เลือกสีตามสไลต์ที่คุณชอบ:
SaveOurSea.NET  

กลับไป   SaveOurSea.NET > สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม

ตอบ
 
Share คำสั่งเพิ่มเติม เรียบเรียงคำตอบ
  #1  
เก่า 27-03-2024
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,809
Default

ขอบคุณข่าวจาก กรุงเทพธุรกิจ


รู้จัก 'สนธิสัญญาพลาสติกโลก' ทางออก 'ปัญหาขยะพลาสติก' ของไทย และทั่วโลก

ทำความรู้จัก "สนธิสัญญาพลาสติกโลก" หรือ "Global Plastic Treaty" เตรียมประกาศใช้ในปี 2568 ความหวังที่จะแก้ไข "ปัญหาขยะพลาสติก" และอาจเป็นข้อตกลงพหุภาคีด้านสิ่งแวดล้อมที่สำคัญที่สุดตั้งแต่ความตกลงปารีส



"ขยะพลาสติก" กลายเป็นปัญหาใหญ่ระดับโลก หลายประเทศประสบกับปัญหา "ขยะล้นเมือง" แต่นั่นยังไม่เป็นอันตรายเท่ากับ "ไมโครพลาสติก" พลาสติกที่แตกตัวออกกลายเป็นชิ้นส่วนขนาดเล็กที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า ซึ่งสามารถพัดพาไปทั่วโลก แม้แต่ในพื้นที่ห่างไกลที่สุดอย่างขั้วโลกเหนือก็ยังพบไมโครพลาสติก

ไมโครพลาสติก กลายเป็นมลพิษที่ปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อม ทั้งในแหล่งน้ำ พื้นดิน และในอากาศ แทรกแซงห่วงโซ่อาหาร มีการศึกษาหลายชนิดที่ ตรวจพบไมโครพลาสติก และนาโนพลาสติกหลายประเภทในเนื้อเยื่อของมนุษย์ รวมถึงลำไส้ใหญ่ ตับ ม้าม ต่อมน้ำเหลือง รก และแม้แต่ในเลือดของมนุษย์ ซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพ ผู้นำจากประเทศทั่วโลก จึงได้พยายามผลักดันให้เกิด "สนธิสัญญาพลาสติกโลก" เพื่อแก้ปัญหาขยะพลาสติก


กำเนิด "สนธิสัญญาพลาสติกโลก"

2 มีนาคม 2565 มีการประชุมสมัชชาสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (UNEA) ณ กรุงไนโรบี ประเทศเคนยา ในโอกาสนั้น ผู้นำจากประเทศทั่วโลกได้มีมติสมัชชาสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติที่ 5/14 กำหนดให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการการเจรจาระหว่างรัฐบาล (Intergovernmental Negotiating Committee - INC) โดยมีภารกิจจัดทำมาตรการที่มีผลผูกพันทางกฎหมายว่าด้วยมลพิษพลาสติก รวมถึงในสิ่งแวดล้อมทางทะเล โดยตั้งอยู่บนฐานของแนวทางที่ครอบคลุมตลอดวงจรชีวิตของพลาสติก

หลังจากนั้นการประชุมของ INC จึงเริ่มมีการกล่าวถึง "สนธิสัญญาพลาสติกโลก" หรือ "Global Plastic Treaty" ซึ่งคาดหวังว่าจะมาตรการทางกฎหมายนี้จะต้องมีความสำคัญ และมีขอบเขตอำนาจสูง โดย อิงเจอร์ แอนเดอร์เซน ผู้อำนวยการโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (UNEP) เคยกล่าวว่า

"สนธิสัญญาพลาสติกโลก" อาจเป็นข้อตกลงพหุภาคีด้านสิ่งแวดล้อมที่สำคัญที่สุดตั้งแต่ความตกลงปารีส

ปัจจุบัน สนธิสัญญาพลาสติกโลก ยังอยู่ในขั้นตอนการร่างกฎหมาย เนื่องจากมีหลาย ประเด็นที่แต่ละประเทศยังตกลงกันไม่ได้ แต่คาดว่าจะได้ข้อสรุปในการประชุม INC-5 ที่จัดขึ้นที่ประเทศเกาหลีใต้ ในช่วงปลายปี 2567 หลังจากนั้นในปี 2568 จะมีการประชุมระหว่างประเทศครั้งใหญ่เพื่อจัดตั้งมาตรการที่มีผลผูกพันทางกฎหมายระหว่างประเทศดังกล่าวอย่างเป็นทางการ และเปิดให้มีการลงนาม

สนธิสัญญาพลาสติกโลก จะมีโครงสร้างที่ครอบคลุมวงจรชีวิตของพลาสติก โดยกำหนดให้มีมาตรการในแต่ละขั้นตอน ตั้งแต่การผลิต การออกแบบผลิตภัณฑ์ การใช้งาน การใช้ซ้ำ การรีไซเคิล การจัดการขยะ การฟื้นฟูพื้นที่ปนเปื้อน และการเปลี่ยนผ่านที่เป็นธรรมสำหรับผู้ที่อาจได้รับผลกระทบหรือ ได้รับผลกระทบแล้ว

INC กำลังหาข้อสรุปเกี่ยวกับการตั้งเป้าลดการผลิตพลาสติก รวมถึงการกำหนดมาตรการให้ทุกประเทศที่ลงนามเลิกผลิตหรือใช้พลาสติกบางประเภท เช่น พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง ไมโครพลาสติกแต่งเติม หรือ มาตรการในการเลิกใช้สารเคมีบางประเภทในพลาสติก ตลอดจนการตั้งเป้าในการจัดตั้งระบบใช้ซ้ำ และระบบเติม และการบังคับให้ผู้ผลิตพลาสติกขยายขอบเขตความรับผิดชอบเพิ่มขึ้น เช่น มีมาตรฐานในการรีไซเคิลและการจัดการขยะพลาสติกที่เป็นสากล โดยหัวข้อเหล่านี้จะกลายเป็นประเด็นหลักในการประชุม INC-4 ที่จะเกิดขึ้นในเดือนเม.ย. ที่แคนาดา


"สนธิสัญญาพลาสติกโลก" สำคัญอย่างไรกับประเทศไทย

ข้อมูลจาก สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมระบุว่า ประเทศไทยมีขยะพลาสติกประมาณร้อยละ 12 ของปริมาณขยะที่เกิดขึ้นทั้งหมด หรือประมาณปีละ 2 ล้านตัน มีการนำกลับไปใช้ประโยชน์ประมาณปีละ 0.5 ล้านตัน (ร้อยละ 25) ส่วนที่เหลือ 1.5 ล้านตัน (ร้อยละ 75) ซึ่งพลาสติกส่วนใหญ่เป็นพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว (Single-use plastics) อาทิ ถุงร้อน ถุงเย็น ถุงหูหิ้ว แก้วพลาสติก หลอดพลาสติก กล่องโฟมบรรจุอาหาร ไม่มีการนำกลับไปใช้ประโยชน์ใหม่ โดยส่วนใหญ่จะถูกทิ้งเป็นขยะมูลฝอยในปริมาณและสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ขณะที่งานวิจัยของ ลอเรนส์ เจ.เจ. ไมเยอร์ พบว่าประเทศไทยติดอันดับ 10 ของประเทศที่ปริมาณขยะพลาสติกที่ไหลลงสู่ทะเลด้วยจำนวน 22,806 ตันต่อปี เป็นเพราะระบบการจัดขยะของประเทศไทยมีคุณภาพไม่ดีพอ

ด้วยเหตุนี้ องค์กรภาคประชาสังคม 3 องค์กร ได้แก่ มูลนิธิความยุติธรรมเชิงสิ่งแวดล้อม (Environmental Justice Foundation: EJF) กรีนพีซ ประเทศไทย (Greenpeace Thailand) และมูลนิธิบูรณะนิเวศ (EARTH) เล็งเห็นถึงความสำคัญของมาตรการทางกฎหมายฉบับนี้ จึงร่วมจัดงาน "สนธิสัญญาพลาสติกโลก สู่การยุติมลพิษพลาสติก สำคัญอย่างไรต่อสังคมไทย" เพื่อสร้างความตระหนักรู้ และเพื่อประกาศจุดยืนให้มาตรการทางกฎหมายฉบับนี้ทะเยอทะยาน คำนึงถึงสุขภาพของมนุษย์และสิ่งแวดล้อมเป็นเป้าหมายสูงสุด และเป็นจุดเริ่มต้นของการยุติมลพิษพลาสติกเพื่อโลกที่ยั่งยืน สะอาด และเป็นธรรม

โดยมีข้อเสนอให้รัฐบาล 175 ประเทศทั่วโลก รวมถึงรัฐบาลไทย สร้างสนธิสัญญาพลาสติกที่บรรลุเป้าหมายดังกล่าว โดยต้องมีเป้าหมายที่ทะเยอทะยาน มีกรอบเวลาชัดเจน มีกลไกการเงิน ดังนี้

1.ลดการผลิตพลาสติกอย่างจริงจัง ยกเลิกการผลิตและการใช้พลาสติกที่เป็นปัญหา จัดการได้ยาก สามารถหลีกเลี่ยงการใช้ได้

2.กำหนดให้มีการเลิกใช้สารเคมีอันตรายตลอดวงจรชีวิตของพลาสติก พิจารณาการใช้สารเคมีทดแทนที่ปลอดภัย และไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ

3.กำหนดให้มีโครงสร้างพื้นฐานสำหรับการลดการใช้พลาสติก การใช้ซ้ำ การเติม การซ่อมแซม ที่มีมาตรฐาน ปลอดภัย และเข้าถึงได้โดยมนุษย์ทุกคน

4.กำหนดให้มีการพัฒนากฎหมายการขยายความรับผิดชอบของผู้ผลิต (Extended Producer Responsibility: EPR) ที่ครอบคลุมตลอดวงจรชีวิตของพลาสติก และค่าความเสียหายทางสิ่งแวดล้อม

5.กำหนดให้ผู้ผลิตพลาสติกรายงานข้อมูลสารเคมีในวัตถุดิบ และผลิตภัณฑ์ รวมไปถึงการรายงานข้อมูลการปลดปล่อย และเคลื่อนย้ายสารเคมี และมลพิษสู่สิ่งแวดล้อมจากอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับพลาสติก สู่สาธารณะ

6.ไม่สนับสนุนการแก้ไขปัญหาที่ผิดทาง รวมไปถึงการรีไซเคิลสกปรก การขยายโรงไฟฟ้าขยะ และพลาสติกทางเลือกที่ก่อให้เกิดปัญหาอื่น

7.ไม่สนับสนุนการเคลื่อนย้ายพลาสติกใช้แล้วข้ามพรมแดน และการส่งออกเทคโนโลยีที่ก่อมลพิษ อันเป็นการผลักภาระมลพิษไปยังประเทศกำลังพัฒนา

8.กำหนดให้มีการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม รวมไปถึงการเยียวยา และพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้ที่ได้รับผลกระทบจากมลพิษพลาสติก

9.กำหนดให้มีการเปลี่ยนผ่านที่เป็นธรรม โดยให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจากทุกภาคส่วน รวมไปถึง ชุมชนผู้ได้รับผลกระทบทั้งในด้านสุขภาพ เศรษฐกิจ และสังคม ผู้ปฏิบัติงาน และแรงงานที่เกี่ยวข้องกับพลาสติก เข้าไปมีส่วนร่วมในการออกแบบอนาคตที่ปลอดมลพิษพลาสติก โดยคำนึงถึงสิทธิมนุษยชน และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์


https://www.bangkokbiznews.com/environment/1119515

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #2  
เก่า 27-03-2024
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,809
Default

ขอบคุณข่าวจาก สำนักข่าวไทย


ล่าปลิงทะเล ทำเมนูเด็ด-ส่งออก

ตรัง 26 มี.ค. ? ชาวบ้านเกาะสุกร ออกหาปลิงทะเลหลังน้ำลด โดยเฉพาะ "ดอเทศ" ปลิงทะเลชนิดหนึ่ง นำมาตากแห้งส่งขายต่างประเทศ มีสรรพคุณทางยาสูง



เกาะสุกร อ.ปะเหลียน จ.ตรัง มีของดีหลายอย่าง หนึ่งในนั้นคือ ปลิงทะเล ที่เอามาแปรรูปเป็นเมนูเด็ด หรือเอามาตากแห้งส่งออกก็ได้ราคาดี ช่วงน้ำทะเลลดต่ำสุด ชาวบ้านออกหาปลิงทะเลตามแนวโขดหิน นำมาตากแห้งและทำเมนูอาหาร ต้อนรับนักท่องเที่ยวที่เดินทางไปเที่ยวเกาะ ช่วงนี้จะพบปลิงทะเลสีดำ ตัวนิ่ม ที่ชาวบ้านเรียกว่า "ดอเทศ" มากที่สุด บางตัวมีความยาว 1 -1.20 ฟุต

เมื่อได้มาแล้ว นำมาผ่าท้อง ล้างทำความสะอาด ก่อนนำมาต้มให้สุก ใช้เวลาประมาณ 2-3 ชั่วโมง แล้วจึงนำมาตากแดด 1-2 วัน ให้แห้ง รอพ่อค้าแม่ค้ามารับซื้อในราคากิโลละ 500 บาท เพื่อส่งขายไปต่างประเทศ เช่น จีน ฮ่องกงและไต้หวัน แต่หากรับซื้อตัวเป็น ๆ ตกกิโลละ 25 บาท ซึ่งแต่ละวันชาวบ้านจะหาได้มาก-น้อยต่างกัน บางวันได้ 2-3 กิโล แต่บางวันก็ได้นับ 10 กิโล

จากงานวิจัยจากหลายสถาบัน พบว่า ดอเทศ เป็นปลิงทะเลที่มีสรรพคุณทางยาสูง อุดมไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์ มีสารมิวโคโปรตีน ช่วยบรรเทาอาการข้อเข่าเสื่อม กระดูกพรุนในผู้สูงอายุ มีโปรตีนใกล้เคียงกับหมึกกล้วย ปูม้า หอยแมลงภู่และหอยลาย แต่มีไขมันต่ำกว่ามาก ปลิงดอเทศ จึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของคนที่ควบคุมไขมันได้เป็นอย่างดี

นอกจากนี้ยังมีปลิงกาหมาด เป็นปลิงทะเลอีกชนิดที่หาได้ตามโขดหิน แนวชายหาดและตามแนวหญ้าทะเล ได้ราคาสูงกว่าปลิงดอเทศ เพราะหายากกว่า ปลิงกาหมาดมีลักษณะเป็นทรงกระบอกกลม คล้ายไส้กรอก ลำตัวยืดหดได้ มีลายสีน้ำตาลแต้ม ลำตัวเป็นตะปุ่มตะป่ำเล็กน้อย มีสรรพคุณทางยาสูง ใช้ทำเครื่องสำอาง ดองน้ำผึ้งป่า รักษาแผล ช่วยบำรุงผิวพรรณ และบำรุงเรื่องข้อ กระดูกได้ดี เมื่อนำปลิงกาหมาด 10-12 กิโลมาตากแห้ง จะได้ปลิงกาหมาดแห้งเพียง 1 กิโล ขายได้สูงถึงกิโลละ 3,500 บาท สามารถนำมาทำเป็นอาหารได้ทุกเมนู

โดยเอานำมาต้มให้สุก ผ่ากลางเพื่อเอาของเสียออก หั่นเป็นชิ้นพอดีคำ แล้วนำไปต้ม ผัด แกง ทอดหรือยำกับมะพร้าวคั่ว รสชาติหมือนกินเอ็นไก่หรือหนังหมู ให้ความรู้สึกกรุบ ๆ เคี้ยวเพลินและมีประโยชน์ต่อสุขภาพเหมือนปลิงทะเลทั่วไป ราคาขายสดเป็นตัว อยู่ที่กิโลละ 160 บาท แต่หากนำมาเคี่ยวกับสมุนไพร เช่น ตะไคร้ ใบมะกรูด กระชาย มะพร้าวคั่ว ขมิ้นขาว ข่าแก่ โดยใช้เวลานานประมาณ 3 ชั่วโมง ก็จะได้น้ำมันปลิงกาหมาดขายขวดละ 20 ซีซี ราคา 100 บาท ซึ่งมีสรรพคุณในการรักษาแผลสด แผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก แผลเปื่อยและแก้อักเสบได้ผลชะงัก

ส่วนเมนูต้อนรับนักท่องเที่ยวที่นิยมกันมากที่สุด คือยำปลิงกาหมาด ใส่มะพร้าวคั่ว ซึ่งบนเกาะสุกร มีนางอารี ชุมคง อายุ 72 ปี เป็นชาวบ้านเพียงคนเดียวที่แปรรูปปลิงทะเลทั้งปลิงกาหมาดและดอเทศขาย สร้างรายได้เสริมเดือนละไม่ต่ำกว่า 10,000 บาท

นางอารี ชุมคง บอกว่า ทำปลิงอยู่คนเดียวบนเกาะ หากใครจะมาซื้อมาขายก็นำมาขายที่ตน เพราะบางคนไม่รู้สูตร ไม่รู้เคล็ดลับ เอาไปทำแล้วกินไม่ได้ คาวบ้าง อะไรบ้าง บางคนเอาไปดองจนเหม็นก็ต้องทิ้ง ทำให้มีคนมาจ้างวานตนให้ทำให้บ่อยมาก ปลิงกาหมาดมีราคาแพงกว่าดอเทศ เพราะเป็นยารักษาโรค

ส่วนดอเทศ ต้องส่งไปแปรรูปเป็นยาที่จีน ดอเทศตากแห้งขายกิโลละ 500 บาท แต่ตัวเป็น ๆ รับซื้อกิโลละ 25 บาท ส่วนกาหมาดขายเป็นตัวกิโลละ 160 บาท ถ้าตากแห้ง 10 กิโลจะเหลือแค่ 1 กิโล สามารถเอาไปทำหลายอย่าง ทำเครื่องสำอาง ยาหม่อง ยำได้ แกงคั่วได้ เคี่ยวน้ำมัน ดองน้ำผึ้ง เป็นยาทุกชนิด กระตุ้นให้มีน้ำมีนวลขึ้น.


https://tna.mcot.net/region-1341225

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
ตอบ

คำสั่งเพิ่มเติม
เรียบเรียงคำตอบ

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 22:56


vBulletin รุ่น 3.8.10
สงวนลิขสิทธิ์ ©2000-2025, บริษัท Jelsoft Enterprises จำกัด
Ad Management plugin by RedTyger