![]() |
|
|
|
#1
|
||||
|
||||
|
ขอบคุณข่าวจาก มติชน
?พาโลมากลับมาผ่านหน้าบ้าน? สร้างบ้านปลา ธนาคารปู ภารกิจฟื้นลุ่มน้ำบางปะกง ..... ต่อ สผ.ย้ำนิยามความยั่งยืน 'ก่อนถึงจุดหวนกลับไม่ได้' จิรวัฒน์ ระติสุนทร รองเลขาธิการ สผ. พูดถึงความตั้งใจต่อโครงการนี้ว่า เราเชื่อว่าทุกคนต้องช่วยกัน เพราะทุกคนสร้างมลพิษให้กับโลก เพราะทุกคนบริโภคทรัพยากรของโลก ถึงเวลาแล้วหรือยังที่เราต้องคืนให้กับโลกบ้าง แต่จริงๆ การคืน ไม่ได้คืนแค่ตัวเรา แต่เราคืนสภาพเพื่อคนรุ่นลูก รุ่นหลาน วันนี้ที่เราทำ nature based solutions มันอาจจะเห็นผลช้า ไม่ได้ลงมือแล้วปุบปับ แก้ปัญหาให้หายได้เลย แต่อันนี้เป็นการคืนอย่างยั่งยืน ใช้ธรรมชาติบำบัดธรรมชาติ แล้วเราเชื่อว่าเมื่อคืนทรัพยากรกลับมาแล้วจะดีกว่า เราทำเพื่อลูกหลานเรา เราไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง "เมื่อสร้างรายได้ให้คนในชุมชนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เขาก็มีกำลังที่จะมาดูแลทรัพยากรมากขึ้น เขาไม่ต้องไปอยู่โรงงาน เขาไม่ต้องอพยพย้ายถิ่นฐาน ความสุขในครอบครัวก็ตามมา ถ้าท่านมีตังค์ ท่านมีโรงเรียนใกล้บ้าน ไม่มีใครอยากทิ้งลูก ทิ้งพ่อ แม่ ทิ้งครอบครอบครัว ไปทำงานในเมืองใหญ่ ถ้าเขาอยู่อย่างมีความสุข ในพื้นที่ของเขา เขาจะไม่มีการย้ายถิ่น แต่พอคนย้ายเข้าไปอยู่ในเมืองก็ต้องไปแย่งใช้ทรัพยากรในเมือง ถามว่าถ้าหากเราทำให้ทรัพยากรตรงนี้สมบูรณ์ เขามีกิน เขาอยู่ได้อย่างมีความสุข จะมีหลายอย่างดีๆ ตามมา" จิรวัฒน์เผยความรู้สึก จิรวัฒน์ได้ให้นิยามต่อ 'ความยั่งยืน' ความยั่งยืนคือ การที่เรา ครอบครัวเรา สามารถอยู่กับสิ่งแวดล้อมได้อย่างมีความสุข อากาศดี มีอาหารดีรับประทานที่ไม่เป็นพิษ ร่างกายแข็งแรง เป็นเรื่องใกล้ตัวที่เราเจออยู่ทุกวัน แต่ตอนนี้มันเริ่มวิกฤตแล้ว เราต้องตระหนักเรื่องนี้และลงมือช่วยกัน ก่อนที่จะถึงจุดที่มันหวนกลับมาไม่ได้ เมื่อ 'โลมาผ่านหน้าบ้าน' คือหลักฐานชี้วัดความอุดมสมบูรณ์ ด้าน กชพงศ์ ทองบุญนะ นิสิตอาสา ม.บูรพา และวิทยากรประจำบ้านปลาธนาคารปู เยาวชนรุ่นใหม่ที่เริ่มต้นจากการเป็นนิสิตฝึกงาน โครงการบ้านปลาธนาคารปู เห็นความตั้งใจของคนในพื้นที่ จนผันตัวขออาสามาทำงานวิทยากรในการให้ความรู้กับทุกคนที่จะเข้ามาศึกษาในบ้านปลาธนาคารปูของเรา และเป็นคนที่ซัพพอร์ตคนที่ลงไปปฏิบัติ ในการทำบ้านปลาธนาคารปู "เป้าหมายสูงจุดที่เราตั้งใจไว้แต่แรก คือ การพาโลมากลับบ้าน ถ้าถึงช่วงที่เราต้องรับช่วงต่อ เราก็จะขยายในการดูแลทรัพยากรธรรมชาติให้อุดมสมบูรณ์ หลากหลาย ซึ่งหากเป็นไปได้อยากจะให้โลมาไปลึกถึงวัดโสธรเลย" กชพงศ์เล่าย้อนกลับไปว่า โลมาไม่เข้ามาในพื้นที่เนื่องจาก มันไม่มีอาหารของมัน คือ ปลาดุกทะเลเข้ามาในพื้นที่ ซึ่งเกิดจากการขาดแคลนปลาขนาดเล็ก เป็นผลกระทบจากทรัพยากรธรรมชาติ ที่หน้าดินเลนมีขยะ น้ำเสีย สัตว์เล็กอยู่ไม่ได้ ตายไป สัตว์โตก็หนีไปหากินที่อื่น โลมาเป็นห่วงโซ่อาหารสูงสุด เลยเข้ามาในพื้นที่ เราจึงต้องเข้ามาพลิกฟื้นพื้นที่แห่งนี้จนสมบูรณ์อีกครั้ง และโลมาก็กลับมา ซึ่งจะสามารถกระตุ้นการท่องเที่ยวสำหรับเยี่ยมชมโลมา สร้างรายได้ให้กับคนในพื้นที่อีกด้วย เราจะประสานเชื่อมโยงเด็กในพื้นที่ ให้ได้เข้ามาทำกิจกรรม สร้างจิตสำนึก หรือความประทับใจให้กับน้องเยาวชนให้ตระหนักถึงการดูแลทรัพยากรธรรมชาติ สร้างกิจกรรมเรียนรู้ให้ทุกคนได้มาแสดงศักยภาพ ทำให้ทุกคนได้มีบทบาทอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะเด็กรุ่นใหม่ที่ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของโครงการนี้ กชพงศ์แสดงมุมมองว่า ความยั่งยืนทางอาหารและความยั่งยืนของทรัพยการธรรมชาติที่จำเป็นต่อมนุษย์ เพราะแม้สังคมโลกจะพัฒนาเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร สุดท้ายแล้วมนุษย์ก็ยังคงต้องการอาหารอยู่ดี ฉะนั้นการที่เราดูแลทรัพยากรธรรมเหล่านี้ สิ่งสำคัญคือ การทำให้อาหาร หรือแหล่งเสบียงมนุษย์อยู่ต่อไปได้ ถ้าไม่มีอาหาร มนุษย์ก็อยู่ไม่ได้ อาหารไม่ใช่แค่ความยั่งยืนของชุมชน แต่มันคือความยั่งยืนของมนุษยชาติ การกลับมาของ 'ปลาดุกทะเล' สู่การกลับมาของ 'โลมา' มลิสุวรรณ พิสุทธิธัญรักษณ์ อดีตผู้ใหญ่บ้านบ้านบน ชุมชนลุ่มแม่น้ำบางปะกง เผยประสบการณ์การต่อสู้ของคนที่อยู่พื้นที่ปลายน้ำว่า ในอดีตมีการใช้ยาฆ่าหญ้า เวลาเก็บเกี่ยวผลผลิต สารเคมีก็ลอยมา ทำให้ปลาตาย เดิมไม่รู้ว่าต้นเหตุมันเกิดขึ้นตรงไหน แต่ทุกอย่างมันทะลุทะลวงลงมาที่ปลายน้ำกันหมด เหมือนกระโถนที่รับทุกอย่าง ภายหลัง เมื่อมีการประชุมกันเรื่องสิ่งแวดล้อมบ่อยขึ้น เดินหน้าดำเนินการทุกวิถีทางเพื่อความยั่งยืน ความอุดมสมบูรณ์ก็เริ่มกลับมา การสร้างบ้านปลาธนาคารปูเป็นภูมิปัญญา ช่วยเป็นที่อยู่อาศัยและหลบอนุบาลสัตว์น้ำวัยอ่อน เป็นการดูแลห่วงโซ่อาหารให้อุดมสมบูรณ์ ผลพวงจากการฟื้นฟูยืนยันได้จากการที่โลมากลับเข้ามา ผ่านหน้าบ้านเรา ซึ่งโลมาหายไปจากพื้นที่ตั้งแต่ปี 2550 จนปี 2557 ที่เข้ามาดูแลแม่น้ำสายนี้ เพราะเมื่อสัตว์วัยอ่อนสมบูรณ์ ปลาดุกทะเลเข้ามา และโลมาเข้ามากินปลาดุกทะเล เป็นทางที่เขาอยู่ร่วมกันบนความหลากหลาย และอุดมสมบูรณ์ "อยากให้ทุกคนตระหนักรักพื้นที่ของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ตรงไหน ไม่ว่าจะเป็นบก ป่า น้ำ แม้กระทั่งภูเขา หันมาใส่ใจหน่อย ไม่ตัดไม้ทำลายป่า ไม่ทำแม่น้ำสกปรก ไม่ทิ้งขยะลงบนถนน ควบคุมมลพิษ เราจะสามารถอยู่ร่วมกันได้หมด เป็นเรื่องที่เราไม่ต้องใช้เงิน ใช้เพียงแค่ใจ ศรัทธา รักประเทศของเรา" ทำอย่างไรให้วันหนึ่ง เราจะไม่ต้องไปซื้ออากาศหายใจ https://www.matichon.co.th/prachachuen/news_4182299
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#2
|
||||
|
||||
|
ขอบคุณข่าวจาก แนวหน้า
พบเต่าตนุอายุกว่า 10 ปีหนักกว่า 20 กิโลกรัมลอยติดชายหาดบางพระศรีราชา เจ้าหน้าที่ดับเพลิงเทศบาลเมืองศรีราชาช่วยเหลือเต่าตนุ น้ำหนักเกือบ 20 กิโลกรัมหลังลอยเกยตื้นหาดบางพระ นำฝากศูนย์วิจัยประมงศรีราชา ก่อนส่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป คาดผลพวงมาจากสถานการณ์แพลงก์ตอนบลูมที่เกิดขึ้นในทะเลอยู่ในขณะนี้ ![]() เมื่อเวลา 09.00 น.วันที่ 16 ก.ย.66 เจ้าหน้าที่ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเทศบาลเมืองศรีราชา (ดับเพลิงศรีราชา) ได้รับแจ้งเหตุพบเต่าตนุลอยเกยชายหาดยังไม่เสียชีวิต ที่บริเวณชายทะเล ซอยหลวงแจ่ม หมู่ 9 ตำบลบางพระ อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี จึงเดินทางไปตรวจสอบในจุดดังกล่าว พบเต่าตนุ อายุประมาณ 10 ปีน้ำหนักเกือบ 20 กิโลกรัม ลอยเกยอยู่บริเวณชายหาดยังมีชีวิตอยู่ จากการสอบถามชาวบ้านที่พบเห็นเปิดเผยว่า เมื่อช่วงเช้าได้ออกมาเดินเล่นริมทะเลพบว่ามีเต่าตนุตัวดังกล่าวนอนนิ่งๆ อยู่ริมหาด จึงเดินเข้าไปดูเพื่อตรวจสอบว่ายังมีชีวิตอยู่หรือไม่ จากการตรวจสอบพบว่ายังมีชีวิตอยู่ แต่ไม่รู้ว่าเต่าตัวดังกล่าวมีอาการป่วยหรือบาดเจ็บหรือไม่และจะต้องทำอย่างไรต่อไป จึงแจ้งคนที่รู้จัก ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเทศบาลเมืองศรีราชา ให้มาช่วยดูว่าจะต้องดำเนินการอย่างไรต่อไป ก่อนเจ้าหน้าที่จะลงความเห็นว่าควรจะนำไปฝากไว้ที่ศูนย์วิจัยประมงศรีราชาใกล้จุดที่พบเต่าดูแลก่อน เพื่อนำส่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป เหตุการณ์ในครั้งนี้คาดว่าอาจจะเป็นผลจากปรากฏการณ์แพลงก์ตอนบลูมที่เกิดขึ้นบริเวณริมทะเลศรีราชา บางพระ หาดวอน และบางแสน อยู่ในขณะนี้ ซึ่งน้ำทะเลยังเป็นสีเขียวนานประมาณ 1 สัปดาห์แล้ว หรือเต่าตัวนี้อาจจะมีอาการป่วยจึงลอยมาเกยชายหาดก็เป็นไปได้ https://www.naewna.com/likesara/757089
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#3
|
||||
|
||||
|
ขอบคุณข่าวจาก กรุงเทพธุรกิจ
ประมง ผนึก ปตท.สผ. วิจัยเปลี่ยนคาร์บอนไดออกไซด์เป็นหินแร่ในปะการังเทียม ประมง ผนึก ปตท.สผ. วิจัยเปลี่ยนคาร์บอนไดออกไซด์เป็นหินแร่ในปะการังเทียม กรมประมง ร่วม บริษัท ปตท.สผ. MOU ศึกษาวิจัยการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีการเปลี่ยนคาร์บอนไดออกไซด์เป็นหินแร่ เพิ่มความแข็งแรงของปะการังเทียม ฟื้นฟูทรัพยากรประมงทะเล ![]() นายเฉลิมชัย สุวรรณรักษ์ อธิบดีกรมประมง กล่าวว่า กรมประมงเป็นหน่วยงานที่มีภารกิจหลักในการบริหารจัดการทรัพยากรประมงเพื่อให้มีการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน โดยในส่วนของการฟื้นฟูทรัพยากรประมงทะเล ได้ดำเนินโครงการจัดสร้างปะการังเทียมมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2521 เพื่อเป็นแหล่งที่อยู่อาศัย เลี้ยงตัว วางไข่ และหลบภัยของสัตว์น้ำ เพิ่มความอุดมสมบูรณ์ให้แก่ท้องทะเล รวมทั้งเป็นการพัฒนาแหล่งทำการประมงพื้นบ้าน ทำให้ชาวประมงมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น นอกจากนี้ กรมประมงยังให้ความสำคัญกับการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม เนื่องจากสภาวะโลกร้อนนับเป็นปัญหาที่ทั่วโลกต่างให้ความสำคัญ โดยจากข้อมูลงานวิจัยต่าง ๆ พบว่า สภาวะโลกร้อนได้ส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิตของสัตว์น้ำ เนื่องจากอุณหภูมิของน้ำทะเลที่สูงขึ้น จะเพิ่มความเครียดและส่งผลกระทบต่อกระบวนการทางเคมีของสัตว์น้ำ ทำให้สัตว์น้ำยากต่อการสืบพันธุ์ และเจริญเติบโต สำหรับโครงการศึกษาวิจัยการเปลี่ยนคาร์บอนไดออกไซด์เป็นหินแร่เพื่อเพิ่มความแข็งแรงของปะการังเทียมและนำไปใช้เพื่อการฟื้นฟูทรัพยากรประมงทะเล จึงนับเป็นจุดเริ่มต้นของความร่วมมือระหว่างกรมประมงและ ปตท.สผ. ในการร่วมกันพัฒนาองค์ความรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อช่วยลดปัญหาสภาวะโลกร้อน โดยการใช้เทคโนโลยีการดักจับคาร์บอนไดออกไซด์ให้เปลี่ยนรูปเป็นแคลเซียมคาร์บอเน็ตในชั้นปูน ซึ่งจะเพิ่มความแข็งแรงของแท่งปะการังเทียมคอนกรีตได้มากขึ้น อีกทั้งยังช่วยรักษาสมดุลของระบบนิเวศ ฟื้นฟูทรัพยากรสัตว์น้ำ รวมถึงส่งเสริมการทำประมงพื้นบ้านให้ใช้ทรัพยากรอย่างสมดุล ซึ่งถือได้ว่าเป็นก้าวที่สำคัญในการยกระดับเทคโนโลยีมาช่วยดูแลรักษาทรัพยากรประมงทะเลของประเทศไทยให้มีความยั่งยืนในอนาคต กรมประมง พร้อมเดินหน้าร่วมดำเนินโครงการนี้ไปกับ บริษัท ปตท.สผ. เพื่อร่วมศึกษาวิจัยโครงการศึกษาวิจัยการเปลี่ยนคาร์บอนไดออกไซด์เป็นหินแร่เพื่อเพิ่มความแข็งแรงของปะการังเทียมและนำไปใช้เพื่อการฟื้นฟูทรัพยากรประมงทะเลให้ประสบผลสำเร็จ เพื่อในการช่วยลดสภาวะโลกร้อน พร้อมกับพัฒนาและฟื้นฟูแหล่งประมงให้เกิดการใช้ประโยชน์อย่างเหมาะสมและเกิดความยั่งยืนต่อทรัพยากรประมงต่อไป https://www.bangkokbiznews.com/environment/1088711 ****************************************************************************************************** "ขยะพลาสติก" จำนวน 5 ตันทำถนนได้ 1 กิโลเมตร ![]() ข้อมูลจากกรมทางหลวงชนบท (ทช.) ระบุว่าโครงการทดลองผิวทางแอสฟัลท์ติกคอนกรีตที่มีส่วนผสมขยะพลาสติก จากปัญหาขยะพลาสติกมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เนื่องจากย่อยสลายได้ยาก ทช. จึงทดลองโครงการงานบำรุงถนนทางหลวงชนบทสาย อย.2039 แยก ทล.33 - บ้านไก่จ้น อำเภอภาชี ท่าเรือ และหนองแค จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยนำขยะพลาสติกกลับมาใช้ใหม่ในกระบวนการสร้างถนน พร้อมติดตามพฤติกรรม และสมรรถนะทางวิศวกรรมในการพัฒนาผิวทางชนิดดังกล่าว ปัจจุบันโครงการฯ ดำเนินการเสร็จสมบูรณ์ โดยปรับปรุงโครงสร้างพื้นทาง และไหล่ทางเดิม ด้วยวิธี Cement Stabilized In - Place พร้อมปูผิวจราจรลาดยางแบบแอสฟัลท์ติกคอนกรีตผสมขยะพลาสติก โดยใช้ขยะพลาสติก 5 ตัน ต่อระยะทาง 1 กิโลเมตร ช่วง กม. ที่ 10+100 - 15+200 ระยะทางรวม 5.1 กิโลเมตร ใช้งบประมาณ 21 ล้านบาท เพื่อช่วยยกระดับและเพิ่มประสิทธิภาพในการเดินทางของประชาชนให้สะดวกปลอดภัยมากยิ่งขึ้น โดยเก็บข้อมูลเปรียบเทียบผิวทางแอสฟัลท์ติกคอนกรีตผสมขยะพลาสติกกับผิวทางแอสฟัลท์ติกคอนกรีตในสภาพแวดล้อม และสภาพการจราจรเดียวกัน เพื่อวิจัย และพัฒนางาน ซึ่งเป็นนวัตกรรมผิวถนนที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และช่วยลดปริมาณขยะพลาสติกที่ไม่สามารถย่อยสลายได้ https://www.bangkokbiznews.com/environment/1088517
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
![]() |
| คำสั่งเพิ่มเติม | |
| เรียบเรียงคำตอบ | |
|
|