![]() |
|
|
|
#1
|
||||
|
||||
|
ขอบคุณข่าวจาก ThaiPBS
อช.หาดนพรัตน์ฯ แจ้งจับนักท่องเที่ยว ดำน้ำจับหอยที่ "เกาะพีพี" ![]() นักท่องเที่ยวจับสัตว์น้ำในเขตอุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี โพสต์ลงโซเชียล อุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี รวบรวมหลักฐานส่งดำเนินคดี วันนี้ (8 มี.ค.2567) นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ได้รับรายงานจาก นายยุทธพงค์ ดำศรีสุข หัวหน้าอุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี จ.กระบี่ ว่า เมื่อวันที่ 4 มี.ค.2567 เวลาประมาณ 20.00 น. ได้รับร้องเรียนจากสื่อสังคมออนไลน์ (Facebook) กลุ่มชวนกันไป Dive ว่า "เหตุเกิดที่เกาะบิดะ Phi Phi Island หน่วยงานใดรับเรื่องต่อได้บ้าง" "ภาพที่ปรากฎบนสื่อสังคมออนไลน์ดังกล่าว มีกลุ่มนักท่องเที่ยว ชาวต่างชาติ นำเรือ ทราบชื่อภายหลัง ชื่อเรือ ?Quel Voyage GEORGE TOWN? มาจอดบริเวณเกาะบิดะในเพื่อทำกิจกรรมดำน้ำบริเวณที่ดังกล่าว และดำน้ำลงไปจับหอย (ไม่ทราบชนิด) 1 ตัว เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธาราฯ จึงได้ร่วมกันตรวจสอบ ตามที่มีภาพปรากฏบนสื่อออนไลน์ดังกล่าว" นายยุทธพงค์ กล่าวว่า จากการตรวจสอบภาพโดยละเอียด ได้ปรากฏเห็นทิวทัศน์ มีลักษณะเป็นเกาะ ซึ่งแต่ละเกาะมีลักษณะที่เด่นชัดเป็นจุดเด่นเฉพาะตัว พนักงานเจ้าหน้าที่จึงได้ดำเนินการตรวจสอบพื้นที่ดังกล่าว "พบว่า บริเวณที่เรือ Quel Voyage GEORGE TOWN และกลุ่มนักท่องเที่ยวดำน้ำลงไปจับหอย (ไม่ทราบชนิด) นั้น อยู่บริเวณเกาะบิดะใน ท้องที่หมู่ 7 ต.อ่าวนาง อ.เมืองกระบี่ จ.กระบี่ ซึ่งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี" เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธาราฯ จึงได้รวบรวมพยานหลักฐานเข้าแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรเกาะพีพี จ.กระบี่ เพื่อให้สืบสวนหาตัวผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมาย ตามพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ.2562 มาตรา 19 (2) ฐานเก็บหา นำออกไป กระทำด้วยการประการใด ๆ ให้เป็นอันตราย หรือทำให้เสื่อมสภาพ ซึ่งไม้ ดิน หิน กรวด ทรายแร่ ปิโตรเลียม หรือทรัพยากรธรรมชาติอื่น หรือกระทำการอื่นใด อันส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศ ความหลากหลายทางชีวภาพ และทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มาตรา 19 (3) ฐานล่อหรือนำสัตว์ป่าออกไปหรือกระทำให้เป็นอันตรายแก่สัตว์ป่าด้วยประการใด ( โดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ มาตรา 20 บุคคลซึ่งเข้าไปในอุทยานแห่งชาติ ต้องปฏิบัติตามคำสั่งของพนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งได้สั่งให้ปฏิบัติตามระเบียบที่อธิบดีกำหนด นายยุทธพงค์กล่าวอีกว่า อยากฝากนักท่องเที่ยวที่มาท่องเที่ยวว่า 1.ไม่เก็บหา นำออกไปหรือกระทำการใด ๆ ให้เกิดความเสียหายแก่ปะการัง สัตว์น้ำและสิ่งมีชีวิต รวมถึงทรัพยากรธรรมชาติ อันเป็นเหตุให้เกิดผลกระทบต่อระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพ 2.ไม่ทิ้งสิ่งปฏิกูล ขยะมูลฝอย หรือสิ่งต่าง ๆ ที่จะทำลายสิ่งแวดล้อม 3.ไม่ล่าสัตว์ จับสัตว์น้ำ หรือกระทำการใด ๆ ให้เป็นอันตรายแก่สัตว์ทุกชนิดในเขตอุทยานแห่งชาติ https://www.thaipbs.or.th/news/content/337850
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#2
|
||||
|
||||
|
ขอบคุณข่าวจาก Nation
เศร้า "พะยูน" ตรัง จากโลกตัวที่ 4 ของปี เกิดอะไรขึ้นกับทะเลไทย ![]() สะเทือนใจ! ปีนี้ พบ "พะยูน" ตรังเกยตื้นตายแล้ว 4 ตัว เกิดอะไรขึ้นกับท้องทะเล ด้าน "อ.ธรณ์" โพสต์ 10 ข้อเท็จจริงปัญหา พร้อมเผยข้อมูลน่าตกใจ หรือนี่จะเป็นวิกฤตหมูน้ำของไทย ภายหลังเพจเฟซบุ๊ก ขยะมรสุม MONSOONGARBAGE THAILAND ซึ่งเป็นเครือข่ายอนุรักษ์สัตว์ทะเลหายากในพื้นที่เกาะลิบง อ.กันตัง จ.ตรัง ได้โพสต์ภาพ "พะยูน" เกยตื้น บริเวณท่าเรือบ้านพร้าว เกาะลิบง ในสภาพลำตัวซูบยาว ผอมโซ ขณะว่ายน้ำเข้ามาเกยตื้นใกล้เรือหางยาวของชาวบ้านที่จอดอยู่บริเวณท่าเรือบ้านพร้าว พร้อมระบุข้อความว่า "จะร้องแล้ว พะยูนผอมมาก ท่าเรือบ้านพร้าวเกาะลิบงไม่มีใครสนใจ รอให้ตายหมดก่อนเหรอคับ หญ้าก็หาย. ตะกอนจากการก่อสร้างก็ไม่มีใครทำอะไร บอกใครก็ไม่สนใจ มารวมกันช่วยหน่อยได้ป่าว หลายเดือนแล้วไม่บูมเลย พะยูนตายทุกคนก็เฉยๆสภาพแย่ลงไปทุกวัน หญ้าเหลือน้อยแล้วนะ ขอความสนใจหน่อย ปีนี่ตายไปหลายตัวแล้วนะ" ซึ่งเป็นภาพที่ประชาชนทั่วไปเห็นแล้ว ต่างสะเทือนใจ และเป็นห่วงต่อสถานการณ์พะยูนในทะเลตรังเป็นอย่างมาก ด้าน นายภาคภูมิ วิธานติรวัฒน์ ประธานกรรมการบริหารมูลนิธิอันดามัน จังหวัดตรัง และเป็นหนึ่งในคณะทำงานขับเคลื่อนการดำเนินงานและแก้ไขปัญหาการเสื่อมโทรมของแหล่งหญ้าทะเลในบริเวณจังหวัดตรังและจังหวัดกระบี่ บอกว่า พะยูนตัวที่ชาวบ้านพบเกยตื้นตายในวันนี้ สภาพผอม มีเพรียงเกาะตามลำตัวจำนวนมาก แสดงอาการชัดเจนว่าป่วยและขาดอาหาร ต้องรอให้เจ้าหน้าที่ผ่าพิสูจน์ซากหาสาเหตุที่ชัดเจน ส่วนการที่ "หญ้าทะเล" ในทะเลตรังเสื่อมโทรมทุกพื้นที่รวมกว่า 30,000 ไร่ เป็นปัญหาใหญ่ที่ทำให้อาหารพะยูนขาดแคลน เพราะทะเลตรังมีพะยูนจำนวนมาก พะยูนจึงอยู่ในภาวะวิกฤตหนัก ซึ่งมีสัญญาณมาตั้งแต่ประมาณ 3-4 ปีมาแล้ว เพราะมีการพบพะยูนเกยตื้นตายจำนวนมาก ส่วนใหญ่เกิดจากอาการป่วย และสาเหตุหลักเกิดจากภาวะการขาดแคลนอาหารที่มาจากความไม่สมดุลทางระบบนิเวศ ทางกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง จึงได้แต่งตั้งคณะทำงานขับเคลื่อนการดำเนินงานและแก้ไขปัญหาการเสื่อมโทรมของแหล่งหญ้าทะเลในบริเวณจังหวัดตรังและจังหวัดกระบี่ เพื่อร่วมกันหาสาเหตุหญ้าทะเลเสื่อมโทรม ซึ่งเขามองว่าตอนนี้ทุกฝ่ายจะต้องเร่งมือทำงาน มัวแต่หาสาเหตุอย่างเดียวไม่ได้ ไม่ทันการณ์พะยูนจะตายหมด โดยทุกฝ่ายต้องจริงจังในการร่วมมือกันทำงาน นายภาคภูมิ บอกด้วยว่า ปัจจุบันภาระตกอยู่กับกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ซึ่งส่วนตัวมองว่าในภาวะวิกฤตตอนนี้หน่วยงานเดียวทำงานไม่พอ ยังมีกรมอุทยานฯ ซึ่งดูแลอุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม เขตห้ามล่าสัตว์ป่าหมู่เกาะลิบงถิ่นพะยูนอาศัยอยู่ จะต้องร่วมกันทำงาน นอกจากนั้น กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ควรจะลงมาดำเนินการด้วยตัวเอง เพื่อให้กระทรวงเป็นหน่วยบูรณาการ เพราะลำพังกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง แม้จะพยายามแล้ว แต่ยังมีข้อจำกัดทั้งเรื่องคน และงบประมาณ จึงต้องดำเนินการในระดับนโยบาย รัฐมนตรีควรจะมีข้อสั่งการ และต้องเร่งกู้วิกฤตในครั้งนี้โดยเร็ว เพราะอาศัยทั้งคน ความรู้ งบประมาณ และต้องการความเร็วในการทำงาน หากมัวแต่หาสาเหตุเพียงเรื่องเดียวพะยูนคงตายหมด แต่ควรทำด้านการฟื้นฟูควบคู่กันไปด้วย ทั้งนี้ จากการตรวจสอบข้อมูลพบว่า ปี 2566 พะยูนตรังเกยตื้นทั้งหมด 23 ตัว ช่วยชีวิตได้ 4 ตัว ตายทั้งหมด 19 ปี หรือตายประมาณร้อยละ 7 ส่วนปี 2567 พบพะยูนเกยตื้นตายแล้วรวม 4 ตัว ผลผ่าพิสูจน์ คาดสาเหตุป่วยตาย เจ้าหน้าที่ศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง อันดามันตอนล่าง กรมทรัพยากรทางทะเลปละชายฝั่ง(ทช.) ได้นำซากพะยูนผอมตัวดังกล่าวมาทำการผ่าชันสูตรซากโดยทีมสัตวแพทย์ จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่า เป็นซากพะยูน เพศผู้ อายุประมาณ 20 ปี ความยาว 250 เซนติเมตร น้ำหนักประมาณ 220 กิโลกรัม ลักษณะภายนอกเขี้ยวอยู่ครบสมบูรณ์ทั้ง 2 ข้าง และยังมีร่องรอยการกินหญ้าคาอยู่ภายในปาก พบเพรียงขนาดเล็กกระจายอยู่ทั่วลำตัวบ่งบอกว่าสัตว์อยู่นิ่งเป็นเวลานาน เนื่องจากมีอาการป่วย เมื่อเปิดผ่าดูอวัยวะภายใน ส่วนของทางเดินอาหารพบพยาธิตัวกลมเต็มท้องในกระเพาะ ลำไส้พบเนื้องอกเนื้อตาย และยังพบพยาธิตัวกลมพยาธิใบไม้ และในลำไส้ใหญ่พบไมโครพลาสติกปะปนเล็กน้อย โดยในกระเพาะพบว่ามีหญ้าทะเลชนิดหญ้าใบมะกรูด หญ้าเข็ม (ซึ่งหญ้าเข็มจะพบในระดับน้ำลึกกว่าหญ้ามะกรูด) แต่มีอยู่น้อย หลังผ่าพิสูจน์นานถึง 4 ชั่วโมง เจ้าหน้าที่ลงความเห็นสาเหตุการตาย ว่า สัตว์ป่วยเรื้อรัง เนื่องจากมีพยาธิตัวกลมเต็มกระเพาะอาหาร พร้อมทำการเก็บตัวอย่างชิ้นเนื้อและโครงกระดูก เพื่อส่งตรวจวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการต่อไป นายสันติ นิลวัฒน์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง อันดามันตอนล่าง กรมทช. บอกว่า ตั้งแต่ต้นปี 2567 เป็นต้นมา ทะเลตรังพบพะยูนเกยตื้นตายแล้ว 4 ตัว โดยที่ผ่านมาจะพบว่า พะยูนเกยตื้นมากที่สุดในช่วงปลายปีประมาณ พ.ย.-ธ.ค. ส่วนที่ตายในปีนี้อาจเกี่ยวเนื่องกับปลายปีที่ผ่านมา คาดว่าในช่วงกลางๆปีมีโอกาสการเกิดขึ้นน้อยลง แต่ก็ถือว่าเป็นตัวเลขค่อนข้างน่าเป็นห่วง จากที่มีการเก็บข้อมูลมาหลายปี พบสาเหตุหลักของการเกยตื้นส่วนใหญ่เกิดจากอาการป่วย แต่ค่อนข้างจะวินิจฉัยยาก เพราะซากจะเน่า น้อยมากที่จะเจอซากที่สด เมื่อเจอซากเน่า อวัยวะภายในค่อนข้างที่จะพิสูจน์ยาก จะเห็นได้ว่าตัวล่าสุด พบพยาธิในกระเพาะมากขึ้น ชี้ชัดว่ามันป่วย ,พบหนอง พบก้อนเนื้อที่คล้ายมะเร็งลักษณะผิดปกติในอวัยวะภายใน ซึ่งค่อนข้างจะเจอในสัดส่วนเปอร์เซ็นต์ของการเกยตื้น ส่วนพะยูนตัวดังกล่าวผอม เป็นไปได้ 2 ลักษณะ คือ มันป่วยแล้วทำให้มันผอม หรือ มันอดอาหารแล้วเหนี่ยวนำทำให้มันป่วย ซึ่งจากการที่สัตวแพทย์ ชันสูตรในเบื้องต้นพบว่า ลักษณะของหัวใจอักเสบ และมีก้อนไขมันในหัวใจ ซึ่งถ้าพบว่าในกระเพาะของพะยูนมีแผล ก็อาจจะเป็นเพราะขาดอาหารได้ แต่นี่พบว่ามีพยาธิเต็มกระเพาะเกิดจากอาการป่วยเรื้อรัง ทีมบินสำรวจพบหากินเป็นฝูงน้อยลง ผอ.ศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง อันดามันตอนล่าง บอกด้วยว่า พะยูนจะย้ายถิ่นฐานหรือไม่ ตัวเลขยังสรุปไม่ได้ หากพบแหล่งหญ้าเสื่อมโทรมสัตว์ก็จะย้าย และที่พบในกระเพาะตัวล่าสุดจะเป็นหญ้าเข็ม ซึ่งแสดงว่าพะยูน ไปหากินในระดับน้ำลึก แต่ก็พบเจอหญ้าใบมะกรูดซึ่งเป็นหญ้าที่พะยูนยังคงหากินในที่แหล่งเดิมอยู่ เพราะหลักๆที่เจอความเสื่อมโทรมของหญ้าทะเล จะเจอในแหล่งน้ำตื้นและเป็นในบริเวณที่หญ้าแห้งระดับน้ำลงต่ำสุด "ตอนนี้ทางศูนย์วิจัยฯ ทำการสำรวจพะยูนโดยการใช้เครื่องบินเล็ก ซึ่งร่วมสำรวจตั้งแต่วันที่ 5 มีนาคมที่ผ่านมา สิ้นสุดในวันที่ 10 มีนาคมนี้ เพราะฉะนั้น จำนวนตัวเลขพะยูนของจังหวัดตรังในขณะนี้ ยังบอกไม่ได้ เพราะยังสำรวจไม่แล้วเสร็จ แต่ในพื้นที่จังหวัดกระบี่ พบพะยูนทั้งหมด 31 ตัว ซึ่งพบตัวแม่ลูก 2 คู่ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ายินดีมาก พบว่าอยู่ในพื้นที่มีการขยายพันธุ์" นายสันติ กล่าวทิ้งท้าย เศร้าซ้ำ บินสำรวจทะเลตรังเบื้องต้น ไม่พบ "พะยูน" คู่แม่ลูก เศร้า "พะยูน" ตรัง จากโลกตัวที่ 4 ของปี เกิดอะไรขึ้นกับทะเลไทย ด้าน นายวัชรบูล ลี้สุวรรณ หรือโน๊ต ดาราดังร่วมกับทีม อาสาสมัครร่วมบินสำรวจสัตว์ทะเลหายาก บอกกับทีมข่าวว่า วันนี้เขาได้มีโอกาสร่วมกับทีมที่ทำงานภาคสนาม และบังเอิญเป็นเรื่องน่าเศร้าที่มีพะยูนตายพอดี ทำให้ได้เห็นหมดตั้งแต่การบินสำรวจ บินโดรนและนั่งเรือสำรวจ จนสุดท้ายผ่าซากพะยูน ซึ่งเขามาสำรวจปีนี้เป็นปีแรก แต่จากที่สอบถามทีมงานอื่นๆ ทราบว่าประชากรพะยูนลดจำนวนน้อยลง ซึ่งแต่ก่อนเจอเป็นฝูงเป็นกลุ่ม แต่ปีนี้อยู่แบบกระจัดกระจาย ซึ่งต้องบินหาอยู่พอสมควรกว่าจะเจอ ซึ่งก็ไม่รู้สาเหตุเหมือนกันว่าเพราะอะไร และเท่าที่บินสำรวจ ก็ยังไม่พบพะยูนคู่แม่ลูกเลย ส่วน นายทอม (Tom) ช่างภาพอาสาสมัครร่วมบินสำรวจสัตว์ทะเลหายาก บอกว่า ได้ร่วมกับคณะบินสำรวจสัตว์ทะเลหายาก เพื่อที่นักวิจัยจะใช้ข้อมูลนี้ไปอนุรักษ์ทะเลหายากในประเทศไทย ซึ่งที่ไปสำรวจมีจังหวัดภูเก็ต กระบี่ ตรัง สุราษฎร์ธานี สตูล ชุมพร ทำเป็นโรดแมพ เชื่อมข้อมูลหาวิธีการอนุรักษ์ให้เป็นภาพใหญ่ขึ้น และในเรื่องของหญ้าทะเลเสื่อมโทรมนั้นตนเริ่มเห็นเมื่อ 3 ปีที่แล้ว และเสื่อมโทรมเร็วมากในปี 2566 ที่ผ่านมา ซึ่งแหล่งหญ้าทะเลที่เกาะลิบงเริ่มหายไปเยอะมากจริงๆ และจากการบินสำรวจจำนวนประชากรพะยูนในเกาะลิบงน้อยมากจริงๆ แต่ไปเจอพะยูนในจังหวัดอื่นๆ ซึ่งยังบอกไม่ได้ว่าเกิดจากเคลื่อนตัวหรือกระจายตัว มีต่อ
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#3
|
||||
|
||||
|
ขอบคุณข่าวจาก Nation
เศร้า "พะยูน" ตรัง จากโลกตัวที่ 4 ของปี เกิดอะไรขึ้นกับทะเลไทย ............... ต่อ "อ.ธรณ์" โพสต์ 10 ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับวิกฤตหญ้าทะเล/พะยูน ขณะที่ ผศ.ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ นักวิทยาศาสตร์ทางทะเล และอาจารย์ประจำภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Thon Thamrongnawasawat ระบุว่า 1.หญ้าทะเลตรัง/กระบี่ตายเป็นจำนวนมากจากโลกร้อน อาจมีรายงานเรื่องขุดลอกหรือทรายกลบที่ลิบง แต่เป็นเฉพาะพื้นที่ในอดีตและการขุดลอกหยุดไปหลายปีแล้ว 2.หญ้าตายหนนี้เริ่มตายปี 65-67 ยังไม่มีท่าทีว่าจะฟื้น และอาจขยายพื้นที่ออกไปเรื่อยๆ เนื่องจากโลกร้อนไม่หยุด มีรายงานหญ้าเสื่อมโทรมในลักษณะคล้ายกันในพื้นที่อื่นๆ เช่น เกาะพระทอง (พังงา) อีกหลายพื้นที่กำลังสำรวจเพิ่มเติม ภาพที่เห็นคือหญ้าทะเลไหม้เนื่องจากน้ำลงต่ำผิดปรกติ น้ำยังร้อน/แดดแรง ปัจจุบันในพื้นที่นั้นหญ้าตายหมดแล้ว หญ้าทะเลยังตายจากสภาพแวดล้อมเปลี่ยนรุนแรง บางแห่งเน่าจากปลาย บางแห่งเน่าเฉพาะโคนก่อนใบขาด ยังมีความเป็นไปได้ในเรื่องโรค (เชื้อรา) 3.พะยูน 220 ตัวอยู่ที่ตรัง/กระบี่ (ศรีบอยา) เป็นแหล่งหญ้าทะเลที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด 4.กรมทะเลมีงบศึกษาวิจัยสัตว์หายากน้อยมาก แม้เริ่มมีอุปกรณ์และทีมงานดีขึ้น แต่งบปฏิบัติการยังน้อยและทำการสำรวจได้ไม่เต็มที่ ในด้านสัตวแพทย์ทะเล ฯลฯ ยังมีบุคลากรจำกัด การศึกษาที่จำเป็น เช่น ตรวจฮอร์โมน ศึกษา DNA การย้ายถิ่น ฯลฯ เพิ่งเริ่มต้น และคงต้องใช้เวลาอีกนานด้วยความจำกัดในหลายด้าน 5.คาดว่าพะยูนอาจเคลื่อนย้ายไปหาแหล่งที่ยังมีหญ้าเหลือ โดยมีเส้นทางขึ้นเหนือ (กระบี่ตอนบน/พังงา/ภูเก็ต) หรือเส้นทางลงใต้ (สตูล) แต่ยังบอกไม่ได้ชัดเจน บอกไม่ได้เพราะการสำรวจทำตามงบจำกัด ไม่สามารถสำรวจต่อเนื่องเป็นพื้นที่กว้างในช่วงเวลาเดียวกัน 6.ในอดีตไม่เคยมีสถานการณ์เช่นนี้มาก่อน ตั้งแต่เริ่มต้นสำรวจหญ้าทะเลที่ตรังเมื่อ 40 ปีก่อน หญ้าไม่เคยหายไปเยอะแบบนี้ เนื่องจากหญ้าตายเพราะโลกร้อน/สิ่งแวดล้อม การแก้ที่ต้นเหตุจึงยากมาก 7.การปลูกฟื้นฟูจำเป็นต้องเลือกพื้นที่เหมาะสม พันธุ์หญ้าที่เหมาะสม (DNA) ภูมิต้านทานโรค ฯลฯ ไม่สามารถทำได้ทันที เพราะสภาพแวดล้อมแปรปรวน คณะประมงตั้ง "หน่วยวิจัยหญ้าทะเลต้านโลกร้อน" และมีโรงเพาะเลี้ยงหญ้าทะเลเพื่อเรื่องนี้ตั้งแต่ 4 ปีก่อน 8.การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเรื่องพะยูน คือการสำรวจให้กว้างที่สุด ดูการอพยพ (หากมี) เพื่อดูแลแหล่งหญ้าใหม่ที่พะยูนอาจไป แนวทางใหม่ๆ เช่น การติดตามสัตว์แบบ tracking ด้วยดาวเทียม การตรวจสุขภาพแบบจับมาตรวจ การให้อาหารเฉพาะหน้า ฯลฯ อาจต้องเริ่มคิดกัน 9.กรมทะเลตั้งคณะทำงานแล้วตั้งแต่ต้นปี ทำงานต่อเนื่องมาจนถึงตอนนี้ (บางคนก็อยู่ในทะเลตอนนี้) ประชุมกันเกือบทุกวัน เราไม่มีผู้เชี่ยวชาญดีกว่านี้อีกแล้ว 10.ทางออกที่สำคัญสุดคือการสนับสนุนงบประมาณให้โครงการต่างๆ ที่กรมทะเลเสนอไป เพื่อให้งานเดินหน้าต่อเนื่อง โดยเฉพาะในเรื่องของพะยูน ซึ่งตอนนี้ยังไม่รู้ว่าจะได้งบหรือไม่ ? (งบไม่ใช่หลายล้าน ทั้งหมดที่เสนอไป ราคาใกล้เคียงรถ EV จากจีน) ทั้งหมดนั้นคือที่สรุปมาให้เพื่อนธรณ์ ในฐานะคนในคณะทำงานครับ (ไม่ได้ตังค์ ไม่มีเบี้ยประชุม ไม่มีโครงการวิจัยในส่วนนี้ ฯลฯ) จะพยายามต่อไปเท่าที่ทำได้ ยังไงก็ต้องหาทางช่วยน้องครับ ต่อมา "อ.ธรณ์" ยังได้โพสต์ ผลสำรวจพะยูนเบื้องต้นที่ตรัง โดยระบุข้อความว่า ผลสำรวจพะยูนเบื้องต้นที่ตรังออกมาแล้วครับ คงถึงเวลาต้องร้องไห้ กรมทะเลบินสำรวจทุกปีที่เดิม ในเดือนเดียวกัน (มีนาคม) ด้วยวิธีเดิมๆ นักบินช่างภาพก็คนเดิมๆ เมื่อเทียบตัวเลขปีก่อนกับปีนี้ คำว่าตกใจอาจไม่พอ ปีที่แล้วพบไม่น้อยกว่า 180 ตัว แม่ลูก 12 คู่ ปีนี้พบ 24 ตัว (ลิบง 17 มุกด์ 7) ไม่พบแม่ลูกเลย เน้นย้ำว่าเป็นผลขั้นต้น ยังต้องสำรวจอีก 2 วัน แต่แค่นี้ก็พอบอกได้ว่าพะยูนตรังน้อยลงมาก ขนาดช่างภาพอาสาสมัครที่มาช่วยสำรวจเป็นสิบๆ ปียังแทบร้องไห้ ปีที่แล้วยังพบพะยูนรวมเป็นฝูง แต่ปีนี้ไม่พบฝูงพะยูนเลย กระจายกันออกไปเป็นตัวเดี่ยวๆ เพราะหญ้าเหลือน้อยมาก ผลชันสูตรพะยูนที่ตาย พบว่าป่วย ในทางเดินอาหารแทบไม่พบหญ้าทะเล (หากเราไม่มีอะไรกิน เราก็ป่วยตาย ผลชันสูตรคงไม่สามารถระบุได้ว่าอดตาย) ตัวเลขสำคัญสุดจึงย้อนมาที่ผลสำรวจทางอากาศ พะยูนลดน้อยลงมาก แล้วพะยูนไปไหน ? เราไม่ได้มีพะยูนตายเป็นร้อยๆ ดังที่เคยบอกเพื่อนธรณ์ เมื่อหญ้าทะเลหมด พะยูนคงไม่รอให้อดตาย หากตัวไหนไปได้ก็ไป แต่ไปไหน ? นั่นคือสิ่งที่ผมบอกไว้ในโพสต์ก่อน เราต้องการโครงการขนาดใหญ่สำรวจต่อเนื่องทั้งพื้นที่ กระบี่/ตรัง/สตูล หรือจะครอบคลุมทั้งอันดามันยิ่งดี คณะทำงานสัตว์หายากเสนอไปแล้ว หากได้รับความสนับสนุน นักวิจัยของกรมทะเลพร้อมทำงาน สำหรับทางออก การแก้ปัญหา ฯลฯ ยังบอกไม่ได้ เอาแค่ว่าพะยูนหายไปไหนแค่นี้ก่อน 180 เหลือ 24 ไม่มีแม่ลูกเลย แค่นี้ผมก็พูดอะไรไม่ออก คิดอะไรไม่ออก มันตื้อไปหมด ได้แต่ภาวนาว่าในการสำรวจอีก 2 วัน เราจะเจอน้องพะยูนเยอะขึ้น แม้รู้ดีว่าไม่มีทางเท่าปีก่อน แต่อย่างน้อยก็ขอให้เยอะกว่านี้สักนิด 24 ตัวมันเป็นตัวเลขที่โหดร้ายและทำร้ายจิตใจเกินไปครับ หมายเหตุ - เป็นผลสำรวจขั้นต้น รอผลเป็นทางการจากกรมทรัพยากรทางทะเลอีกครั้ง แต่จำนวนคงน้อยลงมากเมื่อเทียบกับปีก่อน ขอขอบคุณ : เฟซบุ๊ก Thon Thamrongnawasawat , กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง , ขยะมรสุม MONSOONGARBAGE THAILAND https://www.nationtv.tv/news/social/378941233
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#4
|
||||
|
||||
|
ขอบคุณข่าวจาก SpringNews
ฟิลิปปินส์เจ็บหนัก! มัดรวม 4 วิกฤตสิ่งแวดล้อม ที่ซัดน่วมแบบไม่ให้พักยก ![]() เครดิตภาพ: REUTERS SHORT CUT - ฟิลิปปินส์เผชิญปัญหาสิ่งแวดล้อม 4 ด้าน : อากาศย่ำแย่, ขยะพลาสติก, ทะเลปนเปื้อน, ระดับน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้น - ฟิลิปปินส์สร้างขยะพลาสติกลงทะเลกว่า 3 แสนเมตริกตันต่อปี ภายในปี 2593 อาจเจอพลาสติกในทะเลมากกว่าปลา - ภายในปี 2100 กรุงมะนิลาอาจกลายเป็นอาณาจักรแอตแลนติส หรือนครใต้บาดาล เพราะน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้น ฟิลิปปินส์คือประเทศที่สร้างขยะลงทะเลราว 3.6 แสนล้านตัน มากที่สุดในภูมิภาคอาเซียน นี่คือ 1 ปัญหาที่ดินแดนพันเกาะยังแก้ไม่ตก แต่ยังมีอีก 3 วิกฤตที่ฟิลิปปินส์ต้องแบกรับ จะมีอะไรบ้างติดตามได้ที่บทความนี้ มูฟออนจาก สุขุมวิท 11 ล่องฟ้าไปเยือนที่ฟิลิปปินส์กันดีกว่า ต้องบอกว่า "ไทย" กับ"ฟิลิปปินส์" นอกจากจะมีการแข่งขันกันบนเวทีการประกวดนางงามที่เด็ด เผ็ด มันส์ อยู่ทุกปีแล้ว ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมที่ต้องเผชิญก็คล้ายคลึงสมกับเป็นบ้านพี่เมืองน้องกันจริง ๆ Spring News ถือโอกาสนี้สรุป 4 วิกฤตด้านสิ่งแวดล้อมของฟิลิปปินส์มาให้ 4 ข้อ แล้วชาวไทย ซึ่งเป็นพันธมิตรที่รักกัน? จะได้เห็นว่าดินแดนพันเกาะก็ถูกธรรมชาติซัดจนน่วมแบบไม่ให้ได้ตั้งการ์ดด้วยซ้ำไป สภาพอากาศย่ำแย่ ปัญหาอันดับแรกของฟิลิปปินส์คือ ?มลพิษทางอากาศ? ข้อมูลจากองค์การอนามัยโลก (WHO) เผยว่า คุณภาพอากาศเฉลี่ยรายปีอยู่ที่ 24 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร ซึ่งมากกว่าค่าเฉลี่ยมาตรฐานถึง 4 เท่า ซึ่งต้นเหตุอากาศแย่ของฟิลิปปินส์มาจาก 3 สาเหตุหลักได้แก่ การเผาเชื้อเพลิงฟอสซิล การปล่อยมลพิษจากยานพาหนะ และการจุดปะทะในวันเทศกาลซึ่งก่อให้เกิดฝุ่น PM 2.5 รวมถึงบรรจุสารที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพของประชาชน ขยะพลาสติกอ่วมประเทศ รู้หรือไม่ว่า แต่ละปีฟิลิปปินส์สร้างขยะพลาสติกราว 2.7 ล้านตัน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว (Single-used Plastic) นอกจากนี้ กระบวนรีไซเคิลของแดนพันเกาะยังไร้ประสิทธิภาพ ถึงขั้นเกิดการประมาณการว่ารัฐบาลฟิลิปปินส์ต้องจ่ายเงินมากถึง 890 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อจัดการขยะพลาสติกเหล่านี้ ในสถานการณ์เลวร้าย ยังมีเรื่องราวดี ๆ เมื่อปี 2022 รัฐบาลคลอดกฎหมาย Extended Producer Responsibility Act (EPRA) ออกมาเพื่อจัดการกับปัญหาขยะโดยตรง ซึ่งหลักการก็ไม่มีอะไรซับซ้อนคือ ภาคเอกชนต้องจัดทำแผนในการนำขยะพลาสติกกลับมาใช้ใหม่ รวมไปถึงการรีไซเคิลพลาสติก กฎหมายเรือธงจัดการขยะตัวนี้คาดว่าจะลดปริมาณขยะพลาสติกของฟิลิปปินส์ลง 80% ทะเลเฟื่องไปด้วยขยะพลาสติก เป็นผลสืบเนื่องมาจากหัวข้อที่แล้ว งานวิจัยของ Science Advances ระบุว่า ฟิลิปปินส์คือประเทศที่ปล่อยขยะลงสู่ทะเลราว 3.6 แสนล้านตันมากที่สุดในภูมิภาคอาเซียน ถึงขั้น เทเรซา ลาซาโร ปลัดกระทรวงการต่างประเทศฟิลิปปินส์ กล่าวว่า ภายในปี 2593 ฟิลิปปินส์จะมีขยะในทะเลมากกว่าปลา แต่กระนั้นรัฐบาลก็ออกมาตรการแก้ไขปัญหาขยะรั่วไหลลงสู่ทะเลด้วยการจับมือกับ WWF เพื่อควบคุมการรั่วไหลของขยะพลาสติกให้ได้ 50% โดยเริ่มที่บริเวณท่าเรือ Cagayan de Oro ท่าเรือ Batangas และท่าเรือมะนิลาเหนือ นอกจากนี้ รัฐบาลได้ออกยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยเรื่องการจัดการขยะทะเล โดยมีจุดประสงค์คือน่านน้ำของฟิลิปปินส์จะต้องมีขยะเป็นศูนย์ภายในปี 2583 หรืออีกราว ๆ 16 ปี การแก้ไขอีกทางหนึ่งคือ เดินหน้าให้ความรู้แก่ภาคประชาชน ธุรกิจ ถึงวิธีการกำจัดขยะที่ถูกต้องและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งก็คงต้องมารอดูกันว่าไทยกับฟิลิปปินส์ใครจะจัดการขยะได้ก่อนกัน ระดับน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้น ปี 2024 มีการคาดการณ์ว่าระดับน้ำทะเลในฟิลิปปินส์จะเพิ่มสูงขึ้นอีก ซึ่งจะส่งผลกระทบกับเมืองชายฝั่งอย่างมะนิลา ถึงขั้นมีการระบุว่า ภายในปี 2100 กรุงมะนิลาจะกลายเป็นนครแอตแลนติสเลยทีเดียว ด้วยเหตุนี้รัฐบาลจึงวางแผนที่จะลงทุนกับโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อมาจัดการกับปัญหาน้ำท่วมในระยะยาว อาทิ ประตูระบายน้ำ สถานีสูบน้ำ ท่อระบายน้ำ โดยจะเน้นที่เมืองริมชายฝั่งเป็นกรณีพิเศษ ที่มา: Earth.ORG https://www.springnews.co.th/keep-th...ronment/848420
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#5
|
||||
|
||||
|
ขอบคุณข่าวจาก SpringNews
พายุฤดูร้อน คืออะไร? กับสาเหตุที่ทำให้ประเทศไทยเจอเกือบทุกปี SHORT CUT - ประเทศไทยเจอพายุฤดูร้อน สาเหตุจากความกดอากาศสูงจากประเทศจีนแผ่ลงมาปกคลุมเกิดการปะทะกันระหว่างอากาศที่ร้อนชื้นและเย็น ในช่วงเดือน มี.ค. เม.ย. พ.ค. ของทุกปี - ภาคเหนือ ภาคอีสาน ของประเทศไทย เป็นพื้นที่ที่เสี่ยงเกิดพายุฤดูร้อนมากที่สุด - พายุฤดูร้อนถล่มไทย ช่วงวันที่ 8-10 มี.ค. จังหวัด ภาคตะวันออก ภาคเหนือ ภาคอีสาน ภาคกลาง ![]() พายุฤดูร้อน คืออะไร? และสาเหตุที่ทำให้ประเทศไทยเจอกันเกือบทุกปี ล่าสุด กรมอุตุนิยมวิทยา เตือน จังหวัดภาคตะวันออก ภาคเหนือ ภาคอีสาน ภาคกลาง รับมือพายุฝนฟ้าคะนองลมกระโชกแรง ช่วง 8-10 มี.ค. นี้ พายุฤดูร้อนเชื่อว่าหลายคนคุ้นกับคำนี้ แต่จะมีสักกี่คนที่รู้ความหมายของมันว่าเหตุใดจึงเรียกพายุฤดูร้อน วันนี้ SPRiNG จะพาไปรู้จักพายุฤดูร้อนคืออะไร พายุฤดูร้อน (Thunderstorms) เป็นพายุฝนฟ้าคะนองที่เกิดในช่วงการเปลี่ยนฤดูจากฤดูร้อนไปสู่ฤดูฝน ช่วงประมาณเดือนเมษายน พายุฤดูร้อนนี้ เป็นพายุประจำถิ่น ที่มักเกิดขึ้นในบริเวณประเทศไทยตอนบน เมื่ออากาศในช่วงเปลี่ยนฤดู มีความชื้นสูงและร้อน ในขณะที่ความกดอากาศสูงก็ยังคงแผ่ลงมาเป็นครั้งคราว นำอากาศที่แห้งและเย็นกว่ามาผสมผสาน ทำให้เกิดมวลอากาศ ที่อเสถียรภาพ มีการแลกเปลี่ยนมวลกันในแนวดิ่ง เกิดการยกตัวของมวลอากาศอย่างต่อเนื่อง ก่อให้เกิดเมฆฝนฟ้าคะนองขนาดใหญ่กว่าปกติ และมีลมกระโชกแรงเกิดขึ้น ในบางครั้งทำให้เกิดลูกเห็บตก ทำความเสียหายให้แก่บ้านเรือนและ พืชผลทางการเกษตรเสียหายได้ สาเหตุการเกิดพายุฤดูร้อน ประเทศไทย แผ่นดินได้รับรังสีดวงอาทิตย์มากกว่าในช่วงอื่นๆ ของปี ทำให้อากาศที่อยู่เหนือพื้นผิวโลกมีอุณหภูมิสูงขึ้น พายุฤดูร้อนเกิดจากการที่ความกดอากาศสูงจากประเทศจีนแผ่ลงมาปกคลุมประเทศไทย จึงทำให้เกิดการปะทะกันระหว่างอากาศที่ร้อนชื้นของประเทศไทยและอากาศที่แห้งและเย็นจากประเทศจีน อากาศเย็นจะผลักให้อากาศร้อนชื้นลอยตัวขึ้นสู่ข้างบนอย่างรวดเร็ว จนเมื่อไอความชื้นขึ้นไปถึงชั้นบรรยากาศก็จะกลั่นตัวเป็นหยดน้ำ จนก่อตัวเป็นเมฆฝนขนาดใหญ่ มีลักษณะเป็นก้อนสีเทาเข้มทำให้เกิดพายุฝนฟ้าคะนอง ฟ้าแลบและฟ้าผ่าตามมา บางโอกาสจะมีลมพัดแรงเป็นเวลา 10 - 15 นาที หรืออาจนานกว่านั้นก็ได้ และมีลมกระโชกเป็นครั้งคราว โดยอาจมีกำลังแรงถึง 40 นอต หรือ 75 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ายุฤดูร้อนเกิดขึ้นในช่วงเวลาสั้นๆ ตั้งแต่ประมาณ 30 - 40 นาที ถึง 2-3 ชั่วโมง. สัญญาณเตือนก่อนเกิดพายุฤดูร้อน - อากาศร้อนอบอ้าว ติดต่อกันหลายวัน - ลมสงบ แม้ใบไม้ก็ไม่สั่นไหว - ความชื้นในอากาศสูง จนรู้สึกเหนียวตามร่างกาย - ท้องฟ้ามัว ทัศนวิสัยการมองเห็นระยะไกลไม่ชัดเจน - เมฆมากขึ้น ท้องฟ้ามืดครึ้ม อากาศร้อนอบอ้าว พื้นที่เสี่ยงเกิดพายุฤดูร้อน พื้นที่ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยซึ่งอยู่ใกล้ประเทศจีน เสี่ยงต่อการเกิดพายุฤดูร้อนเนื่องจากการปะทะกันของมวลอากาศร้อนและมวลอากาศเย็นจากประเทศจีนที่แผ่ลงมาปกคลุม หรือแม่แต่ระแสลมซึ่งมีมวลอากาศที่มีคุณสมบัติต่างกัน อย่าง กระแสลมใต้ หรือตะวันออกเฉียงใต้ เป็นอากาศร้อนและชื้นพัดผ่านทะเลมา และกระแสลมเหนือเป็นอากาศแห้งและเย็นพัดผ่านพื้นทวีปมา ก็อาจทำให้เกิดพายุฝนฟ้าคะนองรุนแรงได้ ทั้งนี้ทั่วทุกภาคของประเทศไทย มีโอกาสเกิดพายุฤดูร้อนได้ แต่ก็น้อยกว่าภาคเหนือ-อีสาน ขณะที่กรมอุตุนิยมวิทยา ประกาศเตือนภัยล่าสุด ฉบับที่ 4 เรื่อง พายุฤดูร้อนบริเวณประเทศไทยตอนบน มีผลกระทบบางพื้นที่ในช่วงวันที่ 8-10 มีนาคม 2567 บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นจากประเทศจีนได้แผ่ลงมาปกคลุมด้านตะวันออกของภาคตะวันออกเฉียงเหนือและทะเลจีนใต้ ในขณะที่ประเทศไทยตอนบนมีอากาศร้อนหลายพื้นที่ ประกอบกับมีลมใต้และลมตะวันออกเฉียงใต้พัดนำความชื้นจากอ่าวไทยและทะเลจีนใต้เข้ามาปกคลุมประเทศไทยตอนบน ลักษณะเช่นนี้จะทำให้ภาคเหนือตอนล่าง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลางรวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล และภาคตะวันออกจะมีพายุฤดูร้อนเกิดขึ้น โดยมีลักษณะของพายุฝนฟ้าคะนองลมกระโชกแรง และลูกเห็บตกบางแห่ง รวมถึงอาจมีฟ้าผ่าเกิดขึ้นได้บางพื้นที่ จึงขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากพายุฤดูร้อนที่อาจจะเกิดขึ้น โดยหลีกเลี่ยงการอยู่ในที่โล่งแจ้ง ใต้ต้นไม้ใหญ่ สิ่งปลูกสร้างและป้ายโฆษณาที่ไม่แข็งแรงสำหรับเกษตรกรควรเตรียมการป้องกันและระวังความเสียหายที่จะเกิดต่อผลผลิตทางการเกษตรและอันตรายต่อสัตว์เลี้ยงในช่วงวันและเวลาดังกล่าวไว้ด้วย โดยจะมีผลกระทบดังนี้ วันที่ 9 มีนาคม 2567 - ภาคเหนือ: จังหวัดอุตรดิตถ์ พิษณุโลก และเพชรบูรณ์ - ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ: จังหวัดเลย ชัยภูมิ นครราชสีมา บุรีรัมย์ และสุรินทร์ - ภาคตะวันออก: จังหวัดนครนายก ปราจีนบุรี สระแก้ว ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง และจันทบุรี - ภาคกลาง: จังหวัดลพบุรี สระบุรี พระนครศรีอยุธยา นครปฐม กาญจนบุรี ราชบุรี สมุทรสาคร และสมุทรสงคราม รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล วันที่ 10 มีนาคม 2567 - ภาคเหนือ: จังหวัดพิษณุโลก และเพชรบูรณ์ - ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ: จังหวัดเลย ชัยภูมิ หนองบัวลำภู ขอนแก่น นครราชสีมา และบุรีรัมย์ - ภาคตะวันออก: จังหวัดนครนายก ปราจีนบุรี สระแก้ว ฉะเชิงเทรา และชลบุรี - ภาคกลาง: จังหวัดลพบุรี และสระบุรี ข้อมูลจาก : มูลนิธิโครงการสารานุกรมไทย , กรมอุตุนิยมวิทยา https://www.springnews.co.th/keep-the-world/848457
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
![]() |
| คำสั่งเพิ่มเติม | |
| เรียบเรียงคำตอบ | |
|
|