![]() |
|
|
|
#1
|
||||
|
||||
|
ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการ
เกาะกาลาปากอส ขึ้นค่าธรรมเนียมครั้งแรกในรอบ 26 ปี หวังนำไปสนับสนุนด้านการอนุรักษ์ ![]() นักท่องเที่ยวที่เดินทางไปยัง "หมู่เกาะกาลาปากอส" เตรียมจ่ายค่าธรรมเนียมแรกเข้าเป็น 2 เท่า ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับปริมาณนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นกำลังสร้างแรงกดดันต่อจุดหมายปลายทางที่ระบบนิเวศมีความเปราะบาง กระทรวงการท่องเที่ยวของประเทศเอกวาดอร์ประกาศเตรียมขึ้นค่าธรรมเนียมใหม่สำหรับนักท่องเที่ยวที่ไปเยือน มรดกโลกอย่างหมู่เกาะกาลาปากอส ซึ่งจะมีผลในวันที่ 1 สิงหาคม 2024 นี้ การขึ้นค่าธรรมเนียมครั้งนี้ นับเป็นครั้งแรกในรอบ 26 ปี นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1998 ค่าธรรมเนียมแรกเข้าอยู่ระหว่าง 100 - 200 ดอลลาร์สำหรับพลเมืองจากเกือบทุกประเทศ ยกเว้นสมาชิกกลุ่มการค้า Mercosur ในอเมริกาใต้ ได้แก่ อาร์เจนตินา บราซิล และเปรู ที่จ่ายเงิน 100 ดอลลาร์ต่อคน เพิ่มขึ้นจาก 50 ดอลลาร์ ส่วนเด็กอายุต่ำกว่า 2 ปีสามารถเข้าชมได้ฟรี โดยไม่คำนึงถึงสัญชาติ "หมู่เกาะกาลาปากอสไม่เพียงแต่เป็นสมบัติของชาติเท่านั้น แต่ยังเป็นสมบัติระดับโลก เป็นความรับผิดชอบร่วมกันในการปกป้องและรักษาระบบนิเวศที่ไม่มีใครเทียบได้นี้สำหรับคนรุ่นใหม่ในอนาคต" นีลส์ โอลเซ่น รัฐมนตรีกระทรวงการท่องเที่ยวของเอกวาดอร์กล่าวในแถลงการณ์ Galapagos Conservation Trust โอลเซ่น กล่าวเสริมว่าค่าธรรมเนียมที่เพิ่มขึ้นนั้นจะนำไปสนับสนุนการอนุรักษ์หมู่เกาะต่างๆ ซึ่งอยู่ห่างจากชายฝั่งแผ่นดินใหญ่เอกวาดอร์ออกไปราว 1,000 กิโลเมตร สำหรับหมู่เกาะกาลาปากอสเป็นแหล่งมรดกโลกทางธรรมชาติขององค์การยูเนสโกที่ประกอบด้วยเกาะมากกว่า 100 เกาะ เกาะเหล่านี้ได้รับการขนานนามว่า "พิพิธภัณฑ์มีชีวิต" เป็นที่ตั้งของพืชพรรณและสัตว์หายากหรือใกล้สูญพันธุ์ เกาะแห่งนี้เป็นแรงบันดาลใจสู่การกำเนิดทฤษฎีวิวัฒนาการของ "ชาร์ลส์ ดาร์วิน" และการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ก็ยังคงเกิดขึ้นในหมู่เกาะนี้เรื่อยมา โดยนักวิทยาศาสตร์เพิ่งค้นพบแนวปะการังที่ไม่รู้จักมาก่อน ซึ่งเชื่อกันว่ามีอายุหลายพันปีเมื่อปีที่แล้วนี่เอง หมู่เกาะมีประชากรประมาณ 30,000 คนอาศัยอยู่ แต่มีนักท่องเที่ยวประมาณ 170,000 คนมาเยือนในแต่ละปี ทำให้ Galapagos Conservation Trust องค์กรการกุศลที่จดทะเบียนในสหราชอาณาจักรซึ่งมุ่งเน้นการส่งเสริมการอนุรักษ์และความยั่งยืนบนเกาะต่างๆ ได้เตือนถึงผลกระทบทางนิเวศวิทยาจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น "ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา จำนวนนักท่องเที่ยวที่มาเยือนหมู่เกาะเหล่านี้เพิ่มขึ้นอย่างน่ากังวล โดยได้แรงหนุนจากการท่องเที่ยวทางบกที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว" คำแถลงระบุบนเว็บไซต์ "ปริมาณนักท่องเที่ยวเป็นตัวกระตุ้นระบบการจัดการขยะให้ถึงขีดจำกัด ทำให้น้ำและอาหารเกิดความไม่มั่นคงรุนแรงขึ้น และเพิ่มภัยคุกคามต่อสัตว์ที่ถูกรุกราน" ในปี 2021 ยูเนสโกได้ออกรายงานเกี่ยวกับหมู่เกาะต่างๆ และสถานะของความพยายามในการอนุรักษ์ รายงานดังกล่าวยกย่องรัฐบาลเอกวาดอร์ที่ลดการประมงผิดกฎหมายและควบคุมการแพร่กระจายของสายพันธุ์ที่รุกราน แต่ได้ขอให้มีการปรับปรุงเพิ่มเติมภายในปีนี้ และการขึ้นค่าธรรมเนียมชมเกาะ ก็อาจเป็นหนึ่งในแนวทางการพัฒนาเพื่อการอนุรักษ์ https://mgronline.com/travel/detail/9670000026304
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#2
|
||||
|
||||
|
ขอบคุณข่าวจาก ข่าวสด
เปิดตัว!เรือดักเก็บขยะพลังงานแสงอาทิตย์ หวังแก้ปัญหาขยะในแม่น้ำ ![]() "พัชรวาท" จับมือ "โบแยน สแลต ? ชัชชาติ" เปิดตัวเรือดักเก็บขยะพลังงานแสงอาทิตย์ ติดตั้งในแม่น้ำเจ้าพระยา หวังแก้ปัญหาขยะพลาสติกในแม่น้ำสายหลัก เมื่อวันที่ 26 มี.ค. ที่สวนเฉลิมพระเกียรติ 6 รอบ พระชนมพรรษา สะพานพระราม 3 พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วยนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯกทม. นายโบแยน สแลต ประธานกรรมการบริหาร และผู้ก่อตั้ง The Ocean Cleanup นายวิกเตอร์ หว่อง รองประธานและผู้จัดการทั่วไป บริษัท โคคา-โคล่า ประจำประเทศไทย เมียนมา และลาว นายแร็มโก ฟัน ไวน์คาร์เดิน เอกอัครราชทูตเนเธอร์แลนด์ประจำประเทศไทย และตัวแทนจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมเปิดตัวเรือดักเก็บขยะพลังงานแสงอาทิตย์ (Interceptor) ซึ่งเป็นเรือดักจับขยะบนผิวน้ำด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง ซึ่งความสำเร็จครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของความร่วมมือเชิงวิจัย เพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหามลพิษจากขยะพลาสติกในแม่น้ำสายสำคัญทั่วโลก พล.ต.อ.พัชรวาท กล่าวว่า กระทรวงทรัพยากรฯ มีวิสัยทัศน์ในการฟื้นฟูและรักษาสิ่งแวดล้อม โดยได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ ซึ่งถือเป็นวาระแห่งชาติ เพราะสิ่งแวดล้อมเป็นหนึ่งในรากฐานสำคัญของการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ความร่วมมือในการติดตั้ง Interceptor 019 ในแม่น้ำเจ้าพระยาในครั้งนี้ จะสนับสนุนการทำงานเชิงรุกด้านการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติ และรักษาสิ่งแวดล้อม รวมถึงการรักษาความหลากหลายทางชีวภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการจัดการปัญหาขยะพลาสติกในประเทศไทย ซึ่งเป็นปัญหาที่มีความซับซ้อน นายชัชชาติ กล่าวว่า กรุงเทพมหานคร รู้สึกยินดีที่ได้ร่วมสนับสนุน The Ocean Cleanup และพันธมิตร ในด้านการจัดเก็บและคัดแยกขยะที่ Interceptor 019 ดักจับได้ในแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายของเราในการจัดการขยะที่ไหลลงสู่แม่น้ำอย่างมีประสิทธิภาพ การคัดแยกขวดพลาสติกใช้แล้วที่มีมูลค่าออกจากขยะอื่นๆ แล้วส่งเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิล สามารถช่วยลดการใช้เม็ดพลาสติกใหม่ และลดปริมาณขยะที่ไหลลงสู่มหาสมุทรได้อีกทางหนึ่ง นายโบแยน กล่าวว่า เรือดักจับขยะ Interceptor 019 เป็นก้าวสำคัญในการป้องกันไม่ให้มลพิษจากขยะพลาสติกในกรุงเทพฯ ไหลลงสู่มหาสมุทร นับเป็นก้าวแรกของเราในประเทศไทยสำหรับการร่วมมือกับกรุงเทพมหานครและพันธมิตรเพื่อลดปัญหาขยะในแม่น้ำเจ้าพระยา สิ่งที่เราได้เรียนรู้จากการดำเนินงานด้านการกำจัดพลาสติกในมหาสมุทรในเมืองต่างๆ จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการโครงการติดตั้ง Interceptor ทั่วโลก ซึ่งเรามีแผนจะขยายไปอีกหลายแห่ง ภายใต้โครงการ Rivers ของเรา นายวิกเตอร์ กล่าวถึงความสำเร็จจากความร่วมมือกับ The Ocean Cleanup ว่า ความร่วมมือกับ The Ocean Cleanup ในช่วงเวลา 2 ปีที่ผ่านมา ก่อให้เกิดผลสำเร็จขึ้นในประเทศไทย คือการติดตั้ง Interceptor 019 ในแม่น้ำสายสำคัญอย่างเจ้าพระยา ซึ่งข้อมูลเชิงลึกที่ได้รับจากความร่วมมือในครั้งนี้ จะเป็นประโยชน์ในการปรับใช้เทคโนโลยีนี้ในประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก ซึ่งเรายินดีอย่างมากที่ได้สนับสนุนโครงการ ผ่านการทดลองและเรียนรู้ เพื่อสร้างสรรค์ประโยชน์อย่างกว้างขวางต่อไป นายแร็มโก กล่าวว่า ทั้งนี้เพื่อสนับสนุนความยั่งยืนของมหาสมุทร ประเทศเนเธอร์แลนด์เชื่อว่าความร่วมมือ การทำงานร่วมกัน และนวัตกรรมในการแก้ไขปัญหา เป็นสิ่งสำคัญที่จะบรรเทาผลกระทบที่จะเกิดขึ้น ในวันนี้ เรายินดีอย่างยิ่ง ที่มีส่วนสนับสนุนหมุดหมายที่สำคัญร่วมกันในการจัดการขยะพลาสติกที่อาจก่อให้เกิดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อมทางทะเล ผู้สื่อข่าวรายงานว่า โครงการนี้ได้ติดตั้ง Interceptor 019 ที่ริมฝั่งแม่น้ำบริเวณหน้าสวนสาธารณะเฉลิมพระเกียรติ 6 รอบ พระชนมพรรษา ซึ่งเป็นช่วง 16 กิโลเมตรสำคัญของแม่น้ำเจ้าพระยา โดยมีลำคลองจำนวน 61 สายไหลมาบรรจบในช่วงนี้ ทำให้มีโอกาสที่ขยะพลาสติกจะถูกพัดพามาจากที่ต่าง ๆ ทั้งนี้จะมีการเก็บข้อมูลของขยะที่ Interceptor 019 ดักจับได้ เพื่อศึกษาและทำความเข้าใจประเภทของขยะพลาสติกในแม่น้ำเจ้าพระยา และมุ่งศึกษาวิธีการสกัดและดักจับขยะพลาสติกก่อนที่จะไหลเข้าสู่ช่วง 50 กิโลเมตรสุดท้ายของแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งจะบรรจบกับอ่าวไทยและพัดพาขยะพลาสติกไปยังมหาสมุทร สำหรับแม่น้ำเจ้าพระยาถือเป็นแม่น้ำสายสำคัญที่หล่อเลี้ยงผู้คนและชุมชนต่าง ๆ ในพื้นที่กรุงเทพฯ ที่มีประชากรอาศัยอยู่กว่า 11 ล้านคน เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในแม่น้ำสายสำคัญของเอเชีย เรือดักจับขยะ Interceptor 019 ใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์ในการดักจับขยะแบบอัตโนมัติ และเป็น Interceptor ลำที่ 5 ของ The Ocean Cleanup ที่ติดตั้งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ภายใต้ความร่วมมือกับโคคา-โคล่า โดยได้ติดตั้งไปแล้ว 1 ลำในอินโดนีเซีย 1 ลำในเวียดนาม และ 2 ลำในมาเลเซีย นอกจากนี้ ยังมีการติดตั้ง Interceptor ในสาธารณรัฐโดมินิกัน และเมืองลอสแอนเจลิส ในสหรัฐอเมริกา นับเป็นส่วนหนึ่งในความร่วมมือระดับโลก เพื่อสนับสนุนการใช้เทคโนโลยีเชิงนวัตกรรมเพื่อช่วยป้องกันการเล็ดลอดของขยะพลาสติกจากแม่น้ำลงสู่มหาสมุทรทั่วโลก https://www.khaosod.co.th/monitor-news/news_8157891
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#3
|
||||
|
||||
|
ขอบคุณข่าวจาก ไทยโพสต์
ตำรวจน้ำไล่ล่าจับกุมเรือเวียดนาม 3 ลำ ลักลอบขนน้ำมันเถื่อนกลางทะเล ![]() 26 มี.ค.2567 - เจ้าหน้าที่ตำรวจน้ำ ภายใต้การอำนวยการสั่งการของ พล.ต.ต.พฤทธิพงศ์ นุชนารถ ผบก.รน./ผอ.ศปม.บก.รน. พ.ต.อ.วัชชิรานนท์ นนท์นา ผกก.2 บก.รน. พ.ต.อ.นิรัตน์ ช่วยจิตต์ ผกก.6 บก.รน.และพ.ต.อ.ปรเมษฐ โพยนอก ผกก.7 บก.รน. เปิดยุทธการฟ้าสางที่ปลายด้ามขวาน โดยให้กำลังตำรวจน้ำทั้ง กก.2 กก.6และกก.7 ซึ่งนำโดย พ.ต.ท.วินัย นิ่มฟัก รอง ผกก.2 บก.รน. เป็นหัวหน้าชุดปฏิบัติการทางทะเลออกปฏิบัติการปราบปรามการกระทำความผิดทางทะเล และพบเรือต้องสงสัยมีลักษณะคล้ายเรือประมงไม่ปรากฏสัญชาติ จำนวน 3 ลำ กลางทะเลอ่าวไทยในเขตน่านน้ำไทย ห่างจากปากร่องน้ำสงขลาไปทางทิศตะวันออกประมาณ 65 ไมค์ทะเล แต่เมื่อเรือทั้่ง 3 ลำเห็นเรือตำรวจน้ำได้ขับหลบหนีฝ่ายคลื่นอย่างเต็มกำลัง ตำรวจน้ำจึงนำเรือตรวจการณ์ 513 และเรือยางท้องแข็ง ไล่ล่าติดตามตรวจสอบ สุดท้ายก็สามารถไล่จนทันและสกัดจับเอาไว้ได้ทั้ง 3 ลำ ตรวจสอบพบว่าเป็นเรือสัญชาติเวียดนาม ลำที่ 1 ชื่อเรือ KG 90897 TS ลูกเรือ 3 คน ลำที่ 2 ชื่อเรือ KG 94431 TS ลูกเรือ 4 คน ลำที่ 3 ชื่อเรือ KG 96117 TS ลูกเรือ 3 คน โดยลูกเรือทั้งหมดเป็นชาวเวียดนาม และตรวจสอบพบว่าเรือทั้ง 3 ลำเป็นเรือประมงดัดแปลงบรรทุกน้ำมัน จึงควบคุมเรือและลูกเรือกลับเข้าฝั่งที่ท่าเทียบเรือตำรวจน้ำสงขลา กองกำกับการ 7 และประสานไปยังเจ้าหน้าที่ศุลกากร สรรพสามิต และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าตรวจสอบน้ำมันในเรือทั้ง 3 ลำ พบว่าเป็นน้ำมันดีเซลจำนวน 60,000 ลิตร เป็นน้ำมันเถื่อน และเป็นน้ำมันในราชอาณาจักรใช้สำหรับการส่งออกไปยังนอกราชอาณาจักร และกำลังอยู่ระหว่างการตรวจสอบขยายผลหาผู้กระทำผิดขบวนการค้าน้ำมันเถื่อนกลุ่มนี้ต่อไป และได้ยึดเรือทั้ง 3 ลำเอาไว้และคุมตัวลูกเรือทั้ง 10 คนส่ง สภ.เมืองสงขลาดำเนินคดี https://www.thaipost.net/district-news/559339/
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#4
|
||||
|
||||
|
ขอบคุณข่าวจาก กรุงเทพธุรกิจ
รู้จัก 'สนธิสัญญาพลาสติกโลก' ทางออก 'ปัญหาขยะพลาสติก' ของไทย และทั่วโลก ทำความรู้จัก "สนธิสัญญาพลาสติกโลก" หรือ "Global Plastic Treaty" เตรียมประกาศใช้ในปี 2568 ความหวังที่จะแก้ไข "ปัญหาขยะพลาสติก" และอาจเป็นข้อตกลงพหุภาคีด้านสิ่งแวดล้อมที่สำคัญที่สุดตั้งแต่ความตกลงปารีส ![]() "ขยะพลาสติก" กลายเป็นปัญหาใหญ่ระดับโลก หลายประเทศประสบกับปัญหา "ขยะล้นเมือง" แต่นั่นยังไม่เป็นอันตรายเท่ากับ "ไมโครพลาสติก" พลาสติกที่แตกตัวออกกลายเป็นชิ้นส่วนขนาดเล็กที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า ซึ่งสามารถพัดพาไปทั่วโลก แม้แต่ในพื้นที่ห่างไกลที่สุดอย่างขั้วโลกเหนือก็ยังพบไมโครพลาสติก ไมโครพลาสติก กลายเป็นมลพิษที่ปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อม ทั้งในแหล่งน้ำ พื้นดิน และในอากาศ แทรกแซงห่วงโซ่อาหาร มีการศึกษาหลายชนิดที่ ตรวจพบไมโครพลาสติก และนาโนพลาสติกหลายประเภทในเนื้อเยื่อของมนุษย์ รวมถึงลำไส้ใหญ่ ตับ ม้าม ต่อมน้ำเหลือง รก และแม้แต่ในเลือดของมนุษย์ ซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพ ผู้นำจากประเทศทั่วโลก จึงได้พยายามผลักดันให้เกิด "สนธิสัญญาพลาสติกโลก" เพื่อแก้ปัญหาขยะพลาสติก กำเนิด "สนธิสัญญาพลาสติกโลก" 2 มีนาคม 2565 มีการประชุมสมัชชาสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (UNEA) ณ กรุงไนโรบี ประเทศเคนยา ในโอกาสนั้น ผู้นำจากประเทศทั่วโลกได้มีมติสมัชชาสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติที่ 5/14 กำหนดให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการการเจรจาระหว่างรัฐบาล (Intergovernmental Negotiating Committee - INC) โดยมีภารกิจจัดทำมาตรการที่มีผลผูกพันทางกฎหมายว่าด้วยมลพิษพลาสติก รวมถึงในสิ่งแวดล้อมทางทะเล โดยตั้งอยู่บนฐานของแนวทางที่ครอบคลุมตลอดวงจรชีวิตของพลาสติก หลังจากนั้นการประชุมของ INC จึงเริ่มมีการกล่าวถึง "สนธิสัญญาพลาสติกโลก" หรือ "Global Plastic Treaty" ซึ่งคาดหวังว่าจะมาตรการทางกฎหมายนี้จะต้องมีความสำคัญ และมีขอบเขตอำนาจสูง โดย อิงเจอร์ แอนเดอร์เซน ผู้อำนวยการโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (UNEP) เคยกล่าวว่า "สนธิสัญญาพลาสติกโลก" อาจเป็นข้อตกลงพหุภาคีด้านสิ่งแวดล้อมที่สำคัญที่สุดตั้งแต่ความตกลงปารีส ปัจจุบัน สนธิสัญญาพลาสติกโลก ยังอยู่ในขั้นตอนการร่างกฎหมาย เนื่องจากมีหลาย ประเด็นที่แต่ละประเทศยังตกลงกันไม่ได้ แต่คาดว่าจะได้ข้อสรุปในการประชุม INC-5 ที่จัดขึ้นที่ประเทศเกาหลีใต้ ในช่วงปลายปี 2567 หลังจากนั้นในปี 2568 จะมีการประชุมระหว่างประเทศครั้งใหญ่เพื่อจัดตั้งมาตรการที่มีผลผูกพันทางกฎหมายระหว่างประเทศดังกล่าวอย่างเป็นทางการ และเปิดให้มีการลงนาม สนธิสัญญาพลาสติกโลก จะมีโครงสร้างที่ครอบคลุมวงจรชีวิตของพลาสติก โดยกำหนดให้มีมาตรการในแต่ละขั้นตอน ตั้งแต่การผลิต การออกแบบผลิตภัณฑ์ การใช้งาน การใช้ซ้ำ การรีไซเคิล การจัดการขยะ การฟื้นฟูพื้นที่ปนเปื้อน และการเปลี่ยนผ่านที่เป็นธรรมสำหรับผู้ที่อาจได้รับผลกระทบหรือ ได้รับผลกระทบแล้ว INC กำลังหาข้อสรุปเกี่ยวกับการตั้งเป้าลดการผลิตพลาสติก รวมถึงการกำหนดมาตรการให้ทุกประเทศที่ลงนามเลิกผลิตหรือใช้พลาสติกบางประเภท เช่น พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง ไมโครพลาสติกแต่งเติม หรือ มาตรการในการเลิกใช้สารเคมีบางประเภทในพลาสติก ตลอดจนการตั้งเป้าในการจัดตั้งระบบใช้ซ้ำ และระบบเติม และการบังคับให้ผู้ผลิตพลาสติกขยายขอบเขตความรับผิดชอบเพิ่มขึ้น เช่น มีมาตรฐานในการรีไซเคิลและการจัดการขยะพลาสติกที่เป็นสากล โดยหัวข้อเหล่านี้จะกลายเป็นประเด็นหลักในการประชุม INC-4 ที่จะเกิดขึ้นในเดือนเม.ย. ที่แคนาดา "สนธิสัญญาพลาสติกโลก" สำคัญอย่างไรกับประเทศไทย ข้อมูลจาก สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมระบุว่า ประเทศไทยมีขยะพลาสติกประมาณร้อยละ 12 ของปริมาณขยะที่เกิดขึ้นทั้งหมด หรือประมาณปีละ 2 ล้านตัน มีการนำกลับไปใช้ประโยชน์ประมาณปีละ 0.5 ล้านตัน (ร้อยละ 25) ส่วนที่เหลือ 1.5 ล้านตัน (ร้อยละ 75) ซึ่งพลาสติกส่วนใหญ่เป็นพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว (Single-use plastics) อาทิ ถุงร้อน ถุงเย็น ถุงหูหิ้ว แก้วพลาสติก หลอดพลาสติก กล่องโฟมบรรจุอาหาร ไม่มีการนำกลับไปใช้ประโยชน์ใหม่ โดยส่วนใหญ่จะถูกทิ้งเป็นขยะมูลฝอยในปริมาณและสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่งานวิจัยของ ลอเรนส์ เจ.เจ. ไมเยอร์ พบว่าประเทศไทยติดอันดับ 10 ของประเทศที่ปริมาณขยะพลาสติกที่ไหลลงสู่ทะเลด้วยจำนวน 22,806 ตันต่อปี เป็นเพราะระบบการจัดขยะของประเทศไทยมีคุณภาพไม่ดีพอ ด้วยเหตุนี้ องค์กรภาคประชาสังคม 3 องค์กร ได้แก่ มูลนิธิความยุติธรรมเชิงสิ่งแวดล้อม (Environmental Justice Foundation: EJF) กรีนพีซ ประเทศไทย (Greenpeace Thailand) และมูลนิธิบูรณะนิเวศ (EARTH) เล็งเห็นถึงความสำคัญของมาตรการทางกฎหมายฉบับนี้ จึงร่วมจัดงาน "สนธิสัญญาพลาสติกโลก สู่การยุติมลพิษพลาสติก สำคัญอย่างไรต่อสังคมไทย" เพื่อสร้างความตระหนักรู้ และเพื่อประกาศจุดยืนให้มาตรการทางกฎหมายฉบับนี้ทะเยอทะยาน คำนึงถึงสุขภาพของมนุษย์และสิ่งแวดล้อมเป็นเป้าหมายสูงสุด และเป็นจุดเริ่มต้นของการยุติมลพิษพลาสติกเพื่อโลกที่ยั่งยืน สะอาด และเป็นธรรม โดยมีข้อเสนอให้รัฐบาล 175 ประเทศทั่วโลก รวมถึงรัฐบาลไทย สร้างสนธิสัญญาพลาสติกที่บรรลุเป้าหมายดังกล่าว โดยต้องมีเป้าหมายที่ทะเยอทะยาน มีกรอบเวลาชัดเจน มีกลไกการเงิน ดังนี้ 1.ลดการผลิตพลาสติกอย่างจริงจัง ยกเลิกการผลิตและการใช้พลาสติกที่เป็นปัญหา จัดการได้ยาก สามารถหลีกเลี่ยงการใช้ได้ 2.กำหนดให้มีการเลิกใช้สารเคมีอันตรายตลอดวงจรชีวิตของพลาสติก พิจารณาการใช้สารเคมีทดแทนที่ปลอดภัย และไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ 3.กำหนดให้มีโครงสร้างพื้นฐานสำหรับการลดการใช้พลาสติก การใช้ซ้ำ การเติม การซ่อมแซม ที่มีมาตรฐาน ปลอดภัย และเข้าถึงได้โดยมนุษย์ทุกคน 4.กำหนดให้มีการพัฒนากฎหมายการขยายความรับผิดชอบของผู้ผลิต (Extended Producer Responsibility: EPR) ที่ครอบคลุมตลอดวงจรชีวิตของพลาสติก และค่าความเสียหายทางสิ่งแวดล้อม 5.กำหนดให้ผู้ผลิตพลาสติกรายงานข้อมูลสารเคมีในวัตถุดิบ และผลิตภัณฑ์ รวมไปถึงการรายงานข้อมูลการปลดปล่อย และเคลื่อนย้ายสารเคมี และมลพิษสู่สิ่งแวดล้อมจากอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับพลาสติก สู่สาธารณะ 6.ไม่สนับสนุนการแก้ไขปัญหาที่ผิดทาง รวมไปถึงการรีไซเคิลสกปรก การขยายโรงไฟฟ้าขยะ และพลาสติกทางเลือกที่ก่อให้เกิดปัญหาอื่น 7.ไม่สนับสนุนการเคลื่อนย้ายพลาสติกใช้แล้วข้ามพรมแดน และการส่งออกเทคโนโลยีที่ก่อมลพิษ อันเป็นการผลักภาระมลพิษไปยังประเทศกำลังพัฒนา 8.กำหนดให้มีการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม รวมไปถึงการเยียวยา และพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้ที่ได้รับผลกระทบจากมลพิษพลาสติก 9.กำหนดให้มีการเปลี่ยนผ่านที่เป็นธรรม โดยให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจากทุกภาคส่วน รวมไปถึง ชุมชนผู้ได้รับผลกระทบทั้งในด้านสุขภาพ เศรษฐกิจ และสังคม ผู้ปฏิบัติงาน และแรงงานที่เกี่ยวข้องกับพลาสติก เข้าไปมีส่วนร่วมในการออกแบบอนาคตที่ปลอดมลพิษพลาสติก โดยคำนึงถึงสิทธิมนุษยชน และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ https://www.bangkokbiznews.com/environment/1119515
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#5
|
||||
|
||||
|
ขอบคุณข่าวจาก สำนักข่าวไทย
ล่าปลิงทะเล ทำเมนูเด็ด-ส่งออก ตรัง 26 มี.ค. ? ชาวบ้านเกาะสุกร ออกหาปลิงทะเลหลังน้ำลด โดยเฉพาะ "ดอเทศ" ปลิงทะเลชนิดหนึ่ง นำมาตากแห้งส่งขายต่างประเทศ มีสรรพคุณทางยาสูง ![]() เกาะสุกร อ.ปะเหลียน จ.ตรัง มีของดีหลายอย่าง หนึ่งในนั้นคือ ปลิงทะเล ที่เอามาแปรรูปเป็นเมนูเด็ด หรือเอามาตากแห้งส่งออกก็ได้ราคาดี ช่วงน้ำทะเลลดต่ำสุด ชาวบ้านออกหาปลิงทะเลตามแนวโขดหิน นำมาตากแห้งและทำเมนูอาหาร ต้อนรับนักท่องเที่ยวที่เดินทางไปเที่ยวเกาะ ช่วงนี้จะพบปลิงทะเลสีดำ ตัวนิ่ม ที่ชาวบ้านเรียกว่า "ดอเทศ" มากที่สุด บางตัวมีความยาว 1 -1.20 ฟุต เมื่อได้มาแล้ว นำมาผ่าท้อง ล้างทำความสะอาด ก่อนนำมาต้มให้สุก ใช้เวลาประมาณ 2-3 ชั่วโมง แล้วจึงนำมาตากแดด 1-2 วัน ให้แห้ง รอพ่อค้าแม่ค้ามารับซื้อในราคากิโลละ 500 บาท เพื่อส่งขายไปต่างประเทศ เช่น จีน ฮ่องกงและไต้หวัน แต่หากรับซื้อตัวเป็น ๆ ตกกิโลละ 25 บาท ซึ่งแต่ละวันชาวบ้านจะหาได้มาก-น้อยต่างกัน บางวันได้ 2-3 กิโล แต่บางวันก็ได้นับ 10 กิโล จากงานวิจัยจากหลายสถาบัน พบว่า ดอเทศ เป็นปลิงทะเลที่มีสรรพคุณทางยาสูง อุดมไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์ มีสารมิวโคโปรตีน ช่วยบรรเทาอาการข้อเข่าเสื่อม กระดูกพรุนในผู้สูงอายุ มีโปรตีนใกล้เคียงกับหมึกกล้วย ปูม้า หอยแมลงภู่และหอยลาย แต่มีไขมันต่ำกว่ามาก ปลิงดอเทศ จึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของคนที่ควบคุมไขมันได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังมีปลิงกาหมาด เป็นปลิงทะเลอีกชนิดที่หาได้ตามโขดหิน แนวชายหาดและตามแนวหญ้าทะเล ได้ราคาสูงกว่าปลิงดอเทศ เพราะหายากกว่า ปลิงกาหมาดมีลักษณะเป็นทรงกระบอกกลม คล้ายไส้กรอก ลำตัวยืดหดได้ มีลายสีน้ำตาลแต้ม ลำตัวเป็นตะปุ่มตะป่ำเล็กน้อย มีสรรพคุณทางยาสูง ใช้ทำเครื่องสำอาง ดองน้ำผึ้งป่า รักษาแผล ช่วยบำรุงผิวพรรณ และบำรุงเรื่องข้อ กระดูกได้ดี เมื่อนำปลิงกาหมาด 10-12 กิโลมาตากแห้ง จะได้ปลิงกาหมาดแห้งเพียง 1 กิโล ขายได้สูงถึงกิโลละ 3,500 บาท สามารถนำมาทำเป็นอาหารได้ทุกเมนู โดยเอานำมาต้มให้สุก ผ่ากลางเพื่อเอาของเสียออก หั่นเป็นชิ้นพอดีคำ แล้วนำไปต้ม ผัด แกง ทอดหรือยำกับมะพร้าวคั่ว รสชาติหมือนกินเอ็นไก่หรือหนังหมู ให้ความรู้สึกกรุบ ๆ เคี้ยวเพลินและมีประโยชน์ต่อสุขภาพเหมือนปลิงทะเลทั่วไป ราคาขายสดเป็นตัว อยู่ที่กิโลละ 160 บาท แต่หากนำมาเคี่ยวกับสมุนไพร เช่น ตะไคร้ ใบมะกรูด กระชาย มะพร้าวคั่ว ขมิ้นขาว ข่าแก่ โดยใช้เวลานานประมาณ 3 ชั่วโมง ก็จะได้น้ำมันปลิงกาหมาดขายขวดละ 20 ซีซี ราคา 100 บาท ซึ่งมีสรรพคุณในการรักษาแผลสด แผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก แผลเปื่อยและแก้อักเสบได้ผลชะงัก ส่วนเมนูต้อนรับนักท่องเที่ยวที่นิยมกันมากที่สุด คือยำปลิงกาหมาด ใส่มะพร้าวคั่ว ซึ่งบนเกาะสุกร มีนางอารี ชุมคง อายุ 72 ปี เป็นชาวบ้านเพียงคนเดียวที่แปรรูปปลิงทะเลทั้งปลิงกาหมาดและดอเทศขาย สร้างรายได้เสริมเดือนละไม่ต่ำกว่า 10,000 บาท นางอารี ชุมคง บอกว่า ทำปลิงอยู่คนเดียวบนเกาะ หากใครจะมาซื้อมาขายก็นำมาขายที่ตน เพราะบางคนไม่รู้สูตร ไม่รู้เคล็ดลับ เอาไปทำแล้วกินไม่ได้ คาวบ้าง อะไรบ้าง บางคนเอาไปดองจนเหม็นก็ต้องทิ้ง ทำให้มีคนมาจ้างวานตนให้ทำให้บ่อยมาก ปลิงกาหมาดมีราคาแพงกว่าดอเทศ เพราะเป็นยารักษาโรค ส่วนดอเทศ ต้องส่งไปแปรรูปเป็นยาที่จีน ดอเทศตากแห้งขายกิโลละ 500 บาท แต่ตัวเป็น ๆ รับซื้อกิโลละ 25 บาท ส่วนกาหมาดขายเป็นตัวกิโลละ 160 บาท ถ้าตากแห้ง 10 กิโลจะเหลือแค่ 1 กิโล สามารถเอาไปทำหลายอย่าง ทำเครื่องสำอาง ยาหม่อง ยำได้ แกงคั่วได้ เคี่ยวน้ำมัน ดองน้ำผึ้ง เป็นยาทุกชนิด กระตุ้นให้มีน้ำมีนวลขึ้น. https://tna.mcot.net/region-1341225
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
![]() |
| คำสั่งเพิ่มเติม | |
| เรียบเรียงคำตอบ | |
|
|