เลือกสีตามสไลต์ที่คุณชอบ:
SaveOurSea.NET  

กลับไป   SaveOurSea.NET > สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม

 
 
Share คำสั่งเพิ่มเติม เรียบเรียงคำตอบ
Prev คำตอบที่แล้วมา   คำตอบถัดไป Next
  #12  
เก่า 01-03-2024
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,809
Default

ขอบคุณข่าวจาก ThaiPBS


โลกร้อนทำพิษ ไทยเผชิญวิกฤต "ภัยแล้ง" วงกว้างนานกว่า 10 ปี



"ภัยแล้ง" หนึ่งในภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นบนโลก ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตของมนุษย์ และยังทำลายระบบนิเวศทั้งสัตว์ป่า ป่าไม้ แหล่งน้ำ เป็นบริเวณกว้าง ปี 2557-2558 เป็นช่วงที่ไทยประสบภัยแล้งหนักทั่วประเทศ จากผลกระทบของเอลนิโญ

ภัยแล้งคืออะไร

คือภัยธรรมชาติที่เกิดจากการขาดแคลนน้ำในพื้นใดพื้นที่หนึ่งเป็นเวลานาน จนก่อให้เกิดความแห้งแล้งและส่งผลกระทบต่อชุมชน ภัยแล้งไม่เหมือนกับภัยธรรมชาติรูปแบบอื่นๆ ที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน เช่น พายุเฮอร์ริเคน หรือ ภูเขาไฟระเบิด แต่ภัยแล้งในบางพื้นที่สามารถคงอยู่ได้นานนับสิบปี และยังสามารถสร้างความเสียหายต่อผู้คนและระบบนิเวศในระยะยาว มีสาเหตุ 2 อย่าง ได้แก่

1. สาเหตุจากธรรมชาติ ได้แก่ การเปลี่ยนแปลงของ อุณหภูมิโลก สภาพภูมิอากาศ ระดับน้ำทะเลเช่น วาตภัย แผ่นดินไหว

2. สาหตุจากมนุษย์ ได้แก่ การทำลายชั้นโอโซน ผลกระทบของภาวะเรือนกระจก การพัฒนาด้านอุตสาหกรรมและการตัดไม้ทำลายป่า

สำหรับภัยแล้งในประเทศไทย ส่วนใหญ่เกิดจาก ฝนแล้งและฝนทิ้งช่วง
ฝนแล้งเป็นภาวะปริมาณฝนตกน้อยกว่าปกติหรือฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล
ฝนทิ้งช่วงคือ ช่วงที่มีปริมาณฝนตกไม่ถึงวันละ 1 มม.ติดต่อกันเกิน 15 วัน ในช่วงฤดูฝนเดือนที่มีโอกาสเกิดฝนทิ้งช่วงสูงคือ เดือน มิ.ย. และ ก.ค.


ช่วงเวลาเกิดภัยแล้งในไทย

- ช่วงฤดูหนาวต่อเนื่องฤดูร้อน โดยเริ่มจากครึ่งหลังของเดือน ต.ค. เป็นต้นไป บริเวณประเทศไทยตอนบน จะมีปริมาณฝนลดลงเป็นลำดับ จนกระทั่งเข้าสู่ฤดูฝนในช่วงเดือน พ.ค. ของปีถัดไป ซึ่งภัยแล้งลักษณะนี้จะเกิดขึ้นเป็นประจำทุกปี

- ช่วงกลางฤดูฝน ช่วงปลายเดือน มิ.ย. - ก.ค. จะมีฝนทิ้งช่วงเกิดขึ้น ภัยแล้งลักษณะนี้เกิดขึ้นเฉพาะท้องถิ่นหรือบางบริเวณ แต่อาจครอบคุลมพื้นที่เป็นบริเวณกว้างเกือบทั่วประเทศ


ผลกระทบเมื่อเกิดภัยแล้ง

ภัยแล้งในประเทศไทยส่วนใหญ่มีผลกระทบต่อการเกษตรกรรม พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้งมาก ได้แก่ บริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนกลาง เพราะเป็นบริเวณที่อิทธิพลของมรสุมตะวันตกเฉียงใต้เข้าไปไม่ถึง และถ้าปีใดไม่มีพายุหมุนเขตร้อนเคลื่อนผ่านในแนวดังกล่าว จะก่อให้เกิดภัยแล้งรุนแรงมากขึ้น

1. ด้านเศรษฐกิจ ทำให้ผลผลิตด้านเกษตรกรรมลดลง ไม่เพียงพอต่อการบริโภคและการเลี้ยงปศุสัตว์ ทำให้เกิดการสิ้นเปลืองและสูญเสียผลผลิตด้านเกษตร ปศุสัตว์ ป่าไม้ ประมง รวมทั้งกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ

2. ด้านสิ่งแวดล้อม มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติรวมถึงผลกระทบด้านอุทกวิทยา ทำให้แหล่งน้ำตามธรรมชาติตื้นเขิน ระดับน้ำใต้ดินเปลี่ยนแปลงทำให้ปริมาณและระดับน้ำลดลง ทำให้ขาดแคลนน้ำ พื้นที่ชุ่มน้ำลดลง พื้นที่ที่เคยอุดมสมบูรณเกิดความแห้งแล้งส่งผลกระทบต่อที่อยู่อาศัยและแหล่งอาหารของสัตว์ต่าง ๆ ทำให้เกิดโรคกับสัตว์จนอาจถึงสูญเสียความหลากหลายพันธุ์ ทำให้ระดับน้ำในดินและคุณภาพน้ำเปลี่ยนแปลง

3. ด้านสังคม ประชาชนเกิดความอดอยากเนื่องจากขาดน้ำสะอาดในการอุปโภคบริโภค การจัดการคุณภาพชีวิตแย่ลง เกิดความขัดแย้งในการใช้น้ำ เกิดการละทิ้งถิ่นฐานไปทำงานในเมืองใหญ่ ปัญหาด้านอนามัยและโรคระบาด ปัญหาการว่างงานด้านอุตสาหกรรมและภาคเกษตรกรรม ส่งผลให้ให้เกิดการเคลื่อนย้ายแรงงานเข้าสู่สังคมเมือง ทำให้เกิดปัญหาสังคมเมือง

4. ด้านสาธารณสุข เกิดผลกระทบในด้านสุขภาพอนามัย เช่น เกิดภาวะขาดน้ำขาดสารอาหาร และเพิ่มโอกาสการเกิดโรคระบาด เนื่องจากในภาวะภัยแล้งอาจจำเป็นต้องมีการอนุรักษ์น้ำทำให้ประชาชนอาจลดการล้างมือและการปฏิบัติด้านสุขอนามัยอื่นๆ เพื่อประหยัดน้ำ จึงทำให้มีการแพร่เชื้อโรคได้ง่าย

นอกจากนี้ ผลกระทบจากภัยแล้งยังเกี่ยวข้องกับระบบสาธารณสุขในวงกว้างอีกด้วย เช่น ทำให้ปริมาณและคุณภาพน้ำอุปโภคบริโภคลดลง อาหารและโภชนาการที่ด้อยคุณภาพ สภาพความเป็นอยู่ของประชากรแย่ลง ผลกระทบด้านสุขภาพกาย-สุขภาพจิต อุบัติการณ์การเกิดโรค เป็นต้น


ปี 2557-2558 แล้งหนักทั่วประเทศ

ในปี 2557 เกิดสถานการณ์ฝนตกน้อยผิดปกติต่อเนื่อง ส่งผลให้เกิดภัยแล้งรุนแรงทั่วประเทศขึ้น โดยเฉพาะปี 2558 ปริมาณฝนรายปี อยู่ที่ 1,247 มม. ต่ำที่สุดเป็นประวัติการณ์ เนื่องจากได้รับผลกระทบจากปรากฏการณ์เอลนิโญกำลังแรงมาก (Very Strong Elnino/Super Elnino) แม่น้ำสำคัญหลายสายอย่างแม่น้ำปิงแห้งจนเดินข้ามได้

ปีนั้นกรมชลประทานประกาศงดปลูกพืชฤดูแล้ง 1,590,000 ไร่ แต่มีการปลูกจริงถึง 4,000,000 ไร่ ซึ่งเกินจากแผนไปมาก จึงมีการห้ามสูบน้ำจากคลองส่งน้ำต่างๆ เพื่อจัดสรรให้เพียงพอ ส่งผลให้พื้นที่เกษตรเสียหาย 1,650,000 ไร่ เกษตรกรประสบภัยกว่า 170,000 คน หลายพื้นที่เกิดภาพความขัดแย้งระหว่างผู้ใช้น้ำ เช่น ที่คลองมะขามเฒ่า-อู่ทอง จ.สุพรรณบุรี ชาวนาแย่งน้ำทำนาจนเกิดการกระทบกระทั่งกัน


ข้อมูลภัยแล้งในแต่ละจังหวัดทั่วประเทศไทยในรอบ 10 ปีที่ผ่านมาโดยกรมชลประทาน วิเคราะห์ถึงพื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดภัยแล้งได้ถึง 3 ระดับ ได้แก่

- พื้นที่เสี่ยงภัยแล้งระดับต่ำ (0 - 2 ครั้ง)

- พื้นที่เสี่ยงภัยแล้งระดับกลาง (3 - 4 ครั้ง)

- พื้นที่เสี่ยงภัยแล้งระดับสูง (5 - 6 ครั้ง)


โดยมีพื้นที่เสี่ยงภัยแล้งในระดับสูงในประเทศไทยถึง 24 จังหวัด แบ่งเป็น

- ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 11 จังหวัด ได้แก่ นครราชสีมา ชัยภูมิ กาฬสินธุ์ หนองคาย สกลนคร เลย ขอนแก่น มหาสารคาม มุกดาหาร นครพนม และ ศรีสะเกษ

- ภาคเหนือมี 5 จังหวัด ได้แก่ เชียงราย น่าน แพร่ พะเยา และ อุตรดิตถ์

- ภาคกลาง 8 จังหวัด ได้แก่ สุโขทัย นครสวรรค์ พิจิตร พิษณุโลก สุพรรณบุรี อุทัยธานี เพชรบูรณ์ และ กาญจนบุรี


มาตรการรองรับฤดูแล้งปี 2566/67

ตามมติการประชุมคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) ครั้งที่ 2/2566 เมื่อวันที่ 26 ต.ค.2566 เห็นชอบมาตรการรองรับฤดูแล้ง ปี 2566/67 ตามที่สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติเสนอ ดังนี้


1. เฝ้าระวังและเตรียมจัดหาแหล่งน้ำสำรอง พร้อมวางแผนเตรียมเครื่องจักรเครื่องมือในพื้นที่เฝ้าระวังเสี่ยงขาดแคลนน้ำ (ก่อนและตลอดฤดูแล้ง)

- คาดการณ์ชี้เป้าพื้นที่เฝ้าระวัง เสี่ยงขาดแคลนน้ำอุปโภค บริโภค การเกษตร และ คุณภาพน้ำ (ช่วงก่อนและระหว่างฤดูพร้อมทั้งติดตาม เฝ้าระวัง และประเมินสถานการณ์ตลอดฤดูแล้ง)

- สำรวจ ตรวจสอบ พื้นที่แหล่งเก็บกักน้ำสำรอง และจัดทำแผนปฏิบัติการสำรองน้ำในพื้นที่เฝ้าระวังเสี่ยงขาดแคลนน้ำดิบเพื่ออุปโภคบริโภคและการเกษตร

- เตรียมความพร้อมเครื่องจักรเครื่องมือ ให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน และเข้าช่วยเหลือในพื้นที่เฝ้าระวังเสี่ยงขาดแคลนน้ำได้ทันสถานการณ์

- จัดทำระบบฐานข้อมูลกลางที่มีมาตรฐานเพื่อใช้ในการบริหารจัดการพื้นที่เสี่ยง-พื้นที่เกิดเหตุ (บ่อบาดาล)


2. ปฏิบัติการเติมน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ

- จัดทำแผนปฏิบัติการฝนหลวงรองรับพื้นที่เฝ้าระวังเสี่ยงขาดแคลนน้ำ และปฏิบัติการเติมน้ำให้กับแหล่งน้ำพื้นที่เกษตรและพื้นที่เฝ้าระวังเสี่ยงขาดแคลนน้ำตามสภาพอากาศที่เหมาะสม

- จัดทำแผนปฏิบัติการและปฏิบัติการเติมน้ำใต้ดินในพื้นที่ที่มีศักยภาพ

- จัดทำแผนปฏิบัติการและปฏิบัติการสูบผันน้ำในพื้นที่ที่มีศักยภาพ


3. กำหนดแผนจัดสรรน้ำและพื้นที่เพาะปลูกพืชฤดูแล้ง

- กำหนดแผนการจัดสรรน้ำให้สอดคล้องกับปริมาณน้ำต้นทุน และสถานการณ์เอลนีโญ พร้อมแจ้งแผนให้กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รับทราบและปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด

- กำหนดแผนเพาะปลูกพืชฤดูแล้งและขึ้นทะเบียนเกษตรกร โดยระบุพื้นที่คาดการณ์เพาะปลูก และแหล่งน้ำที่นำมาใช้ให้ชัดเจน ในรูปแบบแผนที่เพื่อให้การเพาะปลูกสอดคล้องกับปริมาณน้ำต้นทุน พร้อมทั้งกำหนดมาตรการป้องกันและแก้ไขการเพาะปลูกพืชพื้นที่นอกแผนและพื้นที่ที่ไม่สามารถสนับสนุนน้ำเพื่อการเพาะปลูกได้ โดยมอบหมายหน่วยงานที่รับผิดชอบประชาสัมพันธ์และสร้างการรับรู้ให้กับเกษตรกรอย่างต่อเนื่อง

- ควบคุมการใช้น้ำของพื้นที่ลุ่มน้ำตอนบนให้เป็นไปตามแผน และมีประสิทธิภาพ เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบการขาดแคลนน้ำด้านอุปโภคบริโภคของพื้นที่ลุ่มน้ำตอนล่างและมอบหมายกระทรวงมหาดไทย ร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สร้างการรับรู้กับประชาชนในพื้นที่เพื่อควบคุมการส่งน้ำให้ตรงตามวัตถุประสงค์

- เตรียมน้ำสำรองสำหรับพื้นที่ลุ่มต่ำรับน้ำนอง โดยการสนับสนุนจัดสรรน้ำ เตรียมแปลงเพาะปลูกนารอบที่ 1 (นาปี)

- สำรวจ ตรวจสอบ คันคลอง เขื่อน ป้องกันตลิ่ง ถนนที่เชื่อมต่อกับทางน้ำในพื้นที่ที่อาจจะเกิดการทรุดตัว เนื่องจากระดับน้ำในทางน้ำที่อาจจะลดต่ำกว่าปกติ


4. บริหารจัดการน้ำให้เป็นไปตามลำดับความสำคัญ การใช้น้ำที่คณะกรรมการลุ่มน้ำกำหนด (ตลอดฤดูแล้ง) จัดสรรน้ำตามลำดับความสำคัญการใช้น้ำที่คณะกรรมการลุ่มน้ำแต่ละลุ่มน้ำกำหนดเพื่อรองรับสถานการณ์เอลนีโญ


5. เพิ่มประสิทธิภาพการใช้น้ำ ประหยัดน้ำ และลดการสูญเสียน้ำในทุกภาคส่วน

- สนับสนุนข้อมูลทางวิชาการถ่ายทอด เผยแพร่ผลการวิจัยและพัฒนา เพื่อให้หน่วยงานต่างๆ นำไปใช้ประโยชน์ในการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้น้ำภาคการเกษตร และส่งเสริมการปรับเปลี่ยนการเพาะปลูกพืชเพื่อลดความเสี่ยงต่อการขาดแคลนน้ำ และเพิ่มรายได้ในพื้นที่

- การประหยัดน้ำของหน่วยงานภาครัฐเอกชน และประชาชน

- ลดการสูญเสียน้ำในระบบประปาและระบบชลประทาน


6. เฝ้าระวังและแก้ไขคุณภาพน้ำ (ตลอดฤดูแล้ง) เฝ้าระวัง ตรวจวัด ควบคุม และแก้ไขคุณภาพน้ำในแม่น้ำสายหลัก แม่น้ำสายรอง รวมถึงแหล่งน้ำที่รับน้ำจากภาคอุตสาหกรรมการเกษตร และชุมชน รวมทั้งเตรียมแผนปฏิบัติการรองรับกรณีเกิดปัญหาและแจ้งเตือนพื้นที่ที่อาจได้รับผลกระทบ พร้อมทั้งรายงานผลการแก้ไขคุณภาพน้ำ


7. เสริมสร้างความเข้มแข็ง การบริหารจัดการน้ำของชุมชน องค์กรผู้ใช้น้ำ (ตลอดฤดูแล้ง) เสริมสร้างความเข้มแข็งด้านการบริหารจัดการน้ำของชุมชนและองค์ผู้ใช้น้ำที่เสี่ยงขาดแคลนน้ำ โดยสร้างความรู้ ความเข้าใจ ในการวางแผนการใช้น้ำจากแหล่งน้ำที่มีอยู่ การเตรียมจัดหาน้ำสำรอง และการกักเก็บให้มีน้ำเพียงพอสำหรับอุปโภคบริโภคและ/หรือการเกษตรตลอดฤดูแล้ง รวมทั้งพัฒนา/เพิ่มประสิทธิภาพแหล่งน้ำชุมชน


8. สร้างการรับรู้ ประชาสัมพันธ์ (ก่อนและตลอดฤดูแล้ง) สร้างการรับรู้ ประชาสัมพันธ์สถานการณ์และแผนบริหารจัดการน้ำ เพื่อให้เกิดความร่วมมือในการใช้น้ำอย่างประหยัดและเป็นไปตามแผนที่กำหนด


9. ติดตามและประเมินผลการดำเนินงาน

- ติดตามผลการดำเนินงานให้เป็นไปตามแผน รายงานผลการให้ความช่วยเหลือ และหากพบการขาดแคลนน้ำหรือภัยแล้ง ให้รายงานมายังกองอำนวยการน้ำแห่งชาติและคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ

- ประเมินผลการดำเนินงานตามมาตรการ พร้อมสรุปบทเรียน

ที่มา : กรมประมง, กรมอนามัย, กองบริหารจัดการลุ่มน้ำ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ สทนช., กองติดตามประเมินผลสิ่งแวดล้อม สำนักนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติ

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
 

คำสั่งเพิ่มเติม
เรียบเรียงคำตอบ

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 17:04


vBulletin รุ่น 3.8.10
สงวนลิขสิทธิ์ ©2000-2025, บริษัท Jelsoft Enterprises จำกัด
Ad Management plugin by RedTyger