เลือกสีตามสไลต์ที่คุณชอบ:
SaveOurSea.NET  

กลับไป   SaveOurSea.NET > สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม

ตอบ
 
Share คำสั่งเพิ่มเติม เรียบเรียงคำตอบ
  #1  
เก่า 05-03-2024
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,809
Default

ขอบคุณข่าวจาก กรุงเทพธุรกิจ


เตือนภัย กทม. ปี 73 หากไม่ทำอะไร คาร์บอนพุ่ง 53 ล้านตัน สูงขึ้น 23% ............... โดย จุลวรรณ เกิดแย้ม


KEY POINTS

- พ.ศ.2561 กรุงเทพฯ มีการปล่อย ก๊าซเรือนกระจก เท่ากับ 43.73 ล้านตัน คาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า

- กิจกรรมที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 1.การขนส่งทางถนน 2. การใช้พลังงานในธุรกิจการค้าและหน่วยงานรัฐ 3. การใช้พลังงานในอุตสาหกรรมและการก่อสร้าง 4.การใช้พลังงานในที่พักอาศัย 5.การจัดการของเสียที่เกิดในพื้นที่ด้วยวิธีฝังกลบ

- หากไม่มีการดำเนินการใดๆ การปล่อยก๊าซเรือนกระจก ในปี 2573 จะเท่ากับ 53,935,683 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า การเติบโตทางด้านการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 23%




พ.ญ.วนัทนีย์ วัฒนะ ปลัดกรุงเทพมหานคร กล่าวในงาน เวทีผู้นำ "Climate Action Leaders Forum รุ่น 3" หรือ CAL Forum #3 ว่า สัดส่วนการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของกรุงเทพฯ ใน พ.ศ.2561 ผลการรวบรวมข้อมูลกิจกรรม และประเมินข้อมูลก๊าซเรือนกระจกของกรุงเทพมหานครปี พ.ศ.2561 กรุงเทพฯ มีการปล่อย ก๊าซเรือนกระจก เท่ากับ 43.73 ล้านตัน คาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (MtCO2e) ซึ่งภาคพลังงาน (Stationary Energy) นั้นเป็นกลุ่มกิจกรรมที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงสุด

โดยกิจกรรมที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงสุด 5 อันดับแรก (96.66%) คือ 1.การขนส่งทางถนน 28.58% 2.การใช้พลังงานในธุรกิจการค้า และหน่วยงานรัฐ 25.65% 3.การใช้พลังงานในอุตสาหกรรมและการก่อสร้าง 18.37% 4.การใช้พลังงานในที่พักอาศัย 13.98% 5.การจัดการของเสียที่เกิดในพื้นที่ด้วยวิธีฝังกลบ และเป็นกิจกรรมที่มีนัยสำคัญต่อการดำเนินการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของกรุงเทพฯ ในอนาคต 10.08%

ทั้งนี้หากไม่มีการดำเนินการใดๆ การปล่อยก๊าซเรือนกระจก ในปี 2573 จะเท่ากับ 53,935,683 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า การเติบโตทางด้านการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 23%

ทาง กทม. ได้มีแผนแม่บทว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พ.ศ.2564 - 2573 โดยกรอบทำงานคือ การกำหนดดังนี้

วิสัยทัศน์กรุงเทพฯ และเป้าหมายด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งมีระดับชาติ ระดับประเทศ และระดับเมือง โดยแผนพัฒนากรุงเทพมหานคร ระยะ 20 ปี รวมถึงแผนแม่บทกรุงเทพมหานคร ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เป็นตัวกำหนดโดยระบุว่าภายในปี พ.ศ.2575 คุณภาพแหล่งน้ำธรรมชาติ ในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร มีแนวโน้มคุณภาพดีขึ้น และ มีปริมาณออกซิเจนละลายน้ำ (DO) ที่ทำให้สิ่งมีชีวิตในน้ำ สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ กรุงเทพมหานคร มีการบริหารจัดการมูลฝอยและของเสียอันตรายด้วยแนวคิดขยะเหลือศูนย์ (Zero waste management) โดยการนำกลับมาใช้ใหม่ (recycle) และทำให้ขยะเหลือน้อยที่สุด และกำจัดที่เหลือ (residue) ด้วยเทคโนโลยีที่มีประสิทธิผล กรุงเทพมหานคร มีคุณภาพอากาศที่เหมาะสม ต่อการดำรงชีวิต มีฝุ่นละอองและสารเจือปน ไม่เกิน ค่ามาตรฐาน และระดับเสียงที่เกิดจากยานพาหนะ เครื่องจักรกล รวมถึงเสียงที่เกิดจากกิจกรรมต่างๆ ใน ทุกพื้นที่ของกรุงเทพมหานคร ไม่เกินค่ามาตรฐาน

การรายงานข้อมูลก๊าซเรือนกระจกของกรุงเทพฯ และการคาดการณ์ จนถึงการประเมินความเสี่ยงด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ปฏิบัติการด้านการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยแผนแม่บทกรุงเทพมหานคร พ.ศ.2564 - 2573 เป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจก (GHG) 19 % ปีฐาน 2561ภายในปี 2573 จะเป็น Net Zero GHG Emission


มาตรการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

ในภาพรวม รายภาค และมาตรการที่ดำเนินการโดย กทม. โครงสร้างเชิงสถาบัน และการบริหารจัดการกลไกการกำกับ และขับเคลื่อนแผน 5 ภาคส่วน รวมถึงออกมาตรการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกรายภาค ดังนี้ ภาคพลังงานดำเนินการโดย กทม. 24 โครงการ ภาคการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ 6 มาตรการ ภาคขนส่ง และจราจร 14 มาตรการ และภาคการจัดการขยะและน้ำเสีย 8 มาตรการ


กลไกการติดตาม และประเมินผลการดำเนินงาน

ด้วยเป้าหมายการลดและดูดซับก๊าซเรือนกระจกใน พ.ศ.2573 จะลดคาร์บอน 10.15 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า 19% แบ่งเป็น 1.ภาคจัดการขยะและน้ำเสีย 0.6 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า 10% 2.ภาคขนส่งและจราจร 4.00 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า 28% 3. ภาคพลังงาน 5.55 ล้านตัน คาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า 16% และ 4.ภาคการวางผังเมืองสีเขียว 0.01 ล้านตัน คาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า 16%

ทั้งหมดนี้เป็นแผน และมาตรการที่จะทำให้เมืองหลวงของประเทศเป็นเมืองที่น่าอยู่ ในด้านของสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชน และก้าวขึ้นสู่การเป็น "มหานครแห่งเอเชีย" อย่างยั่งยืน


https://www.bangkokbiznews.com/environment/1115934

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #2  
เก่า 05-03-2024
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,809
Default

ขอบคุณข่าวจาก กรุงเทพธุรกิจ


คนไทยเตรียมร้อนตับแตก ปี 2567 อุณหภูมิโลกร้อนสุดในประวัติศาสตร์ ................ โดย กฤตพล สุธีภัทรกุล


KEY POINTS

- นักวิทยาศาสตร์พบว่าผลกระทบจาก "ปรากฏการณ์เอลนีโญ" มีโอกาส 90% ที่จะทำให้อุณหภูมิโลกในปี 2567 สูงขึ้นจนทำลายสถิติใหม่

- ปรากฏการณ์สภาพอากาศ 2 ขั้ว ประกอบไปด้วย เอลนีโญและ "ลานีญา" เป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นมาช้านาน แต่ในระยะหลังปรากฏการณ์เหล่านี้รุนแรงมากยิ่งขึ้น เนื่องจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เพิ่มสูงขึ้น

- ปรากฏการณ์เอลนีโญที่รุนแรงนี้จะทำให้เกิดคลื่นความร้อนทั่วภูมิภาคแคริบเบียน อ่าวเบงกอล และทะเลจีนใต้ ซึ่งจะส่งผลกระทบถึงประเทศไทยด้วย




นักวิทยาศาสตร์เผยมีแนวโน้มถึง 90% ที่ปี 2567 มี อุณหภูมิทั่วโลกร้อน ขึ้นจนทุบสถิติ เนื่องจาก ?ปรากฏการณ์เอลนีโญ? ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ป่าแอมะซอน หรือ อะแลสกาที่มีน้ำแข็งปกคลุมทั้งปีก็หนีไม่รอด ขณะที่ไทยก็ต้องเตรียมรับมือเช่นกัน

ปี 2566 กลายเป็นปีที่ร้อนที่สุดเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่เริ่มมีการจดบันทึกในปี 2393 และอาจจะร้อนที่สุดในรอบอย่างน้อย 100,000 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากเกิดเอลนีโญ ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่มหาสมุทรแปซิฟิกตะวันตกจะปลดปล่อยความร้อนออกมา ทำให้ในช่วงครึ่งหลังของปี อเมริกาเหนือ อเมริกาใต้ ยุโรป จีน และมาดากัสการ์ ต้องเผชิญกับสภาพอากาศร้อนจัด ขณะเดียวกันปัญหาวิกฤตสภาพภูมิอากาศทวีความรุนแรงมากขึ้น จนอุณหภูมิพื้นผิวโลกเพิ่มขึ้น และ ส่งผลต่อเนื่องมาจนถึงปี 2567 ที่จะกลายเป็นที่ร้อนยิ่งกว่าปีที่ผ่าน ๆ มา


โลกร้อนขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ดร.หนิง เจียง จากสถาบันวิทยาศาสตร์อุตุนิยมวิทยาจีน และคณะทำการศึกษา ซึ่งได้ตีพิมพ์ในวารสาร Scientific Reports โดยใช้แบบจำลองคอมพิวเตอร์ระบุฮอตสปอตในภูมิภาคที่เป็นไปได้ในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 พร้อมจำลองผลกระทบของเหตุการณ์ดังกล่าวต่อความแปรผันของอุณหภูมิอากาศบนพื้นผิวในระดับภูมิภาคตั้งแต่เดือนก.ค. 2566 ถึง มิ.ย. 2567 พบว่ามีโอกาส 90% ที่อุณหภูมิโลกในปี 2567 จะสูงขึ้นจนทำลายสถิติใหม่

ทีมวิจัยคาดการณ์ว่าอุณหภูมิพื้นผิวเฉลี่ยทั่วโลกระหว่างเดือนก.ค. 2566 ถึง มิ.ย. 2567 จะเพิ่มขึ้นอยู่ระหว่าง 1.1-1.2 องศาเซลเซียส ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยในยุคก่อนอุตสาหกรรมถึง 1.4-1.5 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นระดับเกณฑ์สำคัญในข้อตกลงปารีสปี 2015 ในการประชุมสมัชชาประเทศภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติ หรือ COP ครั้งที่ 21 ที่พยายามควบคุมการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกไม่ให้เกิน 1.5 องศาเซลเซียส เมื่อเทียบกับระดับก่อนการปฏิวัติอุตสาหกรรม

"คลื่นความร้อนที่รุนแรงและพายุหมุนเขตร้อน เมื่อรวมกับการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลทั่วโลกที่เกิดจากฝีมือมนุษย์ พื้นที่ชายฝั่งทะเลที่มีประชากรหนาแน่นกำลังเผชิญกับวิกฤตสภาพภูมิอากาศครั้งใหญ่และเร่งด่วน ซึ่งเป็นเรื่องที่ท้าทายความสามารถของมนุษย์ในการปรับตัว การบรรเทา และการบริหารความเสี่ยง" ดร.หนิง กล่าว

"คลื่นความร้อน" ที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้ จะทำให้อุณหภูมิในมหาสมุทรเพิ่มมากขึ้น พร้อมความเสี่ยงเกิดไฟป่าและผลกระทบต่าง ๆ เกิดขึ้น ในหลากหลายพื้นที่ทั่วโลก โดยเฉพาะในพื้นที่ชายฝั่งทะเล เนื่องจากมหาสมุทรสามารถกักเก็บความร้อนได้มากกว่าพื้นดิน หมายความว่าสภาพอากาศที่ร้อนจะคงอยู่เป็นระยะเวลานานขึ้น


"เอลนีโญ" สาเหตุหลักทำอุณหภูมิสูงทั่วโลก

ปรากฏการณ์สภาพอากาศ 2 ขั้ว ประกอบไปด้วย เอลนีโญ และ "ลานีญา" เป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นจากความสัมพันธ์ระหว่างกระแสน้ำและชั้นบรรยากาศ เกิดการเปลี่ยนแปลงบริเวณแถบเส้นศูนย์สูตรในมหาสมุทรแปซิฟิกตะวันออก ซึ่งเกิดขึ้นมาอย่างช้านาน โดยเอลนีโญจะเป็นช่วงที่อุณหภูมิสูงขึ้น ส่วนลานีญาจะทำให้อุณหภูมิลดต่ำลง

แต่ในระยะหลังปรากฏการณ์เหล่านี้รุนแรงมากยิ่งขึ้น เนื่องจากระดับคาร์บอนไดออกไซด์จากเชื้อเพลิงฟอสซิลในชั้นบรรยากาศที่เพิ่มสูงขึ้น

เมื่อเกิดปรากฏการณ์เอลนีโญ กระแสลมสินค้าตะวันออกอ่อนกำลังลง กระแสลมพื้นผิวเปลี่ยนทิศทาง พัดจากประเทศอินโดนีเซียและออสเตรเลียตอนเหนือไปทางตะวันออก แล้วยกตัวขึ้นเหนือชายฝั่งทวีปอเมริกาใต้ ก่อให้เกิดฝนตกหนักและแผ่นดินถล่มในประเทศเปรูและเอกวาดอร์

กระแสลมพัดกระแสน้ำอุ่นบนพื้นผิวมหาสมุทรแปซิฟิกไปกองรวมกันบริเวณชายฝั่งประเทศเปรู ทำให้กระแสน้ำเย็นใต้มหาสมุทรไม่สามารถลอยตัวขึ้นมาได้ ส่งผลกระทบให้บริเวณชายฝั่งขาดธาตุอาหารสำหรับปลาและนกทะเล ชาวประมงจึงขาดรายได้

ปรากฏการณ์เอลนีโญทำให้ฝนตกหนักในตอนเหนือของทวีปอเมริกาใต้ และก่อให้เกิดความแห้งแล้งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และตอนเหนือของออสเตรเลีย โดยปกติแล้ว เอลนีโญจะรุนแรงสูงสุดระหว่างในช่วงพ.ย.-ม.ค.


"เอลนีโญ" ส่งผลกระทบถึงไทย

นักวิทยาศาสตร์พบว่า ในปี 2567 มีแนวโน้มที่อุณหภูมิในพื้นที่ลุ่มแม่น้ำแอมะซอนจะสูงขึ้นจนทำลายสถิติ และเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดไฟป่า เนื่องจากความแห้งแล้งในช่วงปลายปี 2566 ทำให้เกิดไฟไหม้อย่างรุนแรง อีกทั้งในเดือนก.พ. 2567 มีระดับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่สูงเป็นประวัติการณ์

อีกทั้ง ปรากฏการณ์เอลนีโญที่รุนแรงนี้จะทำให้เกิดคลื่นความร้อนทั่วภูมิภาคแคริบเบียน อ่าวเบงกอล และทะเลจีนใต้ ซึ่งจะส่งผลกระทบถึงประเทศไทยด้วย คลื่นความร้อนในทะเลที่สามารถฟอกขาวและทำลายแนวปะการัง ที่ถือว่าเป็นแหล่งกันชนจากพายุโซนร้อน

ขณะที่อุณหภูมิที่สูงในรัฐอะแลสกา จะส่งผลให้ธารน้ำแข็งและชั้นดินเยือกแข็งคงตัวละลาย และเกิดการกัดเซาะชายฝั่งเพิ่มมากยิ่งขึ้น

ไมเคิล แมคฟาเดน สมาชิกในทีมวิจัยจาก NOAA กล่าวว่า "นี่คือจุดที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะสุดขั้วในระดับสูง และภาวะสุดขั้วเหล่านี้สร้างความเสียหายอย่างมาก ทั้งต่อสุขภาพของมนุษย์ความเสียหายต่อระบบนิเวศทางทะเล"

ทั้งนี้ ระดับความรุนแรงของปรากฏการณ์เอลนีโญที่อาจจะเกิดในปีนี้ ถือว่าอยู่ในระดับ "ปานกลาง" แต่ก็สามารถสร้างผลกระทบที่รุนแรง และจนทำให้โลกมีอุณหภูมิสูงที่สุดเท่าที่เคยมีมาภายในเดือนมิ.ย. นี้

ที่มา: New Scientist, The Guardian, The Verge


https://www.bangkokbiznews.com/environment/1116005

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #3  
เก่า 05-03-2024
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,809
Default

ขอบคุณข่าวจาก SpringNews


ปะการังเกรทแบร์ริเออร์รีฟกำลังฟอกขาว หวั่นเกิดการฟอกขาวใหญ่ครั้งที่ 7


SHORT CUT

- ทางตอนใต้เกรทแบร์ริเออร์รีฟ แนวปะการังที่ใหญ่ที่สุดในโลก กำลังเผชิญกับการฟอกขาวครั้งรุนแรงเนื่องจากสภาพอากาศร้อน

- อุณหภูมิของน้ำทะเลที่เพิ่มสูงขึ้นจากปรากฏการณ์เอลนีโญ เป็นสาเหตุทำให้เกิดการฟอกขาวของปะการัง

- นักวิทยาศาสตร์กังวลว่า อาจจะเกิดการฟอกขาวครั้งใหญ่ครั้งที่ 7




บ้านปะการังที่ใหญ่ที่สุดในโลก Great Barrier Reef กำลังเเกิดการฟอกขาวครั้งใหญ่ ผลจากอุณหภูมิน้ำที่สูงขึ้น ผู้เชี่ยวชาญหวั่นอาจเกิดการฟอกขาวใหญ่ครั้งที่ 7 เร็วๆนี้


Great Barrier Reef กำลังฟอกขาว 2024

สำนักข่าว CNN รายงานเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า ทางตอนใต้เกรทแบร์ริเออร์รีฟ (Great Barrier Reef) แนวปะการังที่ใหญ่ที่สุดในโลก กำลังเผชิญกับการฟอกขาวครั้งรุนแรงเนื่องจากสภาพอากาศร้อน โดยหน่วยงานที่ดูแลแนวปะการังเปิดเผยว่า ในเวลานี้นักวิทยาศาสตร์กำลังกลัวว่า อาจจะเกิดเหตุการณ์ปะการังฟอกขาวครั้งใหญ่ครั้งที่ 7

ภาพมุมสูง Great Barrier Reefเมื่อเดือนที่ผ่านมา หน่วยงานที่ดูแลทำการสำรวจทางอากาศและพบว่าการฟอกขาวรุนแรงทั่วแนวปะการังที่ทำการสำรวจ โดยทีมงานได้บินสำรวจแนวปะการังเลียบฝั่งกว่า 27 แนวในหมู่เกาะเคปเปลและแกลดสโตน อีกทั้งแนวปะการังนอกชายฝั่ง 21 แนวในจุดที่เรียกว่า คาปริคอร์นบังเกอร์ส นอกชายฝั่งด้านตอนใต้ของรัฐควีนแลนด์

ดร.มาร์ค รีด ผู้อำนวยการของหน่วยงานที่ทำหน้าที่กำกับดูแลสภาพของแนวปะการัง เปิดเผยว่า แนวปะการังส่วนใหญ่ที่ทำการสำรวจแสดงให้เห็นถึงการฟอกขาว

ทั้งนี้ แนวปะการังเกรทแบร์ริเออร์รีฟครอบคลุมพื้นที่เกือบ 345,000 ตารางกิโลเมตร นับเป็นแนวปะการังที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยที่นี่เป็นบ้านของปลากว่า 1,500 สายพันธุ์ และปะการังแข็ง 411 สายพันธุ์ อีกทั้งมันยังสร้างงานเม็ดเงินมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ให้แก่เศรษฐกิจของออสเตรเลียในแต่ละปี และได้รับการโปรโมทอย่างหนักต่อนักท่องเที่ยวต่างชาติ ในฐานะหนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศ และในโลก

ปะการังเกรทแบร์ริเออร์รีฟกำลังฟอกขาว หวั่นเกิดการฟอกขาวใหญ่ครั้งที่ 7อย่างไรก็ตาม อุณหภูมิของน้ำทะเลที่เพิ่มสูงขึ้น เป็นสาเหตุทำให้เกิดการฟอกขาวของปะการัง โดยอุณหภูมิน้ำทะเลกำลังอุ่นขึ้นอีก เนื่องจากปรากฏการณ์เอลนีโญ

หน่วยงานที่ดูแลเกรทแบร์ริเออร์รีฟยังมีแผนที่จะสำรวจทางอากาศและสำรวจทางน้ำเพิ่มเติมอีกในช่วงสัปดาห์ที่จะถึงนี้ ขณะที่แนวปะการังทางตอนใต้เป็นจุดที่ได้รับผลกระทบจากการฟอกขาวมากที่สุด แต่ทางหน่วยงานก็ได้รับรายงานการฟอกขาวจากพื้นที่อื่นๆอีกด้วย

ด้านนักวิทยาศาสตร์เปิดเผยว่า แนวปะการังสามารถฟื้นฟูสภาพได้ ถ้าหากว่าอุณหภูมิของน้ำทะเลคงที่ อย่างไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร์กังวลว่า อาจจะเกิดการฟอกขาวครั้งใหญ่ครั้งที่ 7 ขึ้นได้

ทั้งนี้ เกรทแบร์ริเออร์รีฟเคยเผชิญการฟอกขาวครั้งใหญ่มาแล้วในปี 1998, 2002, 2016, 2017, 2020 และครั้งล่าสุดคือ 2022

ปะการังเกรทแบร์ริเออร์รีฟกำลังฟอกขาว หวั่นเกิดการฟอกขาวใหญ่ครั้งที่ 7เดวิด ริตเตอร์ ซีอีโอของ Greenpeace Australia Pacific เปิดเผยว่า ตอนนี้กำลังรอยืนยันอย่างเป็นทางการจากหน่วยงานอุทยานทางทะเล แต่ดูเหมือนว่า เหตุการณ์ฟอกขาวครั้งใหญ่ครั้งที่ 7 กำลังเกิดขึ้นในแนวปะการังเกรทแบร์ริเออร์รีฟ เพราะมีรายงานเกิดการฟอกขาวรุนแรงเป็นแนวยาว โดยวิกฤตด้านสภาพอากาศกำลังทำให้เกิดคลื่นความร้อนทางทะเล และนำไปสู่เหตุการณ์ฟอกขาว ซึ่งความถี่และขนาดที่เกิดขึ้นในตอนนี้ทำให้หลายฝ่ายกังวล

เมื่อปีที่แล้ว คณะกรรมการมรดกโลกของยูเนสโกตัดสินใจไม่บรรจุเกรทแบร์ริเออร์รีฟลงไปในแหล่งมรดกที่ตกอยู่ใน "อันตราย" และเสี่ยงถูกถอดออกจากการเป็นมรดกโลก แม้ว่าจะมีความเสี่ยงเกิดเหตุการณ์ฟอกขาวครั้งใหญ่อีกครั้งก็ตาม โดยรัฐบาลออสเตรเลียให้คำมั่นว่าจะทำทุกอย่างเพื่อปกป้องแนวปะการังดังกล่าว ซึ่งรวมถึงการเร่งแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ ที่เป็นปัจจัยสำคัญในการทำลายแนวปะการังด้วย

ที่มาข้อมูล CNN


https://www.springnews.co.th/keep-th...-change/848364

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
ตอบ

คำสั่งเพิ่มเติม
เรียบเรียงคำตอบ

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 09:45


vBulletin รุ่น 3.8.10
สงวนลิขสิทธิ์ ©2000-2025, บริษัท Jelsoft Enterprises จำกัด
Ad Management plugin by RedTyger