![]() |
|
|
|
#1
|
||||
|
||||
|
ขอบคุณข่าวจาก กรุงเทพธุรกิจ
'หญ้าทะเลที่หายไป' ความเสื่อมโทรม กระทบระบบนิเวศ .............. ต่อ การดำเนินงานที่ผ่านมา การอนุรักษ์แหล่งหญ้าทะเล ?กองจัดการความหลากหลายทางชีวภาพ สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม? ระบุว่า ที่ผ่านมา ใช้แนวทางการจัดการแหล่งหญ้าทะเลแบบผสมผสาน โดยเน้นการพัฒนาควบคู่ไปกับการอนุรักษ์ ซึ่งประกอบด้วย 4 แผนงาน ดังนี้ 1) สำรวจและประเมินสถานภาพ ติดตามตรวจสอบสถานภาพและปัญหาของแหล่งหญ้าทะเลอย่างเป็นระบบ เพื่อจัดทำเป็นฐานข้อมูลทรัพยากรแหล่งหญ้าทะเล เกี่ยวกับที่ตั้งและความอุดมสมบูรณ์ของแหล่งหญ้าทะเลทั่วประเทศ ตลอดจนวิเคราะห์ประเด็นปัญหาความเสื่อมโทรมว่ามีสาเหตุจากธรรมชาติหรือจากกิจกรรมของมนุษย์ ข้อมูลดังกล่าว สามารถใช้เพื่อรองรับการกำหนดแนวทางการจัดการและฟื้นฟูแหล่งหญ้าทะเลที่เหมาะสมกับสถานการณ์โดยร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในชุมชนและกับนักวิชาการที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนการประกาศพื้นที่คุ้มครองทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ความสำคัญด้านระบบนิเวศทางทะเลและชายฝั่งอันควรค่าแก่การอนุรักษ์ รวมถึงกำหนดระเบียบ กฎเกณฑ์สำหรับการใช้ประโยชน์อย่างเหมาะสมตามกระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชน 2) เผยแพร่ข่าวสารความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับหญ้าทะเลสู่ประชาชนทุกกลุ่ม ทุกระดับ เพื่อสร้างจิตสำนึกและความตระหนักเกี่ยวกับลักษณะ ถิ่นอาศัย ประโยชน์ และปัจจัยที่มีผลกระทบทั้งในทางบวก และทางลบของหญ้าทะเล เพื่อหยุด/ลดสาเหตุที่ทำให้เกิดความเสื่อมโทรมต่อสภาพแวดล้อมของคุณภาพน้ำและดินซึ่งมีผลถึงหญ้าทะเล ตลอดจนแนวทางป้องกันการเสื่อมโทรมและการอนุรักษ์หญ้าทะเล โดยจัดทำสื่อโฆษณา ประชาสัมพันธ์ให้ตรงกลุ่มเป้าหมาย เช่น ชาวประมง หรือผู้เข้าไปใช้ประโยชน์ รวมถึงเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องในท้องถิ่นให้ทราบถึงความสำคัญและประโยชน์ของแหล่งหญ้าทะเล เพื่อให้เกิดจิตสำนึกและตระหนัก รัก และหวงแหน ในที่สุดก้าวเข้ามามีบทบาท หรือมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์และพัฒนาทรัพยากรแหล่งหญ้าทะเลของตนเอง 3) การคุ้มครองและฟื้นฟู มีเป้าหมายเพื่อฟื้นฟูสภาพเสื่อมโทรมของแหล่งหญ้าทะเลให้กลับคืนมาใช้ประโยชน์ได้ โดยเน้นการจัดการกับปัจจัยต่าง ๆ ได้แก่ การกำหนดเขตการใช้ประโยชน์แหล่งหญ้าทะเล การควบคุมการระบายน้ำเสีย สนับสนุนการลงทุนก่อสร้างระบบรวบรวมและบำบัดน้ำเสียรวมของชุมชนหนาแน่นและบริเวณใกล้เคียง การควบคุมผู้ประกอบการให้ดำเนินการตามมาตรการป้องกันและลดผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเข้มข้นตามรายงานศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) และ รายงานวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมเบื้องต้น (IEE) จากการพัฒนาชายฝั่งและในทะเลรูปแบบต่าง ๆ บริเวณแหล่งหญ้าทะเล 4) กำหนดขอบเขตแนวหญ้าทะเลด้านนอกชายฝั่งทะเล ภายใต้ความร่วมมือของกลุ่มอนุรักษ์ทางทะเลและชายฝั่งของชุมชน โดยการวางทุ่นเป็นสัญลักษณ์แสดงพื้นที่แหล่งหญ้าทะเล กวดขันผู้ฝ่าฝืนกฎระเบียบหรือข้อบังคับ การห้ามใช้เครื่องมือประมงที่ไม่เหมาะสม สนับสนุนองค์ความรู้ การจัดหาพันธุ์และวิธีการปลูกหญ้าทะเลทดแทนแก่องค์กรและประชาชนในท้องถิ่น และทำการศึกษาวิจัยเชิงปฏิบัติ เพื่อนำผลของการศึกษาวิจัยมาประกอบการพิจารณาสนับสนุนการป้องกันและแก้ไขปัญหา นอกจากนี้ ยังมีแนวทางการฟื้นฟูแหล่งหญ้าทะเลที่เสื่อมโทรม คือ การป้องกันและลดผลกระทบต่อพื้นที่แหล่งหญ้าทะเล การบริหารจัดการเชิงพื้นที่ที่เหมาะสม โดยกำหนดเขตการใช้ประโยชน์ แบ่งเป็นเขตรักษาพืชพันธุ์ และเขตอนุญาตสำหรับกิจกรรมประมงพื้นบ้าน และการฟื้นฟูโดยย้ายปลูกหญ้าทะเล เร่งฟื้นฟูหญ้าทะเล ดร.ปิ่นสักก์ สุรัสวดี อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (อทช.) เปิดเผยขณะตรวจสอบสาเหตุพะยูนเกยตื้นตาย ที่เกาะลิบง จังหวัดตรัง วานนี้ (8 มีนาคม 2567) ว่า กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ได้มีการเร่งแก้ไขปัญหาวิกฤตของหญ้าทะเลในพื้นที่จังหวัดตรังและกระบี่ ซึ่งที่ผ่านมากรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) ได้ ร่วมมือทีมนักวิจัย ด้านสมุทรศาสตร์ระดับประเทศหลายท่าน เร่งลงพื้นศึกษาวิจัยเพื่อหาสาเหตุการเสื่อมโทรมของแหล่งหญ้าทะเล ซึ่งเบื้องต้นพบแนวโน้มสาเหตุหลักจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate change) ทำให้ระดับน้ำทะเลแห้งลงต่ำกว่าปกติ เป็นผลให้หญ้าทะเลต้องตากแห้งเป็นพื้นที่กว้างและนานกว่าปกติ หญ้าทะเลจึงเกิดความอ่อนแอซึ่งทีมวิจัยยังอยู่ระหว่างการศึกษาปัจจัยอื่น ได้แก่ - การทับถมของตะกอนจากการขุดลอกปากแม่น้ำ - โรคระบาดในหญ้าทะเล - การถูกกินโดยสัตว์น้ำ - หรือประเด็นเรื่องสารพิษ ที่อาจซ้ำเติมให้หญ้าที่มีภาวะความอ่อนแอให้อยู่ในสภาพ แย่ลงไป ปัจจุบัน พบว่า หญ้าทะเลบางพื้นที่ เช่น เกาะลิบง มีพื้นที่หญ้าทะเลหายไปมากกว่า 50% และยังพบว่าสัตว์ทะเลหลายชนิดที่ต้องพึ่งพาระบบนิเวศหญ้าทะเลหายไป เช่น หอยชักตีน หอบตลับ ปลิงทะเล รวมถึงปลาหน้าดินหลายชนิด อีกทั้ง การกำหนดแนวทางการฟื้นฟูจำเป็นต้องทราบสาเหตุที่ชัดเจนก่อน หากเป็นเรื่องของการทับถมของตะกอนจากการขุดลอกร่องน้ำ ก็ต้องมีแนวทางลดผลกระทบจากการขุดลอกให้ได้ก่อนทั้งในระยะดำเนินการ สถานการณ์หญ้าทะเลเกาะลิบงและพื้นที่ใกล้เคียง ข้อมูล ณ ธันวาคม 2566 พบว่า - พื้นที่หญ้าทะเล 15,547 ไร่ - พื้นที่หญ้าคาทะเลเสื่อมโทรม ประมาณ 7,997 ไร่ (51% ของพื้นที่สำรวจ) - การปกคลุมพื้นที่เฉลี่ยลดลงจาก 224% เป็น 9% (ธ.ค. 66 เทียบกับ ก.พ. 66) อนึ่ง หญ้าทะเลมีโอกาสฟื้นฟูตัวเองได้โดยธรรมชาติ แต่ระหว่างการพักฟื้นเราสามารถช่วยกระบวนการฟื้นตัวได้ โดยไม่สร้างมลพิษหรือภัยคุกคามเพิ่มเติม อ้างอิง : - คลังความรู้ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม - กองจัดการความหลากหลายทางชีวภาพ สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม https://www.bangkokbiznews.com/environment/1116955
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#2
|
||||
|
||||
|
ขอบคุณข่าวจาก SpringNews
"ปะการังฟอกขาว" วิกฤตความร้อน! เตรียมรับมือกับทะเลเดือด ส่งผลกระทบร้ายแรง SHORT CUT - "ปะการังฟอกขาว" เกิดจากภาวะโลกร้อน ทำให้สภาพอากาศแปรปรวนส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศใต้ท้องทะเล - สัตว์ที่อาศัยอยู่ในปะการังขาดแหล่งที่พัก ถูกล่าได้ง่ายขึ้นเป็นผลให้สิ่งมีชีวิตใต้ทะเลลดลง - อนุรักษณ์แนวปะการังได้ เช่น ลดการใช้รถโดยไม่จำเป็น , ลดการเผาสิ่งปฏิกูล , ไม่ทิ้งขยะตามชายฝั่งทะเล เป็นต้น ![]() ความร้อนทำโลกรวน สภาพอากาศแปรปรวน เกิดจากกิจวัตรประจำวันของผู้คน ที่ส่งผลกระทบไปถึงใต้ท้องทะเล หนึ่งในนั้นคืออุณหภูมิของน้ำทะเลที่จะสูงถึง 31 องศา ในช่วงเมษายน-กรกฎาคม นี้ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) แจ้งข่าวเกี่ยวกับสถานการณ์ปะการังฟอกขาวในประเทศไทย โดยคาดการณ์ว่าอุณหภูมิน้ำทะเลที่สูงขึ้นจากปัจจัยต่างๆ รวมถึง ภาวะโลกรวน อาจทำให้เกิดเหตุปะการังฟอกขาวได้ในปีนี้ ปัจจุบันวิกฤตการณ์ใต้ทะเลที่เป็นผลมาจากความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศ เนื่องมาจากน้ำมือของมนุษย์ กำลังส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศใต้ท้องทะเลอย่างหนักโดยเฉพาะกับปะการังที่พบการเกิดปรากฏการณ์ฟอกขาวขึ้นเป็นวงกว้างในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ส่งผลกระทบต่อสัตว์ทะเลที่ใช้ประโยชน์จากแนวปะการังให้ขาดที่อยู่อาศัย แหล่งอาหาร แหล่งอนุบาลลูกปลา และที่หลบภัย ทำให้ถูกล่าได้ง่ายขึ้นเป็นผลให้ความหลากหลายของสิ่งมีชีวิตใต้ทะเลลดลงเป็นอย่างมาก มนุษย์เองก็เช่นกัน เรามีประชากรมากกว่า 500 ล้านคนทั่วโลกที่พึ่งพาอาศัยแนวปะการังธรรมชาติเป็นแหล่งอาหารและแหล่งรายได้หลัก ทั้งจากการทำประมงและการท่องเที่ยว การสูญเสียแนวปะการังยังรวมไปถึงการสูญเสียประโยชน์ของระบบนิเวศด้านอื่นๆ เช่น การชะลอคลื่น และการป้องกันการกัดเซาะชายฝั่งจากคลื่นลมในมหาสมุทรอีกด้วย "ปะการังฟอกขาว" เกิดจากอะไร? ปะการังฟอกขาว (coral bleaching) เป็นปรากฏการณ์ที่เนื้อเยื่อปะการังมีสีซีดหรือจางลงจากการสูญเสียสาหร่ายซูแซนเทลลี (zooxanthellae) เกิดจากสภาวะที่ไม่เหมาะสมต่อการดำรงชีวิตของสาหร่าย เช่นอุณหภูมิน้ำทะเลสูงเกินไป มีน้ำจืดไหลลงมาทำให้ความเค็มลดลง ตะกอนที่ถูกน้ำจืดไหลพัดพามาจากชายฝั่ง หรือแม้แต่มลพิษที่เกิดจากการใช้ประโยชน์ทางทะเลของมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นการปล่อยน้ำเสีย การใช้ครีมกันแดด การทิ้งขยะตามแนวชายหาดก็ล้วนมีผลให้สาหร่ายซูแซนเทลลีออกมาจากเนื้อเยื่อของปะการังเพื่อความอยู่รอด ต้องบอกก่อนว่าปะการังเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีความอ่อนไหวเป็นอย่างมากต่อการเปลี่ยนแปลงทางสภาพแวดล้อมในมหาสมุทร และในช่วงกว่าหนึ่งศตวรรษที่ผ่านมา ก๊าซเรือนกระจกที่ถูกปลดปล่อยโดยกิจกรรมของมนุษย์ กำลังส่งผลให้อุณหภูมิของชั้นบรรยากาศโลกสูงขึ้น เกิดภาวะโลกร้อน และสภาพอากาศแปรปรวนที่สร้าง ความเปลี่ยนแปลงอย่างมหาศาลต่อสภาพของท้องทะเล โดยเฉพาะอุณหภูมิของน้ำทะเลที่สูงขึ้น ซึ่งการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิน้ำทะเลเพียง 1 ? 2 องศาเซลเซียส ภายในระยะเวลา 3 สัปดาห์ สามารถทำให้ปะการังเกิดการฟอกขาวขึ้นได้ น้ำทะเลจะร้อนถึง 31 องศา ด้าน อาจารย์ ธรณ์ นักวิทยาศาสตร์ทางทะเล ได้ออกมาบอกว่า นี่คือคำเตือนจากอาจารย์ธรณ์ อุณหภูมิน้ำทะเลกำลังร้อนขึ้น ขอให้เพื่อนธรณ์ช่วยกันติดตามดูปะการังฟอกขาวที่อาจจะใกล้เริ่มแล้วครับ 4 สาเหตุที่ต้องเตือน - น้ำทะเลในช่วงกุมภาปีนี้ ร้อนกว่าปีที่แล้วประมาณ 1 องศา (กราฟที่เกาะล้าน ข้อมูลกรมทะเล) - ระบบเรียลไทม์ที่ศรีราชา เตือนว่าน้ำร้อนถึง 31 องศา (สสน./คณะประมง) เมื่อลองดูกราฟย้อนหลัง อุณภูมิน้ำช่วงปลายกุมภา-ต้นมีนา ร้อนขึ้นอย่างรวดเร็ว - คาดการณ์ว่าจะมีปะการังฟอกขาวครั้งใหญ่ในช่วง 3 เดือนข้างหน้า ทั้งในอ่าวไทยและอันดามัน (NOAA - ในแผนที่ทำนายปะการังฟอกขาวเห็นเป็นสีแดงและแดงเข้ม) - เกิดปะการังฟอกขาวครั้งใหญ่แล้วที่ Great Barrier Reef การบินสำรวจพบพื้นที่ฟอกขาวยาวกว่า 1,000 กม. (AIMS) จึงฝากเพื่อนธรณ์ช่วยดูปะการังสีซีด น้ำร้อนจัด ความผิดปรกติของทะเล ฯลฯ หากพบเจอแจ้งกรมทะเลหรือแจ้งมาที่ผมได้ครับ ผมคาดว่าเมษา-พฤษภา จะเป็นช่วงที่เกิดฟอกขาวรุนแรงครับ นอกจากปะการังแล้ว น้ำร้อนจัดจะส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศอื่นๆ เช่น หญ้าทะเล แพลงก์ตอนบลูม ยังส่งผลกระทบต่อการประมงและการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ อนุรักษ์แนวปะการังได้ดังต่อไปนี้ - ลดการใช้รถโดยไม่จำเป็น - ลดการเผาสิ่งปฏิกูล - หลีกเลี่ยงการกระทำที่จะเป็นการทำลายแนวปะการัง ด้วยการทำระบบบำบัดน้ำเสีย - ระมัดระวังการใช้ปุ๋ยในการเกษตร เพราะเมื่อถูกชะล้างลงสู่ทะเลจะส่งผลกระทบต่อสาหร่ายในแนวปะการัง - ไม่ทิ้งขยะตามชายฝั่งทะเล ที่มา : โครงการพัฒนาการเกิดปะการังฟอกขาว https://www.springnews.co.th/keep-th...ronment/848470
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#3
|
||||
|
||||
|
ขอบคุณข่าวจาก BBCThai
พบวาฬเพชฌฆาตออกล่าฉลามขาวเพียงลำพัง "ฉีกทึ้งครีบ" และ "กินตับ" ............ โดย วิคตอเรีย กิลล์ ![]() วาฬออร์กาเพียงตัวเดียว (ปรากฏทางขวาของภาพ) "ฉีกทึ้งอวัยวะ" ของฉลามออกมาได้ภายใน 2 นาที ที่มาของภาพ,IMAGE SOURCE,CHRISTIAAN STOPFORTH/DRONE FANATICS การออกล่าและฆ่าปลาฉลามขาวยักษ์โดยลำพังของวาฬเพชฌฆาต หรือวาฬออร์กา ถูกบันทึกภาพไว้ได้ เผยให้เห็น การโจมตีอันเด็ดเดี่ยวที่ ?น่าอัศจรรย์? ของนักล่าแห่งท้องทะเล นักวิทยาศาสตร์ระบุว่า ภาพที่ปรากฏและมีการบันทึกไว้ได้ ถือว่า "ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน" แสดงให้เห็นทักษะการล่าที่ยอดเยี่ยมของวาฬเพชฌฆาต ก่อนที่จะเกิดภาพการสังหารอันน่าทึ่งนี้ ทีมนักวิทยาศาสตร์สังเกตเห็นวาฬออร์กา 2 ตัว บริเวณชายฝั่งของแอฟริกาใต้ จากนั้นก็พบว่า พวกมันกำลังร่วมมือกันออกล่าและฆ่าปลาฉลามหลายตัว ซึ่งในจำนวนนั้น รวมถึงปลาฉลามขาว นักล่าเหยื่อขั้นสุดแห่งท้องทะเล "สิ่งที่เกิดขึ้น เราแทบไม่ทันได้ตั้งตัวเลย" ดร.อลิสัน ทาวเนอร์ นักชีววิทยาฉลาม กล่าว ดร.ทาวเนอร์ ซึ่งมาจากมหาวิทยาลัยโรดส์ในเมืองเกรแฮมส์ทาวน์ ของแอฟริกาใต้ ได้ศึกษาวาฬเพชฌฆาตและฉลามขาวมาหลายปีแล้ว โดยเธอและเพื่อนร่วมงานได้ตีพิมพ์เรื่องราวการไล่ล่าอันน่าสะพรึงอย่างละเอียดในวารสารวิทยาศาสตร์ทางทะเลแห่งแอฟริกา วิดีโอดังกล่าวถูกบันทึกภาพไว้ได้ในปี 2023 แสดงให้เห็นการโจมตี "อันเด็ดเดี่ยวและรวดเร็ว" ของวาฬเพชฌฆาตตัวผู้ที่ฆ่าปลาฉลามขาว และกินตับของมันในเวลาเพียง 2 นาที อันที่จริง นักวิทยาศาสตร์เคยใช้โดรนบันทึกภาพวาฬออร์กาตัวผู้ 2 ตัวร่วมกันออกล่าปลาฉลามขาว มาได้แล้วครั้งหนึ่ง ซึ่งถือเป็นครั้งแรกด้วย เมื่อปี 2022 นักวิทยาศาสตร์ตั้งชื่อเล่นให้วาฬเพชฌฆาตทั้งสองตัวว่า พอร์ต และ สตาร์บอร์ด โดยเรียกตามลักษณะของครีบหลังที่งอไปในทิศทางตรงกันข้ามกัน พวกมัน "แสดงให้เห็นถึงพฤติกรรมที่ชื่นชอบการฉีกทึ้งตับฉลามออกมากิน" ดร.ทาวเนอร์ เล่าย้อนไปถึงภาพโดรนเมื่อปี 2022 ว่า "กลุ่มฉลามขาวว่ายวนรอบวาฬเพชฌฆาตอย่างใกล้ชิด ซึ่งเป็นความพยายามหลีกหนีการถูกล่าอย่างสิ้นหวัง" แล้วในการล่าและฆ่าปลาฉลามขาวครั้งล่าสุดนี้ วาฬออร์กาชื่อ "สตาร์บอร์ด" ออกไล่ล่าเพียงลำพัง เริ่มจากงับครีบอกด้านซ้ายของฉลามขาววัยรุ่น ความยาว 2.5 เมตร พร้อม "ดึงทึ้งไปด้านหน้าหลายครั้ง จนครีบฉีกหลุดออกมา" ดร.ลุค เรนเดลล์ นักวิทยาศาสตร์ด้านสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทางทะเลจากมหาวิทยาลัยเซนต์แอนดรูว์บรรยายว่า มันเป็นการสังเกตพฤติกรรมที่ "สวยงามจริง ๆ" "น่าสนใจมากที่วาฬเพชฌฆาตตัวนี้ทำได้โดยลำพัง" เขาบอกกับบีบีซี พร้อมอธิบายว่า การที่เจ้า "สตาร์บอร์ด" พุ่งกระแทกฉลามขาวข้างลำตัว และกัดครีบอก เพื่อหลีกเลี่ยงการตกอยู่ในรัศมีคมเขี้ยวที่ใหญ่และอันตรายของฉลามขาว แสดงให้เห็นถึงทักษะการไล่ล่าอันยอดเยี่ยม "ปลาฉลามขาวคือแหล่งอาหารชั้นเยี่ยม ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมประชากรวาฬออร์กาบางส่วนที่อาศัยอยู่ในแหล่งปลาฉลาม จึงเรียนรู้ที่จะใช้ประโยชน์ทำเลนี้ (เพื่อล่าฉลามขาว)" แต่พฤติกรรมอันเด็ดเดี่ยวของวาฬเพชฌฆาตนี้ ก่อให้เกิดคำถามว่า จะส่งผลกระทบต่อประชากรฉลามในพื้นที่อย่างไร ในขณะเดียวกัน นักวิทยาศาสตร์ยังไม่ทราบว่าแรงจูงใจของพฤติกรรมนี้ว่าเกิดจากอะไร แต่ดร.ทาวเนอร์ บอกกับบีบีซีว่า มันเป็นหลักฐานสะท้อนให้เห็นว่า "กิจกรรมของมนุษย์ เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการประมงเชิงพาณิชย์ กำลังสร้างแรงกดดันอย่างมหาศาลต่อมหาสมุทรของเรา" สิ่งที่เกิดขึ้นนี้อาจไม่ใช่ผลดีต่อสุขภาพวาฬเพชฌฆาตเท่าไหร่นัก เพราะการกินฉลาม หมายความว่า วาฬออร์กาได้กลืนสารพิษและสารโลหะจากเนื้อฉลามเข้าไปด้วย "สมดุลที่เปลี่ยนไปของสัตว์นักล่าขั้นสุดแห่งท้องทะเล ยังอาจกระทบไปถึงสปีชีส์อื่น ๆ ด้วย" ดร.ทาวเนอร์ อธิบายต่อว่า "เพนกวินแอฟริกันที่ใกล้สูญพันธุ์อาจเผชิญกับการถูกล่าโดยแมวน้ำแอฟริกาใต้มากขึ้น เพราะแมวน้ำถูกฉลามล่าเป็นอาหารน้อยลง" ดร.เรนเดลล์ ชี้ว่า เราไม่มีทางรู้เลยว่าพฤติกรรมนี้เป็นเรื่องใหม่ หรือเพิ่งสังเกตพบได้เป็นครั้งแรก "แต่สิ่งที่โดดเด่นจริง ๆ คือความชำนาญของสัตว์เหล่านี้ในฐานะนักล่า" ดร.ทาวเนอร์ กล่าวเสริมอีกว่า ทุกการค้นพบที่เกี่ยวกับปฏิสัมพันธุ์ระหว่างวาฬออร์กาและฉลามนั้น "มันช่างน่าทึ่ง" https://www.bbc.com/thai/articles/ckd8xp9yg11o
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
![]() |
| คำสั่งเพิ่มเติม | |
| เรียบเรียงคำตอบ | |
|
|