เลือกสีตามสไลต์ที่คุณชอบ:
SaveOurSea.NET  

กลับไป   SaveOurSea.NET > สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม

ตอบ
 
Share คำสั่งเพิ่มเติม เรียบเรียงคำตอบ
  #1  
เก่า 13-04-2024
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,809
Default

ขอบคุณข่าวจาก ไทยโพสต์


เกาะหูยง อุทยานฯสิมิลัน แหล่งอนุรักษ์เต่าทะเล เผยสถิติเต่าวางไข่กว่า 1 หมื่นฟองต่อปี

"เกาะหูยง " หรือ เกาะหนึ่ง อยู่ในอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน เป็นที่ตั้งของโครงการอนุรักษ์พันธุ์เต่าทะเล ในพระราชดำริ สมเด็จพระนางเจ้า สิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง และโครงการอนุรักษ์แนวปะการังและสิ่งมีชีวิตใต้ทะเลไทยในพระราชดำริสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา



12 เม.ย.2567 - กองทัพเรือ ได้จัดทำโครงการ อนุรักษ์พันธุ์เต่าทะเลฝั่งอันดามัน โดยมอบให้ ทัพเรือภาคที่ 3 จัดตั้งศูนย์อนุรักษ์พันธุ์เต่าทะเล เมื่อปี 2538 ซึ่งกำหนดจุดอนุบาลเต่า ทะเลจำนวน 2 จุดพื้นที่แรกเป็นการอนุรักษ์เพราะฟักไข่เต่าในพื้นที่เกาะ 1 หรือเกาะหุยง อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน ส่วนพื้นที่ที่ 2 เป็นพื้นที่อนุรักษ์พันธุ์เต่าทะเล บริเวณศูนย์อนุรักษ์พันธุ์เต่าทะเล ฐานทัพเรือพังงา

เจ้าหน้าที่ประจำศูนย์อนุรักษ์พันธุ์เต่าทะเลฐานทัพเรือพังงา ทัพเรือภาคที่ 3 ณ เกาะหูยง กล่าวว่า "การปฏิบัติงานตลอดทั้งปี ณ เกาะหูยงชุดละ 4 นาย ชุดละ 15 วันสับเปลี่ยนกันทั้งปี เพราะว่าแม่เต่า จะขึ้นวางไข่ ทั้งปี

จากข้อมูล เมื่อปี 2566 เจ้าหน้าที่ฯ เก็บไข่เต่าได้ทั้งหมด 164 รัง ลูกเต่าเพาะฟัก 11,000 กว่าตัว เป็นแนวโน้มที่ดี ในการอนุรักษ์เต่า ซึ่งแม่เต่า 1 ตัว จะจับคู่ และช่วงที่เข้ามาใช้เวลาประมาณ 1 เดือนหรือกว่า เพื่อสืบพันธุ์และขึ้นวางไข่ แม่เต่า 1 ตัวขึ้นวางไข่ ต่อครั้ง 100 ถึง 150 ฟอง ไข่จะรวมอยู่ประมาณ 1,000 ฟอง

อัตราการรอดต่อรังอยู่ประมาณ 70% ลูกเต่าฟักจะใช้เวลาประมาณ 2 เดือน ลูกเต๋า 1,000 ตัว จะแบ่งปล่อยธรรมชาติ 500 ตัวอีก 500 ตัวนำกลับฐานทัพเรือพังงาและแบ่งให้ทาง ศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งทะเลอันดามันตอนบน (ภูเก็ต) ไปทำวิจัย ซึ่ง ตามข้อมูลของ แม่เต่าขึ้นมาวางไข่ อายุประมาณ 15 ปีขึ้นไป

จะเวียนขึ้นมาต่อแม่ อาจจะมีแม่ใหม่หรือ แม่เก่าสลับกันขึ้นมา วางไข่ จะใช้ตัวสแกนชิป เพื่อจำสันนิษฐานของแม่เต่า ถ้าเป็นแม่ใหม่ขึ้นมา ชิปที่สแกนไม่เจอจะฝังชิปให้ใหม่ ถ้าเจอแล้วบันทึกประวัติข้อมูลไว้ ในส่วนของข้อมูล จะเก็บสมบูรณ์ที่สุด มีทั้งชื่อแม่เต่า ขนาดลำตัว กว้างยาว มีแท็ก ขึ้นวันที่เท่าไหร่ รายละเอียดข้อมูล ประวัติของเต่า รายงานให้ฐานทัพเรือพังงา ทัพเรือภาคที่ 3 และ กรมอุทยานแห่งชาติฯ กรม ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง

ปัจจุบันมีประมาณ 300 ตัวที่ขึ้นวางไข่ มีเต่าขึ้นลงทั้งปีเป็น เต่าตนุ และถ้าขึ้นมาทั้งหมดต่อรังทำการอนุบาลไว้ในบ่อ พอถึงวันที่ 16 ของเดือน ชุดที่กลับก็ต้องนำกลับไปด้วย ยกตัวอย่าง ในส่วนที่ขึ้นจากหลุมคืนนั้น 100 ตัว ปล่อยลงทะเล 50 ตัว อีก 50 ตัวเลี้ยงไว้ และเมื่อมีเรือมาสับเปลี่ยนกำลังพลนำลูกเต๋ากลับไปอนุบาลต่อที่ฐานทัพเรือพังงา เมื่อลูกเต่าอายุประมาณ 3-6 เดือนจึงจะปล่อยเต่าตามงานสำคัญของหน่วย

ศัตรูที่ร้ายกาจสำหรับเต่า คือปูลม ถ้าไม่เก็บมาเพาะฟัก ในหลุมไข่ ถ้าปล่อยไว้ตามธรรมชาติกลางคืนปูลมจะออกหากินและลูกเต๋าจะขึ้นจากหลุมพอดี ปูลมจะหนีบที่ช่วงคอและที่พายของลูกเต๋า ดังนั้น จึงต้องเฝ้าดูแลอนุบาลเต่าในบ่อ เต่า เป็นอย่างดี

ปีนี้ได้จำนวน 16 รัง ตั้งแต่ มกราคม จนถึงเมษายน 2567 ถ้ามาเยอะจริงๆจะมาช่วงหน้ามรสุม จะวางไข่ ช่วงพฤษภาคมถึงตุลาคม มากที่สุดในช่วงนั้นจะขึ้นบ่อย เกือบทุกคืน โดยเจ้าหน้าที่เดินลาดตระเวนตรวจพื้นที่ต่อวันดูตามตารางน้ำเป็นหลัก"

ทั้งนี้ จากการอนุรักษ์พันธุ์เต่าทะเล ที่ผ่านมามีเต่าทะเลขึ้นมาวางไข่จำนวนมากรอดชีวิตกลับคืนสู่ท้องทะเล เป็นการชี้วัดว่าในท้องทะเลมี ทรัพยากรธรรมชาติทางทะเลและ ระบบนิเวศแหล่งอาหารที่อุดมสมบูรณ์


https://www.thaipost.net/district-news/569605/

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #2  
เก่า 13-04-2024
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,809
Default

ขอบคุณข่าวจาก กรุงเทพธุรกิจ


'สัตว์อพยพ' มีจำนวนลดลงจนเสี่ยงสูญพันธุ์ ถูกมนุษย์ล่าและ 'ภาวะโลกร้อน' ................. โดย กฤตพล สุธีภัทรกุล



'สัตว์อพยพ' มีจำนวนลดลงจนเสี่ยงสูญพันธุ์ ถูกมนุษย์ล่าและ 'ภาวะโลกร้อน'
สหประชาชาติเปิดเผยข้อมูลที่น่าตกใจว่า สัตว์อพยพจากทั่วโลกถึง 44% กำลังมีจำนวนลดลงเรื่อย ๆ ในขณะที่ 1 ใน 5 ของทั้งหมดเผชิญกับภัยคุกคามจากการสูญพันธุ์ ไม่มีที่อยู่อาศัย ซึ่งเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และถูกมนุษย์ล่า

ภาพฝูงนกโบยบินข้ามท้องฟ้า และฝูงสัตว์ที่เดินทางผ่านผืนดินอันกว้างใหญ่อาจจะกลายเป็นภาพที่มีแค่ในรูปถ่ายหรือวิดีโอเท่านั้น เพราะสหประชาชาติได้ออกมาเตือนว่า "สัตว์อพยพ" เกือบ 50% เสี่ยงสูญพันธุ์ ไร้ที่อยู่อาศัย ถูกล่า คุกคามจากมนุษย์ และ "ภาวะโลกร้อน"

องค์การระหว่างประเทศเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ (IUCN) เปิดเผยข้อมูลที่น่าตกใจว่า สัตว์อพยพจากทั่วโลกถึง 44% กำลังมีจำนวนลดลงเรื่อย ๆ ในขณะที่ 1 ใน 5 ของทั้งหมดเผชิญกับภัยคุกคามจากการสูญพันธุ์ ไม่มีที่อยู่อาศัย ซึ่งเป็นผลมาจากการขยายตัวของเมือง เกษตรกรรม และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ตลอดจนถูกมนุษย์คุกคาม


"สัตว์อพยพ" เสี่ยงสูญพันธุ์

ปัจจุบันสหประชาชาติได้บรรจุสัตว์ 1,189 สายพันธุ์ ลงในอนุสัญญาว่าด้วยการอนุรักษ์ชนิดพันธุ์สัตว์ป่าอพยพย้ายถิ่น หรือ CMS (Convention on the Conservation of Migratory Species of Wild Animals) มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้มีมาตรการป้องกันสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ ซึ่งจัดอยู่ในหมวด สัตว์ใกล้สูญพันธุ์ที่ต้องได้รับการคุ้มครองอย่างเข้มงวด หรือสัตว์ที่อยู่สถานะคุกคาม ที่ผ่านมาอนุสัญญานี้ได้ช่วยเหลือ ละมั่งไซกาของเอเชียกลาง ให้รอดพ้นจากการสูญเสียถิ่นที่อยู่และการรุกล้ำ แต่ไม่ใช่ทุกสายพันธุ์จะโชคดี

สหประชาชาติระบุว่า นกอพยพทั่วโลก 134 สายพันธุ์ ซึ่งคิดเป็นประมาณ 14% จาก 960 สายพันธุ์ ถูกคุกคามและมีจำนวนลดลงอย่างมีนัยสำคัญในบางภูมิภาค โดยเฉพาะอย่างยิ่งนกที่ใช้เส้นทางอพยพแอโฟร-พาเลียร์กติก เส้นทางอพยพจากเอเชียและยุโรปลงไปทางตอนใต้ของทวีปแอฟริกา

ขณะที่ปลา 56 สายพันธุ์ จากทั้งหมด 58 สายพันธุ์ที่นักวิจัยเฝ้าระวังอยู่กำลังเสี่ยงสูญพันธุ์ รวมถึงปลาสเตอร์เจียน ฉลาม ปลากระเบน และปลาฉนากหลายสายพันธุ์ นอกจากนี้ รายงานยังตั้งข้อสังเกตอีกว่า นับตั้งแต่ทศวรรษ 1980 จำนวนปลาไหลยุโรปลดลง 95% เนื่องจากถูกมนุษย์จับไปตั้งแต่ยังไม่โตเต็มวัย อีกทั้งมีอุปสรรคขัดขวางการอพยพ

ทั้งนี้ยังมีสัตว์อีก 399 สายพันธุ์ที่ไม่ได้อยู่ในบัญชี CMS ก็กำลังถูกคุกคามหรือมีความเสี่ยงที่จะถูกคุกคามเช่นกัน ตัวอย่างเช่น โลมาและนกอัลบาทรอสในลุ่มแม่น้ำสินธุ กวางเรนเดียร์ในอเมริกาเหนือและรัสเซีย และนกอัลบาทรอสในซีกโลกใต้ล้วนตกอยู่ในความเสี่ยงทั้งสิ้น


"สัตว์อพยพ" สูญเสียถิ่นที่อยู่

การลดลงของจำนวนสัตว์อพยพเกิดขึ้นจากหลากหลายสาเหตุรวมกัน แต่ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์ดังกล่าว คือการสูญเสียแหล่งที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติ และการถูกมนุษย์ล่าจนส่งผลกระทบต่อสัตว์หลายชนิดในโลก

"สัตว์อพยพมีความเสี่ยงเป็นพิเศษต่อแรงกดดันที่เราสร้างต่อสิ่งแวดล้อมในขณะนี้ เนื่องจากพวกมันไม่ได้จำกัดอยู่เพียงสถานที่ใดสถานที่หนึ่งเท่านั้น แต่พวกมันเดินทางไปที่ต่าง ๆ ตามฤดูกาล ในระยะทางที่น่าเหลือเชื่อ" เจมส์ เพียร์ซ-ฮิกกินส์ ผู้อำนวยการด้านวิทยาศาสตร์แห่ง British Trust for Ornithology กล่าว

ตามรายงานของสหประชาชาติ พบว่า 58% ของพื้นที่ที่ได้รับการตรวจสอบอยู่ได้รับแรงกดดันด้านความยั่งยืน โดย 3 ใน 4 ของสายพันธุ์ที่อยู่ในบัญชี CMS ได้รับผลกระทบจากการสูญเสียแหล่งที่อยู่อาศัย ทั้งในด้านความเสื่อมโทรม และการกระจายตัวของพื้นที่

การสูญเสียถิ่นที่อยู่เกิดขึ้นเมื่อพื้นป่าถูกมนุษย์รุกล้ำนำมาใช้เป็นแหล่งที่อยู่อาศัย ทำเกษตรกรรม ปศุสัตว์ และกลายเป็นเมือง ทำให้ที่ดินที่เคยเป็นอยู่อาศัยของสัตว์ถูกแบ่งออกเป็นผืนเล็ก ๆ กระจายตัวออกจากกัน โดยเฉพาะจากการทำฟาร์ม

นอกจากนี้ แหล่งที่อยู่อาศัยยังเสื่อมโทรมลงเนื่องจากมลภาวะ กิจกรรมการเกษตรและอุตสาหกรรมได้ปล่อยสารเคมีอันตรายออกสู่แหล่งที่อยู่อาศัยอีกด้วย การศึกษาได้พบสารมลพิษอินทรีย์ถาวร (POP) ตกค้างอยู่ในนกนางนวล ที่อพยพมาอาศัยอยู่ในภูมิภาคเกรตเลกส์ของสหรัฐ แม้ว่าจะมีกฎระเบียบและมาตรการด้านอุตสาหกรรมที่เพิ่มขึ้นก็ตาม


"ล่าสัตว์ - ทำประมง" ทำลาย "สัตว์อพยพ"

สหประชาชาติระบุว่า การล่าสัตว์และการทำประมงผิดกฎหมาย ทำประมงไม่เว้นช่วงให้สัตว์เติบโต และการใช้อวนขนาดใหญ่จับสัตว์จนมีสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นติดไปด้วย เป็นอีกหนึ่งสาเหตุหลักที่ทำให้สัตว์อพยพมีจำนวนลดลงอย่างมาก

มีการประเมินว่านก 7 ใน 10 สายพันธุ์ที่อยู่ในบัญชี CMS ได้รับผลกระทบจากการล่ามากเกินไป ทุก ๆ ปี ในภูมิภาคเมดิเตอร์เรเนียนจะมีนกประมาณ 11-36 ล้านตัวถูกฆ่าอย่างผิดกฎหมายหรือนำออกจากพื้นที่ ส่วนนกจาบปีกอ่อนอกเหลือง ที่ใช้เส้นทางบินอพยพในเอเชียตะวันออก-ออสเตรเลีย ถูกปรับสถานะเป็น "สัตว์ใกล้สูญพันธุ์อย่างยิ่ง" เนื่องจากมีจำนวนลดลงถึง 95% จากการถูกดักจับผิดกฎหมาย

ในกรณีของปลา การศึกษาขององค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติในปี 2018 พบว่าทะเลเมดิเตอร์เรเนียนเป็นทะเลที่มีการจับปลามากเกินไปมากที่สุดในโลก โดย 62% ของปริมาณปลาในทะเลจับปลามากเกินไปและมีความเสี่ยงอย่างมากที่จะสูญพันธุ์ ขณะที่ฉลามวาฬมีจำนวนลดลง เพราะการใช้ทรัพยากรเกินขีดจำกัดของมนุษย์ (Overexploitation) และการชนกับเรือ แต่ยังสามารถฟื้นตัวได้ หากมีความพยายามในการอนุรักษ์อย่างยั่งยืน


"การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ" อันตรายต่อ "สัตว์อพยพ"

"การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ" ทั้งด้านอุณหภูมิ ปริมาณน้ำฝน และสภาพอากาศที่เกิดขึ้นอาจส่งผลต่อความเหมาะสมของแหล่งผสมพันธุ์และจุดแวะพักตามเส้นทางอพยพ การเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ทางธรรมชาติเหล่านี้จะทำให้สายพันธุ์ต่าง ๆ อาจไม่สามารถดำเนินตามรูปแบบการอพยพตามปกติได้อีกต่อไป ซึ่งอาจส่งผลให้สายพันธุ์ตายโดยตรงหรือผสมพันธุ์น้อยลง

การเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อมและการสูญเสียแหล่งที่อยู่อาศัยในทะเลเหลืองที่ตั้งอยู่ระหว่างจีนและเกาหลีส่งผลกระทบเป็นพิเศษต่อนกน้ำ ทั้งนกชายฝั่งและนกลุยน้ำ ซึ่งปกติแล้วจะแวะพักอยู่ที่นั่นระหว่างการอพยพ ขณะที่จำนวนนกอพยพในแอฟริกามีความผันผวนตามรูปแบบปริมาณน้ำฝน โดยถ้ามีฝนชุกจำนวนนกจะเพิ่มมากขึ้น เพราะมีอาหารเพียงพอ แต่ถ้าเป็นปีแล้งนกจะกลับคืนสู่พื้นที่น้อยลง

ส่วนการพัฒนาทุ่งกังหันลม แม้ว่าจะเป็นทางออกที่ดีสำหรับการต่อสู้กับภาวะโลกร้อน แต่การทำทุ่งกังหันลมในเส้นทางอพยพของนก เช่น ตะวันออกกลางและแอฟริกา อาจจะให้เกิดอันตรายต่อนกได้เช่นกัน เพราะพวกมันอาจจะได้รับบาดเจ็บหรือตายจากใบพัดของกังหันลม โดยเพียร์ซ-ฮิกกินส์กล่าวว่าไม่ควรสร้างทุ่งกังหันลมในเส้นทางอพยพของสัตว์ และไม่เป็นพื้นที่อนุรักษ์หรือเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ที่ใกล้สูญพันธุ์ แต่หากมีฝูงนกเข้ามาใกล้สามารถแก้ปัญหาได้ด้วยการปิดเครื่องและหยุดทำงานจนกว่านกจะบินผ่านไป ซึ่งมักจะใช้เวลาไม่เกินชั่วโมง

นอกจากนี้ การสร้างโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ถนน ทางรถไฟ และเขื่อน ยังสามารถขัดขวางไม่ให้สัตว์อพยพย้ายถิ่นไปตามเส้นทางอพยพอย่างอิสระ ส่วนการพัฒนาอุตสาหกรรม เช่น การขนส่งทางเรือ ก็สามารถรบกวนรูปแบบการย้ายถิ่นได้เช่นกัน

อย่างไรก็ตาม อัตราที่สัตว์ลดลงและตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกจะแตกต่างกันไปตามสายพันธุ์ เช่น นกทะเลมีอายุยืนยาวมากและสามารถตอบสนองต่อระดับน้ำทะเลที่ร้อนขึ้นในระดับที่ค่อยเป็นค่อยไปได้ดีกว่าการเกิดภัยพิบัติ


ป้องกัน "สัตว์อพยพ" สูญพันธุ์

การป้องกันการสูญพันธุ์ของสัตว์อพยพที่ลดลงต้องอาศัยความร่วมมือของหลายภาคส่วน ตั้งแต่การทำวิจัยทางวิทยาศาสตร์ในพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ที่พวกมันอาศัยอยู่ สถานะการอนุรักษ์ และภัยคุกคามที่พวกเขาเผชิญ เพื่อแสดงให้เห็นถึงความเร่งด่วนในการอนุรักษ์ และจัดทำนโยบายและมาตรการระหว่างประเทศ เพื่อสร้างเครือข่ายพื้นที่คุ้มครองในหลายประเทศ หรือทวีป

การเพิ่มขึ้นของจำนวนวาฬหลังค่อมในมหาสมุทรแอตแลนติกใต้ทางตะวันตก แสดงให้เห็นมาตรการอนุรักษ์สัตว์ในบัญชี CMS มีประสิทธิภาพและส่งผลดีต่อสัตว์ นอกจากนี้ยังจำเป็นต้องมีสถานีเพาะพันธุ์สัตว์ ซึ่งถือเป็นการอนุรักษ์ที่มุ่งปกป้องแหล่งที่อยู่อาศัยของสายพันธุ์อพยพ และไม่ถูกรบกวนจากมนุษย์ พร้อมเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ ที่จะทำให้เกิดการท่องเที่ยวอย่างมีความรับผิดชอบมากขึ้นอีกด้วย

ทั้งนี้คนทั่วไปสามารถมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์สัตว์อพยพได้เช่นกัน เพียร์ซ-ฮิกกินส์กล่าวว่า สัตว์อพยพมักจะรวมตัวกันในช่วงเปลี่ยนฤดูกาล พฤติกรรมนี้ทำให้พวกมันถูกล่าและเป็นเหยื่อจากการใช้ทรัพยากรเกินขีดจำกัดของมนุษย์ได้ ดังนั้นในฐานะผู้บริโภค จะต้องเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการใช้ประโยชน์มากเกินไป โดยตรวจสอบว่ามีตราสัญลักษณ์ความยั่งยืน เช่น จาก Marine Stewardship Council หรือไม่


ที่มา: Aljazeera, World Economic Forum


https://www.bangkokbiznews.com/environment/1121987

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #3  
เก่า 13-04-2024
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,809
Default

ขอบคุณข่าวจาก SpringNews


เปิดข้อห้ามและเรื่องควรรู้ เมื่อเข้าชมสวนสัตว์และอควาเรียม ............ โดย SUTHEEMON KUMKOOM



เปิดข้อห้ามและข้อควรรู้ เมื่อเข้าชมสวนสัตว์และอควาเรียม ต้องปฏิบัติตัวอย่างไรบ้าง ห้ามทำอะไร และควรทำอะไร หยุดยาวทั้งที โปรดดูแลบุตรหลานของท่านอย่างใกล้ชิด

สวนสัตว์และอควาเรียมเกือบทุกแห่งบนโลก ได้รวบทุกสรรพสัตว์มาให้มนุษย์ได้เชยชม ให้ได้เห็นตัวเป็น ๆ และได้เรียนรู้ เมื่อเรานำสัตว์เหล่านี้มาให้แล้ว สิ่งที่มนุษย์อย่างเราต้องทำ คือการเคารพกฎของสวนสัตว์และอควาเรียม

สัตว์ ต่างก็มีความต้องการในการใช้ชีวิตอย่างสงบสุข และกิจกรรมบางอย่างของเราอาจรบกวนสัตว์ในกรงหรือตู้อย่างมาก ดังนั้น ไม่ว่าจะวันหยุดยาว หรือวันไหน ๆ เมื่อท่านเข้าชมสวนสัตว์และอควาเรียมโปรดทำตามกฎข้อห้ามดังนี้


ข้อควรรู้เที่ยวสวนสัตว์

- ห้ามนำสัตว์เลี้ยงทุกชนิดเข้าภายในสวนสัตว์
- ห้ามดื่มสุราของมึนเมาทุกชนิด
- ห้ามสูบบุหรี่ภายในสวนสัตว์
- ห้ามโยนก้อนหินหรือสิ่งของใส่สัตว์
- ห้ามเคาะกระจก
- ห้ามแตะสัตว์หากไม่ได้รับอนุญาติ ห้ามทำร้ายสัตว์


ข้อควรรู้เที่ยวอควาเรียม

- ห้ามนำสัตว์เลี้ยงเข้า
- ห้ามใช้แฟรชในการถ่ายภาพ
- ห้ามนำอาหารและเครื่องดื่มเข้า
- ห้ามสูบบุหรี่
- ชมด้วยความสงบ ไม่ทุบกระจก รบกวนปลา
- ไม่ยืน ไม่เหยียบ ต้นไม้และหินเทียม
- ไม่ล้วงมือ ห้ามจับหรือสัมผัสสัตว์น้ำ หากไม่ได้รับอนุญาต


*การเปิดแฟรช มีผลต่อดวงตาหรือการมองเห็นของสัตว์ และพฤติกรรมอื่นก็มีผลต่อการเกิดอุบัติเหตุที่ทำให้สัตว์บาดเจ็บ และอาจกระตุ้นให้สัตว์หงุดหงิดได้*

และข้อควรทำอย่างมาก คือ เมื่อท่านมีบุตรหลายหรือเด็กเล็กเดินทางเข้าชมด้วย โปรดดูแลบุตรหลานของท่านและคอยบอกเขาเสมอว่าสิ่งใดควรทำไม่ควรทำ เพื่อไม่ให้เกิดความวุ่นวาย หรือความเสียหายที่ไม่คาดคิดตามมา

ขอให้มีความสุขกับการรับชมสัตว์โลก


https://www.springnews.co.th/keep-th...ronment/849443

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #4  
เก่า 13-04-2024
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,809
Default

ขอบคุณข่าวจาก SpringNews


ช็อก! คาดปีนี้ ทั่วโลกผลิตขยะ 220 ล้านตัน เผย ไทยสร้างขยะต่อหัว ราว 45 กิโลกรัม


SHORT CUT

- EA Earth Action คาดการณ์ ปี 2024 ทั้งโลกจะสร้างขยะรวมกันกว่า 220 ล้านตัน และยังเผยอีกว่า ไทยจะสร้างขยะ (ต่อจำนวนประชากร) ราว 45 กิโลกรัม

- ปักหมุด "5 กันยายน 2567" จะเป็นวันที่เราสร้างในปริมาณเกินความสามารถที่จะจัดการได้ หรือเรียกแบบเท่ ๆ (แต่ไม่เท่เลย) ว่า "Plastic Overshoot Day"

- ปีนี้ เบลเยียมครองอันดับ 1 ประเทศที่สร้างขยะ (ต่อจำนวนประชากร) มากที่สุด ประมาณ 147 กิโลกรัม ขณะที่ไทยอยู่อันดับ 32 สร้างขยะราว 45 กิโลกรัม




รายงานใหม่เปิดเผยว่า ปี 2024 ทั่วโลกจะสร้างขยะรวมกันกว่า 220 ล้านตัน และ 5 ก.ย. 2567 คือวัน "Plastic Overshoot Day" ประจำปี 2024 สปริงชวนติดตาม และพาไปดูใครบ้างสร้างขยะมากสุด


ขยะ 220 ล้านตัน 70 ล้านตันในนั้นจะถูกนำไปฝังกลบ

องค์กรการกุศล EA Earth Action เปิดเผยว่า ปี 2024 ประชาชนทั่วโลกจะสร้างขยะคนละราว 28 กิโลกรัม และคาดว่าขยะรวมของทั้งปีจะอยู่ที่ 220 ล้านตัน ซึ่งมีการเปรียบเทียบว่าสามารถซอยเป็นหอไอเฟลได้ 20,000 แห่ง แต่ที่น่าเป็นกังวลคือ จะมีขยะราว 70 ล้านตันที่จะถูกกำจัดอย่างไม่ถูกวิธี

สงสัยไหมว่าจะเกิดอะไรตามมา? สุดท้ายแล้วขยะที่รอดพ้นสายตามนุษย์ (ทั้งตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ) ก็จะไปเจอกันที่จุดนัดพบ ซึ่งก็คือ หลุมฝังกลบ หรือถูกส่งไปยังประเทศต่าง ๆ ที่เปิดแขนอ้ารอรับขยะ (แบบไม่มีทางเลือก)


5 ก.ย. 2567 = Plastic Overshoot Day

นำมาสู่ประเด็นถัดมาคือ ทาง EA Earth Action ประกาศว่า "5 กันยายน 2024" จะปักหมุดกลายเป็นวัน "Plastic Overshoot Day" ความหมายง่าย ๆ ก็คือ เมื่อมนุษย์สร้างขยะในปริมาณมากเกินความสามารถที่จะจัดการได้ ซึ่งเหลืออีกตั้ง 3 เดือนจวนจะครบปี แต่มนุษย์ (คาดว่า) จะสร้างขยะเกินโควตาแล้ว

"เราเตือนกันมาเนิ่นนานแล้วว่ามลพิษจากขยะจะนำพามนุษย์มุ่งหน้าสู่หายนะ ทั้งในเชิงมนุษยธรรมหรือระบบนิเวศ ดังนั้น สนธิสัญญาพลาสติกโลกจึงเป็นเรื่องสำคัญ มิเพียงแค่ปกป้องดิน น้ำ หรืออากาศ แต่รวมถึงลูกหลานของเราด้วย" Sian Sutherland ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท A Plastic Planet แสดงความเห็นกรณีมลพิษของขยะกับผลกระทบต่อโลก

เสริมข้อมูลสั้น ๆ ว่า สนธิสัญญาพลาสติกโลก หรือ Global Plastic Treaty คือมาตรการทางกฎหมายว่าด้วยมลพิษจากขยะพลาสติก กับผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม รวมไปถึงเข้าไปจัดการดูแลวงจรชีวิตของขยะพลาสติก ตั้งแต่กระบวนการผลิต การออกแบบ การรีไซเคิล รวมถึงให้ผู้ประกอบติดตามขยะของตัวเองด้วย

ทั้งนี้ สนธิสัญญาพลาสติกโลกกำลังอยู่ในขั้นตอนการร่างกฎหมาย รายละเอียดมีความซับซ้อนทำให้หลายประเทศต้องใช้เวลาพินิจกันอย่างถี่ถ้วนที่สุด จึงคาดว่าน่าจะได้ข้อสรุปในการประชุม INC-5 ที่จะจัดขึ้นในเกาหลีช่วงปลายปีนี้

อย่างไรก็ดี คงเป็นเรื่องเร่งด่วนที่แต่ละประเทศต้องจัดการให้เร็วที่สุด ภายใต้เงื่อนไขของประเทศนั้น ๆ ทั้งนี้ EA Earth Action ได้ลิสต์มาให้ดูว่าประเทศใดบ้างที่สร้างขยะ (ต่อหัว) มากที่สุด


เปิดโฉมหน้า 10 ประเทศสร้างขยะ (ต่อหัว) มากที่สุดในโลก ปี 2024

*เป็นตัวเลขคาดการณ์โดย EA Earth Action อาจมีการคลาดเคลื่อนได้

1. เบลเยี่ยม 147 กิโลกรัม
2. สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 123 กิโลกรัม
3. โอมาน 122.9 กิโลกรัม
4. ฮ่องกง 120 กิโลกรัม
5. กาตาร์ 100 กิโลกรัม
6. สหรัฐฯ 96 กิโลกรัม
7. เนเธอร์แลนด์ 94 กิโลกรัม
8. คูเวต 90 กิโลกรัม
9. สิงคโปร์ 88 กิโลกรัม
10. อิสราเอล 85 กิโลกรัม

*ไทย รั้งอันดับที่ 32 สร้างขยะราว 45 กิโลกรัม


https://www.springnews.co.th/keep-th...ronment/849459

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
ตอบ

คำสั่งเพิ่มเติม
เรียบเรียงคำตอบ

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 06:42


vBulletin รุ่น 3.8.10
สงวนลิขสิทธิ์ ©2000-2025, บริษัท Jelsoft Enterprises จำกัด
Ad Management plugin by RedTyger