![]() |
|
|
|
#1
|
||||
|
||||
|
ขอบคุณข่าวจาก ไทยโพสต์
'ภาวะโลกเดือด' นี่ยังเพียงเริ่มต้น .......... ต่อ UN จ่อประชุมออกเกณฑ์แก้จริงจัง นักวิชาการอีกราย รศ.ดร.สุจริต คูณธนกุลวงศ์ นักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อม และหนึ่งในคณะกรรมการการนโยบายการเปลี่ยนสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ กล่าวว่า หน้าร้อนปีนี้ มีคนตายเยอะ เพราะอุณหภูมิสูงสุด เป้าที่ประเทศ โลกกำลังพูดไม่ให้ร้อนขึ้น1.5 องศา น่าจะเป็นไปไม่ได้ เข้ายุคจาก Global Warming กลายเป็น Global Heating ยิ่งมาเจอ เอลนิโญ่ ทำให้ร้อนนานขึ้น ถ้าไม่มี Polar jet หรือกระแสลมหนาวจากขั้่วโลกเหนือลงมา ซึ่งจะทำให้ทะเลเย็นขึ้น แต่ถ้าไม่มีทะเลก็จะเก็บสะสมความร้อนไปเรื่อยๆ การแก้ปัญหา องค์การสหประชาชาติ หรือ ยูเอ็น จะมีการประชุมเรื่องนี้ในเดือนก.ย.เรียกว่าเป็นการประชุม UN AMBITION SUMMIT 2023 และจะประชุมอีกครั้งเดือนธันวาคมเป็นเวที UNSCC การประชุมยูเอ็นจะเรียกร้อง 2 ข้อ คือ Climate Action กับ Climate Justice เพราะในโลกมี 5ประเทศ ที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุด เช่น จีน อเมริกา อินเดีย จะต้องลดให้มาก เพราะถ้าไม่ลดประเทศที่เหลือจะได้รับผลกระทบ สิ่งที่ลดไป จะต้องเอาเงินไปช่วยเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับคนอื่นด้วย ซึ่งในเวทีนี้ จะมีการพูดถึง Climate Fund หรือการมีเงินกองทุนช่วยเหลือประเทศต่างๆ นี่คือ ทฤษฎี เพราะที่ผ่านมา มีการขอระดมทุนที่เรียกว่า Global Fund แต่ไม่ค่อยได้รับความร่วมมือเท่าไหร่ "การประชุมครั้งนี้ ทางยูเอ็นจะต้องบอกว่า เป็นแบบนี้ไม่ได้แล้วนะ ถ้าไม่ทำอะไรเลย ประเทศพัฒนาแล้ว แม้จะทำกิจกรรมลดคาร์บอนด์ แต่ทั้งหมดเป็นกระดาษ แต่ Climate Action คือ การต้องลดจริงๆ ไม่ใช้ถ่านหิน ซึ่งช่วงที่ผ่านมา พอเกิดสงครามรัสเซีย ยูเครน เกิดวิกฤติพลังงาน ทำให้เยอรมันต้องกลับมาใช้ถ่านหิน ใหม่ เหมือนโลกตีลังกากลับ เป็น วิกฤติ ซ้อนวิกฤต " Climate Change สปีดเร็วแก้ไม่ทัน รศ.ดร.สุจริต กล่าวอีกว่า แนวทางการแก้ปัญหา การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ มันจะไปด้วยกันทั้งในแง่ทำให้โลกสงบและ เกิดความเป็นธรรม นี่คือโจทย์ใหญ่ของยูเอ็นในเวลานี้ เพราะสปีดของClimate Change อุณหภูมิโลกสูงขึ้นมันเร็วขึ้น กว่า สมัย 30-40 ปีก่อน เราพูดถึงความไม่เป็นธรรม ที่ประเทศยากจนได้รับจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทำให้ประเทศที่ร่ำรวยแล้ว หาทางออก ด้วยการเอาเงินไปลงทุนในประเทศยากจน แต่เป็นอุตสาหกรรมที่สกปรก ส่วนตัวเองก็ทำอุตสาหกรรมสะอาด แต่ตอนนี้สภาพอากาศเปลี่ยนแปลงมันเร็วขึ้น จะทำแบบนั้นไม่ได้อีกแล้ว การออกแบบแก้ปัญหา จะทำเหมือนสมัยปฎิวัติอุตสาหกรรม เมื่อ30-40 ปีก่อน จึงใช้ไม่ได้แล้ว ซึ่งเรากำลังพูดปี 2030และปี 2050 เป็นเป้าหมายที่จะต้องไปให้ถึง ซึ่งไม่ใช่เป้าหมายแค่ตั้งเป้าไว้เฉย จะต้องไปให้ถึงจริงๆ และยูเอ็นก็พูดเรื่องนี้มานานแล้ว "การประชุม UN AMBITION SUMMIT 2023 วันที่ 20 กันยาบน 2023 ที่นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ในความเป็น AMBITION เลขายูเอ็น บอกว่า ประเทศกำลังพัฒนา จะต้องลด Co2 ให้มากกว่านี้ ซึ่งประเทศกำลังพัฒนาก็ทำอยู่แล้ว แต่จะต้องมีเงินมาช่วยเหลือประเทศเหล่านี้ ในเรื่องของAdaptation หรือการปรับตัว เพื่อให้Emission ลดให้ได้ตามเป้าในปี 2050 แต่ปัญหาอยู่ที่ว่า จะทำอย่างไร ใครเป็นคนทำ และใครเป็นคนจ่าย จ่ายเท่าไหร่ " รศ.ดร.สุจริตกล่าว สิ่งที่ยูเอ็น จะยกเหตุผลก็คือเรื่อง Damage and Loss situlation เพราะความสูญเสียจากผลกระทบจะเกิดขึ้นทั้งหมดทั้งโลก แล้วทำอย่างไรจะให้ทุกฝ่าย Win -Win ทั้งประเทศพัฒนาแล้ว ที่พอออกเงิน จะสามารถสร้างธุรกิจบางอย่างได้ มาขายประเทศกำลังพัฒนา โดยอาจจะเป็นในรูปแบบเงินกู้ ซึ่งมีศัพท์คำนี้เกิดขึ้น ว่า Green Technology Revolution เป็นการใช้เทคโนโลยีมาช่วย เพื่อให้ประเทศกำลังพัฒนามีรายได้ ผลิตสินค้่าที่ผลิตได้ก็เป็นกลุ่ม Green มาขายต่ออีกทีหนึ่ง ซึ่งการทำอย่างนี้ จะเป็นการช่วยลดการปล่อยคาร์บอนด์ ฯ และช่วยเหลือประเทศกำลังพัฒนาไปในตัว 'คาร์บอนเครดิต' ตกยุค ไม่เวิร์ก รศ.ดร.สุจริต กล่าวอีกว่า แนวคิดใหม่ของยูเอ็น ที่เน้นการลงมือทำจริง และสร้างความเป็นธรรมกับประเทศต่างๆ โดยให้มีการตั้งกองทุน Climate Fund เพราะวิธีการแก้ปัญหาจากคาร์บอนด์เดครดิ สรุปแล้วช่วยโลกไม่ได้จริง ระบบคาร์บอนเครดิต เป็นเกณฑ์เมื่อ 20 ปีที่แล้ว แต่เอาเข้าจริงการลดคาร์บอนด์ มันลดไม่ทัน แม้ประเทศรวยจะมีเงินซื้อ แต่ประเทศกำลังพัฒนาทำไม่ทัน จึงเลิกพูดเรื่องนี้กันแล้ว แม้แต่ในประเทศไทย หรือประเทศกำลังพัฒนา ตอนนี้ จะจ้องขายคาร์บอนเครดิต แต่ในความรู้สึกของประเทศพัฒนาแล้ว เขาเห็นว่ามันไม่ทันกับการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ จึงต้องเปลี่ยนโหมดคิดใหม่ จากที่รอปลูกป่าลดคาร์บอน ก็จะต้องปลูกป่า ปลูกผัก และใช้เทคโนโลยีกรีน ไปพร้อมๆกัน ซึ่งจะได้ 3เด้งในเวลาเดียวกัน สามารถลดคาร์บอน และประชาชนมีรายได้ไปด้วย ส่วนประเทศร่ำรวยก็ขายเทคโนโลยีกรีนได้ "เขากำลังหาโมเดล ที่แก้ได้ 3อย่างในเวลาเดียวกัน แต่เงินอุดหนุนจะมาจากข้างนอก ประเทศร่ำรวย กำลังทำวิจัยคิดเรื่องนี้ และคิดไปถึงว่าจะต้องทำเทคโนโลยีที่ประเทศกำลังพัฒนาสามารถซื้อเทคโนโลยีได้ด้วย เขารู้ว่าเทคโนโลยีจะต้องดีไซน์ ให้ถูกลงแต่ใช้งานได้ ซึ่งจะวิน-วินทุกฝ่าย เรื่องนี้เขาพูดกัน 5ปี10ปี เพราะสปีดโลกร้อนมันเร็ว แต่เดิมมีแผนที่เร็วกว่านี้ และเขาคิดว่าต้องขายGreen Technology แต่พอเกิดสงครามทำให้ทั้งหมดหยุดชะงัก เงินที่จะมาทำสนับสนุนโครงการพวกนี้ กลายเป็นเงินที่ต้องมาทำสงครามหมดเลย ประเทศผู้นำควรต้องลงทุนวิจัย ควรต้องลงทุนและคิดเทคโนโลยีกรีนมาขายเรา แต่ทำไม่ได้ " ไทยต้องตั้ง' Climate Fund' มองย้อนที่ประเทศไทยติด อันดับ 8ประเทศเปราะบางของโลก ที่จะได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รศ.ดร.สุจริต กล่าวว่า การที่ไทยติดกลุ่มประเทศได้รับผลกระทบสูง เพราะเราเป็นประเทศที่ใช้ทรัพยากรประเทศตัวเองเยอะไม่ว่าจะเป็นป่า หรือน้ำ เราฟันป่าไปจนหมด ปัจจุบันเราอยู่ในสภาพติดลบอยู่แล้ว เราเสียสละสิ่งนี้ หมายถึงทรัพยากร เพื่อพัฒนาประเทศ โดยมีความคิดที่ว่า เมื่อเรารวยขึ้นแล้ว เราจะหันกลับมาปลูกป่าใหม่ ทฤษฎีในอดีต เป็นอย่างนี้ ต้องพัฒนาไปก่อน พอมีเงินเเหลือค่อยกลับมาฟื้นฟู แต่คิดแบบนี้ เป็นไปไม่ได้แล้ว ต้องคิดเรื่อง Sustainable หรือความยั่งยืน ต้องคิดว่าต้องโตด้วย ต้องเขียวด้วย เราจึงพยายามบีบให้ธุรกิจต้องทำธุรกิจที่เป็น SCG หรือยั่งยืน ลงทุนแล้วต้องคิดถึงผลกระทบคนข้างเคียงด้วย ต่อไปจะมีคาร์บอนเดรดิตให้อุตสาหกรรมใหญ่ๆ ต้องทำสินค้ากรีน ไม่อย่างนั้นส่งออกไม่ได้ "การที่ยูเอ็นบีบให้ประเทศใหญ่ อย่าง จีน อเมริกา ต้องลดก๊าซเรือนกระจก แต่ถ้าจีน อเมริกายังทะเลาะกัน ก็ทำไม่ได้ ดังนั้น เราเองจึงต้องต้องเล่นเกมตามยูเอ็น ตามคอนเซ็ปต์ ท้ง Climate Action กับ Climate Justice เพื่อให้ทุกอย่างให้มันดีขึ้นบ้าง " ยึดหลักรีน-เป็นธรรม นักวิชาการสิ่งแวดล้อม บอกอีกว่า เรื่องปัญหาสภาพภูมิอากาศ เป็นเรื่องใหญ่ เราจึงต้องตั้งกรมจัดการการแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือกรมโลกร้อน มารองรับ หลักการทำงานของกรม จะต้องทำหน้าที่จดทะเบียน การปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ ของโรงงานต่างๆ โดยจะต้องมีการออกกฎหมายใหม่บังคับเอกชนส่งตัวเลขการปล่อยคาร์บอน ฯและต้องนำส่งตัวเลขนี้ให้ทางยูเอ็น ขณะเดียวกัน ก็ต้องมีการตั้งกองทุน Climate change Fund ซึ่งไอเดียนี้ก็จะต้องเกิดขึ้นได้จริง รัฐกับเอกชนร่วมบริหารจัดการ เพื่อให้การทำงานเร็วขึ้น กติกาของกองทุนคือ ให้ภาคธุรกิจ ส่งเงินเข้ากองทุน หลักการคิดจ่ายเงินเข้ากองทุน ส่วนใหญ่คิดจากเปอร์เซ็นต์จากผลกำไร หรือ เปอร์เซ็นต์ของก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อย โดยมาตรการนี้ อาจมีเรื่องภาษีมาช่วยเป็นแรงจูงใจ "เราต้องล้อตามมาตรการของ ยูเอ็น ที่จะบีบให้ประเทศใหญ่ อย่าง จีน อเมริกา ต้องลดก๊าซเรือนกระจก ตามคอนเซ็ปต์ ท้ง Climate Action กับ Climate Justice เพื่อให้ทุกอย่างให้มันเกิดขึ้นได้จริง และเกิดความเป็นธรรมในสังคม เงินกองทุน Climate change Fund ที่ตั้งขึ้น จะมาดูแลเอสเอ็มอี และประชาชนที่ได้รับผลกระทบ แต่พอตั้งรัฐบาลช้า เรื่องแก้กฎหมายรายงานก็าซคาร์บอนและอื่นๆ คงต้องล่าช้าไปด้วย " รศ.ดร.สุจริตบอกอีกว่า อีกหนึ่งในหน้าที่สำคัญของกรมโลกร้อน ก็คือจะต้องทำเรื่องการปรับตัวของประชาชนที่ได้รับผลกระทบ รณรงค์เรื่องการรับรู้ของผู้คน และต้องนำมาปรับปรุงกฎหมาย กฎระเบียบต่างๆ ซึ่งทั้งหมดอาจจะใช้เงินจากกองทุน Climate change Fund ดังกล่าว โดยเฉพาะการให้ประชาชนรับรู้และทำจริงเพื่อลดโลกร้อน ถ้าปล่อยให้รัฐบาลกลางทำอย่างเดียวมันช้า จะต้องอาศัยเงินบริจาคเข้ากองทุนจากบริษัทใหญ่ๆมาช่วย เพราะที่ผ่านมาแม้ชุมชนต่างๆ จะตื่นตัวที่ละลดคาร์บอน แต่พอขอเงินรัฐ รัฐไม่มีตังค์ ก็ไม่ทำ มันจึงไม่เกิดการตื่นตัวรับรู้ของผู้คน ส่วนทางด้านหลักการของกองทุน ที่ดีที่สุดจะต้องมีการจัดการที่เป็นกลาง ไม่ใช่การทำซีเอสอาร์เหมือนแต่ก่อน "ผมเป็นหนึ่งในคณะกรรมการนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ เราประชุมกันเมื่อวันก่อน เพื่อเตรียมการเรื่องการประชุมที่ยูเอ็นในเดือน กันยาบนและเดือนธันวาคม เป็นการเตรียมการว่าจากเดิมที่เราประกาศ ลดก๊าซเรือนกระจก 20-30 % ก็จะเป็น 30-40% แล้วนะ และอีก 10% ที่เราเพิ่ม เราต้องขอความช่วยเหลือเทคโนโลยี และอีกส่วนต้องขอความช่วยเหลือเรื่องการปรับตัวของประชาชน หรือ Adaptation เพราะในโลกจะพูดถึงการเตือน เรื่องโลกร้อนส่วนใหญ่ แต่เราคิดว่าต้องเอากรีนเทคโนโลยี เข้ามาใช้ในช่วงปรับตัว และถ้าเทคโนโลยีนี้ ทำให้เกิดการสร้างรายได้ไปในตัว เช่น ทำให้เกิดเครื่องมือเกษตรทันสมัย จากที่เกษตรกรบ้านเราได้แต่จ้องมองดูฟ้า ว่าควรปลูกหรือไม่ปลูก ก็จะมีการใช้เทคโนโลยีคำนวณ ฝนตกหรือไม่ และสมมุติว่าจะต้องซื้อเทคโนโลยีเยอรมัน ตัวละ 2แสนบาท ก็ควรซื้อในราคาตัวละ 5พัน เป็นต้น " รศ.ดร.สริต สรุปอีกว่า ภาวะโลกเดือดมาจริงๆ ท้ายสุดแล้วหลักการ แอคชั่น กับจัสติก จะต้องเกิด โดยเกณฑ์จะต้องไปบีบประเทศที่รวยมาก ปล่อยก๊าวเรือนกระจกมาก ให้มาช่วย เพื่อให้เกิดวงจรการปรับตัวที่ยกระดับขึ้นเรื่อยๆ ในโลกใบนี้ "ปีนี้โลกร้อนมากๆ ยุโรป ลำบากมาก ตายเยอะ เกิดไฟไหม้ป่า ไม่มีน้ำใช้ คนตกใจ เห็นได้จากญี่ป่นภาคใต้เจอไต้ฝุ่นรุนแรงมาก ส่วนภาคเหนือกลับเกิดฮีทสโตรก เหมือนโลกมันเดือดปุ๊งๆๆๆ แล้ว จริงๆ " https://www.thaipost.net/news-update/430418/
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#2
|
||||
|
||||
|
ขอบคุณข่าวจาก กรุงเทพธุรกิจ
'แพลงก์ตอนบลูม'ไม่ใช่แค่เรื่องน้ำทะเลเปลี่ยนสี บางชนิดสร้าง'สารชีวพิษ' ![]() เหตุการณ์ล่าสุด ?แพลงก์ตอนบลูม? ที่ชายหาดบางแสน ไม่ใช่เพิ่งเกิดขึ้น และไม่ใช่แค่เรื่องของน้ำทะเลเปลี่ยนสีเป็นเขียวหรือแดงเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อสัตว์น้ำ ระบบนิเศ รวมถึงมนุษย์ เพราะบางกลุ่มสร้าง?สารชีวพิษ? แต่ตอนนี้อาหารทะเลยังทานได้ Keypoints : - กิจกรรมของมนุษย์เป็นปัจจัยส่วนใหญ่ ที่ทำให้เกิดแพลงก์ตอนบลูม ปรากฎการณ์น้ำทะเลเปลี่ยนสี และอาจเปลี่ยนเป็นสีต่างๆได้ ไม่เฉพาะสีเขียว - ผลกระทบของแพลงก์ตอนบลูมต่อระบบนิเวศ สัตว์น้ำ ออกซิเจนลดลงโดยเฉพาะบริเวณพื้นทะเล บางครั้งทำให้สัตว์น้ำตาย ยังส่งผลต่อการประมงชายฝั่งและการเพาะเลี้ยง - แพลงก์ตอนบลูม เป็นอันตรายต่อผู้บริโภคสัตว์น้ำที่ปนเปื้อนพิษ ในกรณีเกิดการเพิ่มปริมาณของแพลงก์ตอนพืชที่สร้างพิษ โดยเฉพาะผลต่อระบบทางเดินหายใจ ทางเดินอาหารและประสาท สาเหตุแพลงก์ตอนบลูม ปรากฎการณ์น้ำทะเลเปลี่ยนสี หรือแพลงก์ตอนบลูม เกิดจากการเพิ่มปริมาณสารอาหารบริเวณชายฝั่ง ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้แพลงก์ตอนเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว ปริมาณสารอาหารที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่นั้นมักเกิดจากกิจกรรมของมนุษย์ ปัจจัยที่สำคัญที่เป็นสาเหตุหลัก คือ ธาตุอาหารที่ถูกชะล้างจากแผ่นดินในช่วงฤดูฝน สารอินทรีย์จากน้ำทิ้งชุมชน โรงงานอุตสาหกรรม โรงแรม เกษตรกรรม รวมทั้งการตัดไม้ทำลายป่า รวมทั้งป่าชายเลนทำให้ตะกอนที่ไหลลงมากับแม่น้ำลำคลองไม่ถูกดักจับ จึงไหลลงสู่ทะเลในปริมาณมากกว่าในอดีต 1. การตั้งถิ่นฐานบ้านเรือนและชุมชนบริเวณชายฝั่ง กิจกรรมเพื่อการท่องเที่ยว ร้านอาหารและสถานประกอบการตามแนวชายฝั่งบริเวณแม่น้ำลำคลอง กิจกรรมการประมง แพปลา การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ โดยก่อให้เกิดมลพิษลงสู่ชายฝั่งทะเล ปริมาณสารอาหาร รวมถึงปริมาณแบคทีเรีย 2. การสะพรั่งของแพลงก์ตอนพืช (Plankton bloom) หรือเรียกว่าปรากฏการณ์น้ำทะเลเปลี่ยนสี เช่น สีเขียวของสกุล Noctiluca และ สีน้ำตาลของสกุล Chaetoceros เป็นต้น ปริมาณออกซิเจนจะลดลงอย่างมาก ก่อให้เกิดความเสียหายต่อสัตว์น้ำตามธรรมชาติและแหล่งเพาะเลี้ยงชายฝั่ง แพลงก์ตอนกลุ่มสร้างสารชีวพิษ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้ข้อมูลไว้ว่า ปัจจุบันมีรายงานชนิดของแพลงก์ตอนพืชที่เป็นสาเหตุของน้ำเปลี่ยนสีกว่า 300 ชนิด (www.marinespecies.org/hab/index.php) ซึ่งเกือบ 1 ใน 4 สามารถสร้างสารชีวพิษได้ กลุ่มที่สร้างสารชีวพิษ ซึ่งสะสมในสัตว์ทะเลและส่งผลกระทบต่อสุขภาพของมนุษย์ หรือเป็นสาเหตุให้ปลาตาย สารชีวพิษที่พบว่าสร้างโดยแพลงก์ตอนพืช มี 5 กลุ่มใหญ่ๆ (www.tistr.or.th/t/publication /page_area_show_bc.asp?i1=86&i2=25) ได้แก่ 1.พิษอัมพาต (Paralytic Shellfish Poisoning : PSP) และออกฤทธิ์ต่อปลายประสาท ระบบกล้ามเนื้อ และระบบทางเดินหายใจ 2. พิษท้องร่วง (Diarrhetic Shellfish Poisoning : PSP) : มีฤทธิ์ต่อระบบทางเดินอาหาร 3. พิษที่ทำให้ความจำเสื่อม (Amnesic Shellfish Poisoning : ASP) ออกฤทธิ์รบกวนการ- ส่งสัญญาณในสมอง อาจส่งผลให้สูญเสียความทรงจำ 4. พิษต่อระบบประสาทรับความรู้สึก (Neurotoxic Shellfish Poisoning : NSP) ออกฤทธิ์ต่อระบบประสาท 5. พิษซิกัวเทอร่า (Ciguatera Fish Shellfish Poisoning : GSP) ทำให้เกิดอาการทางระบบประสาทและระบบทางเดินอาหาร ผลกระทบต่อมนุษย์และสิ่งแวดล้อม 1. ทำความเสียหายต่อการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ และทรัพยากรสัตว์น้ำชายฝั่งโดยเฉพาะปลา หน้าดินและสัตว์น้ำหน้าดิน 2. เป็นอันตรายต่อผู้บริโภคสัตว์น้ำที่ปนเปื้อนพิษ ในกรณีเกิดการเพิ่มปริมาณของแพลงก์ตอนพืชที่สร้างพิษ 3. ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจการประมง กล่าวคือ สัตว์น้ำที่จับได้ในบริเวณที่เกิดน้ำทะเลเปลี่ยนสีไม่ปลอดภัยต่อผู้บริโภค และส่งผลกระทบต่อการส่งออกสัตว์น้ำหากมีการปนเปื้อนเกินระดับมาตรฐาน 4. ส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยว เนื่องจากเมื่อแพลงก์ตอนตายแล้วถูกพัดเข้าฝั่งจะมีกลิ่นคาว สีและกลิ่นทำให้ทัศนียภาพชายหาดเสื่อมโทรม และนักท่องเที่ยวที่ลงเล่นน้ำอาจเกิดอาการคันและระคายเคือง แพลงก์ตอนบลูม ข้อควรระวัง 1. เกษตรกรที่เลี้ยงปลาหรือสัตว์น้ำอื่น ๆ ในกระชังใกล้บริเวณที่เกิดน้ำทะเลเปลี่ยนสีควร ระมัดระวังสัตว์น้ำที่เลี้ยงอย่างใกล้ชิด หรือควรจับสัตว์น้ำขึ้น เพราะบริเวณที่เกิดน้ำทะเลเปลี่ยนสีปริมาณออกซิเจนที่ละลายน้ำจะต่ำมากในเวลากลางคืน 2. งดรับประทานสัตว์น้ำที่จับจากบริเวณที่เกิดน้ำทะเลเปลี่ยนสี เพื่อลดความเสี่ยงต่อการได้รับพิษ 3. นักท่องเที่ยวหรือประชาชนที่มีอาการแพ้ง่ายบริเวณผิวหนัง ควรงดกิจกรรมทางน้ำ เช่น เล่นน้ำทะเล ดำน้ำ เป็นต้น อาหารทะเลยังทานได้ เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 2566 ผศ.ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ รองคณบดีคณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โพสต์เฟซบุ๊ก อธิบายเรื่อง การเกิดแพลงตอนบลูม ที่ชายหาดบางแสน ว่า ทะเลชายฝั่งบางแสน ศรีราชา เกิดแพลงตอนบลูมต่อเนื่อง จึงอยากสรุปให้เพื่อนธรณ์ทราบอีกครั้ง น้ำเขียวปี๋เกิดจากแพลงก์ตอนพืชเพิ่มจำนวนมากผิดปกติ แพลงตอนที่พบในตอนนี้ไม่มีพิษ ยังกินอาหารทะเลได้ตามปกติ แต่น้ำเขียวไม่น่าเล่นน้ำ/ท่องเที่ยว ยังส่งผลกระทบต่อสัตว์น้ำและระบบนิเวศ ออกซิเจนลดลงโดยเฉพาะบริเวณพื้นทะเล บางครั้งทำให้สัตว์น้ำตาย ยังส่งผลต่อการประมงชายฝั่งและการเพาะเลี้ยง แพลงก์ตอนบลูมเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติ เกิดขึ้นจากธาตุอาหารลงทะเลมากในหน้าฝน บางจังหวะมีแดดแรง กระบวนการในทะเลเหมาะสม ทำให้แพลงตอนพืชเพิ่มเร็ว มนุษย์มีส่วนเกี่ยวข้องเพราะเราเพิ่มธาตุอาหารลงไป ทั้งการเกษตร น้ำทิ้ง ฯลฯ แพลงตอนบลูมเริ่มก่อตัวในทะเลนอก และขยายจำนวนขึ้น จนเข้าสู่ระยะสุดท้ายบริเวณชายฝั่ง มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ พัดน้ำเข้าไปรวมที่อ่าวไทยตอนในแถวชลบุรี ทำให้น้ำเขียวรวมตัวอยู่แถบนั้น ระยะสุดท้ายของแพลงตอนบลูมจะเกิดเพียงช่วงสั้นๆ ไม่กี่วัน จากนั้นจะหมดไป แต่อาจเกิดขึ้นใหม่ตามลมที่พัดพามวลน้ำเข้ามา ยังมีปรากฏการณ์แพลงตอนบลูมที่เกิดตามปากแม่น้ำได้อีกด้วย แต่สุดท้ายลมในช่วงนี้ก็พัดไปรวมที่ชายฝั่งชลบุรี เมื่อถึงช่วงปลายปี ลมมรสุมเปลี่ยนทิศ แพลงตอนบลูมแถวชลบุรีอาจลดลง แต่ปีหน้าก็อาจกลับมาใหม่ตามลมมรสุม โลกร้อนมีส่วนเกี่ยวข้องแพลงก์ตอนบลูม โลกร้อนอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับแพลงตอนบลูม ตามการศึกษาต่างประเทศที่พบว่าน้ำเขียวทั่วโลกเกิดถี่ขึ้นเรื่อย และขยายพื้นที่ไปในบริเวณต่างๆ ของโลก เราวัดคลอโรฟิลล์ในผิวหน้าน้ำทะเลได้โดยใช้ดาวเทียม แต่ต้องทำเป็นระบบและติดต่อเป็นประจำ เพื่อให้เกิดความต่อเนื่อง หากเราเข้าใจกระบวนการทางสมุทรศาสตร์เพิ่มขึ้น เช่น วัดกระแสน้ำ คุณภาพน้ำแบบเรียลไทม์ ฯลฯ เราจะเริ่มมีความสามารถในการทำนายและแจ้งเตือน น่าเสียดายที่สถานีวัดสมุทรศาสตร์แบบดังกล่าวตอนนี้มีเฉพาะที่ศรีราชา เป็นความร่วมมือระหว่างคณะประมง มก./สสน. ผมเคยเสนอให้มีการติดตั้งสถานีวัดสมุทรศาสตร์เพิ่มเติมไปแล้วอย่างน้อยอีก 2 ที่เพื่อให้ครอบคลุมอ่าวไทยตอนในทั้งหมด ผ่านที่ประชุมระดับชาติไปแล้ว แต่สุดท้ายก็ยังไม่ได้เกิด (เท่าที่ทราบ) หากเรายังไม่ทำอย่างเป็นระบบ ไม่มีข้อมูลเพียงพอ ทำได้แค่น้ำเขียวเมื่อไหร่ก็ไปตรวจสอบเหมือนอย่างที่เป็นมา เราก็ย่ำอยู่กับที่ ในขณะที่มีแนวโน้มว่าน้ำเขียวจะเพิ่มขึ้นและถี่ขึ้นเรื่อยในอนาคต ในขณะเดียวกัน การยกระดับการบำบัดน้ำทิ้ง การปรับเปลี่ยนการเกษตรให้เหมาะสม จะช่วยลดปัญหาที่ต้นเหตุ น้ำคือทุกอย่างของทะเล เมื่อน้ำมีปัญหา ทุกอย่างในทะเลก็มีปัญหา กิจการเกี่ยวกับทะเลย่อมได้รับผลกระทบ เรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหาเฉพาะที่ แต่เป็นปัญหาในภาพรวม การแก้ไขไม่สามารถทำเฉพาะครั้งคราว แต่ต้องลงทุนลงแรงทำจริงจังต่อเนื่อง เรียนรู้เพื่อทำนายและแจ้งเตือน กำหนดเป้าในการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ หากเราไม่ลงทุนกับสิ่งเหล่านี้ ทะเลเราก็แย่ลง กิจการเกี่ยวกับทะเลก็ได้รับผลกระทบมากขึ้น สุดท้ายไม่ว่าเราลงทุนกับโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการท่องเที่ยวหรือฝันอยากเป็นอะไร เมื่อน้ำทะเลสีเขียวปี๋บ่อยขึ้นและบ่อยขึ้น เราก็คงยากไปถึงฝัน โลกเราซับซ้อนมากขึ้น ตัวแปรมีมากมาย หากเราอยากอยู่กับธรรมชาติอย่างยั่งยืน ได้ประโยชน์ให้เนิ่นนาน เราต้อง ?รู้จัก? ทะเลให้มากขึ้น ณ จุดนี้ เรายังทำความรู้จักกับยุคโลกร้อนทะเลเดือดได้ไม่พอครับ ย้ำเตือนว่าแพลงตอนไม่มีพิษ ยังคงกินสัตว์น้ำได้ครับ ตัวอย่างแพลงก์ตอนบลูมที่เคยเกิดขึ้น - 27 มิ.ย. 2559 ชายฝั่งชลบุรี เช่น บางแสน ศรีราชา เรื่อยไปจนเกือบถึงเกาะสีชัง เหตุการณ์นี้เกิดจากฝนตกหนักหลายวัน น้ำจืดไหลลงทะเล ปัจจุบันเราใช้ปุ๋ยเคมีและทิ้งของเสียที่มีธาตุอาหารสูง ทำให้แพลงก์ตอนพืช ?บลูม? หรือเพิ่มจำนวนอย่างรวดเร็ว จนน้ำทะเลเป็นสีเขียว เพราะแพลงก์ตอนหนาแน่นมาก - 21ต.ค.2564 แพลงก์ตอนบลูม บริเวณหาดดวงตะวัน จังหวัดระยอง ไม่ส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อาหารของสัตว์น้ำและความปลอดภัยของผู้บริโภค - 24มี.ค.2566 พื้นที่ ต.แม่น้ำ อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี นักท่องเที่ยวต่างชาติพบคราบสีเขียวส่งกลิ่นเหม็นคล้ายน้ำมันลอยมาบริเวณชายหาดตำบลแม่น้ำ ซึ่งคราบดังกล่าวมีสีเขียว บางจุดจะมีสีน้ำตาลคล้ายโคลนลอยมาติดบริเวณชายหาด - 30ก.ค.2566 น้ำทะเลบริเวณหาดตาแหวนเกาะล้าน จังหวัดชลบุรี สีน้ำทะเลกลายเป็นสีเขียว แทนที่จะเป็นสีฟ้าตามธรรมชาติ เป็นต้น https://www.bangkokbiznews.com/healt...-being/1083326
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
![]() |
| คำสั่งเพิ่มเติม | |
| เรียบเรียงคำตอบ | |
|
|