![]() |
|
|
|
#1
|
||||
|
||||
|
ขอบคุณข่าวจาก กรุงเทพธุรกิจ
'มีเทน' ตัวการ 'ก๊าซเรือนกระจก' รั่วไหลจาก 'บ่อขยะ' 1,200 ครั้งทั่วโลก ข้อมูลจากดาวเทียมชี้ "ก๊าซมีเทน" หนึ่งใน "ก๊าซเรือนกระจก" ที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อน รั่วไหลรุนแรงจาก "บ่อขยะ" กว่า 1,200 ครั้ง ซึ่งเกิดจากการไม่แยกขยะอินทรีย์ เช่น เศษอาหาร ซากพืช ออกก่อนทิ้งขยะ ผู้เชี่ยวชาญชี้ต้องรีบแก้ไข "ปัญหาขยะ" ก่อนสายเกินแก้ ![]() สำนักข่าว The Guardian เปิดเผยการวิเคราะห์ข้อมูลจากดาวเทียมทั่วโลก พบว่าเกิดการรั่วไหลของ ?ก๊าซมีเทน? เป็นหนึ่งใน ?ก๊าซเรือนกระจก? ตัวการที่ทำให้เกิด ?ภาวะโลกร้อน? จากบ่อขยะมากกว่า 1,000 ครั้งนับตั้งแต่ปี 2019 โดยประเทศที่พบการรั่วไหลของก๊าซมีเทนจากประเทศในเอเชียใต้ทั้ง ปากีสถาน อินเดีย และบังกลาเทศ ตามมาด้วย อาร์เจนตินา อุซเบกิสถาน และสเปน ซึ่งเป็นประเทศเดียวในกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้วที่มีปัญหาการปล่อยก๊าซมีเทนจากบ่อขยะ พื้นที่ฝังกลบขยะจะปล่อยก๊าซมีเทนเมื่อขยะอินทรีย์ เช่น เศษอาหาร ไม้ การ์ด กระดาษ และซากพืชซากสัตว์ ย่อยสลายโดยไม่มีออกซิเจน ซึ่งมีเทนสามารถดักจับความมร้อนในชั้นบรรยากาศได้มากกว่าคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 86 เท่าในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ทำให้หลายประเทศตั้งเป้าหมายจะลดการปล่อยก๊าซมีเทนให้ได้ นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่าจำนวนการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากหลุมขยะที่ไม่มีการจัดการที่ดีจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าภายในปี 2050 หากประชากรในเมืองจะยังเพิ่มขึ้น และไม่สามารถหลีกเลี่ยงพิบัติทางธรรมชาติได้เลย ข้อมูลใหม่นี้ระบุว่าตั้งแต่ปี 2019 จนถึง มิถุนายน 2566 มีการปล่อยก๊าซมีเทนครั้งใหญ่จากหลุมขยะ 1,256 ครั้ง ก๊าซมีเทน ตัวการใหญ่ปัญหาโลกร้อน การปล่อยก๊าซมีเทนเพิ่มขึ้นตั้งแต่ปี 2007 และคิดเป็น 1 ใน 3 ทั้งหมดก๊าซเรือนกระจกที่ทำให้เกิดวิกฤตสภาพภูมิอากาศทั่วโลกในปัจจุบัน และยังเพิ่มขึ้นอยู่เรื่อย ๆ โดยที่ไม่มีใครให้ความสำคัญ นอกจากจะเกิดจากบ่อขยะแล้วยังมีเกิดในธรรมชาติ โดยเฉพาะในพื้นที่ชุ่มน้ำ ประเด็นนี้ทำให้นักวิทยาศาสตร์ตระหนักว่า มีเทนอาจจะเป็นตัวขัดขวางที่ใหญ่ที่สุดในการรักษาอุณหภูมิโลกให้ต่ำกว่า 1.5 องศาเซลเซียส และอาจก่อให้เกิดหายนะต่อสภาพอากาศ เมื่อจำแนกประเภทการปล่อยก๊าซมีเทนทั้งหมดในปัจจุบัน พบว่า มี 20% ที่ปล่อยมาจากการทิ้งขยะอินทรีย์ของมนุษย์ อีก 40% เกิดจากการทำนาและปศุสัตว์ ส่วนการเผาไหม้ของเชื้อเพลิงฟอสซิลก่อให้เกิดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกถึง 40% โดยในปี 2022 เพียงปีเดียวเกิดเหตุการณ์ปะทุก๊าซมีเทนครั้งใหญ่จากแหล่งน้ำมัน ก๊าซ และถ่านหินมากกว่า 1,000 ครั้ง ศ.ยวน นิสเบต ผู้เชี่ยวชาญด้านก๊าซมีเทนจากมหาวิทยาลัยรอยัลฮอลโลเวย์แห่งลอนดอน กล่าวว่า "การฝังกลบขนาดใหญ่ทำให้เกิดก๊าซมีเทน ที่มีกลิ่นเหม็นจะติดไฟง่าย อีกทั้งจุลินทรีย์ในดินยังเปลี่ยนก๊าซมีเทนเป็นคาร์บอนไดออกไซด์ ส่งให้เกิดก๊าซเรือนกระจกถึง 97%" ทางด้าน คาร์ลอส ซิลวา ฟิลโญ ประธานสมาคมขยะมูลฝอยระหว่างประเทศกล่าวว่า ปัจจุบันมี 150 ประเทศที่ลงนามในคำมั่นสัญญาที่จะลดการปล่อยก๊าซมีเทนลดลง 30% ภายในปี 2030 ซึ่งจะทำไม่ได้เลย ถ้าเกิดประเทศต่าง ๆ ยังไม่สามารถจัดการกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากอุตสาหกรรมขยะได้ เพราะในตอนนี้มีขยะทั่วโลกประมาณ 40% ยังคงไม่ได้ถูกจัดการ อองตวน ฮาล์ฟ ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท Kayrros บริษัทให้บริการการวิเคราะห์ภาพดาวเทียม กล่าวว่า "หลุมขยะเป็นแหล่งผลิตก๊าซมีเทนขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียดายที่หลาย ๆ ประเทศสูญเสียโอกาสในการเปลี่ยนก๊าซเหล่านี้กลายเป็นเชื้อเพลิงใช้ในประเทศได้ กลับกลายเป็นแค่ก๊าซเรือนกระจกเท่านั้น" ปัญหาขยะเป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้าม ในปี 2020 เกิดการรั่วไหลของ นิวเดลี เมืองหลวงของอินเดีย มีเหตุการณ์ปลดปล่อยก๊าซมีเทนครั้งใหญ่อย่างน้อย 124 ครั้งจากการฝังกลบขยะ ดร. ริชา ซิงห์ จากศูนย์วิทยาศาสตร์และสิ่งแวดล้อมในเมืองนี้ กล่าวว่า ในตอนนี้มีเทนรั่วไหลจากอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซทั่วโลก ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน เหตุการณ์เลวร้ายที่สุดจากการรั่วไหลของก๊าซมีเทนในอินเดีย เกิดขึ้นในเดือนเมษายน 2022 ที่กรุงนิวเดลี ในครั้งนั้นมีก๊าซมีเทนไหลเข้าสู่ชั้นบรรยากาศในอัตรา 434 ตันต่อชั่วโมง เทียบเท่ากับมลพิษที่เกิดจากรถเบนซินจำนวน 68 ล้านคันที่วิ่งพร้อมกัน นอกจากจะทำให้อากาศสกปรกแล้ว "ภูเขาขยะ" ที่มีสูงถึง 60 เมตร และมีความกว้างสุดลูกหูลูกตา ยังส่งกลิ่นเหม็นคละคลุ้งไปทั่วอาณาบริเวณ และในช่วงฤดูร้อนจะเกิดไฟลุกไหม้ตลอดสัปดาห์ ทำให้ผู้คนในละแวกนั้นหายใจไม่ออกและส่งผลกระทบต่อสุขภาพ อาจทำให้เป็นโรคมะเร็งได้ ดร.ซิงห์กล่าวว่า ปรกติแล้วมีเทนเป็นก๊าซที่อยู่ในชั้นบรรยากาศประมาณ 0.0002% แต่บ่อขยะในอินเดียมีปริมาณก๊าซมีเทนระหว่าง 3-15% ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงมาก อินเดียเผชิญกับผลกระทบอย่างมากจากวิกฤติสภาพภูมิอากาศ ดังนั้นการลดก๊าซมีเทนจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง การจัดการกับหลุมขยะจะสามารถช่วยลดการเกิดเหตุเพลิงไหม้ มลพิษทางอากาศและน้ำได้ แม้ว่าประเทศที่ร่ำรวยส่วนใหญ่จัดการกับการรั่วไหลของมีเทนจากการทิ้งขยะได้อย่างดีเยี่ยม แต่การก็ยังมีการรั่วไหลอยู่ อย่างเช่น สหราชอาณาจักรก็ยังมีก๊าซรั่วถึง 4% "ขยะยังคงเป็นประเด็นที่ถูกละเลยและไม่ได้รับความสำคัญในหลายประเทศ โดยเฉพาะในประเทศแถบซีกโลกใต้ ผู้คนไม่ได้สนใจว่าขยะจะถูกส่งไปที่ไหน ถูกจัดการอย่างไร ขอแค่เอาขยะออกไปให้พ้นสายตาเท่านั้นก็พอแล้ว" ซิลวา ฟิลโญกล่าว จัดการการฝังกลบขยะให้ถูกวิธี การฝังกลบขยะสามารถทำได้อย่างรวดเร็วและราคาถูก แต่เป็นเพียงวิธีแก้ปัญหามลพิษบางส่วนเท่านั้น แถมสถานที่ฝังกลบส่วนใหญ่ในอินเดียและประเทศกำลังพัฒนา ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาถูกต้องตามหลักวิทยาศาสตร์ และไม่มีกลไกกำจัดของเสียและก๊าซมีเทน "หลุมขยะถือเป็นศูนย์กลางมลพิษก็ว่าได้ เพราะคุณจะพบมลพิษครบทุกประเภท ทั้งทางบก หน้าดิน น้ำใต้ดิน และอากาศอยู่ในนั้น ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ากังวลอย่างมาก" ซิงห์กล่าว ทั้งนี้เราสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการฝังกลบได้ด้วยการไม่ทิ้งขยะอินทรีย์ หรือมีการดักจับมีเทนที่ออกมาจากหลุมฝังกลบ ซึ่งทุกคนสามารถเริ่มต้นทำได้ด้วยตัวเอง และมีต้นทุนต่ำ และถือเป็นว่าอีกวิธีที่ช่วยลดก๊าซเรือนกระจกได้อย่างรวดเร็ว เมืองอินเทาร์ รัฐมัธยประเทศ ของอินเดีย ได้รับคัดเลือกให้เป็นเมืองที่สะอาดที่สุดของอินเดีย มีมาตรการแยกขยะอินทรีย์จำนวนมากตั้งแต่ต้นทาง เพื่อไม่ให้เกิดการฝังกลบขยะที่สามารถสร้างก๊าซมีเทนในอนาคตได้ พร้อมส่งขยะอินทรีย์เหล่านั้นให้กับโรงงานไบโอมีสำหรับผลิตเชื้อเพลิงแทน นอกจากนี้ เมืองยังได้ปรับปรุงพื้นที่ฝังกลบขนาด 100 เอเคอร์ และมีการปลูกต้นไม้เพื่อช่วยกำจัดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อีกด้วย การลดก๊าซมีเทนนับเป็นการลงทุนด้านสภาพอากาศที่ดี ทำได้ง่าย เห็นผลได้อย่างรวดเร็ว และเป็นสิ่งที่หลาย ๆ ประเทศมองข้าม ที่มา: The Guardian https://www.bangkokbiznews.com/environment/1113614
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#2
|
||||
|
||||
|
ขอบคุณข่าวจาก Nation
เตือนระวัง "แมงกะพรุนไฟเรือรบโปรตุเกส" หลังพบตายเกลื่อนหาดบ้านทอน พบ "แมงกะพรุนไฟเรือรบโปรตุเกส" มีพิษร้ายแรง ตายเกลื่อนหาดบ้านทอน จ.นราธิวาส แนะนักท่องเที่ยวเพิ่มความระมัดระวัง หากลงเล่นน้ำทะเลในช่วงนี้ เผยวิธีปฐมพยาบาลเบื้องต้นต้องทำอย่างไรหากโดนพิษ ![]() 17 กุมภาพันธ์ 2567 จากกรณีที่มีผู้ใช้เฟซบุ๊กของอบต.โคกเคียน อ.เมืองนราธิวาส และ มีผู้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า เจอกับตัวเลยทีนี้แมงกะพรุนไฟเรือรบโปรตุเกส ที่ชายหาดบ้านทอน คิดว่าน่าจะมีแทบจะตลอดแนวชายหาดเลย (เราเดินดูเฉพาะแถวโซนร้าน idyllic) มันตายแล้วแต่เข็มพิษมันก็ยังปล่อยเข็มพิษได้หากไปสัมผัส พิษมีผลต่อผิวหนัง ระบบประสาท หัวใจ หัวใจวายได้เลยระวังกันด้วยนะ ปล.หาดอื่นๆก็ต้องระวังนะคะ เมื่อวานมีคนเจอที่หาดสายบุรี หาดดาโต๊ะที่ปัตตานีด้วย จากนั้นทางเพจ อบต.โคกเคียน อ.เมืองนราธิวาส ได้ตรวจสอบแล้วพบว่า มีแมงกะพรุนนอนตายบริเวณชายหาดจริง ซึ่งเป็นสายพันธุ์ "เรือรบโปรตุเกส" มีลักษณะหัวมีสีขาว เหมือนหมวกทหารเรือรบโปรตุเกสโบราณ ลำตัวมีสีน้ำเงิน บางตัวมีความยาวถึง 2 เมตร มีพิษร้ายแรง โดยเฉพาะคนที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ หากไปโดนพิษแมงกะพรุนชนิดนี้ อาจจะทำให้เกิดอันตรายถึงชีวิต พบมากในช่วงมรสุม ส่งผลให้ในพื้นที่ชายฝั่งทะเลพบแมงกะพรุนไฟเรือรบโปรตุเกส ถูกคลื่นซัดเข้ามาบริเวณชายหาดต่างๆ จึงขอแจ้งเตือนให้นักท่องเที่ยวระมัดระวังตลอดการเดินบริเวณชายหาดด้วย ล่าสุดวันนี้ (17 ก.พ. 2567) ผู้สื่อข่าวได้ลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบ ซึ่งพบแมงกะพรุนไฟเรือรบโปรตุเกส หรือแมงกะพรุนหัวขวด ที่บริเวณชายหาดบ้านทอน ต.โคกเคียน อ.เมือง จ.นราธิวาส เป็นจำนวนมากนอนตายตลอดแนวชายหาด จึงขอประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวในพื้นที่ และนักท่องเที่ยวชาวมาเลเซียให้เพิ่มความระมัดระวังในการลงเล่นน้ำทะเลในช่วงนี้ ซึ่งแมงกะพรุนชนิดนี้มีพิษร้ายแรง และอาจทำให้ผู้ที่สัมผัสเสียชีวิตได้ แต่ยังไม่ได้รับรายงานผู้ที่ถูกแมงกะพรุนพิษดังกล่าว ด้าน นางสาวอาลามีน พนักงานร้าน idyllic เปิดเผยว่าทางร้านได้ทราบข่าวเมื่อช่วงตอนเย็นของวันที่ 15 ก.พ. จากลูกค้าของทางร้านที่ได้ไปเดินเล่นที่ชายหาดแล้วเจอแมงกะพรุนไฟเรือรบโปรตุเกสจึงได้เข้ามาแจ้งกับทางร้าน ซึ่งทางร้านมีมาตรการป้องกันเบื้องต้นคือจะแจ้งลูกค้าทุกคนที่เข้ามาในร้านว่ามีแมงกะพรุนไฟเรือรบโปรตุเกส และจะมีการติดป้ายระมัดระวังที่ร้านถึงลักษณะของแมงกะพรุนไฟเรือรบโปรตุเกส เพื่อให้ลูกค้าได้มีการระมัดระวังเมื่อมีการเดินเล่นที่ชายหาดดังกล่าว ส่วนวิธีดูแลตนเองเบื้องต้น หากพบหรือสัมผัสกับแมงกะพรุนไฟเรือรบโปรตุเกส มีดังนี้ - ห้ามเอามือไปจับหรือแตะหางหรือตัวมันเป็นอันขาด - หากสัมผัสตัวแมงกะพรุนไฟเรือรบโปรตุเกส สามารถปฐมพยาบาลเบื้องต้นโดยใช้น้ำทะเลชะล้างเศษหนวดและเข็มพิษ หรือหาวัสดุขอบเรียบแข็งครูดออกไปให้มากที่สุด - ห้ามใช้ "น้ำส้มสายชู" และ "น้ำจืด" ล้างแผลจากพิษแมงกะพรุนไฟหมวดโปรตุเกสโดยเด็ดขาด (แต่ในกรณีแมงกะพรุนกล่อง สามารถใช้น้ำส้มสายชูล้างแผลได้) - สังเกตอาการผู้ได้รับพิษอย่างใกล้ชิดแล้วนำส่งโรงพยาบาลที่อยู่ใกล้เคียง https://www.nationtv.tv/news/social/378940385
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
![]() |
| คำสั่งเพิ่มเติม | |
| เรียบเรียงคำตอบ | |
|
|