศักยภาพในการพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยว แต่พบปัญหาการเดินทางและการขนส่งที่ล่าช้า เนื่องจากมีทางเข้าออกเพียงทางเดียวและใช้เวลาเดินทางจากแผ่นดินใหญ่มายังเกาะลันตาน้อยนาน 1-2 ชั่วโมง นอกจากนี้เมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินในช่วงกลางคืนต้องเหมาแพขนานยนต์ ส่งผลให้เกิดความยากลำบากในการเดินทางของประชาชนในพื้นที่

ดังนั้น กรมทางหลวงชนบทจึงได้ดำเนินการตามนโยบายนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ในการอำนวยความสะดวกและปลอดภัยในการเดินทางให้แก่ประชาชน โดยได้ดำเนินการโครงการก่อสร้างสะพานเชื่อมเกาะลันตา เชื่อมต่อแผ่นดินใหญ่กับเกาะลันตาน้อย โดยมีจุดเริ่มต้นจากทางหลวงหมายเลข 4206 กม.ที่ 26 + 620 ตำบลเกาะกลาง ไปบรรจบกับทางหลวงชนบท กบ.5035 ตำบลเกาะลันตาน้อย อำเภอเกาะลันตา จังหวัดกระบี่ รวมระยะทางทั้งสิ้น 2.240 กิโลเมตร

ปัจจุบันออกแบบแล้วเสร็จ และผ่านการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) มีวงเงินค่าก่อสร้าง 1,800 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินกู้ต่างประเทศ 1,260 ล้านบาท (70%) และงบประมาณ 540 ล้านบาท (30%) คาดว่าจะเริ่มดำเนินการก่อสร้างได้ในช่วงปลายปี พ.ศ. 2566 และจะแล้วเสร็จเปิดใช้งานได้ในปี พ.ศ. 2569


https://mgronline.com/business/detail/9660000010168


******************************************************************************************************


ตะลึง! ปริมาณไมโครพลาสติกในทะเล สะท้อนโลกลดพลาสติกใช้แล้วทิ้งไม่ได้



งานวิจัยเมื่อไม่นานนี้ ตีพิมพ์ในวารสาร Environmental Science and Technology จากการเก็บตัวอย่างดินตะกอนในทะเลพบว่าไมโครพลาสติก ที่ระดับความลึกกว่า 100 เมตร มีปริมาณสะสมเพิ่มขึ้นถึง 3 เท่า ในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา ตอกย้ำถึงการแก้ปัญหาการใช้พลาสติกแล้วใช้แล้วทิ้ง ที่ยังเป็นปัญหาใหญ่ด้านสิ่งแวดล้อมของโลก

ไมโครพลาสติกในทะเลลึก เกิดจากขยะพลาสติกที่แตกตัวจนมีขนาดเล็กกว่า 0.5 เซนติเมตร เนื่องจากต้องใช้เวลาย่อยสลายถึง 400 ปี การถูกสะสมมากขึ้นส่วนหนึ่งถูกส่งต่อผ่านห่วงโซ่อาหาร และกลับคืนสู่มนุษย์ผ่านการบริโภคอาหารทะเล

งานวิจัยชิ้นนี้ทำการเก็บตัวอย่างจากดินตะกอนในทะเล Balearic ทางตะวันออกของสเปนและทางใต้ของฝรั่งเศส เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2019 พบหลักฐานว่าปริมาณไมโครพลาสติกจากการแตกตัวของขยะพลาสติก บริเวณก้นทะเลมีปริมาณเพิ่มขึ้นถึง 3 เท่าในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา และความพยายามในปัจจุบันยังไม่ประสบความสำเร็จในการลดปริมาณพลาสติกใช้แล้วทิ้ง

"เศษพลาสติกชิ้นเล็กๆ ซึ่งเล็กกว่าที่ตามนุษย์มองเห็นได้ ก่อตัวขึ้นบนพื้นทะเลที่ความลึกมากกว่า 100 เมตร ซึ่งผลการศึกษานี้สะท้อนถึงปริมาณผลิตภัณฑ์พลาสติกที่เพิ่มขึ้นในสังคมโลก เช่น บรรจุภัณฑ์ ขวด และเสื้อผ้า ฯลฯ มันแสดงให้เห็นว่าโลกยังห่างไกลจากการลดการใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว" นักวิทยาศาสตร์ในทีมวิเคราะห์กล่าว

สำหรับทีมนักวิจัยประกอบด้วยผู้ที่มาจาก Universitat Aut?noma de Barcelona (ICTA-UAB) ในสเปน และ Department of the Built Environment of Aalborg University (AAU-BUILD) ในเดนมาร์ก

พวกเขากล่าวว่าปริมาณของไมโครพลาสติกที่พบฝังอยู่ในพื้นทะเลนั้นเลียนแบบการผลิตพลาสติกทั่วโลกตั้งแต่ปี 1965-2016 (พ.ศ.2508-2559)

นักวิจัย Laura Simon-S?nchez กล่าวว่า "โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่า ตั้งแต่ปี 2000 ปริมาณของอนุภาคพลาสติกที่สะสมอยู่ที่ก้นทะเลเพิ่มขึ้นเป็นสามเท่า และการสะสมยังไม่หยุดเติบโต ซึ่งไม่ได้ลดลงเลย นับเป็นการเลียนแบบการผลิตและการใช้ทั่วโลกของวัสดุเหล่านี้'

"ที่น่าเป็นห่วงคือ พลาสติกชิ้นเล็ก ๆ นั้นยังคงไม่เปลี่ยนแปลงตั้งแต่ถูกทิ้งครั้งแรกเมื่อหลายสิบปีก่อน เมื่อติดอยู่ในก้นทะเลแล้ว พวกมันจะไม่ย่อยสลายอีกต่อไป ไม่ว่าจะเพราะขาดการกัดเซาะ ออกซิเจน หรือแสง"

"เมื่อทับถมแล้ว การย่อยสลายจะน้อยมาก ดังนั้นพลาสติกจากทศวรรษที่ 1960 จึงยังคงอยู่ที่ก้นทะเล ทิ้งร่องรอยมลพิษของมนุษย์ไว้ที่นั่น" นักวิทยาศาสตร์กล่าว

Michael Grelaud ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของทีมวิจัยกล่าวเสริมว่า "สิ่งนี้ทำให้เราเห็นว่าตั้งแต่ทศวรรษ 1980 เป็นต้นมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา การสะสมของอนุภาคโพลีเอทิลีนและโพลีโพรพีลีนจากบรรจุภัณฑ์ ขวด และฟิล์มอาหาร เพิ่มขึ้นเช่นเดียวกับโพลีเอสเตอร์จากใยสังเคราะห์ในผ้าทอเสื้อผ้า'

พวกเขาพบว่าโพรพิลีน ส่วนใหญ่ใช้สำหรับบรรจุภัณฑ์ มีปริมาณมากที่สุดเมื่อรวมกันแล้ว อนุภาคทั้งสามประเภทที่แตกต่างกันมีน้ำหนักสูงสุด 1.5 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม ซึ่งพบในส่วนบนของแกนกลางตะกอน ซึ่งเป็นตัวแทนของปีล่าสุด

ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของไมโครพลาสติกยังไม่เป็นที่เข้าใจอย่างถ่องแท้ แม้ว่าจะมีการพิสูจน์แล้วว่าพลาสติกชิ้นเล็กๆ สามารถปนเปื้อนทั้งอาหารและน้ำได้

ทั้งนี้การวิจัยก่อนหน้านี้ประเมินว่ามีไมโครพลาสติกมากถึง 14 ล้านตันอยู่บนพื้นทะเล โดยมลพิษพลาสติกจะไปถึงน้ำแข็งในทะเลรอบแอนตาร์กติกาและแม้แต่บริเวณร่องลึกก้นสมุทรมาเรียนา (Mariana Trench) ที่ลึกที่สุดในโลก


https://mgronline.com/greeninnovatio.../9660000010369

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
 

คำสั่งเพิ่มเติม
เรียบเรียงคำตอบ

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 19:20


vBulletin รุ่น 3.8.10
สงวนลิขสิทธิ์ ©2000-2025, บริษัท Jelsoft Enterprises จำกัด
Ad Management plugin by RedTyger