![]() |
|
|
|
#1
|
||||
|
||||
|
ขอบคุณข่าวจาก ไทยรัฐ
อ.ธรณ์ เผย แหล่งหญ้าทะเลลึกลับ ณ "เกาะท่าไร่" เรียลอันซีนของนครศรีธรรมราช เลคเชอร์ทะเลไทย อ.ธรณ์ เผย แหล่งหญ้าทะเลลึกลับขนาดใหญ่ ณ "เกาะท่าไร่" เรียลอันซีนของนครศรีธรรมราช สำคัญมากต่อโลมาและการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ ![]() วันที่ 29 มิถุนายน 2566 ผศ.ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ นักวิทยาศาสตร์ทางทะเล และอาจารย์ประจำภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวถึงกรณี "แหล่งหญ้าทะเลลึกลับ" ที่อยู่ในประเทศไทย โดยระบุข้อความว่า ใกล้เย็นย่ำ ถึงเวลาเลคเชอร์ทะเลไทยกับอาจารย์ธรณ์ วันนี้ผมจะพาพวกเราไปพบกับแหล่งหญ้าทะเลลึกลับ ถือเป็นเรียลอันซีนของนครศรีธรรมราช เชื่อว่าเด็กคอนหลายคนยังไม่รู้จักด้วยซ้ำครับ ชายฝั่งนครศรีธรรมราชยาว 237 กม. แต่มีแหล่งหญ้าทะเลขนาดใหญ่เพียงแห่งเดียว ผมจึงพาทีมบลูคาร์บอน/สัตว์หายากของคณะประมงมาสำรวจ ที่นี่เรียกว่า "เกาะท่าไร่" อยู่บนรอยต่อสุราษฎร์/นคร บริเวณดอนสัก/ขนอม ในภาพจะมองเห็นท่าเรือเฟอร์รี่ดอนสักไปเกาะสมุยอยู่ถัดไป ในอ่าวนางกำที่พบโลมาเป็นประจำ เมื่อเทียบกับสุราษฎร์แล้ว นครมีหญ้าทะเลน้อยกว่ามาก แต่มีแห่งเดียวก็ยืนหนึ่งได้ เพราะที่นี่มีพื้นที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ นับแต่ปี 2539 มีรายงาน 14 ไร่ มาถึงปี 63 กรมทะเลพบหญ้า 80 ไร่ (พื้นที่ศักยภาพ 146 ไร่) ปัญหาคือแถวนี้น้ำขุ่นมาก ดำน้ำสำรวจแทบไม่เห็น จึงต้องรอจังหวะน้ำลงต่ำแล้วสำรวจทางอากาศ ลองดูภาพเพื่อนธรณ์จะเห็นแนวดำคล้ำยาวเลียบฝั่ง พวกนั้นคือหญ้าทะเลทั้งหมด ไม่ใช่แนวปะการังเพราะขุ่นและพื้นเป็นเลน หญ้าชนิดหลักคือหญ้าคาทะเล มีหญ้าขนาดเล็กพันธุ์อื่นปะปนอยู่บ้าง เคยมีรายงานว่าพบร่องรอยของพะยูนเข้ามากินหญ้าแถวนี้ พะยูนในอ่าวบ้านดอนมี 5+ ตัว พบตั้งแต่ไชยาลงมาถึงแถวนี้ ยังเคยมีรายงานตามเกาะต่างๆ ที่มีหญ้าทะเลเยอะ เช่น เกาะพะงัน ที่สำคัญคือแม่ลูก 1 คู่ เพิ่งสำรวจพบเมื่อไม่นานมานี้ ว่ายอยู่แถวนี้แหละ โตเร็วๆ นะน้องพะยูน แต่ที่มีแน่และว่ายอยู่ใกล้ๆ เป็นประจำคือโลมาหลังโหนก (โลมาสีชมพู) ตอนผมไปสำรวจก็ว่ายอยู่แถวท่าเฟอร์รี่ เรียกว่าแทบเป็นแหล่งที่พบโลมาบ่อยสุดในชายฝั่งแถบนี้ หญ้าทะเลเป็นระบบนิเวศที่มีสัตว์น้ำอยู่เยอะมากแม้จะไม่หลากหลายเท่าแนวปะการัง ปลาต่างๆ จากแหล่งหญ้าเกาะท่าไร่ก็ว่ายออกไปอยู่บริเวณอ่าวติดกัน ทำให้โลมาชอบ เมื่อดูจากภัยคุกคาม บนเกาะไม่มีปัญหาเนื่องจากไม่มีใครอยู่ ยังเป็นเขตอุทยานขนอม/หมู่เกาะทะเลใต้ (เตรียมประกาศมานานแสนนาน) ปัญหาอาจมาจากการพัฒนาชายฝั่งใกล้ๆ และการขุดลอกร่องน้ำในอนาคต ถ้าหากจำเป็นต้องระวังให้มาก เพราะภัยคุกคามอันดับหนึ่งของหญ้าทะเลในเมืองไทยคือเรื่องนี้แหละ สำหรับผลกระทบจากโลกร้อนเหมือนที่เกิดกับแหล่งหญ้าบางแห่ง เท่าที่สำรวจยังไม่พบชัดเจน การสะสมของทรายจากคลื่นลมก็ไม่ค่อยมีเพราะเป็นพื้นที่อับลม หญ้าส่วนใหญ่อยู่ที่ลึกหน่อยเมื่อเทียบกับตามเกาะ ทำให้ไม่ค่อยโผล่พ้นน้ำโดนแดดเผา ทราบมาว่าชาวบ้านมีเครือข่ายอนุรักษ์ ช่วยกันดูแลไม่ให้มีการประมงที่โหดร้ายต่อหญ้าทะเลมากเกินไป ซึ่งนั่นเป็นเรื่องดีมากครับ เพราะแหล่งหญ้าเกาะท่าไร่นอกจากเป็นแหล่งใหญ่แห่งเดียวของนคร ยังสำคัญมากต่อน้องโลมาและการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ แม้แทบไม่ค่อยมีคนรู้จัก แต่ถ้าให้ผมจัดลำดับความสำคัญด้าน Ecosystem Service ที่นี่ได้แรงก์ A แน่นอน จุดเด่นคือหายาก ทั้งจังหวัดมีแห่งเดียว เป็นที่หากินของพะยูน เกี่ยวข้องกับโลมา เป็นพื้นฐานของรายได้สำหรับชาวบ้าน ทั้งการประมงและการท่องเที่ยว จึงฝากเกาะท่าไร่ไว้ให้คนนครดูแล ขอให้เป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ก็พอแล้ว อย่าให้มีการพัฒนาใดๆ มาคุกคามเกินเหตุ เพราะถ้าเกิดแบบนั้นแล้ว บอกเลยว่าฟื้นฟูยาก ปลูกหญ้าทะเลไม่ง่ายแน่นอน จะวัดผลกันก็ต้องผ่านเวลาไป 3 ปีว่ารอดขนาดไหนจะเล่าเรื่องบลูคาร์บอนและการฟื้นฟูหญ้าทะเลให้เพื่อนธรณ์ฟังแบบยาวๆ อีกครั้ง แต่ตอนนี้ขอฝากแหล่งหญ้าทะเลเกาะท่าไร่ไว้ในอ้อมใจคนนครและคนไทยครับ. https://www.thairath.co.th/news/local/2705741
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#2
|
||||
|
||||
|
ขอบคุณข่าวจาก เดลินิวส์
นักวิจัยเผย โลกร้อนขึ้น 1 องศาเซลเซียส ทำให้ฝนตกหนักขึ้น 15% นักวิจัยหลายคนกล่าวว่า ภาวะโลกร้อนทำให้ฝนตกหนักขึ้น ตามระดับความสูงที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ประชากรราว 2,000 ล้านคน ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ภูเขา หรือปลายน้ำที่ไหลจากภูเขา มีความเสี่ยงที่จะเผชิญอุทกภัยและดินถล่มมากขึ้น ![]() สำนักข่าวเอเอฟพี รายงานจากกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 29 มิ.ย. ว่า รายงานในวารสาร Nature ระบุว่า อุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นทุกองศาเซลเซียส จะเพิ่มความหนาแน่นของฝนตกหนักขึ้น 15% ที่ระดับความสูงมากกว่า 2,000 เมตร และความสูงที่เพิ่มขึ้นทุก ๆ 1,000 เมตร จะเพิ่มปริมาณน้ำฝนอีก 1% หรืออีกนัยหนึ่งคือ หากโลกร้อนขึ้น 3 องศาเซลเซียส เหนือระดับก่อนยุคอุตสาหกรรม มันจะมีความเป็นไปได้ของการเกิดอุทกภัยที่รุนแรงกว่าเดิมเกือบครึ่งหนึ่ง ผู้เขียนรายงานกล่าวเตือนว่า การค้นพบดังกล่าวเน้นย้ำถึงความเปราะบางของโครงสร้างพื้นฐาน ที่ไม่ได้ออกแบบมาให้ทนต่อเหตุการณ์น้ำท่วมรุนแรง ขณะที่รายงานของคณะกรรมการระหว่างรัฐบาล ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งสหประชาชาติ (ไอพีซีซี) ระบุเสริมว่า จากแนวโน้มในปัจจุบัน โลกจะร้อนขึ้น 2.8 องศาเซลเซียส ภายในสิ้นศตวรรษนี้ งานศึกษาชิ้นใหม่ ซึ่งอ้างอิงจากข้อมูลในช่วง 70 ปีที่ผ่านมา และการประมาณการตามแบบจำลองสภาพอากาศ พบปัจจัยขับเคลื่อนหลัก 2 อย่าง ที่อยู่เบื้องหลังการเพิ่มขึ้นในเหตุการณ์ฝนตกหนักบนพื้นที่สูง ในโลกที่ร้อนขึ้น โดยประการแรกคือ การมีน้ำเพิ่มขึ้น ซึ่งบรรดานักวิทยาศาสตร์รู้มานานแล้วว่า อุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นทุก ๆ 1 องศาเซลเซียส จะเพิ่มปริมาณความชื้นในชั้นบรรยากาศได้ถึง 7% ทว่าปัจจัยประการที่สองนั้นน่าประหลาดใจยิ่งกว่า เพราะนักวิจัยต้องดูว่าเหตุการณ์นั้นเป็นฝนตกหนัก หรือหิมะตกหนัก เนื่องจากน้ำฝนทำให้เกิดการไหลบ่าอย่างรวดเร็ว จนนำไปสู่ความเสี่ยงสูงที่จะเกิดอุทกภัย, ดินถล่ม และการพังทลายของดิน อนึ่ง พื้นที่ภูเขา และที่ราบน้ำท่วมถึงที่อยู่ติดกัน มีแนวโน้มที่จะประสบกับผลกระทบรุนแรงที่สุดจากฝนตกหนัก ทั้งบริเวณในและรอบ ๆ เทือกเขาหิมาลัย และเทือกเขาฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิก ของทวีปอเมริกาเหนือ ซึ่งภูมิภาคที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด ควรเตรียมแผนการปรับตัวด้านสภาพอากาศที่มั่นคง "พวกเราจำเป็นต้องพิจารณาถึงการเพิ่มขึ้นของเหตุการณ์ฝนตกหนัก ในการออกแบบและสร้างเขื่อน, ทางหลวง, ทางรถไฟ และโครงสร้างพื้นฐานอื่น ๆ หากเราต้องงการทำให้แน่ใจว่า สิ่งเหล่านั้นจะคงอยู่อย่างยั่งยืนในสภาพอากาศที่ร้อนขึ้น" นายโมฮัมเหม็ด ออมบาดี นักวิจัย และผู้เขียนนำของรายงาน กล่าว https://www.dailynews.co.th/news/2486329/
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#3
|
||||
|
||||
|
ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการ
ตัวที่ 6 ของปี พะยูนตายในทะเลกระบี่ กระบี่ - ตัวที่ 6 ของปี เศร้า! พบพะยูนเพศเมียขนาดโตเต็มวัย ตายลอยติดชายหาด ทับแขก ต.หนองทะเล จ.กระบี่ ไม่พบบาดแผลฉกรรจ์ ส่งซากให้ศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งทะเลอันดามัน เพื่อวินิจฉัยสาเหตุการเสียชีวิตอย่างแน่ชัดต่อไป ![]() เมื่อเวลา 11.40 น.วันนี้ (29 มิ.ย.) นางรักชนก แพน้อย หัวหน้าอุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี จ.กระบี่ ได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่หน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติที่ พพ.4 (ทับแขก) ว่า พบซากพะยูน เพศเมีย น้ำหนักประมาณ 140 กิโลกรัม ความยาว 204 เซนติเมตร ลอยตายอยู่บริเวณหน้าหาดทับแขก อ.เมืองกระบี่ จ.กระบี่ ซึ่งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติหาสดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี หลังรับแจ้งจึงส่งเจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบ จากการตรวจสอบเบื้องต้น สภาพซากยังสมบูรณ์ ไม่พบบาดแผลฉกรรจ์บริเวณภายนอก มีเพียงรอยแผลถลอก เป็นแผลตื้นจากการโดนโขดหิน จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้ดำเนินการเคลื่อนย้ายซากพะยูนมาไว้ที่ทำการอุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี จ.กระบี่ เพื่อมอบซากพะยูน ให้ทางศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งทะเลอันดามัน เพื่อนำซากไปวินิจฉัยสาเหตุการเสียชีวิตอย่างแน่ชัดต่อไป ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากข้อมูลพบว่าปีนี้พบพะยูนตาย ในทะเลกระบี่ พบที่เกาะลันตา เกาะศรีบอหยา อำเภอเหนือคลอง ตำบลเขาคราม และตำบลหนองทะเล อำเภอเมืองกระบี่ รวมแล้ว จำนวน 6 ตัว มีทั้งลูกพะยูน และพะยูนโตเต็มวัย https://mgronline.com/south/detail/9660000059183
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
![]() |
| คำสั่งเพิ่มเติม | |
| เรียบเรียงคำตอบ | |
|
|