เลือกสีตามสไลต์ที่คุณชอบ:
SaveOurSea.NET  

กลับไป   SaveOurSea.NET > สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม

ตอบ
 
Share คำสั่งเพิ่มเติม เรียบเรียงคำตอบ
  #1  
เก่า 10-03-2024
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,809
Default

ขอบคุณข่าวจาก กรุงเทพธุรกิจ


'หญ้าทะเลที่หายไป' ความเสื่อมโทรม กระทบระบบนิเวศ .............. ต่อ


การดำเนินงานที่ผ่านมา

การอนุรักษ์แหล่งหญ้าทะเล ?กองจัดการความหลากหลายทางชีวภาพ สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม? ระบุว่า ที่ผ่านมา ใช้แนวทางการจัดการแหล่งหญ้าทะเลแบบผสมผสาน โดยเน้นการพัฒนาควบคู่ไปกับการอนุรักษ์ ซึ่งประกอบด้วย 4 แผนงาน ดังนี้


1) สำรวจและประเมินสถานภาพ

ติดตามตรวจสอบสถานภาพและปัญหาของแหล่งหญ้าทะเลอย่างเป็นระบบ เพื่อจัดทำเป็นฐานข้อมูลทรัพยากรแหล่งหญ้าทะเล เกี่ยวกับที่ตั้งและความอุดมสมบูรณ์ของแหล่งหญ้าทะเลทั่วประเทศ ตลอดจนวิเคราะห์ประเด็นปัญหาความเสื่อมโทรมว่ามีสาเหตุจากธรรมชาติหรือจากกิจกรรมของมนุษย์

ข้อมูลดังกล่าว สามารถใช้เพื่อรองรับการกำหนดแนวทางการจัดการและฟื้นฟูแหล่งหญ้าทะเลที่เหมาะสมกับสถานการณ์โดยร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในชุมชนและกับนักวิชาการที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนการประกาศพื้นที่คุ้มครองทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ความสำคัญด้านระบบนิเวศทางทะเลและชายฝั่งอันควรค่าแก่การอนุรักษ์ รวมถึงกำหนดระเบียบ กฎเกณฑ์สำหรับการใช้ประโยชน์อย่างเหมาะสมตามกระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชน


2) เผยแพร่ข่าวสารความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับหญ้าทะเลสู่ประชาชนทุกกลุ่ม ทุกระดับ

เพื่อสร้างจิตสำนึกและความตระหนักเกี่ยวกับลักษณะ ถิ่นอาศัย ประโยชน์ และปัจจัยที่มีผลกระทบทั้งในทางบวก และทางลบของหญ้าทะเล เพื่อหยุด/ลดสาเหตุที่ทำให้เกิดความเสื่อมโทรมต่อสภาพแวดล้อมของคุณภาพน้ำและดินซึ่งมีผลถึงหญ้าทะเล ตลอดจนแนวทางป้องกันการเสื่อมโทรมและการอนุรักษ์หญ้าทะเล

โดยจัดทำสื่อโฆษณา ประชาสัมพันธ์ให้ตรงกลุ่มเป้าหมาย เช่น ชาวประมง หรือผู้เข้าไปใช้ประโยชน์ รวมถึงเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องในท้องถิ่นให้ทราบถึงความสำคัญและประโยชน์ของแหล่งหญ้าทะเล เพื่อให้เกิดจิตสำนึกและตระหนัก รัก และหวงแหน ในที่สุดก้าวเข้ามามีบทบาท หรือมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์และพัฒนาทรัพยากรแหล่งหญ้าทะเลของตนเอง


3) การคุ้มครองและฟื้นฟู

มีเป้าหมายเพื่อฟื้นฟูสภาพเสื่อมโทรมของแหล่งหญ้าทะเลให้กลับคืนมาใช้ประโยชน์ได้ โดยเน้นการจัดการกับปัจจัยต่าง ๆ ได้แก่ การกำหนดเขตการใช้ประโยชน์แหล่งหญ้าทะเล การควบคุมการระบายน้ำเสีย สนับสนุนการลงทุนก่อสร้างระบบรวบรวมและบำบัดน้ำเสียรวมของชุมชนหนาแน่นและบริเวณใกล้เคียง

การควบคุมผู้ประกอบการให้ดำเนินการตามมาตรการป้องกันและลดผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเข้มข้นตามรายงานศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) และ รายงานวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมเบื้องต้น (IEE) จากการพัฒนาชายฝั่งและในทะเลรูปแบบต่าง ๆ บริเวณแหล่งหญ้าทะเล


4) กำหนดขอบเขตแนวหญ้าทะเลด้านนอกชายฝั่งทะเล

ภายใต้ความร่วมมือของกลุ่มอนุรักษ์ทางทะเลและชายฝั่งของชุมชน โดยการวางทุ่นเป็นสัญลักษณ์แสดงพื้นที่แหล่งหญ้าทะเล กวดขันผู้ฝ่าฝืนกฎระเบียบหรือข้อบังคับ การห้ามใช้เครื่องมือประมงที่ไม่เหมาะสม สนับสนุนองค์ความรู้ การจัดหาพันธุ์และวิธีการปลูกหญ้าทะเลทดแทนแก่องค์กรและประชาชนในท้องถิ่น และทำการศึกษาวิจัยเชิงปฏิบัติ เพื่อนำผลของการศึกษาวิจัยมาประกอบการพิจารณาสนับสนุนการป้องกันและแก้ไขปัญหา

นอกจากนี้ ยังมีแนวทางการฟื้นฟูแหล่งหญ้าทะเลที่เสื่อมโทรม คือ การป้องกันและลดผลกระทบต่อพื้นที่แหล่งหญ้าทะเล การบริหารจัดการเชิงพื้นที่ที่เหมาะสม โดยกำหนดเขตการใช้ประโยชน์ แบ่งเป็นเขตรักษาพืชพันธุ์ และเขตอนุญาตสำหรับกิจกรรมประมงพื้นบ้าน และการฟื้นฟูโดยย้ายปลูกหญ้าทะเล


เร่งฟื้นฟูหญ้าทะเล

ดร.ปิ่นสักก์ สุรัสวดี อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (อทช.) เปิดเผยขณะตรวจสอบสาเหตุพะยูนเกยตื้นตาย ที่เกาะลิบง จังหวัดตรัง วานนี้ (8 มีนาคม 2567) ว่า กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ได้มีการเร่งแก้ไขปัญหาวิกฤตของหญ้าทะเลในพื้นที่จังหวัดตรังและกระบี่ ซึ่งที่ผ่านมากรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) ได้ ร่วมมือทีมนักวิจัย ด้านสมุทรศาสตร์ระดับประเทศหลายท่าน เร่งลงพื้นศึกษาวิจัยเพื่อหาสาเหตุการเสื่อมโทรมของแหล่งหญ้าทะเล

ซึ่งเบื้องต้นพบแนวโน้มสาเหตุหลักจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate change) ทำให้ระดับน้ำทะเลแห้งลงต่ำกว่าปกติ เป็นผลให้หญ้าทะเลต้องตากแห้งเป็นพื้นที่กว้างและนานกว่าปกติ หญ้าทะเลจึงเกิดความอ่อนแอซึ่งทีมวิจัยยังอยู่ระหว่างการศึกษาปัจจัยอื่น ได้แก่

- การทับถมของตะกอนจากการขุดลอกปากแม่น้ำ

- โรคระบาดในหญ้าทะเล

- การถูกกินโดยสัตว์น้ำ

- หรือประเด็นเรื่องสารพิษ ที่อาจซ้ำเติมให้หญ้าที่มีภาวะความอ่อนแอให้อยู่ในสภาพ
แย่ลงไป


ปัจจุบัน พบว่า หญ้าทะเลบางพื้นที่ เช่น เกาะลิบง มีพื้นที่หญ้าทะเลหายไปมากกว่า 50% และยังพบว่าสัตว์ทะเลหลายชนิดที่ต้องพึ่งพาระบบนิเวศหญ้าทะเลหายไป เช่น หอยชักตีน หอบตลับ ปลิงทะเล รวมถึงปลาหน้าดินหลายชนิด

อีกทั้ง การกำหนดแนวทางการฟื้นฟูจำเป็นต้องทราบสาเหตุที่ชัดเจนก่อน หากเป็นเรื่องของการทับถมของตะกอนจากการขุดลอกร่องน้ำ ก็ต้องมีแนวทางลดผลกระทบจากการขุดลอกให้ได้ก่อนทั้งในระยะดำเนินการ

สถานการณ์หญ้าทะเลเกาะลิบงและพื้นที่ใกล้เคียง ข้อมูล ณ ธันวาคม 2566 พบว่า

- พื้นที่หญ้าทะเล 15,547 ไร่

- พื้นที่หญ้าคาทะเลเสื่อมโทรม ประมาณ 7,997 ไร่ (51% ของพื้นที่สำรวจ)

- การปกคลุมพื้นที่เฉลี่ยลดลงจาก 224% เป็น 9% (ธ.ค. 66 เทียบกับ ก.พ. 66)

อนึ่ง หญ้าทะเลมีโอกาสฟื้นฟูตัวเองได้โดยธรรมชาติ แต่ระหว่างการพักฟื้นเราสามารถช่วยกระบวนการฟื้นตัวได้ โดยไม่สร้างมลพิษหรือภัยคุกคามเพิ่มเติม


อ้างอิง :
- คลังความรู้ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

- กองจัดการความหลากหลายทางชีวภาพ สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม



https://www.bangkokbiznews.com/environment/1116955

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #2  
เก่า 10-03-2024
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,809
Default

ขอบคุณข่าวจาก SpringNews


"ปะการังฟอกขาว" วิกฤตความร้อน! เตรียมรับมือกับทะเลเดือด ส่งผลกระทบร้ายแรง


SHORT CUT

- "ปะการังฟอกขาว" เกิดจากภาวะโลกร้อน ทำให้สภาพอากาศแปรปรวนส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศใต้ท้องทะเล

- สัตว์ที่อาศัยอยู่ในปะการังขาดแหล่งที่พัก ถูกล่าได้ง่ายขึ้นเป็นผลให้สิ่งมีชีวิตใต้ทะเลลดลง

- อนุรักษณ์แนวปะการังได้ เช่น ลดการใช้รถโดยไม่จำเป็น , ลดการเผาสิ่งปฏิกูล , ไม่ทิ้งขยะตามชายฝั่งทะเล เป็นต้น




ความร้อนทำโลกรวน สภาพอากาศแปรปรวน เกิดจากกิจวัตรประจำวันของผู้คน ที่ส่งผลกระทบไปถึงใต้ท้องทะเล หนึ่งในนั้นคืออุณหภูมิของน้ำทะเลที่จะสูงถึง 31 องศา ในช่วงเมษายน-กรกฎาคม นี้

กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) แจ้งข่าวเกี่ยวกับสถานการณ์ปะการังฟอกขาวในประเทศไทย โดยคาดการณ์ว่าอุณหภูมิน้ำทะเลที่สูงขึ้นจากปัจจัยต่างๆ รวมถึง ภาวะโลกรวน อาจทำให้เกิดเหตุปะการังฟอกขาวได้ในปีนี้

ปัจจุบันวิกฤตการณ์ใต้ทะเลที่เป็นผลมาจากความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศ เนื่องมาจากน้ำมือของมนุษย์ กำลังส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศใต้ท้องทะเลอย่างหนักโดยเฉพาะกับปะการังที่พบการเกิดปรากฏการณ์ฟอกขาวขึ้นเป็นวงกว้างในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ส่งผลกระทบต่อสัตว์ทะเลที่ใช้ประโยชน์จากแนวปะการังให้ขาดที่อยู่อาศัย แหล่งอาหาร แหล่งอนุบาลลูกปลา และที่หลบภัย ทำให้ถูกล่าได้ง่ายขึ้นเป็นผลให้ความหลากหลายของสิ่งมีชีวิตใต้ทะเลลดลงเป็นอย่างมาก

มนุษย์เองก็เช่นกัน เรามีประชากรมากกว่า 500 ล้านคนทั่วโลกที่พึ่งพาอาศัยแนวปะการังธรรมชาติเป็นแหล่งอาหารและแหล่งรายได้หลัก ทั้งจากการทำประมงและการท่องเที่ยว การสูญเสียแนวปะการังยังรวมไปถึงการสูญเสียประโยชน์ของระบบนิเวศด้านอื่นๆ เช่น การชะลอคลื่น และการป้องกันการกัดเซาะชายฝั่งจากคลื่นลมในมหาสมุทรอีกด้วย


"ปะการังฟอกขาว" เกิดจากอะไร?

ปะการังฟอกขาว (coral bleaching) เป็นปรากฏการณ์ที่เนื้อเยื่อปะการังมีสีซีดหรือจางลงจากการสูญเสียสาหร่ายซูแซนเทลลี (zooxanthellae) เกิดจากสภาวะที่ไม่เหมาะสมต่อการดำรงชีวิตของสาหร่าย เช่นอุณหภูมิน้ำทะเลสูงเกินไป มีน้ำจืดไหลลงมาทำให้ความเค็มลดลง ตะกอนที่ถูกน้ำจืดไหลพัดพามาจากชายฝั่ง หรือแม้แต่มลพิษที่เกิดจากการใช้ประโยชน์ทางทะเลของมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นการปล่อยน้ำเสีย การใช้ครีมกันแดด การทิ้งขยะตามแนวชายหาดก็ล้วนมีผลให้สาหร่ายซูแซนเทลลีออกมาจากเนื้อเยื่อของปะการังเพื่อความอยู่รอด

ต้องบอกก่อนว่าปะการังเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีความอ่อนไหวเป็นอย่างมากต่อการเปลี่ยนแปลงทางสภาพแวดล้อมในมหาสมุทร และในช่วงกว่าหนึ่งศตวรรษที่ผ่านมา ก๊าซเรือนกระจกที่ถูกปลดปล่อยโดยกิจกรรมของมนุษย์ กำลังส่งผลให้อุณหภูมิของชั้นบรรยากาศโลกสูงขึ้น เกิดภาวะโลกร้อน และสภาพอากาศแปรปรวนที่สร้าง ความเปลี่ยนแปลงอย่างมหาศาลต่อสภาพของท้องทะเล โดยเฉพาะอุณหภูมิของน้ำทะเลที่สูงขึ้น ซึ่งการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิน้ำทะเลเพียง 1 ? 2 องศาเซลเซียส ภายในระยะเวลา 3 สัปดาห์ สามารถทำให้ปะการังเกิดการฟอกขาวขึ้นได้


น้ำทะเลจะร้อนถึง 31 องศา

ด้าน อาจารย์ ธรณ์ นักวิทยาศาสตร์ทางทะเล ได้ออกมาบอกว่า นี่คือคำเตือนจากอาจารย์ธรณ์ อุณหภูมิน้ำทะเลกำลังร้อนขึ้น ขอให้เพื่อนธรณ์ช่วยกันติดตามดูปะการังฟอกขาวที่อาจจะใกล้เริ่มแล้วครับ 4 สาเหตุที่ต้องเตือน

- น้ำทะเลในช่วงกุมภาปีนี้ ร้อนกว่าปีที่แล้วประมาณ 1 องศา (กราฟที่เกาะล้าน ข้อมูลกรมทะเล)

- ระบบเรียลไทม์ที่ศรีราชา เตือนว่าน้ำร้อนถึง 31 องศา (สสน./คณะประมง) เมื่อลองดูกราฟย้อนหลัง อุณภูมิน้ำช่วงปลายกุมภา-ต้นมีนา ร้อนขึ้นอย่างรวดเร็ว

- คาดการณ์ว่าจะมีปะการังฟอกขาวครั้งใหญ่ในช่วง 3 เดือนข้างหน้า ทั้งในอ่าวไทยและอันดามัน (NOAA - ในแผนที่ทำนายปะการังฟอกขาวเห็นเป็นสีแดงและแดงเข้ม)

- เกิดปะการังฟอกขาวครั้งใหญ่แล้วที่ Great Barrier Reef การบินสำรวจพบพื้นที่ฟอกขาวยาวกว่า 1,000 กม. (AIMS)


จึงฝากเพื่อนธรณ์ช่วยดูปะการังสีซีด น้ำร้อนจัด ความผิดปรกติของทะเล ฯลฯ หากพบเจอแจ้งกรมทะเลหรือแจ้งมาที่ผมได้ครับ ผมคาดว่าเมษา-พฤษภา จะเป็นช่วงที่เกิดฟอกขาวรุนแรงครับ นอกจากปะการังแล้ว น้ำร้อนจัดจะส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศอื่นๆ เช่น หญ้าทะเล แพลงก์ตอนบลูม ยังส่งผลกระทบต่อการประมงและการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ


อนุรักษ์แนวปะการังได้ดังต่อไปนี้

- ลดการใช้รถโดยไม่จำเป็น

- ลดการเผาสิ่งปฏิกูล

- หลีกเลี่ยงการกระทำที่จะเป็นการทำลายแนวปะการัง ด้วยการทำระบบบำบัดน้ำเสีย

- ระมัดระวังการใช้ปุ๋ยในการเกษตร เพราะเมื่อถูกชะล้างลงสู่ทะเลจะส่งผลกระทบต่อสาหร่ายในแนวปะการัง

- ไม่ทิ้งขยะตามชายฝั่งทะเล


ที่มา : โครงการพัฒนาการเกิดปะการังฟอกขาว


https://www.springnews.co.th/keep-th...ronment/848470

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #3  
เก่า 10-03-2024
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,809
Default

ขอบคุณข่าวจาก BBCThai


พบวาฬเพชฌฆาตออกล่าฉลามขาวเพียงลำพัง "ฉีกทึ้งครีบ" และ "กินตับ" ............ โดย วิคตอเรีย กิลล์


วาฬออร์กาเพียงตัวเดียว (ปรากฏทางขวาของภาพ) "ฉีกทึ้งอวัยวะ" ของฉลามออกมาได้ภายใน 2 นาที
ที่มาของภาพ,IMAGE SOURCE,CHRISTIAAN STOPFORTH/DRONE FANATICS



การออกล่าและฆ่าปลาฉลามขาวยักษ์โดยลำพังของวาฬเพชฌฆาต หรือวาฬออร์กา ถูกบันทึกภาพไว้ได้ เผยให้เห็น การโจมตีอันเด็ดเดี่ยวที่ ?น่าอัศจรรย์? ของนักล่าแห่งท้องทะเล

นักวิทยาศาสตร์ระบุว่า ภาพที่ปรากฏและมีการบันทึกไว้ได้ ถือว่า "ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน" แสดงให้เห็นทักษะการล่าที่ยอดเยี่ยมของวาฬเพชฌฆาต

ก่อนที่จะเกิดภาพการสังหารอันน่าทึ่งนี้ ทีมนักวิทยาศาสตร์สังเกตเห็นวาฬออร์กา 2 ตัว บริเวณชายฝั่งของแอฟริกาใต้ จากนั้นก็พบว่า พวกมันกำลังร่วมมือกันออกล่าและฆ่าปลาฉลามหลายตัว ซึ่งในจำนวนนั้น รวมถึงปลาฉลามขาว นักล่าเหยื่อขั้นสุดแห่งท้องทะเล

"สิ่งที่เกิดขึ้น เราแทบไม่ทันได้ตั้งตัวเลย" ดร.อลิสัน ทาวเนอร์ นักชีววิทยาฉลาม กล่าว

ดร.ทาวเนอร์ ซึ่งมาจากมหาวิทยาลัยโรดส์ในเมืองเกรแฮมส์ทาวน์ ของแอฟริกาใต้ ได้ศึกษาวาฬเพชฌฆาตและฉลามขาวมาหลายปีแล้ว โดยเธอและเพื่อนร่วมงานได้ตีพิมพ์เรื่องราวการไล่ล่าอันน่าสะพรึงอย่างละเอียดในวารสารวิทยาศาสตร์ทางทะเลแห่งแอฟริกา

วิดีโอดังกล่าวถูกบันทึกภาพไว้ได้ในปี 2023 แสดงให้เห็นการโจมตี "อันเด็ดเดี่ยวและรวดเร็ว" ของวาฬเพชฌฆาตตัวผู้ที่ฆ่าปลาฉลามขาว และกินตับของมันในเวลาเพียง 2 นาที

อันที่จริง นักวิทยาศาสตร์เคยใช้โดรนบันทึกภาพวาฬออร์กาตัวผู้ 2 ตัวร่วมกันออกล่าปลาฉลามขาว มาได้แล้วครั้งหนึ่ง ซึ่งถือเป็นครั้งแรกด้วย เมื่อปี 2022

นักวิทยาศาสตร์ตั้งชื่อเล่นให้วาฬเพชฌฆาตทั้งสองตัวว่า พอร์ต และ สตาร์บอร์ด โดยเรียกตามลักษณะของครีบหลังที่งอไปในทิศทางตรงกันข้ามกัน พวกมัน "แสดงให้เห็นถึงพฤติกรรมที่ชื่นชอบการฉีกทึ้งตับฉลามออกมากิน"

ดร.ทาวเนอร์ เล่าย้อนไปถึงภาพโดรนเมื่อปี 2022 ว่า "กลุ่มฉลามขาวว่ายวนรอบวาฬเพชฌฆาตอย่างใกล้ชิด ซึ่งเป็นความพยายามหลีกหนีการถูกล่าอย่างสิ้นหวัง"

แล้วในการล่าและฆ่าปลาฉลามขาวครั้งล่าสุดนี้ วาฬออร์กาชื่อ "สตาร์บอร์ด" ออกไล่ล่าเพียงลำพัง เริ่มจากงับครีบอกด้านซ้ายของฉลามขาววัยรุ่น ความยาว 2.5 เมตร พร้อม "ดึงทึ้งไปด้านหน้าหลายครั้ง จนครีบฉีกหลุดออกมา"

ดร.ลุค เรนเดลล์ นักวิทยาศาสตร์ด้านสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทางทะเลจากมหาวิทยาลัยเซนต์แอนดรูว์บรรยายว่า มันเป็นการสังเกตพฤติกรรมที่ "สวยงามจริง ๆ"

"น่าสนใจมากที่วาฬเพชฌฆาตตัวนี้ทำได้โดยลำพัง" เขาบอกกับบีบีซี พร้อมอธิบายว่า การที่เจ้า "สตาร์บอร์ด" พุ่งกระแทกฉลามขาวข้างลำตัว และกัดครีบอก เพื่อหลีกเลี่ยงการตกอยู่ในรัศมีคมเขี้ยวที่ใหญ่และอันตรายของฉลามขาว แสดงให้เห็นถึงทักษะการไล่ล่าอันยอดเยี่ยม

"ปลาฉลามขาวคือแหล่งอาหารชั้นเยี่ยม ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมประชากรวาฬออร์กาบางส่วนที่อาศัยอยู่ในแหล่งปลาฉลาม จึงเรียนรู้ที่จะใช้ประโยชน์ทำเลนี้ (เพื่อล่าฉลามขาว)"

แต่พฤติกรรมอันเด็ดเดี่ยวของวาฬเพชฌฆาตนี้ ก่อให้เกิดคำถามว่า จะส่งผลกระทบต่อประชากรฉลามในพื้นที่อย่างไร

ในขณะเดียวกัน นักวิทยาศาสตร์ยังไม่ทราบว่าแรงจูงใจของพฤติกรรมนี้ว่าเกิดจากอะไร แต่ดร.ทาวเนอร์ บอกกับบีบีซีว่า มันเป็นหลักฐานสะท้อนให้เห็นว่า "กิจกรรมของมนุษย์ เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการประมงเชิงพาณิชย์ กำลังสร้างแรงกดดันอย่างมหาศาลต่อมหาสมุทรของเรา"

สิ่งที่เกิดขึ้นนี้อาจไม่ใช่ผลดีต่อสุขภาพวาฬเพชฌฆาตเท่าไหร่นัก เพราะการกินฉลาม หมายความว่า วาฬออร์กาได้กลืนสารพิษและสารโลหะจากเนื้อฉลามเข้าไปด้วย

"สมดุลที่เปลี่ยนไปของสัตว์นักล่าขั้นสุดแห่งท้องทะเล ยังอาจกระทบไปถึงสปีชีส์อื่น ๆ ด้วย" ดร.ทาวเนอร์ อธิบายต่อว่า "เพนกวินแอฟริกันที่ใกล้สูญพันธุ์อาจเผชิญกับการถูกล่าโดยแมวน้ำแอฟริกาใต้มากขึ้น เพราะแมวน้ำถูกฉลามล่าเป็นอาหารน้อยลง"

ดร.เรนเดลล์ ชี้ว่า เราไม่มีทางรู้เลยว่าพฤติกรรมนี้เป็นเรื่องใหม่ หรือเพิ่งสังเกตพบได้เป็นครั้งแรก "แต่สิ่งที่โดดเด่นจริง ๆ คือความชำนาญของสัตว์เหล่านี้ในฐานะนักล่า"

ดร.ทาวเนอร์ กล่าวเสริมอีกว่า ทุกการค้นพบที่เกี่ยวกับปฏิสัมพันธุ์ระหว่างวาฬออร์กาและฉลามนั้น "มันช่างน่าทึ่ง"


https://www.bbc.com/thai/articles/ckd8xp9yg11o

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
ตอบ

คำสั่งเพิ่มเติม
เรียบเรียงคำตอบ

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 19:19


vBulletin รุ่น 3.8.10
สงวนลิขสิทธิ์ ©2000-2025, บริษัท Jelsoft Enterprises จำกัด
Ad Management plugin by RedTyger