![]() |
|
|
|
#1
|
||||
|
||||
|
ขอบคุณข่าวจาก กรุงเทพธุรกิจ
รู้จัก 'สนธิสัญญาพลาสติกโลก' ทางออก 'ปัญหาขยะพลาสติก' ของไทย และทั่วโลก ทำความรู้จัก "สนธิสัญญาพลาสติกโลก" หรือ "Global Plastic Treaty" เตรียมประกาศใช้ในปี 2568 ความหวังที่จะแก้ไข "ปัญหาขยะพลาสติก" และอาจเป็นข้อตกลงพหุภาคีด้านสิ่งแวดล้อมที่สำคัญที่สุดตั้งแต่ความตกลงปารีส ![]() "ขยะพลาสติก" กลายเป็นปัญหาใหญ่ระดับโลก หลายประเทศประสบกับปัญหา "ขยะล้นเมือง" แต่นั่นยังไม่เป็นอันตรายเท่ากับ "ไมโครพลาสติก" พลาสติกที่แตกตัวออกกลายเป็นชิ้นส่วนขนาดเล็กที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า ซึ่งสามารถพัดพาไปทั่วโลก แม้แต่ในพื้นที่ห่างไกลที่สุดอย่างขั้วโลกเหนือก็ยังพบไมโครพลาสติก ไมโครพลาสติก กลายเป็นมลพิษที่ปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อม ทั้งในแหล่งน้ำ พื้นดิน และในอากาศ แทรกแซงห่วงโซ่อาหาร มีการศึกษาหลายชนิดที่ ตรวจพบไมโครพลาสติก และนาโนพลาสติกหลายประเภทในเนื้อเยื่อของมนุษย์ รวมถึงลำไส้ใหญ่ ตับ ม้าม ต่อมน้ำเหลือง รก และแม้แต่ในเลือดของมนุษย์ ซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพ ผู้นำจากประเทศทั่วโลก จึงได้พยายามผลักดันให้เกิด "สนธิสัญญาพลาสติกโลก" เพื่อแก้ปัญหาขยะพลาสติก กำเนิด "สนธิสัญญาพลาสติกโลก" 2 มีนาคม 2565 มีการประชุมสมัชชาสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (UNEA) ณ กรุงไนโรบี ประเทศเคนยา ในโอกาสนั้น ผู้นำจากประเทศทั่วโลกได้มีมติสมัชชาสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติที่ 5/14 กำหนดให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการการเจรจาระหว่างรัฐบาล (Intergovernmental Negotiating Committee - INC) โดยมีภารกิจจัดทำมาตรการที่มีผลผูกพันทางกฎหมายว่าด้วยมลพิษพลาสติก รวมถึงในสิ่งแวดล้อมทางทะเล โดยตั้งอยู่บนฐานของแนวทางที่ครอบคลุมตลอดวงจรชีวิตของพลาสติก หลังจากนั้นการประชุมของ INC จึงเริ่มมีการกล่าวถึง "สนธิสัญญาพลาสติกโลก" หรือ "Global Plastic Treaty" ซึ่งคาดหวังว่าจะมาตรการทางกฎหมายนี้จะต้องมีความสำคัญ และมีขอบเขตอำนาจสูง โดย อิงเจอร์ แอนเดอร์เซน ผู้อำนวยการโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (UNEP) เคยกล่าวว่า "สนธิสัญญาพลาสติกโลก" อาจเป็นข้อตกลงพหุภาคีด้านสิ่งแวดล้อมที่สำคัญที่สุดตั้งแต่ความตกลงปารีส ปัจจุบัน สนธิสัญญาพลาสติกโลก ยังอยู่ในขั้นตอนการร่างกฎหมาย เนื่องจากมีหลาย ประเด็นที่แต่ละประเทศยังตกลงกันไม่ได้ แต่คาดว่าจะได้ข้อสรุปในการประชุม INC-5 ที่จัดขึ้นที่ประเทศเกาหลีใต้ ในช่วงปลายปี 2567 หลังจากนั้นในปี 2568 จะมีการประชุมระหว่างประเทศครั้งใหญ่เพื่อจัดตั้งมาตรการที่มีผลผูกพันทางกฎหมายระหว่างประเทศดังกล่าวอย่างเป็นทางการ และเปิดให้มีการลงนาม สนธิสัญญาพลาสติกโลก จะมีโครงสร้างที่ครอบคลุมวงจรชีวิตของพลาสติก โดยกำหนดให้มีมาตรการในแต่ละขั้นตอน ตั้งแต่การผลิต การออกแบบผลิตภัณฑ์ การใช้งาน การใช้ซ้ำ การรีไซเคิล การจัดการขยะ การฟื้นฟูพื้นที่ปนเปื้อน และการเปลี่ยนผ่านที่เป็นธรรมสำหรับผู้ที่อาจได้รับผลกระทบหรือ ได้รับผลกระทบแล้ว INC กำลังหาข้อสรุปเกี่ยวกับการตั้งเป้าลดการผลิตพลาสติก รวมถึงการกำหนดมาตรการให้ทุกประเทศที่ลงนามเลิกผลิตหรือใช้พลาสติกบางประเภท เช่น พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง ไมโครพลาสติกแต่งเติม หรือ มาตรการในการเลิกใช้สารเคมีบางประเภทในพลาสติก ตลอดจนการตั้งเป้าในการจัดตั้งระบบใช้ซ้ำ และระบบเติม และการบังคับให้ผู้ผลิตพลาสติกขยายขอบเขตความรับผิดชอบเพิ่มขึ้น เช่น มีมาตรฐานในการรีไซเคิลและการจัดการขยะพลาสติกที่เป็นสากล โดยหัวข้อเหล่านี้จะกลายเป็นประเด็นหลักในการประชุม INC-4 ที่จะเกิดขึ้นในเดือนเม.ย. ที่แคนาดา "สนธิสัญญาพลาสติกโลก" สำคัญอย่างไรกับประเทศไทย ข้อมูลจาก สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมระบุว่า ประเทศไทยมีขยะพลาสติกประมาณร้อยละ 12 ของปริมาณขยะที่เกิดขึ้นทั้งหมด หรือประมาณปีละ 2 ล้านตัน มีการนำกลับไปใช้ประโยชน์ประมาณปีละ 0.5 ล้านตัน (ร้อยละ 25) ส่วนที่เหลือ 1.5 ล้านตัน (ร้อยละ 75) ซึ่งพลาสติกส่วนใหญ่เป็นพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว (Single-use plastics) อาทิ ถุงร้อน ถุงเย็น ถุงหูหิ้ว แก้วพลาสติก หลอดพลาสติก กล่องโฟมบรรจุอาหาร ไม่มีการนำกลับไปใช้ประโยชน์ใหม่ โดยส่วนใหญ่จะถูกทิ้งเป็นขยะมูลฝอยในปริมาณและสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่งานวิจัยของ ลอเรนส์ เจ.เจ. ไมเยอร์ พบว่าประเทศไทยติดอันดับ 10 ของประเทศที่ปริมาณขยะพลาสติกที่ไหลลงสู่ทะเลด้วยจำนวน 22,806 ตันต่อปี เป็นเพราะระบบการจัดขยะของประเทศไทยมีคุณภาพไม่ดีพอ ด้วยเหตุนี้ องค์กรภาคประชาสังคม 3 องค์กร ได้แก่ มูลนิธิความยุติธรรมเชิงสิ่งแวดล้อม (Environmental Justice Foundation: EJF) กรีนพีซ ประเทศไทย (Greenpeace Thailand) และมูลนิธิบูรณะนิเวศ (EARTH) เล็งเห็นถึงความสำคัญของมาตรการทางกฎหมายฉบับนี้ จึงร่วมจัดงาน "สนธิสัญญาพลาสติกโลก สู่การยุติมลพิษพลาสติก สำคัญอย่างไรต่อสังคมไทย" เพื่อสร้างความตระหนักรู้ และเพื่อประกาศจุดยืนให้มาตรการทางกฎหมายฉบับนี้ทะเยอทะยาน คำนึงถึงสุขภาพของมนุษย์และสิ่งแวดล้อมเป็นเป้าหมายสูงสุด และเป็นจุดเริ่มต้นของการยุติมลพิษพลาสติกเพื่อโลกที่ยั่งยืน สะอาด และเป็นธรรม โดยมีข้อเสนอให้รัฐบาล 175 ประเทศทั่วโลก รวมถึงรัฐบาลไทย สร้างสนธิสัญญาพลาสติกที่บรรลุเป้าหมายดังกล่าว โดยต้องมีเป้าหมายที่ทะเยอทะยาน มีกรอบเวลาชัดเจน มีกลไกการเงิน ดังนี้ 1.ลดการผลิตพลาสติกอย่างจริงจัง ยกเลิกการผลิตและการใช้พลาสติกที่เป็นปัญหา จัดการได้ยาก สามารถหลีกเลี่ยงการใช้ได้ 2.กำหนดให้มีการเลิกใช้สารเคมีอันตรายตลอดวงจรชีวิตของพลาสติก พิจารณาการใช้สารเคมีทดแทนที่ปลอดภัย และไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ 3.กำหนดให้มีโครงสร้างพื้นฐานสำหรับการลดการใช้พลาสติก การใช้ซ้ำ การเติม การซ่อมแซม ที่มีมาตรฐาน ปลอดภัย และเข้าถึงได้โดยมนุษย์ทุกคน 4.กำหนดให้มีการพัฒนากฎหมายการขยายความรับผิดชอบของผู้ผลิต (Extended Producer Responsibility: EPR) ที่ครอบคลุมตลอดวงจรชีวิตของพลาสติก และค่าความเสียหายทางสิ่งแวดล้อม 5.กำหนดให้ผู้ผลิตพลาสติกรายงานข้อมูลสารเคมีในวัตถุดิบ และผลิตภัณฑ์ รวมไปถึงการรายงานข้อมูลการปลดปล่อย และเคลื่อนย้ายสารเคมี และมลพิษสู่สิ่งแวดล้อมจากอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับพลาสติก สู่สาธารณะ 6.ไม่สนับสนุนการแก้ไขปัญหาที่ผิดทาง รวมไปถึงการรีไซเคิลสกปรก การขยายโรงไฟฟ้าขยะ และพลาสติกทางเลือกที่ก่อให้เกิดปัญหาอื่น 7.ไม่สนับสนุนการเคลื่อนย้ายพลาสติกใช้แล้วข้ามพรมแดน และการส่งออกเทคโนโลยีที่ก่อมลพิษ อันเป็นการผลักภาระมลพิษไปยังประเทศกำลังพัฒนา 8.กำหนดให้มีการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม รวมไปถึงการเยียวยา และพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้ที่ได้รับผลกระทบจากมลพิษพลาสติก 9.กำหนดให้มีการเปลี่ยนผ่านที่เป็นธรรม โดยให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจากทุกภาคส่วน รวมไปถึง ชุมชนผู้ได้รับผลกระทบทั้งในด้านสุขภาพ เศรษฐกิจ และสังคม ผู้ปฏิบัติงาน และแรงงานที่เกี่ยวข้องกับพลาสติก เข้าไปมีส่วนร่วมในการออกแบบอนาคตที่ปลอดมลพิษพลาสติก โดยคำนึงถึงสิทธิมนุษยชน และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ https://www.bangkokbiznews.com/environment/1119515
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#2
|
||||
|
||||
|
ขอบคุณข่าวจาก สำนักข่าวไทย
ล่าปลิงทะเล ทำเมนูเด็ด-ส่งออก ตรัง 26 มี.ค. ? ชาวบ้านเกาะสุกร ออกหาปลิงทะเลหลังน้ำลด โดยเฉพาะ "ดอเทศ" ปลิงทะเลชนิดหนึ่ง นำมาตากแห้งส่งขายต่างประเทศ มีสรรพคุณทางยาสูง ![]() เกาะสุกร อ.ปะเหลียน จ.ตรัง มีของดีหลายอย่าง หนึ่งในนั้นคือ ปลิงทะเล ที่เอามาแปรรูปเป็นเมนูเด็ด หรือเอามาตากแห้งส่งออกก็ได้ราคาดี ช่วงน้ำทะเลลดต่ำสุด ชาวบ้านออกหาปลิงทะเลตามแนวโขดหิน นำมาตากแห้งและทำเมนูอาหาร ต้อนรับนักท่องเที่ยวที่เดินทางไปเที่ยวเกาะ ช่วงนี้จะพบปลิงทะเลสีดำ ตัวนิ่ม ที่ชาวบ้านเรียกว่า "ดอเทศ" มากที่สุด บางตัวมีความยาว 1 -1.20 ฟุต เมื่อได้มาแล้ว นำมาผ่าท้อง ล้างทำความสะอาด ก่อนนำมาต้มให้สุก ใช้เวลาประมาณ 2-3 ชั่วโมง แล้วจึงนำมาตากแดด 1-2 วัน ให้แห้ง รอพ่อค้าแม่ค้ามารับซื้อในราคากิโลละ 500 บาท เพื่อส่งขายไปต่างประเทศ เช่น จีน ฮ่องกงและไต้หวัน แต่หากรับซื้อตัวเป็น ๆ ตกกิโลละ 25 บาท ซึ่งแต่ละวันชาวบ้านจะหาได้มาก-น้อยต่างกัน บางวันได้ 2-3 กิโล แต่บางวันก็ได้นับ 10 กิโล จากงานวิจัยจากหลายสถาบัน พบว่า ดอเทศ เป็นปลิงทะเลที่มีสรรพคุณทางยาสูง อุดมไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์ มีสารมิวโคโปรตีน ช่วยบรรเทาอาการข้อเข่าเสื่อม กระดูกพรุนในผู้สูงอายุ มีโปรตีนใกล้เคียงกับหมึกกล้วย ปูม้า หอยแมลงภู่และหอยลาย แต่มีไขมันต่ำกว่ามาก ปลิงดอเทศ จึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของคนที่ควบคุมไขมันได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังมีปลิงกาหมาด เป็นปลิงทะเลอีกชนิดที่หาได้ตามโขดหิน แนวชายหาดและตามแนวหญ้าทะเล ได้ราคาสูงกว่าปลิงดอเทศ เพราะหายากกว่า ปลิงกาหมาดมีลักษณะเป็นทรงกระบอกกลม คล้ายไส้กรอก ลำตัวยืดหดได้ มีลายสีน้ำตาลแต้ม ลำตัวเป็นตะปุ่มตะป่ำเล็กน้อย มีสรรพคุณทางยาสูง ใช้ทำเครื่องสำอาง ดองน้ำผึ้งป่า รักษาแผล ช่วยบำรุงผิวพรรณ และบำรุงเรื่องข้อ กระดูกได้ดี เมื่อนำปลิงกาหมาด 10-12 กิโลมาตากแห้ง จะได้ปลิงกาหมาดแห้งเพียง 1 กิโล ขายได้สูงถึงกิโลละ 3,500 บาท สามารถนำมาทำเป็นอาหารได้ทุกเมนู โดยเอานำมาต้มให้สุก ผ่ากลางเพื่อเอาของเสียออก หั่นเป็นชิ้นพอดีคำ แล้วนำไปต้ม ผัด แกง ทอดหรือยำกับมะพร้าวคั่ว รสชาติหมือนกินเอ็นไก่หรือหนังหมู ให้ความรู้สึกกรุบ ๆ เคี้ยวเพลินและมีประโยชน์ต่อสุขภาพเหมือนปลิงทะเลทั่วไป ราคาขายสดเป็นตัว อยู่ที่กิโลละ 160 บาท แต่หากนำมาเคี่ยวกับสมุนไพร เช่น ตะไคร้ ใบมะกรูด กระชาย มะพร้าวคั่ว ขมิ้นขาว ข่าแก่ โดยใช้เวลานานประมาณ 3 ชั่วโมง ก็จะได้น้ำมันปลิงกาหมาดขายขวดละ 20 ซีซี ราคา 100 บาท ซึ่งมีสรรพคุณในการรักษาแผลสด แผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก แผลเปื่อยและแก้อักเสบได้ผลชะงัก ส่วนเมนูต้อนรับนักท่องเที่ยวที่นิยมกันมากที่สุด คือยำปลิงกาหมาด ใส่มะพร้าวคั่ว ซึ่งบนเกาะสุกร มีนางอารี ชุมคง อายุ 72 ปี เป็นชาวบ้านเพียงคนเดียวที่แปรรูปปลิงทะเลทั้งปลิงกาหมาดและดอเทศขาย สร้างรายได้เสริมเดือนละไม่ต่ำกว่า 10,000 บาท นางอารี ชุมคง บอกว่า ทำปลิงอยู่คนเดียวบนเกาะ หากใครจะมาซื้อมาขายก็นำมาขายที่ตน เพราะบางคนไม่รู้สูตร ไม่รู้เคล็ดลับ เอาไปทำแล้วกินไม่ได้ คาวบ้าง อะไรบ้าง บางคนเอาไปดองจนเหม็นก็ต้องทิ้ง ทำให้มีคนมาจ้างวานตนให้ทำให้บ่อยมาก ปลิงกาหมาดมีราคาแพงกว่าดอเทศ เพราะเป็นยารักษาโรค ส่วนดอเทศ ต้องส่งไปแปรรูปเป็นยาที่จีน ดอเทศตากแห้งขายกิโลละ 500 บาท แต่ตัวเป็น ๆ รับซื้อกิโลละ 25 บาท ส่วนกาหมาดขายเป็นตัวกิโลละ 160 บาท ถ้าตากแห้ง 10 กิโลจะเหลือแค่ 1 กิโล สามารถเอาไปทำหลายอย่าง ทำเครื่องสำอาง ยาหม่อง ยำได้ แกงคั่วได้ เคี่ยวน้ำมัน ดองน้ำผึ้ง เป็นยาทุกชนิด กระตุ้นให้มีน้ำมีนวลขึ้น. https://tna.mcot.net/region-1341225
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
![]() |
| คำสั่งเพิ่มเติม | |
| เรียบเรียงคำตอบ | |
|
|