![]() |
|
|
|
#1
|
||||
|
||||
|
ขอบคุณข่าวจาก กรุงเทพธุรกิจ
เตือนภัย กทม. ปี 73 หากไม่ทำอะไร คาร์บอนพุ่ง 53 ล้านตัน สูงขึ้น 23% ............... โดย จุลวรรณ เกิดแย้ม KEY POINTS - พ.ศ.2561 กรุงเทพฯ มีการปล่อย ก๊าซเรือนกระจก เท่ากับ 43.73 ล้านตัน คาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า - กิจกรรมที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 1.การขนส่งทางถนน 2. การใช้พลังงานในธุรกิจการค้าและหน่วยงานรัฐ 3. การใช้พลังงานในอุตสาหกรรมและการก่อสร้าง 4.การใช้พลังงานในที่พักอาศัย 5.การจัดการของเสียที่เกิดในพื้นที่ด้วยวิธีฝังกลบ - หากไม่มีการดำเนินการใดๆ การปล่อยก๊าซเรือนกระจก ในปี 2573 จะเท่ากับ 53,935,683 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า การเติบโตทางด้านการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 23% ![]() พ.ญ.วนัทนีย์ วัฒนะ ปลัดกรุงเทพมหานคร กล่าวในงาน เวทีผู้นำ "Climate Action Leaders Forum รุ่น 3" หรือ CAL Forum #3 ว่า สัดส่วนการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของกรุงเทพฯ ใน พ.ศ.2561 ผลการรวบรวมข้อมูลกิจกรรม และประเมินข้อมูลก๊าซเรือนกระจกของกรุงเทพมหานครปี พ.ศ.2561 กรุงเทพฯ มีการปล่อย ก๊าซเรือนกระจก เท่ากับ 43.73 ล้านตัน คาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (MtCO2e) ซึ่งภาคพลังงาน (Stationary Energy) นั้นเป็นกลุ่มกิจกรรมที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงสุด โดยกิจกรรมที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงสุด 5 อันดับแรก (96.66%) คือ 1.การขนส่งทางถนน 28.58% 2.การใช้พลังงานในธุรกิจการค้า และหน่วยงานรัฐ 25.65% 3.การใช้พลังงานในอุตสาหกรรมและการก่อสร้าง 18.37% 4.การใช้พลังงานในที่พักอาศัย 13.98% 5.การจัดการของเสียที่เกิดในพื้นที่ด้วยวิธีฝังกลบ และเป็นกิจกรรมที่มีนัยสำคัญต่อการดำเนินการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของกรุงเทพฯ ในอนาคต 10.08% ทั้งนี้หากไม่มีการดำเนินการใดๆ การปล่อยก๊าซเรือนกระจก ในปี 2573 จะเท่ากับ 53,935,683 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า การเติบโตทางด้านการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 23% ทาง กทม. ได้มีแผนแม่บทว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พ.ศ.2564 - 2573 โดยกรอบทำงานคือ การกำหนดดังนี้ วิสัยทัศน์กรุงเทพฯ และเป้าหมายด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งมีระดับชาติ ระดับประเทศ และระดับเมือง โดยแผนพัฒนากรุงเทพมหานคร ระยะ 20 ปี รวมถึงแผนแม่บทกรุงเทพมหานคร ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เป็นตัวกำหนดโดยระบุว่าภายในปี พ.ศ.2575 คุณภาพแหล่งน้ำธรรมชาติ ในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร มีแนวโน้มคุณภาพดีขึ้น และ มีปริมาณออกซิเจนละลายน้ำ (DO) ที่ทำให้สิ่งมีชีวิตในน้ำ สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ กรุงเทพมหานคร มีการบริหารจัดการมูลฝอยและของเสียอันตรายด้วยแนวคิดขยะเหลือศูนย์ (Zero waste management) โดยการนำกลับมาใช้ใหม่ (recycle) และทำให้ขยะเหลือน้อยที่สุด และกำจัดที่เหลือ (residue) ด้วยเทคโนโลยีที่มีประสิทธิผล กรุงเทพมหานคร มีคุณภาพอากาศที่เหมาะสม ต่อการดำรงชีวิต มีฝุ่นละอองและสารเจือปน ไม่เกิน ค่ามาตรฐาน และระดับเสียงที่เกิดจากยานพาหนะ เครื่องจักรกล รวมถึงเสียงที่เกิดจากกิจกรรมต่างๆ ใน ทุกพื้นที่ของกรุงเทพมหานคร ไม่เกินค่ามาตรฐาน การรายงานข้อมูลก๊าซเรือนกระจกของกรุงเทพฯ และการคาดการณ์ จนถึงการประเมินความเสี่ยงด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ปฏิบัติการด้านการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยแผนแม่บทกรุงเทพมหานคร พ.ศ.2564 - 2573 เป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจก (GHG) 19 % ปีฐาน 2561ภายในปี 2573 จะเป็น Net Zero GHG Emission มาตรการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ในภาพรวม รายภาค และมาตรการที่ดำเนินการโดย กทม. โครงสร้างเชิงสถาบัน และการบริหารจัดการกลไกการกำกับ และขับเคลื่อนแผน 5 ภาคส่วน รวมถึงออกมาตรการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกรายภาค ดังนี้ ภาคพลังงานดำเนินการโดย กทม. 24 โครงการ ภาคการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ 6 มาตรการ ภาคขนส่ง และจราจร 14 มาตรการ และภาคการจัดการขยะและน้ำเสีย 8 มาตรการ กลไกการติดตาม และประเมินผลการดำเนินงาน ด้วยเป้าหมายการลดและดูดซับก๊าซเรือนกระจกใน พ.ศ.2573 จะลดคาร์บอน 10.15 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า 19% แบ่งเป็น 1.ภาคจัดการขยะและน้ำเสีย 0.6 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า 10% 2.ภาคขนส่งและจราจร 4.00 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า 28% 3. ภาคพลังงาน 5.55 ล้านตัน คาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า 16% และ 4.ภาคการวางผังเมืองสีเขียว 0.01 ล้านตัน คาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า 16% ทั้งหมดนี้เป็นแผน และมาตรการที่จะทำให้เมืองหลวงของประเทศเป็นเมืองที่น่าอยู่ ในด้านของสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชน และก้าวขึ้นสู่การเป็น "มหานครแห่งเอเชีย" อย่างยั่งยืน https://www.bangkokbiznews.com/environment/1115934
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#2
|
||||
|
||||
|
ขอบคุณข่าวจาก กรุงเทพธุรกิจ
คนไทยเตรียมร้อนตับแตก ปี 2567 อุณหภูมิโลกร้อนสุดในประวัติศาสตร์ ................ โดย กฤตพล สุธีภัทรกุล KEY POINTS - นักวิทยาศาสตร์พบว่าผลกระทบจาก "ปรากฏการณ์เอลนีโญ" มีโอกาส 90% ที่จะทำให้อุณหภูมิโลกในปี 2567 สูงขึ้นจนทำลายสถิติใหม่ - ปรากฏการณ์สภาพอากาศ 2 ขั้ว ประกอบไปด้วย เอลนีโญและ "ลานีญา" เป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นมาช้านาน แต่ในระยะหลังปรากฏการณ์เหล่านี้รุนแรงมากยิ่งขึ้น เนื่องจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เพิ่มสูงขึ้น - ปรากฏการณ์เอลนีโญที่รุนแรงนี้จะทำให้เกิดคลื่นความร้อนทั่วภูมิภาคแคริบเบียน อ่าวเบงกอล และทะเลจีนใต้ ซึ่งจะส่งผลกระทบถึงประเทศไทยด้วย ![]() นักวิทยาศาสตร์เผยมีแนวโน้มถึง 90% ที่ปี 2567 มี อุณหภูมิทั่วโลกร้อน ขึ้นจนทุบสถิติ เนื่องจาก ?ปรากฏการณ์เอลนีโญ? ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ป่าแอมะซอน หรือ อะแลสกาที่มีน้ำแข็งปกคลุมทั้งปีก็หนีไม่รอด ขณะที่ไทยก็ต้องเตรียมรับมือเช่นกัน ปี 2566 กลายเป็นปีที่ร้อนที่สุดเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่เริ่มมีการจดบันทึกในปี 2393 และอาจจะร้อนที่สุดในรอบอย่างน้อย 100,000 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากเกิดเอลนีโญ ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่มหาสมุทรแปซิฟิกตะวันตกจะปลดปล่อยความร้อนออกมา ทำให้ในช่วงครึ่งหลังของปี อเมริกาเหนือ อเมริกาใต้ ยุโรป จีน และมาดากัสการ์ ต้องเผชิญกับสภาพอากาศร้อนจัด ขณะเดียวกันปัญหาวิกฤตสภาพภูมิอากาศทวีความรุนแรงมากขึ้น จนอุณหภูมิพื้นผิวโลกเพิ่มขึ้น และ ส่งผลต่อเนื่องมาจนถึงปี 2567 ที่จะกลายเป็นที่ร้อนยิ่งกว่าปีที่ผ่าน ๆ มา โลกร้อนขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดร.หนิง เจียง จากสถาบันวิทยาศาสตร์อุตุนิยมวิทยาจีน และคณะทำการศึกษา ซึ่งได้ตีพิมพ์ในวารสาร Scientific Reports โดยใช้แบบจำลองคอมพิวเตอร์ระบุฮอตสปอตในภูมิภาคที่เป็นไปได้ในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 พร้อมจำลองผลกระทบของเหตุการณ์ดังกล่าวต่อความแปรผันของอุณหภูมิอากาศบนพื้นผิวในระดับภูมิภาคตั้งแต่เดือนก.ค. 2566 ถึง มิ.ย. 2567 พบว่ามีโอกาส 90% ที่อุณหภูมิโลกในปี 2567 จะสูงขึ้นจนทำลายสถิติใหม่ ทีมวิจัยคาดการณ์ว่าอุณหภูมิพื้นผิวเฉลี่ยทั่วโลกระหว่างเดือนก.ค. 2566 ถึง มิ.ย. 2567 จะเพิ่มขึ้นอยู่ระหว่าง 1.1-1.2 องศาเซลเซียส ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยในยุคก่อนอุตสาหกรรมถึง 1.4-1.5 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นระดับเกณฑ์สำคัญในข้อตกลงปารีสปี 2015 ในการประชุมสมัชชาประเทศภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติ หรือ COP ครั้งที่ 21 ที่พยายามควบคุมการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกไม่ให้เกิน 1.5 องศาเซลเซียส เมื่อเทียบกับระดับก่อนการปฏิวัติอุตสาหกรรม "คลื่นความร้อนที่รุนแรงและพายุหมุนเขตร้อน เมื่อรวมกับการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลทั่วโลกที่เกิดจากฝีมือมนุษย์ พื้นที่ชายฝั่งทะเลที่มีประชากรหนาแน่นกำลังเผชิญกับวิกฤตสภาพภูมิอากาศครั้งใหญ่และเร่งด่วน ซึ่งเป็นเรื่องที่ท้าทายความสามารถของมนุษย์ในการปรับตัว การบรรเทา และการบริหารความเสี่ยง" ดร.หนิง กล่าว "คลื่นความร้อน" ที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้ จะทำให้อุณหภูมิในมหาสมุทรเพิ่มมากขึ้น พร้อมความเสี่ยงเกิดไฟป่าและผลกระทบต่าง ๆ เกิดขึ้น ในหลากหลายพื้นที่ทั่วโลก โดยเฉพาะในพื้นที่ชายฝั่งทะเล เนื่องจากมหาสมุทรสามารถกักเก็บความร้อนได้มากกว่าพื้นดิน หมายความว่าสภาพอากาศที่ร้อนจะคงอยู่เป็นระยะเวลานานขึ้น "เอลนีโญ" สาเหตุหลักทำอุณหภูมิสูงทั่วโลก ปรากฏการณ์สภาพอากาศ 2 ขั้ว ประกอบไปด้วย เอลนีโญ และ "ลานีญา" เป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นจากความสัมพันธ์ระหว่างกระแสน้ำและชั้นบรรยากาศ เกิดการเปลี่ยนแปลงบริเวณแถบเส้นศูนย์สูตรในมหาสมุทรแปซิฟิกตะวันออก ซึ่งเกิดขึ้นมาอย่างช้านาน โดยเอลนีโญจะเป็นช่วงที่อุณหภูมิสูงขึ้น ส่วนลานีญาจะทำให้อุณหภูมิลดต่ำลง แต่ในระยะหลังปรากฏการณ์เหล่านี้รุนแรงมากยิ่งขึ้น เนื่องจากระดับคาร์บอนไดออกไซด์จากเชื้อเพลิงฟอสซิลในชั้นบรรยากาศที่เพิ่มสูงขึ้น เมื่อเกิดปรากฏการณ์เอลนีโญ กระแสลมสินค้าตะวันออกอ่อนกำลังลง กระแสลมพื้นผิวเปลี่ยนทิศทาง พัดจากประเทศอินโดนีเซียและออสเตรเลียตอนเหนือไปทางตะวันออก แล้วยกตัวขึ้นเหนือชายฝั่งทวีปอเมริกาใต้ ก่อให้เกิดฝนตกหนักและแผ่นดินถล่มในประเทศเปรูและเอกวาดอร์ กระแสลมพัดกระแสน้ำอุ่นบนพื้นผิวมหาสมุทรแปซิฟิกไปกองรวมกันบริเวณชายฝั่งประเทศเปรู ทำให้กระแสน้ำเย็นใต้มหาสมุทรไม่สามารถลอยตัวขึ้นมาได้ ส่งผลกระทบให้บริเวณชายฝั่งขาดธาตุอาหารสำหรับปลาและนกทะเล ชาวประมงจึงขาดรายได้ ปรากฏการณ์เอลนีโญทำให้ฝนตกหนักในตอนเหนือของทวีปอเมริกาใต้ และก่อให้เกิดความแห้งแล้งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และตอนเหนือของออสเตรเลีย โดยปกติแล้ว เอลนีโญจะรุนแรงสูงสุดระหว่างในช่วงพ.ย.-ม.ค. "เอลนีโญ" ส่งผลกระทบถึงไทย นักวิทยาศาสตร์พบว่า ในปี 2567 มีแนวโน้มที่อุณหภูมิในพื้นที่ลุ่มแม่น้ำแอมะซอนจะสูงขึ้นจนทำลายสถิติ และเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดไฟป่า เนื่องจากความแห้งแล้งในช่วงปลายปี 2566 ทำให้เกิดไฟไหม้อย่างรุนแรง อีกทั้งในเดือนก.พ. 2567 มีระดับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่สูงเป็นประวัติการณ์ อีกทั้ง ปรากฏการณ์เอลนีโญที่รุนแรงนี้จะทำให้เกิดคลื่นความร้อนทั่วภูมิภาคแคริบเบียน อ่าวเบงกอล และทะเลจีนใต้ ซึ่งจะส่งผลกระทบถึงประเทศไทยด้วย คลื่นความร้อนในทะเลที่สามารถฟอกขาวและทำลายแนวปะการัง ที่ถือว่าเป็นแหล่งกันชนจากพายุโซนร้อน ขณะที่อุณหภูมิที่สูงในรัฐอะแลสกา จะส่งผลให้ธารน้ำแข็งและชั้นดินเยือกแข็งคงตัวละลาย และเกิดการกัดเซาะชายฝั่งเพิ่มมากยิ่งขึ้น ไมเคิล แมคฟาเดน สมาชิกในทีมวิจัยจาก NOAA กล่าวว่า "นี่คือจุดที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะสุดขั้วในระดับสูง และภาวะสุดขั้วเหล่านี้สร้างความเสียหายอย่างมาก ทั้งต่อสุขภาพของมนุษย์ความเสียหายต่อระบบนิเวศทางทะเล" ทั้งนี้ ระดับความรุนแรงของปรากฏการณ์เอลนีโญที่อาจจะเกิดในปีนี้ ถือว่าอยู่ในระดับ "ปานกลาง" แต่ก็สามารถสร้างผลกระทบที่รุนแรง และจนทำให้โลกมีอุณหภูมิสูงที่สุดเท่าที่เคยมีมาภายในเดือนมิ.ย. นี้ ที่มา: New Scientist, The Guardian, The Verge https://www.bangkokbiznews.com/environment/1116005
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#3
|
||||
|
||||
|
ขอบคุณข่าวจาก SpringNews
ปะการังเกรทแบร์ริเออร์รีฟกำลังฟอกขาว หวั่นเกิดการฟอกขาวใหญ่ครั้งที่ 7 SHORT CUT - ทางตอนใต้เกรทแบร์ริเออร์รีฟ แนวปะการังที่ใหญ่ที่สุดในโลก กำลังเผชิญกับการฟอกขาวครั้งรุนแรงเนื่องจากสภาพอากาศร้อน - อุณหภูมิของน้ำทะเลที่เพิ่มสูงขึ้นจากปรากฏการณ์เอลนีโญ เป็นสาเหตุทำให้เกิดการฟอกขาวของปะการัง - นักวิทยาศาสตร์กังวลว่า อาจจะเกิดการฟอกขาวครั้งใหญ่ครั้งที่ 7 ![]() บ้านปะการังที่ใหญ่ที่สุดในโลก Great Barrier Reef กำลังเเกิดการฟอกขาวครั้งใหญ่ ผลจากอุณหภูมิน้ำที่สูงขึ้น ผู้เชี่ยวชาญหวั่นอาจเกิดการฟอกขาวใหญ่ครั้งที่ 7 เร็วๆนี้ Great Barrier Reef กำลังฟอกขาว 2024 สำนักข่าว CNN รายงานเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า ทางตอนใต้เกรทแบร์ริเออร์รีฟ (Great Barrier Reef) แนวปะการังที่ใหญ่ที่สุดในโลก กำลังเผชิญกับการฟอกขาวครั้งรุนแรงเนื่องจากสภาพอากาศร้อน โดยหน่วยงานที่ดูแลแนวปะการังเปิดเผยว่า ในเวลานี้นักวิทยาศาสตร์กำลังกลัวว่า อาจจะเกิดเหตุการณ์ปะการังฟอกขาวครั้งใหญ่ครั้งที่ 7 ภาพมุมสูง Great Barrier Reefเมื่อเดือนที่ผ่านมา หน่วยงานที่ดูแลทำการสำรวจทางอากาศและพบว่าการฟอกขาวรุนแรงทั่วแนวปะการังที่ทำการสำรวจ โดยทีมงานได้บินสำรวจแนวปะการังเลียบฝั่งกว่า 27 แนวในหมู่เกาะเคปเปลและแกลดสโตน อีกทั้งแนวปะการังนอกชายฝั่ง 21 แนวในจุดที่เรียกว่า คาปริคอร์นบังเกอร์ส นอกชายฝั่งด้านตอนใต้ของรัฐควีนแลนด์ ดร.มาร์ค รีด ผู้อำนวยการของหน่วยงานที่ทำหน้าที่กำกับดูแลสภาพของแนวปะการัง เปิดเผยว่า แนวปะการังส่วนใหญ่ที่ทำการสำรวจแสดงให้เห็นถึงการฟอกขาว ทั้งนี้ แนวปะการังเกรทแบร์ริเออร์รีฟครอบคลุมพื้นที่เกือบ 345,000 ตารางกิโลเมตร นับเป็นแนวปะการังที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยที่นี่เป็นบ้านของปลากว่า 1,500 สายพันธุ์ และปะการังแข็ง 411 สายพันธุ์ อีกทั้งมันยังสร้างงานเม็ดเงินมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ให้แก่เศรษฐกิจของออสเตรเลียในแต่ละปี และได้รับการโปรโมทอย่างหนักต่อนักท่องเที่ยวต่างชาติ ในฐานะหนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศ และในโลก ปะการังเกรทแบร์ริเออร์รีฟกำลังฟอกขาว หวั่นเกิดการฟอกขาวใหญ่ครั้งที่ 7อย่างไรก็ตาม อุณหภูมิของน้ำทะเลที่เพิ่มสูงขึ้น เป็นสาเหตุทำให้เกิดการฟอกขาวของปะการัง โดยอุณหภูมิน้ำทะเลกำลังอุ่นขึ้นอีก เนื่องจากปรากฏการณ์เอลนีโญ หน่วยงานที่ดูแลเกรทแบร์ริเออร์รีฟยังมีแผนที่จะสำรวจทางอากาศและสำรวจทางน้ำเพิ่มเติมอีกในช่วงสัปดาห์ที่จะถึงนี้ ขณะที่แนวปะการังทางตอนใต้เป็นจุดที่ได้รับผลกระทบจากการฟอกขาวมากที่สุด แต่ทางหน่วยงานก็ได้รับรายงานการฟอกขาวจากพื้นที่อื่นๆอีกด้วย ด้านนักวิทยาศาสตร์เปิดเผยว่า แนวปะการังสามารถฟื้นฟูสภาพได้ ถ้าหากว่าอุณหภูมิของน้ำทะเลคงที่ อย่างไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร์กังวลว่า อาจจะเกิดการฟอกขาวครั้งใหญ่ครั้งที่ 7 ขึ้นได้ ทั้งนี้ เกรทแบร์ริเออร์รีฟเคยเผชิญการฟอกขาวครั้งใหญ่มาแล้วในปี 1998, 2002, 2016, 2017, 2020 และครั้งล่าสุดคือ 2022 ปะการังเกรทแบร์ริเออร์รีฟกำลังฟอกขาว หวั่นเกิดการฟอกขาวใหญ่ครั้งที่ 7เดวิด ริตเตอร์ ซีอีโอของ Greenpeace Australia Pacific เปิดเผยว่า ตอนนี้กำลังรอยืนยันอย่างเป็นทางการจากหน่วยงานอุทยานทางทะเล แต่ดูเหมือนว่า เหตุการณ์ฟอกขาวครั้งใหญ่ครั้งที่ 7 กำลังเกิดขึ้นในแนวปะการังเกรทแบร์ริเออร์รีฟ เพราะมีรายงานเกิดการฟอกขาวรุนแรงเป็นแนวยาว โดยวิกฤตด้านสภาพอากาศกำลังทำให้เกิดคลื่นความร้อนทางทะเล และนำไปสู่เหตุการณ์ฟอกขาว ซึ่งความถี่และขนาดที่เกิดขึ้นในตอนนี้ทำให้หลายฝ่ายกังวล เมื่อปีที่แล้ว คณะกรรมการมรดกโลกของยูเนสโกตัดสินใจไม่บรรจุเกรทแบร์ริเออร์รีฟลงไปในแหล่งมรดกที่ตกอยู่ใน "อันตราย" และเสี่ยงถูกถอดออกจากการเป็นมรดกโลก แม้ว่าจะมีความเสี่ยงเกิดเหตุการณ์ฟอกขาวครั้งใหญ่อีกครั้งก็ตาม โดยรัฐบาลออสเตรเลียให้คำมั่นว่าจะทำทุกอย่างเพื่อปกป้องแนวปะการังดังกล่าว ซึ่งรวมถึงการเร่งแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ ที่เป็นปัจจัยสำคัญในการทำลายแนวปะการังด้วย ที่มาข้อมูล CNN https://www.springnews.co.th/keep-th...-change/848364
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
![]() |
| คำสั่งเพิ่มเติม | |
| เรียบเรียงคำตอบ | |
|
|