![]() |
|
|
|
#1
|
||||
|
||||
|
ขอบคุณข่าวจาก กรุงเทพธุรกิจ
'ทะเลเดือด' จาก 'ภาวะโลกร้อน' อุณหภูมิน้ำพุ่งสูงทำลายสถิติต่อเนื่อง .............. โดย กฤตพล สุธีภัทรกุล ![]() "อุณหภูมิพื้นผิวน้ำทะเล" ยังคงทำลายสถิติอย่างต่อเนื่องมานานกว่า 1 ปีแล้ว และมีแนวโน้มว่าปี 2024 จะทำลายสถิติไปเรื่อยๆ เพราะ "ภาวะโลกร้อน" ยังคงรุนแรง เข้าสู่ยุค "ทะเลเดือด" เต็มตัว ส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตในทะเลทั่วโลก สถาบันการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโคเปอร์นิคัสของสหภาพยุโรป หรือ C3S ระบุว่า เดือนมีนาคม 2567 กลายเป็นเดือนที่อุณหภูมิรายเดือนสูงสุดเป็นประวัติการณ์ติดต่อกันเป็นเดือนที่ 10 ด้วยอุณหภูมิ 21.07 องศาเซลเซียส "เดือนมีนาคม 2024 มีอุณหภูมิสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งอุณหภูมิอากาศ และอุณหภูมิพื้นผิวมหาสมุทร" ซาแมนทา เบอร์เกสส์ รองผู้อำนวยการของ C3S กล่าวในแถลงการณ์ นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแห่งรัฐโคโลราโด คาดการณ์ว่ามหาสมุทรเขตร้อนในมหาสมุทรแอตแลนติกมีอากาศอบอุ่นกว่าปกติ ซึ่งจะทำให้เกิดฤดูพายุเฮอริเคนที่รุนแรง เพราะยิ่งอุณหภูมิในมหาสมุทรสูงขึ้นเท่าใด ก็จะยิ่งทำให้พายุมีพลังมากขึ้นเท่านั้น กาวิน ชมิดต์ นักอุตุนิยมวิทยา และผู้อำนวยการสถาบันก็อดดาร์ด เพื่อการศึกษาอวกาศ ของนาซา ระบุว่า อุณหภูมิที่สูงขึ้นจนทำลายสถิติใหม่ที่เกิดขึ้นในปีที่ผ่านมา และลากยาวมาจนปีนี้ เป็นเรื่องที่อยู่นอกเหนือความคาดหมายของนักวิทยาศาสตร์ แม้จะคำนึงถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแล้วก็ตาม อุณหภูมิโลกมีแนวโน้มจะสูงขึ้นในระยะยาว เนื่องจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิลที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จะทำให้ก๊าซเรือนกระจกปริมาณมากลอยขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศ โดยในขณะนี้ "การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ" ทำให้อุณหภูมิเฉลี่ยทั่วโลกสูงขึ้นกว่าอุณหภูมิเฉลี่ยยุคก่อนอุตสาหกรรมประมาณ 1.2 องศาเซลเซียส ส่งผลให้มหาสมุทรที่มืดกว่าจะยิ่งดูดซับความร้อนจากก๊าซเรือนกระจกมากขึ้น จึงเป็นสาเหตุให้มหาสมุทรร้อนขึ้นเรื่อยๆ "ทะเล" ในเอเชียร้อนกว่าทั่วโลก ข้อมูลจาก องค์การอุตุนิยมวิทยาโลก หรือ WMO ระบุว่า อุณหภูมิพื้นผิวทะเลของฝั่งเอเชีย ไม่ว่าจะเป็นฝั่งกระแสน้ำญี่ปุ่น หรือกระแสน้ำคุโรชิโอะ ซึ่งอยู่ฝั่งตะวันตกของแอ่งมหาสมุทรแปซิฟิกเหนือ รวมถึง ทะเลอาหรับ ทะเลแบเรนตส์ตอนใต้ ทะเลคาราตอนใต้ และทะเลลัปเตฟทางตะวันออกเฉียงใต้ สูงกว่าอุณหภูมิผิวน้ำทะเลเฉลี่ยทั่วโลกถึง 3 เท่า ทะเลแบเรนตส์กลายเป็นจุดความร้อนของมหาสมุทร เนื่องจากภาวะโลกร้อนที่พื้นผิวมหาสมุทรส่งผลกระทบสำคัญต่อธารน้ำแข็งในน้ำทะเล ซึ่งเร่งให้เกิดการสูญเสียน้ำแข็งในทะเลให้เร็วยิ่งขึ้น และทำให้ดูดกลืนก๊าซเรือนกระจก และแสงอาทิตย์ได้มากกว่าธารน้ำแข็งที่เป็นสีขาวที่สะท้อนแสงได้ดีกว่า นอกจากนี้ อุณหภูมิพื้นผิวน้ำทะเล (ระดับความลึกตั้งแต่ 0-700 เมตร) ในทะเลอาหรับตะวันตกเฉียงเหนือ ทะเลฟิลิปปินส์ และทะเลทางตะวันออกของประเทศญี่ปุ่น สูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกถึงสามเท่า สำหรับคลื่นความร้อนที่เกิดในทะเลอาหรับตะวันออก และทางตอนเหนือของมหาสมุทรแปซิฟิก จะกินเวลานานถึง 3-5 เดือน โดยความร้อนที่ยืดเยื้อยาวนานนี้จะส่งผลกระทบต่อมหาสมุทรอย่างรุนแรง "ทะเลเดือด" ทำร้ายสิ่งมีชีวิตในทะเล ปรากฏการณ์ "ทะเลเดือด" ส่งผลกระทบโดยตรงต่อสิ่งมีชีวิตในทะเล จะทำให้โลกสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ โดย 1 ใน 3 ของสัตว์ทะเลพื้นเมืองในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนอาจเปลี่ยนแหล่งที่อยู่อาศัย ย้ายอยู่ในน้ำที่ลึกกว่า และเย็นกว่า เช่น "ปลาค็อด" ที่อพยพย้ายไปยังน่านน้ำใกล้รัสเซีย และนอร์เวย์ ในขณะที่ สัตว์ชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่รุกราน เช่น ปูม้า และปลาสิงโตจะเจริญเติบโตในน้ำอุ่น บุกรุกที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตเฉพาะถิ่น "สิ่งนี้อาจส่งผลกระทบอย่างกว้างขวางต่อความหลากหลายทางชีวภาพทางทะเล และการเปลี่ยนแปลงของระบบนิเวศในภูมิภาค เนื่องจากพวกมันสามารถแข่งขันกับสายพันธุ์พื้นเมืองได้" เวอร์จินิยุส ซินเควิชิอุส สมาชิกคณะกรรมาธิการยุโรปด้านสิ่งแวดล้อม มหาสมุทร และการประมง ให้สัมภาษณ์กับ Financial Times นอกจากนี้ ซินเควิชิอุสยังตั้งข้อสังเกตว่า สิ่งมีชีวิตในท้องทะเลมีจำนวนลดลง เป็นเพราะว่าน้ำเสียที่ไม่ผ่านการบำบัด และการปนเปื้อนมลพิษจากภาคการเกษตร ทำให้สาหร่ายในน้ำแพร่พันธุ์อย่างรวดเร็ว จนแหล่งน้ำไม่มีออกซิเจน ทำให้สิ่งมีชีวิตไม่สามารถอาศัยอยู่ได้ รวมไปถึงการประมงเกินขีดจำกัดก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ทำให้สิ่งมีชีวิตในท้องทะเลลดลงอย่างน่าใจหาย สาเหตุที่ทำให้ "ทะเลเดือด" ในปี 2023 เกิดปรากฏการณ์ "เอลนีโญ" (El Ni?o) ที่ทำให้อุณหภูมิมหาสมุทรอุ่นขึ้นผิดปกติ ซึ่งเริ่มตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ที่ผ่านมา และปัจจุบันเอลนีโญกำลังเริ่มอ่อนกำลังลง จากนั้นจะเข้าสู่ปรากฏการณ์ "ลานีญ" (La Ni?a) เป็นช่วงที่อุณหภูมิมหาสมุทรเย็นลงผิดปกติ อย่างไรก็ตามเอลนีโญ และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศไม่ใช่แค่ 2 ปัจจัยที่ทำให้น้ำทะเลเดือด ยังมีปัจจัยอื่นๆ ประกอบอีก ไม่ว่าจะเป็นการระเบิดของภูเขาไฟใต้น้ำฮันกาตองกาฮันกาฮาพาย (Hunga-Tonga-Hunga-Haapai) ในตองกา เมื่อปี 2022 ทำให้เกิดเขม่า และฝุ่นละอองปกคลุมแสงแดด จนชั้นบรรยากาศเย็นลงชั่วคราว แต่เนื่องจากภูเขาไฟลูกนี้จมอยู่ใต้น้ำใต้มหาสมุทรแปซิฟิก การปะทุของมันจึงพ่นไอน้ำหลายล้านตันขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศชั้นบนด้วย และไอน้ำเป็นก๊าซเรือนกระจกที่ทรงพลัง ผลกระทบจากภาวะโลกร้อนจากการปะทุของภูเขาไฟมีมากกว่าที่นักวิทยาศาสตร์เคยประมาณการไว้ก่อนหน้านี้ โดยชอน เบิร์กเคิล ผู้ช่วยศาสตราจารย์จากสถาบันการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของมหาวิทยาลัยเมน ตั้งข้อสังเกตว่าการปะทุอาจส่งผลกระทบต่อการไหลเวียนของบรรยากาศ และช่วยขยายขอบเขตปรากฏการณ์เอลนีโญในช่วงปี 2023 แต่เขาเสริมว่าจำเป็นต้องมีการวิจัยเพิ่มเติม อีกหนึ่งประเด็นคือ มาตรการลดมลภาวะจากละอองลอยจากเรือคอนเทนเนอร์ที่เดินทางข้ามมหาสมุทร ตามมาตรฐานเชื้อเพลิงสากลใหม่ที่มีผลบังคับใช้ในปี 2020 กลับทำให้เกิดการระบายความร้อนในชั้นบรรยากาศตอนกลาง และตอนบน อีกทั้งช่วยปกปิดผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมาจนถึงปัจจุบัน ที่มา: Financial Times, The New York Times https://www.bangkokbiznews.com/environment/1124024
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#2
|
||||
|
||||
|
ขอบคุณข่าวจาก SpringNews
ทำความรู้จัก "สนธิสัญญาพลาสติก" ฉบับแรก เร่งเจรจาก่อนขยะท่วมโลก SHORT CUT - สนธิสัญญาพลาสติกฉบับแรกของโลกมีเป้าหมายจะบรรลุข้อตกลงภายในปลายปีนี้ ซึ่งอาจเป็นข้อตกลงสำคัญที่สุดเรื่องการลดก๊าซเรือนกระจกและปกป้องสิ่งแวดล้อมนับตั้งแต่ข้อตกลงปารีสปี 2015 - ประเทศต่างๆ ยังมีจุดยืนที่แตกต่างกัน เช่น กลุ่มผู้ผลิตพลาสติกคัดค้านการจำกัดการผลิตและเปิดเผยสารเคมี ขณะที่กลุ่ม High-Ambition Coalition (รวมอียู) ต้องการให้กำหนดเป้าหมายการยุติมลพิษในปี 2583 - ความท้าทายในการเจรจาคือการหาจุดร่วมจากมุมมองที่แตกต่าง ก่อนการเจรจารอบสุดท้ายในเดือนธันวาคมที่ปูซาน เพื่อบรรลุข้อตกลงที่มีประสิทธิภาพในการแก้ไขวิกฤตมลพิษพลาสติกระดับโลก ![]() บรรดาผู้นำระดับโลกจะรวมตัวกันที่เมืองหลวงของแคนาดาในสัปดาห์นี้ เพื่อหารือความคืบหน้าในการร่าง "สนธิสัญญาพลาสติก" ระดับโลกฉบับแรกที่จะควบคุมมลพิษจากพลาสติกที่เพิ่มสูงขึ้นในสิ้นปีนี้ ทำไมเราถึงมีการเจรจาสนธิสัญญาพลาสติก? ในปี 2022 (พ.ศ. 2565) ที่การประชุมสมัชชาสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ ประเทศต่างๆ ได้ตกลงร่วมกันที่จะจัดทำข้อตกลงระหว่างประเทศที่มีผลผูกพันทางกฎหมาย เพื่อแก้ไขปัญหาวิกฤตมลพิษพลาสติกที่กำลังคุกคามโลกของเรา โดยมีเป้าหมายที่จะให้ข้อตกลงนี้แล้วเสร็จภายในสิ้นปี 2024 (พ.ศ. 2567) สนธิสัญญาพลาสติกฉบับนี้ มุ่งที่จะจัดการกับปัญหาพลาสติกแบบครบวงจร ครอบคลุมตั้งแต่ต้นทางที่การผลิต ไปจนถึงปลายทางที่การใช้งานและการกำจัดทิ้ง ซึ่งจะเป็นความพยายามครั้งสำคัญของนานาชาติ ในการร่วมมือกันรับมือกับวิกฤตขยะพลาสติกที่กำลังส่งผลกระทบเลวร้ายต่อระบบนิเวศของโลกเรา จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการปกป้องโลกใบนี้ ทัดเทียมกับข้อตกลงปารีสว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเมื่อปี 2015 พลาสติกมีปัญหาอะไร? ปัจจุบัน ขยะพลาสติกกลายเป็นภัยคุกคามระดับโลกที่ก่อให้เกิดมลพิษต่อภูมิประเทศและทางน้ำ ในขณะที่การผลิตพลาสติกก็ยังเกี่ยวข้องกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจำนวนมหาศาลอันนำไปสู่ภาวะโลกร้อน ซึ่งจากรายงานจากห้องปฏิบัติการแห่งชาติ Lawrence Berkeley National Laboratory ของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ระบุว่าขณะนี้อุตสาหกรรมพลาสติก คิดเป็นสัดส่วน 5% ของการปล่อยก๊าซคาร์บอนทั่วโลก ซึ่งอาจเพิ่มขึ้นเป็น 20% ภายในปี 2593 หากแนวโน้มในปัจจุบันยังดำเนินต่อไป การผลิตพลาสติกจะเพิ่มขึ้นเป็น 3 เท่าภายในปี 2603 เว้นแต่สนธิสัญญาจะกำหนดขีดจำกัดการผลิต ตามที่บางคนเสนอ ความท้าทายในการเจรจาคืออะไร? การเจรจาสนธิสัญญาพลาสติกในสัปดาห์นี้ถือเป็นการประชุมครั้งใหญ่ที่สุด ด้วยจำนวนผู้เข้าร่วมกว่า 3,500 คน จากหลากหลายภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นสมาชิกรัฐสภา ผู้นำธุรกิจ สมาชิกสภานิติบัญญัติ นักวิทยาศาสตร์ ไปจนถึงองค์กรสิ่งแวดล้อมต่างๆ อย่างไรก็ตาม การเจรจา 3 รอบก่อนหน้าที่จัดขึ้นในปุนตา เดล เอสเต ประเทศอุรุกวัย, ปารีส และไนโรบี กลับเผยให้เห็นถึงความเห็นที่แตกต่างกันของแต่ละชาติในประเด็นสำคัญๆ ในการเจรจาล่าสุดที่กรุงไนโรบี เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ร่างสนธิสัญญาได้ขยายความยาวจาก 30 หน้า เป็น 70 หน้า เพราะบางประเทศยืนกรานที่จะผนวกข้อคัดค้านต่อมาตรการเข้มงวด เช่น การจำกัดการผลิตและการยกเลิกการใช้ เข้าไปในเนื้อหาด้วย ขณะนี้ประเทศต่างๆ กำลังเผชิญแรงกดดันอย่างหนักในการหาจุดยืนร่วมกัน ก่อนการเจรจาขั้นสุดท้ายจะจัดขึ้นในเดือนธันวาคมที่เมืองปูซาน ประเทศเกาหลีใต้ เพื่อให้สามารถบรรลุข้อตกลงที่ทุกฝ่ายยอมรับได้ทันตามกำหนด ประเทศต่างๆ ต้องการอะไรจากสนธิสัญญา? ในการเจรจาสนธิสัญญาพลาสติก ประเทศผู้ผลิตพลาสติกและปิโตรเคมีหลายแห่ง อาทิ ซาอุดิอาระเบีย อิหร่าน และจีน ซึ่งรวมตัวกันภายใต้ชื่อ "กลุ่มประเทศที่มีแนวคิดเดียวกัน" หรือ Like-Minded Countries ได้แสดงจุดยืนคัดค้านการกำหนดขีดจำกัดการผลิต และพยายามขัดขวางไม่ให้มีการใช้ถ้อยคำในสนธิสัญญาที่จะนำไปสู่การจำกัดการผลิต, การเปิดเผยข้อมูลสารเคมี หรือการกำหนดเป้าหมายการลดขนาดการใช้ ตั้งแต่การประชุมที่ไนโรบีเมื่อปีก่อน ในขณะเดียวกัน มีอีกกลุ่มหนึ่งที่เรียกตัวเองว่า "แนวร่วมความคาดหวังสูง" หรือ High-Ambition Coalition ประกอบด้วย 60 ประเทศ รวมถึงชาติสมาชิกสหภาพยุโรป, ประเทศหมู่เกาะต่างๆ และญี่ปุ่น ซึ่งตั้งเป้าที่จะยุติมลพิษพลาสติกให้ได้ภายในปี 2040 กลุ่มนี้ได้รับการหนุนหลังจากองค์กรสิ่งแวดล้อม ที่เรียกร้องให้มีการบัญญัติกฎหมายที่มีผลผูกพันเพื่อ "ยับยั้งและลดการผลิตและการใช้พลาสติกใหม่ให้อยู่ในระดับที่ยั่งยืน" นอกจากนี้ยังมีการเสนอมาตรการอื่นๆ อย่างการเลิกใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้งที่สร้างปัญหา และการแบนสารเคมีบางชนิดที่อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ ทางด้านสหรัฐฯ แม้จะประกาศเป้าหมายที่จะกำจัดขยะพลาสติกภายในปี 2040 เช่นเดียวกับกลุ่ม High-Ambition Coalition แต่กลับเสนอแนวทางที่แตกต่างออกไป โดยต้องการให้แต่ละประเทศกำหนดแผนปฏิบัติการของตัวเอง จากนั้นจึงส่งรายละเอียดของแผนเหล่านั้นมาเป็นพันธสัญญาต่อสหประชาชาติเป็นระยะๆ อุตสาหกรรมปิโตรเคมีต้องการอะไร? อุตสาหกรรมปิโตรเคมีที่มีบทบาทสำคัญในการผลิตพลาสติก ผ่านตัวแทนอย่างกลุ่ม Global Partners for Plastics Circularity ซึ่งประกอบไปด้วยผู้ผลิตรายใหญ่ในสมาคมอย่าง American Chemistry Council และ Plastics Europe ได้ออกมาแสดงจุดยืนคัดค้านการบังคับจำกัดปริมาณการผลิต โดยให้เหตุผลว่าจะทำให้ต้นทุนตกไปที่ผู้บริโภคในรูปของสินค้าที่แพงขึ้น พร้อมย้ำว่าสนธิสัญญาควรมุ่งจัดการพลาสติกที่ผลิตออกมาแล้วมากกว่า กลุ่มอุตสาหกรรมเหล่านี้ยังเสนอแนวทางที่เน้นการส่งเสริมการใช้ซ้ำ การรีไซเคิล รวมถึงเทคโนโลยีที่สามารถแปรรูปพลาสติกกลับไปเป็นเชื้อเพลิง ในประเด็นของความโปร่งใสเรื่องสารเคมีที่ใช้ในกระบวนการผลิตพลาสติก พวกเขามองว่าควรเป็นเรื่องของความสมัครใจของแต่ละบริษัทที่จะเลือกเปิดเผยข้อมูลเหล่านั้น มากกว่าที่จะถูกบังคับด้วยกฎหมาย แบรนด์สินค้าต้องการอะไร? บริษัทผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคชั้นนำกว่า 200 แห่ง อาทิ Unilever, PepsiCo และ Walmart ได้ร่วมตัวกันจัดตั้ง "Business Coalition for a Plastics Treaty" หรือ "พันธมิตรภาคธุรกิจเพื่อสนธิสัญญาพลาสติก" เช่นเดียวกับภาคอุตสาหกรรมปิโตรเคมี บรรดาแบรนด์สินค้าเหล่านี้ที่ใช้บรรจุภัณฑ์พลาสติกจำนวนมาก ก็มีบทบาทไม่น้อยในการเจรจาครั้งนี้ แต่น่าสนใจว่าจุดยืนของพวกเขากลับสวนทางกับฝั่งผู้ผลิตพลาสติก โดยสนับสนุนสนธิสัญญาที่ครอบคลุมการจำกัดปริมาณการผลิต, กำหนดระยะเวลาการใช้และลดการใช้ลง, ส่งเสริมนโยบาย reuse, วางกฎเกณฑ์การออกแบบผลิตภัณฑ์, ขยายความรับผิดชอบของผู้ผลิต ไปจนถึงการจัดการกับขยะพลาสติก ดังที่ระบุไว้ในแถลงการณ์ก่อนการประชุมที่กรุงออตตาวา ที่มา ... Reuters https://www.springnews.co.th/keep-th...ronment/849791
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
![]() |
| คำสั่งเพิ่มเติม | |
| เรียบเรียงคำตอบ | |
|
|