![]() |
|
|
|
#1
|
||||
|
||||
|
ขอบคุณข่าวจาก ThaiPBS
ครู - นักเรียน จ.ลพบุรี วิ่งหนีอลหม่าน ควันไฟเผาไร่อ้อย ปกคลุมทั่วพื้นที่ ![]() ครู นักเรียน จ.ลพบุรี หนีอลหม่าน ควันไฟเผาไร่อ้อย ปกคลุมทั่วบริเวณ บางคนหายใจไม่ออกต้องส่งโรงพยาบาล ครูอพยพนักเรียนโรงเรียนซอย 3 สาย 4 ซ้าย ต.โคกตูม อ.เมือง จ.ลพบุรี กว่า 300 คน ออกจากโรงเรียนกันอลหม่าน หลังกลุ่มควันไฟจากการเผาอ้อยปกคลุมไปทั่วบริเวณ โดยเด็กบางคนมีอาการหายใจไม่ออก ต้องนำตัวส่งโรงพยาบาล บางคนร้องไห้เพราะตกใจกลัว เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อ 20 ก.พ.2567 ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ใช้เวลาประมาณ 20 นาที จึงสามารถดับไฟได้ จากการสำรวจโรงเรียนแห่งนี้อยู่ติดกับไร่อ้อย พื้นที่ประมาณกว่า 30 ไร่ จุดที่เกิดเหตุอยู่ด้านหลังของโรงเรียน พบร่องรอยถูกเผาไหม้บางส่วน สันนิษฐานว่าสาเหตุจากเจ้าของไร่มีการทำแนวกันไฟ นายสายันต์ ยิ้มแฉ่ง ผู้อำนวยการโรงเรียน ซอย 3 สาย 4 ซ้าย กล่าวว่า วันเกิดเหตุขณะนักเรียนกำลังเรียนหนังสืออยู่ เกิดไฟไหม้ไร่อ้อยจนมีกลุ่มควันจำนวนมากลอยเข้ามาในโรงเรียน ส่งผลกระทบกับเด็ก ๆ จึงตัดสินใจอพยพนักเรียนออกจากโรงเรียน เพราะหวั่นไฟจะลุกลามไหม้เข้าไปในโรงเรียน เพื่อความปลอดภัยของนักเรียน และสั่งปิดเรียนเป็นเวลา 1 วัน เพื่อให้คุณครูและเจ้าหน้าที่ ช่วยกันทำความสะอาดตามห้องเรียนไม่ให้กระทบการเรียนการสอน แม้โรงเรียนจะมีแผนเผชิญภัยพิบัติ แต่ต้องการให้ชาวบ้านในพื้นที่งดเผาไร่อ้อย เพื่อลดผลกระทบต่อชุมชน ขณะที่ นายรัฐพล ธุระพันธ์ นายอำเภอเมืองลพบุรี เปิดเผยว่า สาเหตุไม่ได้เกิดจากการลักลอบเผาไร่อ้อย แต่มีคนเข้าไปจุดไฟถางป่าบริเวณอื่น แล้วลุกลามเข้ามาในไร่อ้อยจนขยายเป็นวงกว้าง ทำให้ดับไฟไม่ทัน ซึ่งเจ้าของไร่อ้อยได้ไปแจ้งความดำเนินคดีไว้แล้ว สั่งการให้ฝ่ายปกครองรณรงค์ลดการเผาในพื้นที่ต่อเนื่อง และดำเนินคดีกับผู้ลักลอบเผาทุกราย โดย อ.เมืองลพบุรี เป็นพื้นที่ห้ามเผาเด็ดขาด ด้านนายวิโรจน์ ผดุงกลิ่น นายกสมาคมชาวไร่อ้อยจังหวัดลพบุรี ระบุว่า ขณะนี้มีปริมาณอ้อยที่ตัดเข้าโรงงานในพื้นที่แล้วกว่า 550,000 ตัน โดยร้อยละ 30 เป็นอ้อยตัดสด, ร้อยละ 70 เป็นอ้อยไหม้ไฟ จากนอกพื้นที่ ขณะที่เกษตรกรส่วนใหญ่เลือกใช้วิธีตัดอ้อยสด มีเพียงร้อยละ 20 ที่ยังเผา เนื่องจากปัญหาขาดแคลนแรงงาน ล่าสุด โรงงานหีบอ้อย ขอขยายเวลาเปิดรับอ้อยไปจนถึงสิ้นเดือนนี้ จากเดิมที่จะปิดรับในวันที่ 25 ก.พ.นี้ ส่วนอีกพื้นที่ จ.สุพรรณบุรี ขณะนี้พบว่า เกษตรกรผู้ปลูกไร่อ้อย เร่งขนอ้อยไปส่งโรงงานหีบอ้อย ใน อ.ด่านช้าง เพราะใกล้จะปิดรับอ้อยในสัปดาห์หน้า จากการสังเกต พบว่าปีนี้เกษตรกรเลือกใช้วิธีตัดอ้อยสด มากกว่าอ้อยไหม้ไฟ เพราะได้ราคาดี เมื่อเปรียบเทียบกับปีที่ผ่านมา https://www.thaipbs.or.th/news/content/337389
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#2
|
||||
|
||||
|
ขอบคุณข่าวจาก กรุงเทพธุรกิจ
'มอส' พันปี ใน 'แอนตาร์กติกา' แห้งเฉาตาย จาก 'ภาวะโลกร้อน' ............. โดย กฤตพล สุธีภัทรกุล KEY POINTS - "มอส" สายพันธุ์ท้องถิ่นที่มีเฉพาะใน "แอนตาร์กติกา" กำลังแห้งเฉาตายจาก "ภาวะโลกร้อน" และโดนวัชพืช หรือมอสสายพันธุ์อื่นที่แข็งแรงกว่ารุกราน - ในสภาวะปรกติแล้ว มอสแอนตาร์กติกส่วนใหญ่จะมีสีเขียว แต่จะกลายเป็นสีแดงเมื่ออยู่ในสภาวะที่ไม่เอื้ออำนวย เช่น ขาดน้ำ ซึ่งถ้าสภาพแวดล้อมยังไม่สมบูรณ์ จะแห้งเฉาตายกลายเป็นกลายเป็นสีเทาในที่สุด - มอสจะช่วยให้พื้นแผ่นดินมีความอุดมสมบูรณ์ โดยมีไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และแมกนีเซียมมากกว่า รวมถึงมีการทำงานของเอนไซม์ในดินมากกว่าพื้นดินที่เปล่าที่ไม่มีพืชปกคลุม ![]() "แอนตาร์กติกา" ทวีปที่ขึ้นชื่อว่าเหน็บหนาวและขาวโพลนที่สุดในโลก ไร้ต้นไม้ แต่ที่จริงแล้วดินแดนแห่งขั้วโลกใต้มี "มอส" พันธุ์ท้องถิ่นที่หาไม่ได้ในพื้นที่อื่นในโลกขึ้นอยู่ แต่ด้วย "ภาวะโลกร้อน" ทำให้พืชจิ๋วค่อย ๆ ตายลง และถูกแทนที่ด้วยวัชพืช นักวิจัยพยายามทำงานอย่างเต็มที่เพื่อรักษาพืชพันธุ์ที่สำคัญกับทวีปนี้ไว้อย่างสุดความสามารถ มอส สามารถอยู่รอด ต้านภัยความหนาวเย็นและลมแรงของทวีปแอนตาร์กติกาได้นานหลายศตวรรษหรือนับพันปี โดยนักวิทยาศาสตร์ยกให้เป็น "ป่าขนาดจิ๋วที่เก่าแก่ที่สุด" ซึ่งพืชจิ๋วเหล่านี้ถือเป็นรากฐานสำคัญของความหลากหลายทางชีวภาพของแอนตาร์กติกา อีกทั้งช่วยให้นักวิทยาศาสตร์ล่วงรู้สภาพอากาศในอดีตได้อีกด้วย แต่ในตอนนี้ "การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ" กำลังรบกวนระบบนิเวศของทวีปแอนตาร์กติกา นักวิทยาศาสตร์กำลังพยายามค้นหาวิธีการปกป้องสายพันธุ์มอสที่มีอยู่เฉพาะที่นี่เท่านั้น "มอส" พืชสำคัญใน "แอนตาร์กติกา" มอสเป็นหนึ่งในพืชชนิดแรก ๆ ที่วิวัฒนาการมาอยู่บนบก เป็นพืชชนิดที่ไม่มีท่อลำเลียงน้ำและสารอาหาร ทำให้มีขนาดเล็กจะเติบโตได้อย่างจำกัด ดังนั้นพวกมันจึงมีลักษณะเป็นกระดุมเล็ก ๆ และเป็นพืชสายพันธุ์หลักในทวีปแอนตาร์กติกา โดยจะเติบโตเฉพาะในพื้นที่ปลอดน้ำแข็ง ในตอนนี้มีประมาณ 54,200 ตารางกิโลเมตร (แต่ในตอนนี้กำลังเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จากสภาวะโลกร้อน) ซึ่งส่วนมากอยู่ในบริเวณชายฝั่ง เกาะใต้แอนตาร์กติกนอกชายฝั่ง ยอดเขาที่ห่างไกล เทือกเขา และหุบเขา รวมถึงมอสบางสายพันธุ์สามารถเจริญเติบโตในทะเลสาบได้อีกด้วย สตีเฟน โชว์น ผู้อำนวยการของหน่วยงานรักษาความปลอดภัยของสิ่งแวดล้อมในแอนตาร์กติกา หรือ SAEF ทำหน้าที่ปกป้องรักษามอสเหล่านี้ "ไม่มีระบบนิเวศใดในโลกที่มอสมีบทบาทสำคัญเท่ากับแอนตาร์กติกา" ปรกติแล้วมอสในแอนตาร์กติกาจะมีชีวิตอยู่ภายใต้พายุฤดูหนาวราว ๆ 9-10 เดือน เมื่ออากาศอุ่นขึ้นเล็กน้อยในเดือนธันวาคม มอสที่แข็งตัวจะละลายและดูดซับน้ำเหมือนฟองน้ำ กลับมามีชีวิตอีกครั้ง ซึ่งเป็นคุณสมบัติพิเศษของมอสที่สามารถต่ออุณหภูมิที่ต่ำมากและความแห้งแล้งได้เป็นเวลานาน ไม่มีพืชชนิดอื่นที่สามารถเอาชีวิตรอดจากสภาพอากาศรุนแรงนี้ได้ ในแต่ละปีมอสจะเติบโตได้เพียงเศษเสี้ยวมิลลิเมตรต่อปี เพราะมีเวลาเติบโตสั้นมาก จึงต้องอาศัยการแพร่กระจายของสปอร์สำหรับขยายพันธุ์ ไปขึ้นในพื้นที่อื่น ๆ จากการศึกษาพบว่า พื้นดินที่มีต้นมอสปกคลุมจะมีความอุดมสมบูรณ์ โดยมีไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และแมกนีเซียมมากกว่า รวมถึงมีการทำงานของเอนไซม์ในดินมากกว่าพื้นดินที่เปล่าที่ไม่มีพืชปกคลุม นอกจากนี้มอสยังช่วยเพิ่มการกักเก็บคาร์บอน การหมุนเวียนของสารอาหาร และการสลายอินทรียวัตถุ ซึ่งเป็นกระบวนการเหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการดำรงชีวิตบนโลก อีกทั้งเป็นที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กจำนวนมาก เช่น หมีน้ำ เป็นต้น มอสแอนตาร์กติกาสามารถกลับมามีชีวิตหลังจากฝังอยู่ใต้ธารน้ำแข็งมานานหลายศตวรรษ ด้วยความสามารถนี้ทำให้มอสกลายเป็นเหมือนไดอารี่ที่บันทึกสภาพอากาศในอดีต ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่ามีมอสที่เก่าแก่ที่สุดมีอายุไม่ต่ำกว่า 5,500 ปี "มอส" กำลังเปลี่ยนสี การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทำให้แอนตาร์กติการ้อนขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะทางฝั่งตะวันตกของทวีป ซึ่งจะทำให้มอสจะขยายพันธุ์เพิ่มขึ้น แต่ขณะเดียวกัน นักวิทยาศาสตร์ก็พบว่ามอสในฝั่งตะวันออกกลับเหี่ยวเฉาลง เมลินดา วอเตอร์แมน และทีมวิจัยได้ค้นพบสัญญาณสภาพอากาศที่แปรปรวนจากการผ่าตัดขวางของต้นมอส "มีตัวอย่างมอสมากมายจากแอนตาร์กติกาตะวันออกที่กำลังแห้งตาย ซึ่งในตอนนี้เรากำลังตรวจสอบในเขตต่าง ๆ ว่ามีแนวโน้มเฉาตายหรือไม่" ในสภาวะปรกติแล้ว มอสแอนตาร์กติกส่วนใหญ่จะมีสีเขียว แต่จะกลายเป็นสีแดงเมื่ออยู่ในสภาวะที่ไม่เอื้ออำนวย เช่น การขาดน้ำ ซึ่งเกิดจากเม็ดสีในต้นมอสเปลี่ยนสีเมื่ออยู่ภายใต้ความเครียด แต่ถ้ามอสอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี ได้รับสารอาหารเพียงพออีกครั้ง ก็สามารถกลับมาเป็นสีเขียวได้อย่างเดิม แต่หากไม่ได้รับสารอาหารที่เพียงพอก็จะกลายเป็นสีเทาและตายในที่สุด ฮวน ซานดิโน ผู้เชี่ยวชาญด้านหุ่นยนต์จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีควีนส์แลนด์ กำลังพัฒนาระบบอัลกอริธึมในการใช้สีของมอสในการประเมินสุขภาพของพวกมัน เพื่อหาทางช่วยชีวิตพืชสำคัญของทวีปได้อย่างทันท่วงที ในตอนนี้แอนตาร์กติกาตะวันออกมีสภาพอากาศแห้งแล้งมากขึ้น ทำให้มอสพื้นเมืองถูกรุกรานจากสายพันธุ์ที่แข็งแรงกว่าและพบได้ทั่วโลก ขณะเดียวกันมอสในฝั่งคาบสมุทรแอนตาร์กติกากำลังถูกวัชพืช เช่น หญ้าแอนนัวบลูแกรสส์ เข้าแทนที่ นักวิจัยหวังว่าการทำงานอย่างต่อเนื่องของพวกเขาจะช่วยสามารถปกป้องพืชท้องถิ่นที่สำคัญกับแอนตาร์กติกาไม่ให้สูญพันธุ์ไปได้ "แอนตาร์กติกาเป็นสถานที่ที่พิเศษมากบนโลก เรามีหน้าที่ต้องดูแล" ศาสตราจารย์โชว์นกล่าวทิ้งท้าย ที่มา: ABC, The Conversation https://www.bangkokbiznews.com/environment/1114693
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#3
|
||||
|
||||
|
ขอบคุณที่ยังมีข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อมให้อ่านทุกวันค่ะ
__________________
Saaychol |
![]() |
| คำสั่งเพิ่มเติม | |
| เรียบเรียงคำตอบ | |
|
|