![]() |
|
|
|
#1
|
||||
|
||||
|
ขอบคุณข่าวจาก BBCThai
ภูเขาน้ำแข็งใหญ่ที่สุดในโลก พื้นที่มากกว่ากรุงเทพฯ เกิน 2 เท่า เคลื่อนที่อีกครั้งในรอบ 30 ปี ![]() หลังจากติดกับพื้นมหาสมุทรมานานกว่า 30 ปี ในที่สุดภูเขาน้ำแข็งที่ใหญ่ที่สุดในโลกก็เคลื่อนที่อีกครั้ง ภูเขาน้ำแข็งที่ชื่อว่า A23a นี้ แตกตัวออกมาจากแนวชายฝั่งของทวีปแอนตาร์กติกาในปี 1986 แต่กลับแน่นิ่งแทบจะในทันทีอยู่ในทะเลแวดเดลล์ และกลายเป็นเกาะน้ำแข็งไปโดยปริยาย ด้วยพื้นที่เกือบ 4,000 ตารางกิโลเมตร ทำให้เกาะแห่งนี้มีพื้นที่มากกว่าสองเท่าของมหานครลอนดอน (Greater London) ภูเขาน้ำแข็งนี้ล่องลอยด้วยความเร็วมากขึ้นมาตั้งแต่ปีที่แล้ว และภูเขาน้ำแข็งนี้กำลังจะลอยออกไปนอกน่านน้ำทวีปแอนตาร์กติกา ภูเขาน้ำแข็ง A23a มีขนาดใหญ่โตมาก ไม่เพียงแค่ความกว้างของมันเท่านั้นที่น่าตื่นตาตื่นใจ แต่ยังรวมถึงความหนาของมันที่หนากว่า 400 เมตรด้วย หากจะให้เทียบเคียงกับตึก เดอะ ชาร์ด ในกรุงลอนดอน ซึ่งเป็นตึกสูงที่สุดของยุโรปที่มีความสูง 310 เมตร ก็ยังสูงน้อยกว่าแผ่นน้ำแข็งนี้ ภูเขาน้ำแข็ง A23a เคยเป็นส่วนหนึ่งของ ภูเขาน้ำแข็งที่แตกตัวจาก หิ้งน้ำแข็งฟิลช์เนอร์ ครั้งหนึ่งในอดีต ภูเขาน้ำแข็งนี้เคยเป็นที่ตั้งของสถานีวิจัยของสหภาพโซเวียต แต่ด้วยการแตกตัวของภูเขาน้ำแข็งนี้ ทำให้รัสเซียเกรงว่าอุปกรณ์ต่าง ๆ อาจจะสูญหายไปด้วย จึงได้ย้ายอุปกรณ์สำคัญเกี่ยวกับการสำรวจออกมาจากฐานสำรวจ Druzhnaya 1 ทว่า ภูเขาน้ำแข็งนั้นกลับเคลื่อนออกไปไม่ไกลนักก่อนที่ส่วนล่างสุดของมันติดแน่นิ่งในตมด้านล่างของทะเลแวดเดลล์ แล้วเหตุใด ภูเขาน้ำแข็ง A23a จึงกลับมาเคลื่อนที่อีกครั้งหลังผ่านไปเกือบ 40 ปี "ผมถามเพื่อนร่วมงานหลายคนเกี่ยวกับเรื่องนี้ ว่ามีการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิในหิ้งน้ำแข็งที่อาจจะเป็นสาเหตุของการเคลื่อนตัวครั้งนี้หรือไม่ แต่ทุกคนลงความเห็นว่า มันถึงเวลาของมัน" ดร.แอนดรูว เฟลมมิ่ง ผู้เชี่ยวชาญด้านการสำรวจระยะทางไกลจากคณะสำรวจทวีปแอนตาร์กติกาของสหราชอาณาจักร กล่าว "ภูเขาน้ำแข็งนี้จอดนิ่งนับตั้งแต่ปี 1986 แต่ในที่สุดมันได้ลดขนาดลงจนเพียงพอที่จะสูญเสียการยึดเกาะจนทำให้มันเริ่มเคลื่อนไหว ผมสามารถตรวจจับการเคลื่อนไหวของมันได้ครั้งแรกในปี 2020" ภูเขาน้ำแข็ง A23a เริ่มเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วในหลายเดือนที่ผ่านมา โดยมีปัจจัยหลักคือ กระแสลมและกระแสน้ำทะเล ทำให้ในขณะนี้ ภูเขาน้ำแข็งนี้ได้เดินทางผ่านส่วนปลายสุดด้านเหนือของคาบสมุทรแอนตาร์กติกไปแล้ว เช่นเดียวกันกับภูเขาน้ำแข็งส่วนใหญ่ที่มาจากส่วนแวดเดลล์ ภูเขาน้ำแข็ง A23a จะถูกดีดออกมาอยู่ในกระแสน้ำเย็นรอบขั้วโลกใต้ (Antarctic Circumpolar Current) ที่จะพัดพาภูเขาน้ำแข็งเหล่านี้ออกสู่ทางใต้ของมหาสมุทรแอตแลนติก ตามเส้นทางที่รู้จักกันในชื่อว่า "ตรอกภูเขาน้ำแข็ง" (iceberg alley) นี่คือกระแสน้ำและทิศทางลมที่เซอร์ เออร์เนสต์ แชกเคิลตัน นักสำรวจที่มีชื่อเสียงใช้ในการเดินทางออกจากแอนตาร์กติกาในปี 1916 หลังจากที่เรือเอนดูแรนซ์ (Endurance) ของเขากระแทกกับน้ำแข็งในทะเล จนสูญเสียเรือลำนี้ไป ขณะที่แชกเคิลตัน ตั้งเป้าที่จะเดินทางไปยังเซาท์จอร์เจีย ซึ่งเป็นเกาะที่จะมองเห็นภูเขาน้ำแข็งขนาดใหญ่อยู่นอกชายฝั่ง ส่วนของก้อนภูเขาน้ำแข็งที่จมลึกอยู่ใต้น้ำ ทำให้มันอาจจะติดอยู่บริเวณหิ้งที่ยื่นออกมาจากแผ่นดินใหญ่บริเวณน้ำตื้นซึ่งอยู่ในดินแดนโพ้นทะเลของอังกฤษ (British Overseas Territory) ในที่สุด ภูเขาน้ำแข็งทั้งหมด ไม่ว่าจะมีขนาดใหญ่เพียงใด ก็จะละลายหายไป ส่วนตอนนี้ นักวิทยาศาสตร์ก็กำลังติดตามพัฒนาการของภูเขาน้ำแข็งนี้อย่างใกล้ชิด หากว่าภูเขาน้ำแข็งนี้เดินทางมายังเซาท์จอร์เจีย มันก็อาจจะสร้างปัญหาหลายอย่างต่อชีวิตของแมวน้ำ เพนกวิน รวมถึงนกทะเลชนิดอื่น ๆ อีกหลายล้านตัวซึ่งอาศัยและแพร่พันธุ์ในเกาะดังกล่าว เนื่องจากขนาดอันมหึมาของภูเขาน้ำแข็ง A23a อาจกีดขวางเส้นทางการหาอาหารของสัตว์เหล่านั้น รวมถึงทำให้การนำอาหารมาเลี้ยงลูกยากลำบากขึ้น การมองว่าภูเขาน้ำแข็งนี้เป็นวัตถุอันตรายอาจจะเป็นความคิดที่ผิด แต่ควรพิจารณาถึงความสำคัญของมันต่อสภาพแวดล้อมให้มากขึ้น กล่าวคือ เมื่อภูเขาน้ำแข็งขนาดใหญ่เหล่านี้ละลายลง มันจะปลดปล่อยฝุ่นผงแร่ธาตุที่ถูกกักเก็บมาตั้งแต่ครั้งยังเป็นส่วนหนึ่งของธารน้ำแข็งที่ไถครูดกับหินดานของทวีปแอนตาร์กติกา ซึ่งฝุ่นผงเหล่านั้นคือแหล่งสารอาหารสำหรับสิ่งมีชีวิตในห่วงโซ่อาหารในมหาสมุทร "ภูเขาน้ำแข็งถือว่าเป็นผู้ให้ชีวิต และเป็นจุดกำเนิดสำหรับกิจกรรมมากมายทางชีววิทยา" ดร.แคเธอลีน วอล์กเกอร์ จากสถาบันสมุทรศาสตร์วูดส์โฮล ผู้ที่เกิดในปีเดียวกันกับภูเขาน้ำแข็ง A23a กล่าว "มันมีความหมายต่อฉัน และมันจะยังคงอยู่ที่นั่นสำหรับฉันตลอดไป" เธอกล่าวทิ้งท้าย https://www.bbc.com/thai/articles/cz42grzd4z0o
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#2
|
||||
|
||||
|
ขอบคุณข่าวจาก BBCThai
5 ความเข้าใจผิด ๆ เรื่อง "โลกร้อน" ที่แพร่หลายอยู่บนโลกออนไลน์ ................ โดย มาร์โค ซิลวา ผู้สื่อข่าวบีบีซี ![]() ความจริงที่ว่าโซเชียลมีเดียเต็มไปด้วยข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง หรือก่อให้เกิดความเข้าใจผิดเกี่ยวกับเรื่อง "การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ" หรือ "โลกร้อน" ถูกบันทึกไว้เป็นอย่างดี ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า นี่เป็นปัญหา เพราะถ้าผู้คนเชื่อเรื่องเท็จ มาตรการเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอาจล่าช้าออกไป บีบีซีตรวจสอบ 5 ความเข้าใจผิดที่พบบ่อยครั้งในโลกออนไลน์ ความเชื่อผิด ๆ 1: การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศไม่ใช่เรื่องจริง ในติ๊กตอก วิดีโอภาษาสเปนเผยแพร่ข้อมูลแบบผิด ๆ ว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่มนุษย์สร้างขึ้นไม่มีอยู่จริง และมีผู้รับชมหลายพันครั้ง ข้อความในโซเชียลมีเดียลักษณะนี้ยังแพร่กระจายไปในภาษาต่าง ๆ ทว่าหลักฐานทางวิทยาศาสตร์จำนวนมากบอกเล่าเรื่องราวที่แตกต่างออกไป นับตั้งแต่ปลายทศวรรษ 1800 อุณหภูมิเฉลี่ยทั่วโลกเพิ่มขึ้นแล้ว 1.1 องศาเซลเซียส นักวิทยาศาสตร์เชื่อมโยงอย่างชัดเจนว่า นี่เป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของการเผาเชื้อเพลิงฟอสซิล (ถ่านหิน น้ำมัน และก๊าซธรรมชาติ) ซึ่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกออกสู่ชั้นบรรยากาศ ก๊าซเหล่านี้ เช่น คาร์บอนไดออกไซด์ มีเทน เก็บพลังงานส่วนเกินในชั้นบรรยากาศโลกไว้ แล้วทำให้โลกร้อนขึ้นกว่าเดิม ภาวะโลกร้อนได้ส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง มหาสมุทรกำลังร้อนขึ้น ระดับน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้น สัตว์ต่าง ๆ กำลังจะสูญพันธุ์ และยังส่งผลกระทบต่อแหล่งอาหาร นอกจากนี้ เหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้ว เช่น คลื่นความร้อน ยังเกิดบ่อยขึ้นและรุนแรงกว่าเดิม "การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ไม่ใช่เป็นเพียงหลักการนามธรรมที่จับต้องไม่ได้" อิซิดีน ปินโต นักวิทยาศาสตร์ภูมิอากาศชาวโมซัมบิก จากสถาบันอุตุนิยมวิทยารอยัลเนเธอร์แลนด์ กล่าว "สิ่งเหล่านี้เป็นการเปลี่ยนแปลงที่จับต้องได้และสังเกตได้ ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ด้านภูมิอากาศได้ศึกษาและบันทึกไว้อย่างกว้างขวาง" ความเชื่อผิด ๆ 2: การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในปัจจุบันเป็นเรื่องธรรมชาติ ข้อความภาษาฝรั่งเศสในแพลตฟอร์มเอ็กซ์ (ทวิตเตอร์เดิม) อธิบายแบบผิด ๆ ว่าภาวะโลกร้อนเป็นกระบวนการ "ธรรมชาติ" โดยมนุษย์มีอิทธิพลเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีเลย คำกล่าวอ้างนี้เกิดขึ้นอยู่บ่อย ๆ ในหมู่ผู้ใช้งานสื่อสังคมออนไลน์ ซึ่งตั้งคำถามถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่มนุษย์สร้างขึ้น เพื่อสนับสนุนมุมมองของพวกเขาที่มักจะพูดว่าในตลอดประวัติศาสตร์โลกของเรา มีวัฏจักรที่โลกร้อนขึ้นและเย็นลงสลับกันเกิดขึ้นหลายครั้ง การดำรงอยู่ของวัฏจักรเหล่านั้นได้รับการบันทึกไว้อย่างดี แต่ส่วนใหญ่เกิดขึ้นด้วยเหตุผลทางธรรมชาติ เช่น การเปลี่ยนแปลงวงโคจรของโลกรอบดวงอาทิตย์ นักวิทยาศาสตร์พิสูจน์แน่ชัดแล้วว่า หากมนุษย์ไม่เผาเชื้อเพลิงฟอสซิล ภาวะโลกร้อนในปัจจุบันก็คงไม่เกิดขึ้น อัตราความเร็วที่โลกร้อนขึ้นถือว่ามีนัยสำคัญเช่นกัน ครั้งสุดท้ายที่โลกเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงด้านอุณหภูมิที่สำคัญ อุณหภูมิเฉลี่ยทั่วโลกเพิ่มขึ้น 5 องศาเซลเซียสในช่วงเวลาหลายพันปี แต่อัตราการอุ่นขึ้นในปัจจุบันเร็วกว่านั้นมาก ในเวลาประมาณ 150 ปี ดาวเคราะห์ดวงนี้อุ่นขึ้นแล้ว 1.1 องศาเซลเซียส นักวิทยาศาสตร์บอกว่า ภายใต้ตามคำมั่นสัญญาด้านสภาพภูมิอากาศในปัจจุบัน อุณหภูมิโลกมีแนวโน้มว่าอาจเพิ่มขึ้นประมาณ 2.5 องศาเซลเซียสภายในสิ้นศตวรรษนี้ ความเชื่อผิด ๆ 3: การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศไม่ใช่ปัญหาของเรา ผู้ใช้งานเอ็กซ์ในไนจีเรียโพสต์ข้อความว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศไม่ใช่ปัญหาของแอฟริกา นี่เป็นหัวข้อทั่วไปที่พบเห็นได้ในกลุ่มผู้ใช้โซเชียลมีเดียในประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งบางครั้งอธิบายว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็น "ปัญหาของชาวตะวันตก" โดยแทบไม่มีความเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของพวกเขาเลย ยังมีความเข้าใจผิดอื่น ๆ อีกว่า การดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศเป็นส่วนหนึ่งของ "แผนการ" ของประเทศที่ร่ำรวยกว่าเพื่อยับยั้งการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศเกิดใหม่ ประเทศที่มีความมั่งคั่ง เช่น สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร จีน หรือสหภาพยุโรป มีส่วนรับผิดชอบต่อการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในอดีต ซึ่งก่อให้เกิดภาวะโลกร้อน อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศไม่มีขอบเขต และเกิดผลกระทบไปทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศรายได้น้อยซึ่งหลายชาติขาดแคลนทรัพยากรในการเตรียมการรับมือกับปัญหา ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมานี้ พื้นที่บางส่วนของตะวันออกกลาง เช่น ซีเรีย อิรัก และอิหร่าน ได้รับผลกระทบจากภัยแล้งเช่นกัน ในขณะที่แอฟริกาตะวันออก เช่น เคนยา เอธิโอเปีย และโซมาเลีย ได้รับผลกระทบจากมหาอุทกภัย "การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นปัญหาระดับโลก แต่ส่งผลกระทบอย่างไม่เท่าเทียมกัน" ฟาร์ฮานา ซัลทานา จากมหาวิทยาลัยซีราคิวส์ ในสหรัฐฯ กล่าว "มันส่งผลกระทบต่อชุมชนสังคมของในประเทศกำลังพัฒนามากกว่าในประเทศพัฒนาแล้ว ทั้งที่จริงพวกเขามีส่วนทำให้เกิดปัญหาน้อยที่สุด" สิ่งนี้ทำให้นักเคลื่อนไหวด้านสภาพภูมิอากาศบางคนเรียกร้องให้ประเทศที่ร่ำรวยกว่าเป็นผู้นำในการระดมทุนสนับสนุนเพื่อป้องกันการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเพิ่มเติม (การบรรเทาผลกระทบ) และช่วยเหลือประเทศอื่นในการจัดการกับความเสียหายที่เกิดขึ้นแล้ว (การปรับตัว) "ทุกประเทศจำเป็นต้องตอบสนองอย่างแข็งขัน ทั้งเพื่อบรรเทาผลกระทบที่เกิดขึ้นและการปรับตัวอย่างสุดความสามารถ โดยผู้ปล่อยก๊าซสูงสุดต้องใช้ความพยายามมากขึ้นเพื่อลดปัญหาสภาพภูมิอากาศที่เลวร้ายลง" ซัลทานากล่าว ความเชื่อผิด ๆ 4: ระดับน้ำทะเลไม่ได้เพิ่มขึ้น ข้อความหนึ่งบนแพลตฟอร์มเอ็กซ์เขียนเป็นภาษาโปรตุเกส แสดงให้เห็นความเข้าใจอย่างผิด ๆ ที่ว่าระดับน้ำทะเล "ยังคงเหมือนเดิม" แม้ว่าโลกจะร้อนขึ้นก็ตาม คำกล่าวอ้างที่คล้ายกันนี้มักโพสต์ประกอบภาพถ่ายของพื้นที่ชายฝั่งทะเล โดยมีจุดมุ่งหมายชี้ชวนให้เห็นว่าระดับน้ำทะเลที่เพิ่มขึ้นไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า เมื่อโลกร้อนขึ้น น้ำแข็งที่ติดอยู่บนพื้นดินในธารน้ำแข็งและแผ่นน้ำแข็งก็เริ่มละลาย ทำให้ปริมาณน้ำในมหาสมุทรเพิ่มขึ้น นอกจากนั้น น้ำจะขยายตัวเมื่ออากาศอุ่นขึ้น และองค์กรด้านอวกาศของสหรัฐฯ (นาซา) ระบุว่า มหาสมุทรได้ดูดซับความร้อนของโลกไว้แล้วถึง 90% ดังนั้นเมื่ออุณหภูมิน้ำเพิ่มสูงขึ้น มหาสมุทรก็ขยายตัวด้วย มีการประเมินว่า ในช่วงเวลาเพียง 100 ปี ระดับน้ำทะเลทั่วโลกได้เพิ่มสูงขึ้นจากเดิม 160 เป็น 210 มม. กระบวนการนี้มีแต่จะเร็วขึ้นเท่านั้นและเริ่มส่งผลกระทบแล้ว น้ำทะเลที่สูงขึ้นหมายถึงการกัดเซาะชายฝั่งจะเร่งตัวขึ้น และมีแนวโน้มว่าจะเกิดน้ำท่วมมากขึ้น นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่า หากไม่มีการดำเนินการอย่างรวดเร็ว ระดับน้ำทะเลอาจสูงขึ้นถึง 2 เมตรภายในสิ้นปี 2100 นั่นหมายความว่าผู้คนนับล้านที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ชายฝั่งทะเลอาจมองเห็นพื้นที่ของตนถูกน้ำท่วมหรือจมบาดาลนในเร็ว ๆ นี้ "การปรากฏของความเป็นจริงข้อนี้ เห็นได้ชัดเจนในชุมชนชายฝั่งแอฟริกาตะวันตกหลายแห่ง" อยูลา อโพโลลา นักศึกษาปริญญาเอกชาวไนจีเรียที่กำลังศึกษาการเพิ่มขึ้นอย่างรุนแรงของระดับน้ำทะเลที่เกิดจากสภาพภูมิอากาศ กล่าว เขายกตัวอย่างพลางชี้ไปที่เมืองอลาเจ ทางตะวันตกเฉียงใต้ของไนจีเรีย ซึ่งมีรายงานบางฉบับระบุว่า "ประชากรมากกว่าครึ่งหนึ่งต้องพลัดถิ่น" อันเป็นผลมาจากระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น ความเชื่อผิด ๆ 5: การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอาจเป็นสิ่งดีสำหรับพวกเรา ในประเทศที่เผชิญกับสภาพอากาศหนาวเย็นอย่างต่อเนื่อง แนวคิดเรื่องโลกร้อนขึ้นอาจฟังดูน่าสนใจในแว็บแรก ตัวอย่างเช่น ผู้ใช้เฟซบุ๊กในรัสเซียบอกว่าอากาศที่อุ่นขึ้นในฤดูใบไม้ร่วงเป็นผลในเชิงบวกของภาวะโลกร้อน ปัญหาก็คือผลประโยชน์เล็กน้อยใด ๆ ที่ได้จากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศนั้น เทียบไม่ได้เลยกับผลกระทบทางลบที่เกิดขึ้นกว้างขวางทั่วโลก สหประชาชาติประเมินว่า หากอุณหภูมิเฉลี่ยทั่วโลกเพิ่มขึ้น 1.5 องศาเซลเซียสภายในสิ้นศตวรรษนี้ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอาจทำให้โลกเสียหายถึง 54 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ทั้งนี้ ผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงเหล่านั้นจะแพร่กระจายไปอย่างกว้างขวาง ประเทศในตะวันออกกลาง อาจเห็นพื้นที่เกษตรกรรมกลายเป็นทะเลทราย ประเทศหมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิกอาจหายไปอยู่ใต้น้ำทะเลที่เพิ่มสูงขึ้น ประเทศในแอฟริกาอาจได้รับผลกระทบจากการขาดแคลนอาหาร แม้แต่ในประเทศที่หนาวเย็นกว่า เช่น รัสเซีย ไฟป่าก็จะเกิดขึ้นบ่อยขึ้น เนื่องจากสภาพอากาศร้อนขึ้นและแห้งมากขึ้น "ความจริงก็คือ เราได้เห็นเหตุการณ์สุดขั้วมากมายเกิดขึ้นทั่วโลกแล้ว" ผู้ช่วยศาสตราจารย์แทรง ดูวอง (Trang Duong) จากมหาวิทยาลัยทเวนเต ในเนเธอร์แลนด์กล่าว "คลื่นความร้อนเกิดขึ้นในอเมริกาเหนือ ยุโรป และจีนในเดือน ก.ค. 2023 นอกจากนี้ยังมีน้ำท่วมเกิดขึ้นบ่อยครั้งและรุนแรงขึ้นทั่วโลก ภัยพิบัติทั้งหมดนี้สร้างหายนะต่อชีวิตมนุษย์และก่อให้เกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจ" https://www.bbc.com/thai/articles/cd1p2zre5dno
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
![]() |
| คำสั่งเพิ่มเติม | |
| เรียบเรียงคำตอบ | |
|
|