![]() |
|
|
|
#1
|
||||
|
||||
|
ขอบคุณข่าวจาก เดลินิวส์
ตื่นตาตื่นใจ! 'ฉลามวาฬ' โผล่อวดโฉมอ่าวน้อยหน่า อุทยานฯเขาแหลมหญ้า-หมู่เกาะเสม็ด นักท่องเที่ยวสุดตื่นตาตื่นใจ 'ฉลามวาฬ' โผล่อวดโฉมอ่าวน้อยหน่า อุทยานฯเขาแหลมหญ้า-หมู่เกาะเสม็ด สร้างความประทับใจผู้พบเห็นเป็นอย่างมาก ![]() เมื่อวันที่ 31 ม.ค.67 นายนิทัศน์ นุ่นสง หัวหน้าอุทยานแห่งชาติเขาแหลมหญ้า-หมู่เกาะเสม็ด เปิดเผยว่า ช่วงบ่ายที่ผ่านมาได้รับแจ้งว่า มีนักท่องเที่ยวพบเห็น ฉลามวาฬ (Rhincodon typus) 1 ตัว โดยสามารถถ่ายคลิปได้บริเวณอ่าวน้อยหน่า ในเขต อุทยานฯเขาแหลมหญ้า-หมู่เกาะเสม็ด โดยมาใกล้ชายฝั่ง สร้างความตื่นตาตื่นใจแก่นักท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก ซึ่ง ฉลามวาฬ เป็นสัตว์ป่าสงวน ตาม พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่าแห่งชาติ พ.ศ.2562 ทั้งนี้ เคยมีข้อมูลการพบเจอ ฉลามวาฬ ในเขต อุทยานฯเขาแหลมหญ้า-หมู่เกาะเสม็ด ครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 19 มิ.ย.63 บริเวณร่องน้ำกึ่งกลางระหว่างเขาแหลมหญ้า กับเกาะเสม็ด https://www.dailynews.co.th/news/3134542/
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#2
|
||||
|
||||
|
ขอบคุณข่าวจาก ข่าวสด
รอดปาฏิหาริย์! หญิงถูกฉลามจู่โจม ขณะว่ายน้ำ อ่าวซิดนีย์ โชคดีเพื่อนบ้านช่วยทัน รอดปาฏิหาริย์! หญิงถูกฉลามหัวบาตรจู่โจม กัดขาเกือบขาด เจ็บสาหัส ขณะว่ายน้ำ ในอ่าวซิดนีย์ ออสเตรลีย โชคดีเพื่อนบ้านช่วยทัน ![]() ภาพประกอบ จาก CNN รายงานจากสื่อต่างประเทศ BBC เผย หญิงชาวออสเตรเลีย "ลอเรน โอนีล" (Lauren O?Neill) วัย 29 ปี ถูกฉลามหัวบาตรจู่โจม ระหว่างว่ายน้ำในอ่าวซิดนีย์ ประเทศ ออสเตรลีย โดยเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ขณะที่ 'ลอเรน' กำลังว่ายน้ำชมพระอาทิตย์ตกใกล้ท่าเรือเอกชน ในย่านเอลิซาเบธเบย์ อ่าวซิดนีย์ ก่อนจะถูก 'ฉลามหัวบาตร' (Bull shark) โจมตี กัดที่บริเวณขา จนมีแผลเหวอะหวะ บาดเจ็บสาหัส ด้าน 'ลอเรน' เปิดใจกับสื่อว่า โดยปกติแล้ว เธอมักจะว่ายน้ำแถวชายฝั่งเป็นประจำในวันที่อากาศร้อนอบอ้าว ในวันที่เกิดเหตุก็เช่นกัน เธอใช้ชีวิตปกติ ก่อนจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่เกือบคร่าชีวิตเธอ พยาน ไมเคิล พอร์เตอร์ บอกกับสกายนิวส์ ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ CNN ว่าเขาเพิ่งกลับจากที่ทำงานและได้ยินเสียงตะโกนขอความช่วยเหลือ เมื่อออกไปก็เจอ 'ลอเรน' เกาะบันไดที่ติดกับท่าเรือ ซึ่งล้อมรอบด้วยน้ำเป็นสีแดงจากเลือดราวกับหนังสยองขวัญ เขารีบเข้าช่วยเหลือ 'ลอเรน' ทันที ก่อนจะปฐมพยาบาลเบื้องต้น เคราะห์ดีของเธอที่มีสัตวแพทย์หญิงคนหนึ่งอยู่ในละแวกนั้น และเข้าช่วยห้ามเลือด พร้อมประสานหน่วยแพทย์ รายงานเผยว่า ทีมศัลยแพทย์ ทำงานหนักตลอดทั้งคืน เพื่อรักษาชีวิตและขาของเธอไว้ ?ลอเรน? ขอบคุณทุกคนจากใจจริงอย่างซาบซึ้งสำหรับทุกความช่วยเหลือ ทั้งยังขอบคุณเพื่อนบ้านละแวกนั้นที่กล้าหาญและใจดี ขอบคุณหน่วยแพทย์และตำรวจสำหรับการช่วยเหลือที่รวดเร็วและเอาใจใส่ เธอเผยอีกว่า "การฟื้นตัวเต็มที่ของเธอน่าจะเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงทักษะอันยอดเยี่ยมของพวกเขา" การโจมตีครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกในอ่าวซิดนีย์นับตั้งแต่ปี 2552 เมื่อฉลามหัวบาตรทำร้ายนักดำน้ำของกองทัพเรือออสเตรเลียใกล้เกาะกรีน ลินดา สก็อตต์ สมาชิกสภาซิดนีย์ เผยกับ CNN ว่า การโจมตีครั้งล่าสุดทำให้ประชาชนตกใจมาก อย่างไรก็ดี คงไม่สามารถสั่งห้ามประชาชนว่ายน้ำ เพียงแค่ย้ำเตือนเท่านั้น เป็นที่รู้กันดีว่า ท่าเรือซิดนีย์ เป็นที่อยู่อาศัยของฉลามหัวบาตร แต่การโจมตีในบริเวณนี้เกิดขึ้นไม่บ่อยนัก ผู้เชี่ยวชาญย้ำเตือนประชาชนให้งด หรือเลี่ยงว่ายน้ำในอ่าว ในวันที่อากาศร้อนจัด และช่วงเช้าตรู่หรือพลบค่ำ ซึ่งเป็นช่วงที่ฉลามออกหากินมาก ที่มา : CNN, BBC https://www.khaosod.co.th/special-stories/news_8076729
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#3
|
||||
|
||||
|
ขอบคุณข่าวจาก แนวหน้า
เรื่องนี้มีที่มา! ทำไมถึงห้ามปล่อย 'ปลาดุก' ลงแหล่งน้ำธรรมชาติ? "ปล่อยนกปล่อยปลา" เป็นวลีที่คนไทยในฐานะ "ชาวพุทธ" คุ้นเคยมาช้านาน เนื่องจากเป็นส่วนหนึ่งของการ "ทำบุญ" ในโอกาสต่างๆ ควบคู่กับการตักบาตรและถวายสังฆทานแด่พระภิกษุสงฆ์ อย่างไรก็ตาม เมื่อมนุษย์มีความรู้เรื่องสิ่งแวดล้อมหรือระบบนิเวศมากขึ้น การปล่อยนกปล่อยปลา (หรือปล่อยสัตว์ต่างๆ) จึงต้องทำอย่างระมัดระวังมากขึ้น ดังกรณีล่าสุดเมื่อนักร้องสาวคนดัง "กระแต อาร์สยาม" ต้องออกมาขอโทษสังคม หลังถูกติงเรื่องการ "ปล่อยปลาดุก" ด้วยเหตุว่าปล่อยไปแล้วจะทำลายระบบนิเวศ - ทำไมปลาดุกถึงห้ามปล่อยลงสู่ธรรมชาติ? : ข้อมูลจากมูลนิธิสืบนาคะเสถียร ระบุว่า แม้ไทยจะมีปลาดุกพันธุ์ท้องถิ่น คือ ปลาดุกอุย ปลาดุกด้าน ปลาดุกดัก ปลาดุกมอด และปลาดุกลำพัน แต่ที่น่าห่วงคือ "ปลาดุกบิ๊กอุย" ปลาดุกลูกผสมที่เกิดจากปลาดุกยักษ์จากทวีปแอฟริกากับปลาดุกอุย มีลักษณะภายนอกคล้ายปลาดุกอุย แต่มีขนาดใหญ่ มีกะโหลกท้ายทอยจะแหลมเป็นหยัก มีการเจริญเติบโตเร็ว เป็นหมัน กินได้ทุกอย่างที่ขวางหน้าทั้งพืชและสัตว์ จนกลายเป็นการแย่งชิงทรัพยากรสัตว์น้ำท้องถิ่น - ปลาดุกบิ๊กอุยมาจากไหน? : ข้อมูลจากคู่มือ "การเพาะเลี้ยงปลาดุกบิ๊กอุย" จัดทำโดย กรมประมง ระบุว่า ปลาดุกบิ๊กอุยเกิดจากการผสมพันธุ์ระหว่างแม่ปลาดุกอุย (Clarias macrocephalus) ซึ่งเป็นปลาดุกพื้นบ้านของไทย มีจุดเด่นคือเนื้อมีสีเหลืองรสชาติอร่อย กับพ่อปลาดุกเทศ (Clarias Gariepinus) มีถิ่นกำเนิดในทวีปแอฟริกา จุดเด่นคือมีขนาดใหญ่ เติบโตได้รวดเร็ว กินอาหารได้แทบทุกชนิด มีความต้านทานโรคสูงและปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมได้ดี ทั้งนี้ เดิมกรมประมงได้ตั้งชื่อปลาดุกผสมนี้ว่า ปลาดุกอุย-เทศ แต่ประชาชนทั่วไปจะนิยมเรียกว่าปลาดุกบิ๊กอุยมากกว่า - อะไรคือ Alien Spicies? : องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ อธิบายคำว่า Alien Species (เอเลียน สปีชีส์) หรือ "ชนิดพันธุ์ต่างถิ่น" ว่า หมายถึง สิ่งมีชีวิตทุกชนิด ที่ไม่เคยปรากฏในถิ่นฐานนั้นๆ มาก่อน แต่ถูกนำเข้ามาโดยวิธีใดๆ จากถิ่นฐานอื่น บางชนิดสามารถดำรงชีวิตและมีการแพร่กระจายได้ดีในธรรมชาติ เรียกว่า ชนิดพันธุ์เด่นในสิ่งแวดล้อมใหม่ (Dominant Species) จนกลายเป็น ชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่รุกราน (Invasive Alien Species) ทำให้ชนิดพันธุ์ท้องถิ่นมีความเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ ส่งผลต่อความหลากหลายทางชีวภาพจากโรคและสารพิษที่ติดมากับชนิดพันธุ์ต่างถิ่นรุกราน และอาจทำให้ระบบนิเวศเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง - Alien Species ทุกชนิดต้องสร้างปัญหาหรือไม่? : ต้องบอกว่า "ไม่เสมอไป" อย่าง ?พริก? เครื่องปรุงอาหารที่คนไทยขาดไม่ได้และเป็นภาพจำว่าด้วยส่วนประกอบของอาหารไทยในสายตาชาวโลก รวมถึง "ยางพารา" พืชเศรษฐกิจสำคัญของภาคใต้ ต้นกำเนิดไมได้อยู่บนแผ่นดินไทย แต่เดินทางมาไกลจากภูมิภาคลาตินอเมริกา (ทวีปอเมริกากลางและอเมริกาใต้) ในขณะที่ "ผักตบชวา" ซึ่งมีถิ่นกำเนิดในภูมิภาคลาตินอเมริกาเช่นกัน แต่กลับก่อปัญหาให้กับระบบนิเวศต่างถิ่นที่มันไปอยู่ เพราะไม่มีศัตรูตามธรรมชาติคอยควบคุมจำนวนอย่างในถิ่นกำเนิดทำให้แพร่พันธุ์ได้อย่างไม่จำกัด อย่างในประเทศไทย มีรายงานการเข้ามาของผักตบชวาตั้งแต่ปี 2444 และมีความพยายามกำจัดตั้งแต่ปี 2456 แต่จนปัจจุบันก็ยังไม่สำเร็จ เช่นเดียวกับ "จอกหูหนูยักษ์" โดยพืชทั้ง 2 ชนิด ขยายพันธุ์อย่างรวดเร็วจนกีดขวางการไหลของน้ำในแหล่งน้ำธรรมชาติของไทย - มีกฎหมายอะไรที่เกี่ยวข้องบ้าง? : หากเป็นการนำเข้าพืชจากต่างประเทศ จะเกี่ยวข้องกับ พ.ร.บ.กักพืช พ.ศ.2507 ซึ่งการนำเข้าทั้งเพื่อการศึกษา เพื่อการค้า สิ่งกำกัด (ที่มีกฎหมายกำหนดว่าหากจะมีการนำเข้า-ส่งออกหรือผ่านราชอาณาจักรจะต้องได้รับอนุญาตหรือปฏิบัติให้ครบถ้วนตามที่กำหนดไว้ในกฎหมายนั้นๆ) และสิ่งที่ไม่ต้องห้าม ขณะที่หากเป็นการนำเข้าสัตว์ (รวมถึงซากสัตว์) จะเกี่ยวข้องกับ พ.ร.บ.โรคระบาดสัตว์ พ.ศ.2558 แต่หากเป็น สัตว์น้ำ" จะอยู่ในส่วนของ พ.ร.ก.การประมง พ.ศ. 2558 และ พ.ร.ก.การประมง (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2560 แน่นอนว่าการทำบุญ มีจิตเมตตาต่อสรรพสัตว์ต่างๆ เพื่อความเป็นสิริมงคล สร้างขวัญกำลังใจแก่ตนเองเป็นสิ่งดีไม่ใช่เรื่องเสียหาย แต่ก็ต้องทำด้วยความเข้าใจ เพื่อไม่ให้กลายเป็นการสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างรู้เท่าไม่ถึงการณ์!!! https://www.naewna.com/likesara/784162
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#4
|
||||
|
||||
|
ขอบคุณข่าวจาก กรุงเทพธุรกิจ
รมช.กต.ประสาน กัมพูชา ร่วมลดจุดความร้อนจากการเผาไหม้ ![]() รมช.ต่างประเทศ เร่งหารือกัมพูชา ลดจุดความร้อน แก้ปัญหา PM 2.5 หลังปรากฏภาพถ่ายทางดาวเทียมโดยพบจุดความร้อนจากการเผาไหม้เป็นจำนวนมาก วันนี้ (31 ม.ค. 67) เวลา 19:36 น. กระทรวงการต่างประเทศ ชี้แจงกรณีปรากฏภาพถ่ายทางดาวเทียมว่า มีจุดความร้อนจากการเผาไหม้ (hot spot) จำนวนมากในกัมพูชา ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อปัญหาฝุ่นควันในพื้นที่ชายแดนของทั้งสองฝั่ง โดยระบุว่า ตามบัญชาของนายกรัฐมนตรี ให้กระทรวงการต่างประเทศประสานงานกับฝ่ายกัมพูชา เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว นายจักรพงษ์ แสงมณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้สั่งการให้อธิบดีกรมเอเชียตะวันออก โทรศัพท์หารือกับนายฮุน ซาเรือน เอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำประเทศไทย เพื่อร่วมกันหาแนวทางลดพื้นที่ hot spot ลงโดยเร็ว โดยฝ่ายไทยเองก็กำลังดำเนินการอยู่เช่นกันในฝั่งของไทยเช่นกัน ซึ่งเอกอัครราชทูตกัมพูชารับจะรีบแจ้งไปยังเมืองหลวงภายในวันนี้ต่อไป และเห็นพ้องว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญของนายกทั้งสองฝ่าย นอกจากนี้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศยังได้สั่งการให้เอกอัครราชทูต ณ กรุงพนมเปญ พบหารือกับผู้แทนระดับสูงของกัมพูชา โดยรัฐมนตรีช่วยว่าการฯ มีกำหนดจะโทรศัพท์ถึงนาย Eang Sophalleth รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสิ่งแวดล้อมของกัมพูชา ในวันที่ 2 ก.พ. นี้ ในโอกาสที่เอกอัครราชทูต ณ กรุงพนมเปญจะเข้าพบกับนาย Sophalleth เพื่อเร่งแก้ไขปัญหา PM 2.5 ร่วมกันโดยเร็วต่อไป https://www.bangkokbiznews.com/politics/1111137
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#5
|
||||
|
||||
|
ขอบคุณข่าวจาก ThaiPBS
ชุกชุม! สำรวจประชากร "ฉลามครีบดำ" อ่าวมาหยาพบ 126 ตัว กรมอุทยานฯ เผยผลสำรวจประชากร "ฉลามครีบดำ" อาศัยในอ่าวมาหยา 126 ตัว เร่งวางแนวทางอนุรักษ์สัตว์ผู้ล่า ![]() วันนี้ (31 ม.ค.2567) เพจประชาสัมพันธ์กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช รายงานว่าเมื่อวันที่ 20-26 ม.ค.ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ศูนย์ปฏิบัติการอุทยานแห่งชาติทางทะเลที่ 3 จ.ตรัง ร่วมกับเจ้าหน้าที่ส่วนจัดการพื้นที่คุ้มครองทางทะเล กองอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเล กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และทีม Thai Sharks and Rays ได้สำรวจติดตามประชากรและพฤติกรรมของฉลามครีบดำ (Carcharhinus melanopterus) ภายใต้โครงการสำรวจจำนวนและพฤติกรรมตามธรรมชาติของฉลามครีบดำในอ่าวมาหยา อุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี จ.กระบี่ เจ้าหน้าที่ทำการสำรวจด้วยการใช้การบินโดรน วันละ 3 ช่วงเวลา ประกอบด้วย เช้า-กลางวัน และเย็น เพื่อนับจำนวนประชากรฉลาม และตั้งกล้องถ่ายใต้น้ำ โดยใช้เหยื่อล่อ เพื่อสังเกตพฤติกรรมฉลามวันละ 4 เวลา (เช้า-กลางวัน-เย็น และค่ำ) และมีการวัดคุณภาพน้ำติดตั้ง Data Logger เพื่อเก็บข้อมูลอุณหภูมิรายชั่วโมงและข้อมูลแสง โดยในช่วงเช้าของวันที่ 22 ม.ค.ที่ผ่านมา พบประชากรของฉลามครีบดำมากที่สุดจำนวน 126 ตัว ซึ่งข้อมูลที่ได้จะนำไปวิเคราะห์ในเชิงลึก เพื่องานด้านการอนุรักษ์อย่างยั่งยืน ทั้งนี้การสำรวจฉลามครีบดำที่อ่าวมาหยา เพื่อทำความเข้าใจและหาแนวทางอนุรักษ์สัตว์ผู้ล่าแห่งท้องทะเลอันสง่างามชนิดนี้ สำหรับการกลับมาของฉลามครีบดำที่อ่าวมาหยา เกิดขึ้นเมื่อหลายปีก่อนหลังจากกรมอุทยานฯประกาศปิดอ่าวมหายา เพื่อฟื้นฟูปะการังและทรัพยากรทางทะเลที่เสื่อมโทรมจากการท่องเที่ยว จนกระทั่งพบฝูงฉลามครีบดำกลับมาอาศัยในอ่าวมาหยาเพิ่มจำนวนมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง https://www.thaipbs.or.th/news/content/336518
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#6
|
||||
|
||||
|
ขอบคุณข่าวจาก Nation
ข่าวดี "แม่เต่ามะเฟือง" ขึ้นวางไข่รังที่ 11 ของฤดูกาล ที่หาดท่าไทร จ.พังงา ข่าวดี "แม่เต่ามะเฟือง" ขึ้นวางไข่รังที่ 11 ของฤดูกาล ที่หาดท่าไทร จ.พังงา จนท.เฝ้าระวังป้องกันภัยคุกคามขณะแม่เต่าวางไข่ หลังแม่เต่ากลับลงทะเล จึงจัดทำคอกชั่วคราว ป้องกันสัตว์เลื้อยคลาน พร้อมจัดกำลังเฝ้าป้องกันภัยจนกว่าลูกเต่าจะฟักตัว-ลงสู่ทะเลอย่างปลอดภัย ![]() 31 มกราคม 2567 นายสุริยะ สอนเสริม ผอ.ส่วนส่งเสริมและประสานงานเครือข่ายทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง สบทช.6 เปิดเผยว่า เมื่อคืนที่ผ่านมา (30 ม.ค.) สำนักงานทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ 6 ได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ประจำศูนย์เฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์เต่ามะเฟืองหาดท่าไทร ต.นาเตย อ.ท้ายเหมือง จ.พังงา ว่ามีชาวบ้านพบ "แม่เต่ามะเฟือง" กำลังขึ้นวางไข่บริเวณชายหาดท่าไทร จึงกำชับให้เฝ้าระวังป้องกันภัยคุกคามขณะแม่เต่าวางไข่ และได้ร่วมกับเจ้าหน้าที่ศูนย์อนุรักษ์ทรัพยากรป่าชายเลนที่ 10 (ตะกั่วป่า พังงา) เดินทางถึงพื้นที่ ข่าวดี "แม่เต่ามะเฟือง" ขึ้นวางไข่รังที่ 11 ของฤดูกาล ที่หาดท่าไทร จ.พังงา จากการตรวจสอบพบแม่เต่ามะเฟืองขนาดใหญ่กำลังคลานเพื่อลงทะเล เจ้าหน้าที่รอจนแม่เต่าลงสู่ทะเล และทำการวัดร่องรอยพายคู่หน้ากว้าง 190 ซม. อกกว้าง 90 ซม. ตรวจหาตำแหน่งวางไข่และขุดหาไข่พบที่ระดับความลึก 53 ซม. ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางไข่ 5.05 ซม. จากนั้น ร่วมกับเจ้าหน้าที่ศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งทะเลอันดามันตอนบน ทำการเก็บตัวอย่างเพื่อตรวจวิเคราะห์ทางด้านพันธุกรรมและทางด้านวิทยาศาสตร์ โดยตำแหน่งแม่เต่าวางไข่อยู่ในตำแหน่งพ้นระดับน้ำทะเลท่วมถึง จึงกลบหลุมและจัดทำคอกชั่วคราวป้องกันภัยคุกคามจากสัตว์เลื้อยคลาน และจัดเจ้าหน้าที่เฝ้าป้องกันภัยคุกคามจนกว่าลูกเต่าฟักและลงสู่ทะเลอย่างปลอดภัย ซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 55-60 วัน ด้าน ดร.ก้องเกียรติ กิตติวัฒนาวงศ์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและพัฒนาทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งทะเลอันดามัน(ภูเก็ต) ได้โพสต์โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุข้อความว่า "เมื่อคืนประมาณสี่ทุ่ม มีแม่เต่ามะเฟืองขึ้นวางไข่รังที่ 11 ของฤดูกาล 66/67 ที่หาดท่าไทร ดูจากวงรอบการวางไข่และความกว้างรอยเดินที่ 190 ซม. ตอนแรกคิดว่าเป็นแม่ลำปี แต่เปรียบเทียบกับภาพแม่ลำปีพบว่าแตกต่างกัน แม่เต่าตัวนี้อาจเป็นแม่เต่าตัวใหม่หรืออาจมีความเป็นไปได้ที่จะเป็นโฉมหน้าของแม่ Big Mom" https://www.nationtv.tv/news/region/378939686
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
![]() |
| คำสั่งเพิ่มเติม | |
| เรียบเรียงคำตอบ | |
|
|