เลือกสีตามสไลต์ที่คุณชอบ:
SaveOurSea.NET  

กลับไป   SaveOurSea.NET > สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม

ตอบ
 
Share คำสั่งเพิ่มเติม เรียบเรียงคำตอบ
  #1  
เก่า 28-11-2023
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,809
Default

ขอบคุณข่าวจาก Nation TV


รู้หรือไม่? ปลาแซลมอน ที่นิยมทานมีกี่สายพันธุ์ หากกินมากก็มีโทษต่อร่างกาย



รู้หรือไม่? ปลาแซลมอน ที่นิยมทานมีกี่สายพันธุ์ แล้วปลาแซลมอน มีคุณค่าทางโภชนากินแล้วได้ประโยชน์อะไรบ้าง? แต่หากกินมากไปทำให้เกิดโทษต่อร่างกายได้ด้วยนะ

เจ้าปลาส้ม ขวัญใจใครหลายๆคนเพราะเนื้อมีความฉ่ำน้ำทานดิบก็ได้ทานสุกก็ดี อร่อยจนหยุดทานไม่ได้ นำไปประกอบอาหารได้หลากหลาย แต่หากไปดูวงจรชีวิตของเจ้าปลาแซลมอน สิ่งนี้ส่งผลให้เนื้อของมันอร่อยแตกต่างจากปลาอื่นๆ เจ้าปลาส้มมีการใช้ชีวิตที่แปลกประหลาดกว่าปลาชนิดอื่นๆมาก ปลาแซลมอนเกิดในแม่น้ำหรือน้ำจืด แต่กลับไปใช้ชีวิตในทะเลหรือน้ำเค็ม ซึ่งการที่ปลาแซลมอนต้องว่ายทวนกระแสน้ำจะเกิดขึ้นในช่วงฤดูสืบพันธุ์ที่พวกมันจะต้องกลับไปผสมพันธุ์และวางไข่ในแหล่งน้ำจืดหรือแม่น้ำที่พวกมันจากมา โดยลำตัวจะเปลี่ยนสีจากสีเงินกลายเป็นสีแดงเมื่อถึงเวลาวางไข่ แต่เมื่อแซลมอนรุ่นใหญ่เหล่านี้ได้วางไข่ในรังเสร็จสิ้น ก็ถึงเวลาที่พวกมันจะสิ้นอายุขัย โดยร่างกายของพวกมันจะค่อย ๆ เสื่อมลงไปจนตายในที่สุด ด้วยลักษณะการดำเนินชีวิตเหล่านี้ทำปลาแซลมอนมีเนื้อที่ไม่เหมือนปลาชนิดใดแถมยังอุดมไปด้วยแร่ธาตุต่างๆ อย่างมากมาย


คุณค่าทางโภชนาการจากปลาแซลมอน กินแล้วร่างกายได้ประโยชน์อะไรบ้าง?

ช่วยเพิ่มพลัง กระปรี้กระเปร่า บรรเทาอาการอ่อนเพลีย เหนื่อยล้า ขจัดความอ่อนเพลีย และอาการเหนื่อยล้าจากการทำงานหนักหรือเล่นกีฬาได้เป็นอย่างดี

? กรดไขมันโอเมก้า 3
? โปรตีน 19.93 กรัม
? ไขมัน 3.65 กรัม
? ฟอสฟอรัส 39%
? ไทอะมีน 5%
? วิตามิน B12 177%
? เซเลเนียม 59%
? ไนอะซิน 48%
? พลังงาน 118 กิโลแคลอรี
? วิตามิน D 64%


แหล่งกรดไขมัน โอเมก้า 3

ปลาแซลมอนมีโอเมก้า 3 จำนวนมาก ซึ่งเป็นไขมันดีที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย มีส่วนช่วยบำรุงประสาท พัฒนาสมองและการจดจำ ป้องกันโรคความจำเสื่อม โรครูมาตอยด์ และลดระดับคอลเลสเตอรอลในร่างกาย


บำรุงสายตา
ปลาแซลมอนอุดมไปด้วย วิตามิน A และ DHA ซึ่งเป็นกรดในจอประสาทตา ช่วยบำรุงสายตา บรรเทาอาการตาแห้ง


เสริมภูมิคุ้มกัน
วิตามิน D ในปลาแซลมอนช่วยเสริมภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายต่อสู้กับเชื้อโรค โดยวิตามินดี จะช่วยให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียม รวมไปถึงสารอาหารอื่น ๆ ได้ดี นอกจากนี้ วิตามิน D ยังมีส่วนในการช่วยลดการติดเชื้อในระบบทางเดินหาย และ สามารถลดความรุนแรงของอาการโคลิด 19 ได้อีกด้วย


มวลกล้ามเนื้อและกระดูกแข็งแรง
ปลาแซลมอนมีวิตามิน D และโปรตีนสูง ช่วยให้กล้ามเนื้อความแข็งแรง กระชับ และเสริมสร้างกระดูก โดยในแซลมอน 100 กรัม มีโปรตีนเกือบ 20 กรัม


รู้หรือไม่? ปลาแซลมอน ที่นิยมทานมีกี่สายพันธุ์

ปลาแซลมอน แบ่งเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ ได้แก่ สายพันธุ์ที่มาจากมหาสมุทรแปซิฟิค และ สายพันธุ์ที่มาจากมหาสมุทรแอตแลนติก

ปลาแซลมอน ที่ขายในตลาด และนิยมทานกันมากที่สุด คือ Atlantic Salmon โดยแหล่งที่มาจากประเทศนอร์เวย์เป็นแหล่งที่มาที่นิยมมากที่สุด เรามักเรียกว่า Norwegian Salmon แต่นอกจากสายพันธุ์นี้แล้ว ในตลาดยังมีอีก 2 สายพันธุ์ Salmon ที่นิยมทาน พาไปรู้จักกับทั้ง 3 สายพันธุ์ Salmon ที่นิยมทาน ตามไปดูกันเลย

สายพันธุ์ยอดนิยม พบได้มากในมหาสุมทรแอตแลนติก และทางตอนเหนือของมหาสมุทรแปซิฟิก ซึ่งปัจจุบันนอกจากการเจริญเติบโตทางธรรมชาติของแซลมอนในพื้นที่เหล่านี้แล้ว ยังมีฟาร์มแซลมอนจำนวนมากในบริเวณนี้อีกด้วย โดยในประเทศไทยนิยมนำเข้า Atlantic Salmon จากประเทศนอร์เวย์มากที่สุด หรือที่เราคุ้นเคยกันในชื่อ Norwegian Salmon

จุดเด่น เนื้อปลามีสีส้มนวล สัมผัสนุ่ม แน่น ไม่เละ มีชั้นไขมันสวย ชัดเจน ก้างน้อย


King Salmon หรือ Chinook Salmon สายพันธุ์แซลมอนที่หายาก และราคาแพง พบในแม่น้ำแมกเคนซี เกาะอาร์กติก ประเทศแคนาดา และแถบแคลิฟอร์เนียร์ ประเทศสหรัฐอเมริกา

จุดเด่น เนื้อสีส้มเข้มสลับไขมันปลาเป็นลายหินอ่อน ไปจนถึงมีเนื้อสีขาว เนื้อนุ่ม น้ำมันปลาสูง


Trout Salmon

แซลมอนเทราต์ หรือปลาเทราต์ เป็นปลาสายพันธุ์ใกล้เคียงกับปลาแซลมอน จึงทำให้เป็นอีกสายพันธุ์ที่นิยมทาน

จุดเด่น เนื้อสีส้มเข้มออกแดง สัมผัสนุ่ม รสหวาน ไขมันน้อย


แต่รู้ไหมว่ากินแซลมอนมากเกินไป ทำให้เกิดโทษต่อร่างกาย!

ต้องบอกว่าเจ้าไขมันจากแซลมอนมีกรดไขมันอิ่มตัว ถ้าหากกินเป็นประจำในปริมาณที่มากเกินไป สามารถทำให้ไขมันอุดตันในเส้นเลือดได้เด็ก สตรีมีครรภ์ และผู้ที่กำลังให้นมบุตร ไม่ควรบริโภคเกินสัปดาห์ละ 340 กรัม แต่หากรับประทานบ่อยจนปริมาณสารปรอทในเลือดสูงเกิน 5.8 ไมโครกรัมต่อลิตร อาจทำให้ระบบประสาทถูกทำลาย กล้ามเนื้ออ่อนแรงมีปัญหาการหายใจ อารมณ์แปรปรวน การเคลื่อนไหวผิดปกติ การมองเห็นและการสื่อสารบกพร่องได้

นอกจากนี้ ควรระวังเรื่องการรับประทานปลาดิบไม่ผ่านการปรุงสุก ซึ่งอาจมีพยาธิ ปรสิต ที่อาจส่งผลต่อระบบทางเดินอาหาร ลำไส้ และอาหารเป็นพิษได้ ส่วนปลาแซลมอนที่เพาะจากฟาร์ม อาจมีสารไดออกซิน และยาปฏิชีวนะ ส่งผลให้เกิดมะเร็งได้ ดังนั้นควรเลือกปลาจากธรรมชาติแล้วปรุงให้สุกจะดีกว่า

โดยอันตรายจากการทานเนื้อปลาแซลมอนดิบที่ไม่มีคุณภาพ เนื่องด้วยกระบวนการเลี้ยง การเก็บรักษา และการเตรียมปลาแซลมอน หากกระบวนการต่าง ๆ ที่กล่าวมาไม่สะอาด หรือไม่ได้คุณภาพ อาจส่งผลให้เกิดการปนเปื้อนในเนื้อปลา ทำให้เนื้อปลากลายเป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรคต่างๆ ได้


https://www.nationtv.tv/lifestyle/food/378936511

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #2  
เก่า 28-11-2023
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,809
Default

ขอบคุณข่าวจาก BBCThai


คู่มืออย่างง่าย ในการทำความเข้าใจ "โลกร้อน"



อุณหภูมิโลกกำลังสูงขึ้นเนื่องจากกิจกรรมของมนุษย์ ทำให้เกิดคลื่นความร้อนรุนแรงและระดับน้ำทะเลสูงขึ้น รวมถึงเหตุการณ์สภาพอากาศสุดโต่งอื่น ๆ

สถานการณ์มีแนวโน้มจะแย่ลงอีกในทศวรรษถัด ๆ ไป แต่มาตรการที่เร่งด่วนก็สามารถจำกัดผลกระทบที่เลวร้ายที่สุดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้


การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ คืออะไร

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือที่เรียกกันอย่างคุ้นปากในภาษาไทยว่า "โลกร้อน" คือการที่อุณภูมิเฉลี่ยโลกและสภาพอากาศเกิดการเปลี่ยนแปลงในระยะยาว โดยในตอนนี้โลกอุ่นขึ้นโดยเฉลี่ย 1.1 องศาเซียลเซียสแล้ว เทียบกับช่วงปลายศตวรรษที่ 19


มนุษย์เป็นตัวการของโลกร้อนหรือไม่

สภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงมาตลอดประวัติศาสตร์ของดาวเคราะห์โลก แต่สาเหตุทางธรรมชาติไม่สามารถอธิบายการที่อุณหภูมิโลกสูงขึ้นเร็วเป็นพิเศษในศตวรรษที่ผ่านมาได้

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในศตวรรษที่ผ่านมาจนถึงตอนนี้ มีสาเหตุมาจากมนุษย์

สาเหตุหลักก็เนื่องมาจากการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลในบ้าน โรงงาน และยานพาหนะ ไม่ว่าจะเป็น ถ่านหิน น้ำมัน หรือก๊าซธรรมชาติ

เมื่อมีการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล พวกมันจะปล่อยก๊าซเรือนกระจกออกมา โดยก๊าซที่ถูกปล่อยออกมามากที่สุดคือคาร์บอนไดออกไซด์ ก๊าซเรือนกระจกดูดซับคลื่นรังสีความร้อนในชั้นบรรยากาศใกล้กับพื้นผิวโลกเอาไว้ และเป็นสาเหตุให้โลกของเราร้อนขึ้น

นับตั้งแต่จุดเริ่มต้นของการปฏิวัติอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นจุดที่มนุษย์เริ่มเผาผลาญเชื้อเพลิงฟอสซิลปริมาณมหาศาล ประมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศได้เพิ่มขึ้นแล้วกว่า 50%

ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากเชื้อเพลิงฟอสซิลมีโครงสร้างทางเคมีเฉพาะตัว ซึ่งมีการตรวจพบร่องรอยของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่มาจากเชื้อเพลิงฟอสซิลนี้เพิ่มขึ้นในชั้นบรรยากาศ


ผลกระทบจากโลกร้อนที่เกิดขึ้นแล้วคืออะไรบ้าง

การที่อุณหภูมิเฉลี่ยโลกสูงขึ้น 1.1 องศาเซลเซียสอาจจะฟังดูไม่มาก

อย่างไรก็ตาม มันส่งผลอย่างใหญ่หลวงต่อสิ่งแวดล้อม เช่น

- เหตุการณ์สภาพอากาศรุนแรงสุดขั้วเกิดบ่อยขึ้นและรุนแรงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเกิดคลื่นความร้อน และฝนตกหนัก

- ธารน้ำแข็งและพืดน้ำแข็ง (ice sheet) ที่ปกคลุมรอบพื้นทวีปละลายอย่างรวดเร็ว และทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น

- น้ำแข็งทะเลในขั้วโลกเหนือละลายและหดตัวอย่างมาก

- มหาสมุทรอุ่นขึ้น

-วิถีชีวิตของผู้คนจำนวนมากกำลังเปลี่ยนไป

ยกตัวอย่างเช่น บางพื้นที่ของแอฟริกาตะวันออกเพิ่งจะประสบกับภัยแล้งที่รุนแรงที่สุดในรอบ 40 ปี ทำให้ผู้คนกว่า 20 ล้านคนต้องเสี่ยงกับภาวะอดอยาก ในปี 2022 คลื่นความร้อนในยุโรปทำให้อัตราการตายพุ่งสูงกว่าปกติ


การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในอนาคตจะกระทบโลกอย่างไร

ยิ่งอุณหภูมิสูงขึ้นมากเท่าไหร่ ผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศก็จะยิ่งรุนแรงมากขึ้นเท่านั้น

คณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Intergovernmental Panel on Climate Change: IPCC) ระบุว่า การจำกัดไม่ให้อุณภูมิในระยะยาวเพิ่มขึ้นเกิน 1.5 องศาเซลเซียสถือว่ามีความสำคัญมาก

แม้ว่าวิทยาศาสตร์อาจไม่สามารถให้คำตอบที่ถูกต้องแม่นยำร้อยเปอร์เซ็นได้ แต่ความต่างของผลกระทบที่จะเกิดขึ้น หากอุณหภูมิโลกสูงขึ้น 2 องศาเซลเซียส แทนที่จะเป็น 1.5 องศาเซลเซียส มีดังนี้ เช่น

- วันที่ร้อนอย่างมาก จะร้อนขึ้นโดยเฉลี่ย 4 องศาเซลเซียส สำหรับประเทศที่อยู่ในบริเวณละติจูดกลาง (mid-latitudes ซึ่งหมายถึงภูมิภาคที่ไม่ได้อยู่ในเขตขั้วโลกและไม่ได้อยู่ในเขตร้อน) ทั้งนี้ หากอุณหภูมิโลกเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 1.5 องศาเซลเซียส วันที่ร้อนอย่างมากจะร้อนขึ้นเพียง 3 องศาเซลเซียส

- ระดับน้ำทะเลจะสูงขึ้นอีก 10 เซนติเมตรเมื่อเทียบกับกรณีที่อุณหภูมิโลกสูงขึ้น 1.5 องศาเซลเซียส และทำให้คนมากขึ้นอีกกว่า 10 ล้านคนได้รับผลกระทบ

- มากกว่า 99% ของปะการังจะตาย เทียบกับ 70-90% ในกรณีที่อุณหภูมิเฉลี่ยโลกเพิ่ม 1.5 องศาเซลเซียส

- ทุก ๆ 10 ปี จะเกิดเหตุที่มหาสมุทรอาร์กติกในขั้วโลกเหนือไม่มีน้ำแข็งทะเล (sea-ice) อยู่เลยในช่วงฤดูร้อน ทั้งนี้ หากอุณหภูมิโลกสูงขึ้น 1.5 องศา เหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นเพียงทุก 100 ปี

- จะมีพืชและสัตว์มีกระดูกสันหลังที่ต้องเผชิญกับสภาพภูมิอากาศที่ไม่เหมาะสมต่อการมีชีวิตเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว

- ผู้คนอีกหลายร้อยล้านคนจะต้องเผชิญกับความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับภูมิอากาศ รวมถึงอาจร่วงหล่นลงสู่ความยากจนภายในปี 2050

การจำกัดอุณภูมิโลกไม่ให้เพิ่มขึ้นเกิน 1.5 องศาเซลเซียส ก็เพื่อหลีกเลี่ยงการไปถึงสิ่งที่เรียกว่า "จุดที่ไม่อาจหวนกลับ" ด้วย

หากเลยจากจุดดังกล่าวไปแล้ว การเปลี่ยนแปลงจะยิ่งเร่งขึ้นและไม่อาจแก้ไขย้อนกลับได้ อย่างเช่น การล่มสลายของพืดน้ำแข็งรอบเกาะกรีนแลนด์ เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ยังไม่เป็นที่แน่ชัดนักว่าอุณหภูมิที่จะทำให้ถึงจุดที่ไม่อาจหวนกลับดังกล่าวนี้อยู่ตรงไหน

คณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ระบุว่า ผู้คนทั่วโลก 3.3-3.6 พันล้านคน มีความเสี่ยงอย่างสูงว่าจะได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

เป็นที่คาดกันว่า ผู้คนที่อาศัยอยู่ในประเทศที่ยากจนจะได้รับผลกระทบหนักที่สุด เนื่องจากพวกเขามีทรัพยากรสำหรับการปรับตัวน้อยกว่า

นี่ทำให้เกิดคำถามเรื่องความเป็นธรรมขึ้นมา เพราะว่าผู้คนในประเทศเหล่านั้นมีส่วนเพียงน้อยนิดในการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

อย่างไรก็ตาม ผลกระทบจากโลกร้อนนั้นสามารถรับรู้และรู้สึกได้ในพื้นที่วงกว้าง ตัวอย่างเช่น การทำฟาร์มเกษตรที่ล้มเหลวอันเนื่องมาจากสภาพอากาศสุดขั้ว อาจทำให้ราคาอาหารของทั้งโลกสูงขึ้นได้


รัฐบาลประเทศต่าง ๆ ได้ทำอะไรแล้วบ้างเพื่อรับมือโลกร้อน

รัฐบาลเกือบ 200 ประเทศได้ลงนามร่วมกันในความตกลงปารีสในปี 2015 โดยให้คำมั่นว่าจะพยายามรักษาอุณหภูมิโลกให้สูงขึ้นไม่เกิน 1.5 องศาเซลเซียส

เพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายดังกล่าว เป้าในการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์เป็นศูนย์ หรือที่เรียกว่า เน็ตซีโร่ (net zero) ควรจะบรรลุให้ได้ภายในปี 2050 เน็ตซีโร่หมายถึงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ รวมถึงการขจัดมลพิษทางอากาศที่เหลืออยู่จากชั้นบรรยากาศด้วย

ประเทศส่วนใหญ่ได้โอบรับ หรือไม่ก็กำลังพิจารณา เป้าหมายเน็ตซีโร่นี้อยู่

อย่างไรก็ตาม ระดับของก๊าซเรือนกระจกยังคงกำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และก็ "มีแนวโน้มอย่างยิ่ง" ที่อุณหภูมิโลกจะสูงขึ้นเกิน 1.5 องศาเซลเซียส ตามการให้ข้อมูลของคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

อย่างไรก็ตาม มีความก้าวหน้าอยู่บ้างในบางเรื่อง เช่น การใช้พลังงานหมุนเวียน รวมถึงรถยนต์ไฟฟ้า

ผู้นำจากทั่วโลกพบปะกันทุกปีเพื่ออภิปรายเกี่ยวกับพันธสัญญาด้านสภาพภูมิอากาศ การประชุมสุดยอดด้านสภาพภูมิอากาศครั้งต่อไป (COP28) จะจัดขึ้นที่ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ในเดือน พ.ย. - ธ.ค. 2023


ปัจเจกบุคคลอย่างเรา ทำอะไรได้บ้าง

การเปลี่ยนแปลงใหญ่ ๆ จำเป็นต้องมาจากภาครัฐและภาคธุรกิจ แต่การเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ น้อย ๆ โดยปัจเจกก็สามารถช่วยได้เช่นกัน

- ใช้พลังงานน้อยลง

- ยกระดับฉนวนกันความร้อนภายในบ้าน และใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

- เปลี่ยนไปใช้รถยนต์ไฟฟ้า หรือเลิกขับรถยนต์ไปเลย

- สำหรับประเทศเขตหนาว เปลี่ยนจากระบบการให้ความร้อนที่ใช้แก๊ส ไปเป็นระบบที่ใช้ไฟฟ้าแทน

- กินเนื้อแดงน้อยลง (ปศุสัตว์ อย่างเช่น วัว ปล่อยก๊าซมีเทน ซึ่งถือเป็นก๊าซเรือนกระจกเช่นกัน)


https://www.bbc.com/thai/articles/cn4p6y31qgeo

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
ตอบ

คำสั่งเพิ่มเติม
เรียบเรียงคำตอบ

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 08:01


vBulletin รุ่น 3.8.10
สงวนลิขสิทธิ์ ©2000-2025, บริษัท Jelsoft Enterprises จำกัด
Ad Management plugin by RedTyger