เลือกสีตามสไลต์ที่คุณชอบ:
SaveOurSea.NET  

กลับไป   SaveOurSea.NET > สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม

 
 
Share คำสั่งเพิ่มเติม เรียบเรียงคำตอบ
Prev คำตอบที่แล้วมา   คำตอบถัดไป Next
  #4  
เก่า 17-05-2024
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,809
Default

ขอบคุณข่าวจาก Nation


เดี๋ยวร้อนจัด เดี๋ยวฝนถล่ม เชื่อได้หรือยังว่า "โลกรวน" เพราะมนุษย์จริงๆ
.............. โดย รพีพัฒน์ อิงคสิทธิ์



ไม่ว่าจะเผชิญกับอากาศร้อนดังนรก หรือโดนถล่มโดยฝนห่าใหญ่ จนถึงปัจจุบันนี้ยังมีคนเชื่ออยู่ว่า "โลกรวน" หรือ Climate Change ไม่ใช่ปัญหาที่เกิดจากมนุษย์ แต่เป็นเรื่องที่เป็นไปตามวัฏจักรของธรรมชาติ แม้วิทยาศาตร์จะมีคำตอบให้กับเรื่องนี้มานานนับทศวรรษก็ตาม

ฝนถล่มฟ้าเมื่อหลายวันที่ผ่านมาคงจะทำให้ชีวิตหลายคนลำบากไม่น้อย ถึงแม้ในอีกมุมนึงฝนห่าใหญ่จะมาคลายความร้อนที่ต่อเนื่องเนิ่นนานตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคมไปได้บ้าง อากาศที่ร้อนขึ้นอย่างผิดสังเกตกลายเป็นกระแสเสียงบ่นระงมว่า 'ร้อนกว่าสมัยเด็กๆ'

ความรู้สึกของเราสอดคล้องกับสถิติที่ Copernicus Climate Change Service เปิดเผยว่าอุณหภูมิเฉลี่ยบนพื้นผิวโลกในเดือนเมษาที่ผ่านมาร้อนขึ้นราว 1.61 องศาเซลเซียส เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยก่อนยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม ปฏิเสธไม่ได้ว่าความร้อนทะลุปรอทเมื่อนี้ส่วนหนึ่งเกิดจากปรากฎการณ์เอลนีโญที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป แต่นักวิทยาศาสตร์ด้านภูมิอากาศ 99 คนจาก 100 คน เห็นต้องตรงกันว่าแนวโน้มอุณภูมิบนพื้นผิวโลกเฉลี่ยที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงสามทศวรรษที่ผ่านมามีสาเหตุสำคัญจากกิจกรรมของมนุษย์ที่ปล่อยแก๊สเรือนกระจกอย่างคาร์บอนไดออกไซด์ขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศ

การรับมือ 'สภาวะโลกร้อน' เป็นประเด็นที่ถูกอภิปรายอย่างกว้างขวางบนเวทีโลกมายาวนานกว่าสามทศวรรษโดยมีจุดเริ่มต้นอย่างเป็นทางการคืออนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (United Nations Framework Convention on Climate Change: UNFCCC) ซึ่งช่วงแรกเริ่มประสบอุปสรรคและคำถามนานัปการ


แต่เมื่อภาวะโลกรวนเริ่มเผยตัวรุนแรงยิ่งขึ้น นานาประเทศจึงเริ่มตระหนักว่าภาวะโลกร้อนคือ ?ของจริง? ไม่ใช่แค่คำทำนายหายนะในนวนิยายวิทยาศาสตร์ ความพยายามรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างจริงจังจึงเริ่มต้นอีกครั้งโดยมีหมุดหมายสำคัญคือข้อตกลงปารีสเมื่อปี 2015 ที่ผ่านมาซึ่งมุ่งมั่นจำกัดอุณหภูมิเฉลี่ยทั่วโลกไม่ให้เพิ่มขึ้นเกิน 1.5 องศาเซลเซียสเมื่อเทียบกับยุคก่อนปฏิวัติอุตสาหกรรม

ในบทความนี้ ผู้เขียนอยากชวนผู้อ่านไปคลายข้อสงสัยว่าด้วยพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ของภาวะโลกร้อน รวมถึงข้อพิสูจน์ว่าภาวะโลกร้อนเกิดจากกิจกรรมของมนุษย์


ต้นธารของวิทยาศาสตร์โลกร้อน

แม้หลายคนจะมองว่าศาสตร์ของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นเรื่องสลับซับซ้อน แต่ทราบไหมครับว่าครั้งแรกที่นักวิทยาศาสตร์คาดการณ์ว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เพิ่มขึ้นในชั้นบรรยากาศจะทำให้อุณหภูมิโลกสูงขึ้น ต้องสืบย้อนไปถึงปี 1896 ซึ่งเป็นปีเดียวกับพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เสด็จประพาสยุโรป (พ.ศ.2439)

ในปีนั้น สวานเต อาร์เรเนียส (Svante Arrhenius) นักเคมีชาวสวีเดนตีพิมพ์ผลงานที่เปิดเผยว่าการเผาเชื้อเพลิงฟอสซิลของมนุษย์จะเพิ่มความเข้มข้นของคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศ เนื่องจากก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่มนุษย์ปล่อยสู่ชั้นบรรยากาศนั้นมากเกินกว่าที่กลไกตามธรรมชาติจะรองรับไหว

หลังจากนั้นราวสองทศวรรษ อาร์เรเนียสประยุกต์ทฤษฎีฟิสิกส์เมื่อราวสองศตวรรษก่อน คำนวณตัวเลขทั้งหมดโดยไม่มีคอมพิวเตอร์ แล้วเปิดเผยว่าถ้าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศเพิ่มขึ้นสองเท่าตัวจะทำให้อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกเพิ่มขึ้นราว 4 องศาเซลเซียส สอดคล้องกับการประมาณการโดยเครื่องมือล้ำสมัยและทฤษฎียุคใหม่ในปัจจุบันที่คาดว่าอุณหภูมิจะเพิ่มขึ้น 2.5-4 เซลเซียส

แต่ก๊าซเรือนกระจกเหล่านี้ก็ใช่ว่าจะมีแต่ข้อเสียนะครับ เพราะองค์ประกอบที่พอเหมาะในชั้นบรรยากาศนับเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้อุณหภูมิพื้นผิวโลกเหมาะสมกับการถือกำเนิดของสิ่งมีชีวิต


ว่าด้วยปรากฎการณ์เรือนกระจก

เมื่อดวงอาทิตย์แผ่รังสีมายังโลก เหล่าก๊าซเรือนกระจกในชั้นบรรยากาศและก้อนเมฆจะทำหน้าที่ดูดซับและปลดปล่อยรังสีเหล่านั้นมายังพื้นโลก ดังนั้น อุณหภูมิในพื้นผิวโลกจึงถูกกำหนดโดยปัจจัยสองประการ อย่างแรกคือรังสีจากดวงอาทิตย์โดยตรง และอย่างที่สองคือรังสีที่สะท้อนจากก๊าซเรือนกระจกในชั้นบรรยากาศ โดยทั้งสองปัจจัยนี้ส่งผลในระดับใกล้เคียงกัน นี่คือหลักการฟิสิกส์พื้นฐานซึ่งได้รับการยอมรับอย่างเป็นเอกฉันท์ในหมู่นักวิทยาศาสตร์

ปรากฎการณ์สะท้อนรังสีไปมาระหว่างชั้นบรรยากาศและพื้นผิวโลกเรียกว่าปรากฎการณ์เรือนกระจกซึ่งนับเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้อุณหภูมิโลกอยู่ในระดับที่เหมาะสมกับสิ่งมีชีวิตบนโลกเฉกเช่นในปัจจุบัน หากไม่มีก๊าซเรือนกระจก ความร้อนก็จะถูกสะท้อนออกจากชั้นบรรยากาศจนทำให้อุณหภูมิเฉลี่ยพื้นผิวโลกลดเหลือ -20 องศาเซลเซียส แต่ในทางกลับกัน หากก๊าซเรือนกระจกหนาแน่นเกินไปก็อาจกลายสภาพเป็นแบบดาวเสาร์ที่อุณหภูมิพื้นผิวสูงถึง 464 องศาเซลเซียสทั้งที่อยู่ห่างจากดวงอาทิตย์กว่าโลก แต่กลับมีอุณหภูมิสูงกว่าดาวพุธที่อยู่ใกล้กับดวงอาทิตย์ที่สุดมากถึงสามเท่าตัว

ในชั้นบรรยากาศโลกมีก๊าซเรือนกระจกราว 0.3% โดยส่วนใหญ่จะเป็นไอน้ำ (เฉลี่ยราว 0.25%) ส่วนก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์คิดเป็นสัดส่วนเพียง 405 โมเลกุลต่ออากาศ 1,000,000 โมเลกุล หรือเรียกได้ว่าน้อยมากๆ

สาเหตุที่ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์กลายเป็นตัวแปรสำคัญที่ส่งผลต่อปรากฎการณ์เรือนกระจกคือ 'ระยะเวลา' ที่ก๊าซล่องลอยอยู่ในชั้นบรรยากาศซึ่งอาจยาวนานนับพันปี ขณะที่ปริมาณไอน้ำผันผวนเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา จอห์น ทินดัล (John Tyndall) นักฟิสิกส์ชาวไอริชพบว่าตั้งแต่อดีตจวบจนปัจจุบัน ปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศมีความสัมพันธ์อย่างยิ่งต่ออุณหภูมิเฉลี่ยของพื้นผิวโลก และธรรมชาติเองก็มีกลไกในการควบคุมปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศผ่านกระบวนการผุพังของชั้นหิน (rock weathering)

อย่างไรก็ตาม อุณหภูมิของโลกผันแปรอยู่เสมอเนื่องด้วยหลากหลายปัจจัยโดยที่ความเข้มข้นของคาร์บอนไดออกไซด์เป็นหนึ่งในนั้น นำไปสู่คำถามว่าอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นในปัจจุบันมีสาเหตุจากกิจกรรมของมนุษย์จริงหรือไม่


รู้ได้อย่างไรว่าโลกร้อนเพราะ 'เรา'

เครื่องวัดอุณหภูมิอย่างเทอร์โมมิเตอร์ถูกคิดค้นขึ้นในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 17 แต่กว่าการจัดเก็บข้อมูลอุณหภูมิโลกทั้งบนบกและในทะเลจะเกิดขึ้นอย่างจริงจังก็ล่วงเลยมาถึงราวทศวรรษที่ 1960 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เราพบว่าอุณหภูมิโลกมีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อยๆ เกิดเป็นคำถามว่าเราจะรู้ได้อย่างไรว่าเหตุการณ์ในปัจจุบันไม่ใช่เรื่อง 'ปกติ' ที่เคยเกิดขึ้นแล้วในอดีต

นักวิทยาศาสตร์ค้นหาคำตอบด้วยวิธีประมาณการจากตัวแปรต่างๆ โดยรวบรวมข้อมูลจากแผ่นน้ำแข็ง วงปีต้นไม้ และตะกอนจากพื้นมหาสมุทร แล้วนำมาวิเคราะห์ส่วนประกอบของก๊าซเรือนกระจกในชั้นบรรยากาศ และอุณหภูมิพื้นผิวโลกย้อนกลับไปถึงช่วงก่อนที่มนุษย์จะถือกำเนิดขึ้นบนโลกด้วยซ้ำ

พวกเขาพบว่าอุณหภูมิโลกผันแปรไม่เคยหยุดนิ่ง บางช่วงเวลาโลกก็กลายสภาพเป็นยุคน้ำแข็งที่เหน็บหนาว บ้างคราวก็เป็นยุคที่ร้อนจนระดับน้ำทะเลสูงกว่าในปัจจุบันกว่า 200 เมตร แต่การเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิตามธรรมชาติขยับอย่างเนิบช้าแต่ละวัฏจักรอาจใช้เวลาหลักหนึ่งแสนปี ดังนั้นการที่อุณหภูมิพุ่งพรวดๆ ในระยะเวลาเพียงไม่กี่ทศวรรษย่อมเกิดจากปัจจัยอื่นที่ไม่ใช่วัฏจักรตามธรรมชาติ

มีสมมติฐานมากมายว่าตัวแปรอื่น เช่น การแผ่รังสีจากดวงอาทิตย์ที่รุนแรงขึ้น อาจส่งผลต่อภาวะโลกร้อนที่เราเผชิญอยู่ในปัจจุบัน แต่เหล่านักวิทยาศาสตร์ก็ค่อยๆ ตัดสมมติฐานอื่นๆ ออกไป ก่อนจะได้ข้อสรุปว่าภาวะอุณหภูมิที่สูงขึ้นอย่างผิดปกติในปัจจุบันเกิดจากการเผาเชื้อเพลิงฟอสซิลที่ปล่อยแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศ

ถึงแม้อาจมีนักวิทยาศาสตร์บางคนที่เห็นต่าง เช่น จอห์น เคลาเซอร์ (John Clauser) นักฟิสิกส์ผู้ร่วมรับรางวัลโนเบลที่สร้างเสียงฮือฮาด้วยการประกาศว่า "วิกฤติภูมิอากาศไม่มีอยู่จริง" แต่หากชั่งน้ำหนักด้วยเรื่องความเสี่ยง ผลกระทบ และโอกาสที่จะเกิดวิกฤติ การป้องกันปัญหายักษ์ใหญ่เช่นนี้ล่วงหน้าย่อมดีกว่าการตามแก้ไขปัญหาในวันที่สายเกินไป

ที่ผ่านมา เรามักคิดว่าภาวะโลกร้อนเป็นเรื่องไกลตัวหรือเป็นปัญหาของประเทศร่ำรวย แต่ความจริงแล้ว ประเทศกำลังซึ่งตั้งอยู่บริเวณเส้นศูนย์สูตรอย่างไทยคือกลุ่มประเทศที่จะได้รับผลกระทบรุนแรงอย่างยิ่ง ทั้งอุณหภูมิที่สูงขึ้นจนไม่สามารถปลูกพืชหรือทำงานกลางแจ้งได้ อุทกภัยที่มีแนวโน้มรุนแรงขึ้น และเงินงบประมาณในการรับมือวิกฤติที่จำกัดจำเขี่ย

อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยกลับไม่กระตือรือร้นกับเรื่องนี้สักเท่าไหร่ โดยประเทศไทยตั้งเป้าหมายปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเท่ากับศูนย์ไว้ถึงปี 2065 เรียกได้ว่าช้าที่สุดในกลุ่มประเทศอาเซียน เช่น มาเลเซีย สิงคโปร์ และเวียดนามที่กำหนดเป้าหมายไว้ที่ปี 2050 และอินโดนีเซียที่กำหนดเป้าหมายไว้ที่ปี 2060

เป้าหมายเชิงนโยบายดังกล่าวนับว่าน่าเสียดายไม่น้อย เพราะนอกจากไทยจะได้รับผลกระทบเต็มๆ จากวิกฤติภูมิอากาศแล้ว ยังอาจถูกทิ้งไว้ข้างหลังในวันที่ประเทศเพื่อนบ้านเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำกันไปหมดแล้ว


ข้อมูลอ้างอิง
Emanuel, K. (2024). MIT Climate Primer. Retrieved from https://climate.mit.edu/primer
Emanuel, K. A. (2012). What We Know about Climate Change. MIT Press.
Copernicus: Global temperature record streak continues ? April 2024 was the hottest on record. (2024, May 7). Climate Copernicus. https://climate.copernicus.eu/copern...hottest-record
The causes of climate change. (n.d.). NASA. https://science.nasa.gov/climate-change/causes/
Joselow, M. (2023, November 16). He won a Nobel Prize. Then he started denying climate change. The Washington Post. https://www.washingtonpost.com/clima...limate-denial/



https://www.nationtv.tv/blogs/columnist/378943824
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
 

คำสั่งเพิ่มเติม
เรียบเรียงคำตอบ

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 01:26


vBulletin รุ่น 3.8.10
สงวนลิขสิทธิ์ ©2000-2025, บริษัท Jelsoft Enterprises จำกัด
Ad Management plugin by RedTyger