เลือกสีตามสไลต์ที่คุณชอบ:
SaveOurSea.NET  

กลับไป   SaveOurSea.NET > สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม

ตอบ
 
Share คำสั่งเพิ่มเติม เรียบเรียงคำตอบ
  #1  
เก่า 02-06-2024
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,809
Default

ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการ


พบไมโครพลาสติกในทุกตัวอย่างน้ำ ที่สุ่มเก็บน้ำในการแข่งขัน The Ocean Race 2022 - 23 แม้แต่พื้นที่ห่างไกลจากอารยธรรมมนุษย์มากที่สุดในโลกก็ยังพบ



การแข่งขัน The Ocean Race เป็นการแข่งขันเรือยอชต์รอบโลกที่เดินทางกว่า 62,000 กิโลกเมตร ไปในพื้นที่มหาสมุทรทั่วโลก โดยเป็นการแข่งขันเพื่อร่วมมือกับสถาบันทางวิทยาศาสตร์ ที่มีวัตถุประสงค์ในการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับมหาสมุทร ไม่ว่าจะเป็นในด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ความหลากหลายทางชีวภาพทางทะเลระหว่างการแข่งขัน เพื่อช่วยพัฒนาความเข้าใจเกี่ยวกับโลกใต้ทะเลและภัยคุกคามที่ต้องเผชิญ ข้อมูลที่ลูกเรือเก็บรวบรวมทำให้องค์กรวิทยาศาสตร์ทั่วโลกได้รับข้อมูลแบบเรียลไทม์ และช่วยให้นักวิทยาศาสตร์สามารถแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวกับมหาสมุทรได้แม่นยำยิ่งขึ้น

Victoria Fulfer นักวิทยาศาสตร์ที่เข้าร่วมจากมหาวิทยาลัยร็อดไอแลนด์ ศูนย์วิทยาศาสตร์ทางทะเลแห่งชาติ (National Oceanography Centre, NOC) สหราชอาณาจักร

กล่าวว่า การแข่งขันใน The Ocean Race 2022 - 23 นี้ ทำให้ได้รู้ว่าความเข้มข้นของไมโครพลาสติกในน้ำมีระดับที่สูงขึ้นมาก เมื่อเทียบกับข้อมูลในปีที่ผ่านๆ มา ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของมลพิษที่เพิ่มขึ้น.

ไมโครพลาสติกที่พบในตัวอย่างน้ำทุกตัวอย่างที่นำมาระหว่างการแข่งขันโอเชียนเรซ บทความนี้มีอายุมากกว่า 11 เดือน ความเข้มข้นของพลาสติกในการแข่งขันรอบโลกผ่านสภาพแวดล้อมในมหาสมุทรที่ห่างไกลพบว่าสูงกว่าการแข่งขันครั้งก่อนถึง 18 เท่าในปี 2017 ? 2018 ข้อมูลที่ได้ในปีนี้ ถือเป็นการย้ำถึงความรุนแรงของปัญหามลพิษจากพลาสติกและ ความจำเป็นเร่งด่วนในการดำเนินการจัดการกับมลพิษจากพลาสติกและนำมาตรการต่างๆ มาใช้เพื่อลดการใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว รวมถึงความร่วมมือกันของรัฐบาลและ ภาคอุตสาหกรรมทั่วโลกด้วย

นักเดินเรือทำการสุ่มตรวจน้ำระหว่างการแข่งขัน Ocean Race และพบว่า ทุกตัวอย่างน้ำที่สุ่มตรวจนั้น พบอนุภาคไมโครพลาสติกมากถึง 1,884 อนุภาคต่อน้ำทะเลหนึ่งลูกบาศก์เมตรในบางพื้นที่ ซึ่งสูงกว่าการทดสอบที่คล้ายกันระหว่างการแข่งขันโอเชี่ยนเรซครั้งล่าสุดซึ่งสิ้นสุดในปี 2018 ถึง 18 เท่า แม้แต่น้ำจาก Point Nemo

พื้นที่ทางตอนใต้ของมหาสมุทรแปซิฟิก ซึ่งเป็นจุดที่ห่างไกลจากอารยธรรมมนุษย์มากที่สุดในโลกและไม่เคยมีผู้คนอาศัยอยู่ ก็ยังตรวจพบไมโครพลาสติกได้

ตัวอย่างถูกเก็บในช่วงเริ่มแรกของการแข่งขันซึ่งเริ่มในเดือนมกราคมและสิ้นสุดในเดือนกรกฎาคม 2023 โดยผ่านมหาสมุทรแอตแลนติกใต้ใกล้กับสถานที่ที่ถือว่าอยู่ห่างจากพื้นดินมากที่สุดในโลก ตัวอย่าง 45 ตัวอย่างที่รวบรวมจากเลกที่สอง ซึ่งวิ่งจากเมืองกาโบ แวร์เด ไปจนถึงแอฟริกาใต้ แสดงให้เห็นความเข้มข้นของไมโครพลาสติกที่ 92-1,884 ในขณะที่เลกที่ 3 ระหว่างเมืองเคปทาวน์และเมืองอิตาจาอิ ประเทศบราซิล มีความเข้มข้นอยู่ระหว่าง 160-1,492 ต่อลูกบาศก์เมตร ตัวกรองบนเรือสามารถดักจับอนุภาคพลาสติกที่มีขนาดระหว่าง 0.03 มม. ถึง 5 มม. ตัวอย่างจะถูกส่งทุกวันไปยัง NOC เพื่อทำการวิเคราะห์ โดยได้รับการสนับสนุนจากมหาวิทยาลัยโรดไอส์แลนด์ ไมโครพลาสติกที่มีความเข้มข้นสูงสุดพบได้ใกล้กับชายฝั่งและเขตเมือง เช่น การอ่านค่า 816-1,712 ต่อลูกบาศก์เมตรนอกชายฝั่งแอฟริกาใต้ และยังพบในบริเวณ "แผ่นขยะ" ในทะเล ซึ่งกระแสน้ำทำให้พลาสติกสะสม . ความเข้มข้นระหว่างการแข่งขันโอเชียนเรซปี 2017-18 อยู่ระหว่าง 50-100 ต่อ ลูกบาศก์เมตร ตัวอย่างที่ถ่ายใกล้กับพื้นที่ห่างไกลที่สุดในโลก Point Nemo ซึ่งอยู่ห่างจากพื้นดิน 2,688 กม. (1,450 ไมล์ทะเล) ในทุกทิศทาง เผยให้เห็นอนุภาคไมโครพลาสติก 320 ชิ้นต่อลูกบาศก์เมตร เทียบกับ 9-41 ในการแข่งขันครั้งล่าสุด

สารเคมีที่มีมากที่สุดในพลาสติกคือโพลีเอทิลีน ซึ่งใช้สำหรับบรรจุภัณฑ์แบบใช้ครั้งเดียว ถุงพลาสติก และภาชนะต่างๆ เช่น ขวด ฟูลเฟอร์แสดงความตกใจเมื่อมีความเข้มข้นสูงใกล้ฝั่งมากขึ้น และเป็นเรื่องที่น่ากังวลมากเพราะพื้นที่ชายฝั่งทะเลมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการทำการประมง


ข้อมูล ? รูปอ้างอิง
-theoceanracescience.com
-www.theguardian.com/environment
-worldexplorer.co.th


__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #2  
เก่า 02-06-2024
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,809
Default

ขอบคุณข่าวจาก กรุงเทพธุรกิจ



เลขา 'ยูเอ็น' เตือน หมดยุค 'โลกร้อน' เข้าสู่ยุค 'ภาวะโลกเดือด'
........... โดย เอื้อพันธุ์ คอลัมน์ จับกระแส

ตอนนี้นักวิทยาศาสตร์ไม่พูดเรื่อง 'โลกร้อน' แล้วเพราะโลกกำลังเดือด เข้าสู่ยุค 'ภาวะโลกเดือด' 'Global Boiling' โดยนายอันโตนิโอ กูเตร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติ กล่าวเตือนไว้เมื่อปลายเดือนกรกฎาคม ปีที่แล้ว



นายอันโตนิโอ กูเตร์เรส เลขาธิการ สหประชาชาติ กล่าวเตือนไว้เมื่อปลายเดือนกรกฎาคม ปีที่แล้วว่า สามสัปดาห์แรกของเดือนกรกฎาคม 2023 ทำสถิติ ร้อนที่สุดเท่าที่เคยวัดกันมา

โลกในเดือนนี้ร้อนขึ้น 1.5 องศา การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศเกิดขึ้นแล้ว เป็นสิ่งที่น่ากลัวมาก และนี่แค่จุดเริ่มต้น เป็นจุดจบของ ภาวะโลกร้อน และเป็น จุดเริ่มต้นของภาวะโลกเดือด (Global Boiling)

The era of global warming has ended and the era of global boiling has arrived.


โลกร้อน ทะเลเดือดทำให้เกิด ปะการังฟอกขาว ปีนี้ถือว่าเป็นหายนะรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์

อุณหภูมิทะลุ 33 องศาเซลเซียส สาเหตุจากก๊าซเรือนกระจกที่มนุษย์ปล่อยกัน

ปะการังจึงต้องอาศัย Shading the reef หรือ Shading coral มนุษย์ที่สร้างภาวะโลกร้อนต้องมา กางร่ม ให้ปะการังเพื่อบังแดด

ตามปกติ ปะการังต้องการแสงแดดเพื่อการเติบโต แต่แดดแรงเกินและน้ำทะเลก็เดือด ปะการังทนไม่ไหว ต้องสร้างที่บังแดดช่วยลดแสงให้ปะการัง แต่ก็ทำได้ในพื้นที่ขนาดไม่ใหญ่นัก เมื่อบังแดดแล้วก็ต้องรอให้ฝนตกหรืออุณหภูมิน้ำลดลงถึงเอาออก


โลกร้อน ทะเลเดือด น้ำแข็งขั้วโลกละลาย ตอนนี้ส่งผลกระทบถึงมนุษย์ทุกซีกโลก ไม่เพียง หมีขั้วโลกขาดอาหารเพราะล่าแมวน้ำไม่ได้

หมีขั้วโลก จัดอยู่ในสัตว์ใกล้สูญพันธุ์ของ IUCN (องค์การสหภาพนานาชาติเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ) นักวิทยาศาสตร์คาดการณ์ว่า ประชากรหมีขั้วโลกทั่วโลกมีแนวโน้มที่จะลดลงมากกว่าหนึ่งในสามภายในอีกไม่กี่ทศวรรษข้างหน้า

ปัจจุบัน มีหมีขั้วโลกเหลืออยู่ประมาณ 26,000 ตัว อาศัยอยู่บริเวณ Svalbard, Norway, Hudson Bay และบริเวณ Chucki Sea ระหว่าง Alaska และ Siberia

จากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ทำให้พื้นที่อยู่อาศัยของหมีขั้วโลกที่เป็นน้ำแข็งทะเลบริเวณขั้วโลกเหนือ กำลังละลายอย่างต่อเนื่อง หมีขั้วโลกต้องพึ่งพาแผ่นน้ำแข็งสำหรับการล่าสัตว์ เมื่อไม่มีแผ่นน้ำแข็งให้เกาะ หมีจะล่าอย่างลำบาก

เมื่อหลายส่วนของอาร์กติกในปัจจุบันไม่มีน้ำแข็งเหลืออยู่เลย หมีขั้วโลกจำนวนมากจำเป็นต้องอาศัยบนฝั่งนานขึ้น ต้องหันมากินไข่ของนก ผลเบอร์รี และหญ้าแทนเพื่อประทังชีวิต ด้วยสถานการณ์เช่นนั้นจึงทำให้น้ำหนักตัวของพวกมันลดลงโดยเฉลี่ย 21 กิโลกรัม ภายใน 3 สัปดาห์

นักวิทยาศาสตร์ได้คาดการณ์ว่า ถ้ามนุษย์ยังปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปริมาณมากเทียบเท่าปัจจุบัน สัตว์ที่อาศัยแถบขั้วโลก เช่นหมีขาวขั้วโลกมีโอกาสสูงที่จะสูญพันธุ์เกือบหมดภายในปี 2100


เต่าทะเล 7 สายพันธุ์ บางสายพันธุ์ใกล้สูญพันธุ์ โดยเฉพาะ เต่ามะเฟือง ตัวผู้เกิดใหม่ลดลง 90% ถ้าเป็นเช่นนี้ไม่เกิน 20 ปี เต่ามะเฟืองจะสูญพันธุ์

นักวิทยาศาสตร์ ระบุว่า ผลของทะเลร้อนและอุณหภูมิบนชายหาดที่เต่าตัวเมียไปวางไข่ร้อนขึ้น เมื่อวางไข่แล้วฟัก เต่าเพศเมียจะเกิดมาก

โลกร้อนทำให้ชายหาดอุ่นขึ้น ถ้าอุณหภูมิสูงกว่า 29 องศา เต่าที่ฟักออกมาจะเป็นเพศเมีย สมัยก่อนเพศผู้-เมียคือ 50:50 ตอนนี้ผืนทรายระอุ และไม่มีฝนตกลงมาทำให้ทรายเย็นลง นอกจากลูกเต่าจะเป็นเพศเมียแล้ว ไข่ที่ยังไม่ทันฟักในผืนทรายก็จะสุก ลูกเต่าตายก่อนเกิดเสียอีก


ผลกระทบโลกร้อนทำให้น้ำทะเลเดือด สัตว์น้ำสูญพันธุ์ เกิดภัยธรรมชาติรุนแรงขึ้น อาหารขาดแคลน บ้างบอกว่าส่งผลกระทบต่อสุขภาพ สมองเสื่อม มีลูกยาก ปัญหาสุขภาพจิต อะไร ๆ ล้วนเกิดจาก ?โลกร้อน?

รู้ถึงสาเหตุแต่หลายคนก็ยังนิ่ง ๆ เฉย ๆ ไม่รู้เลยว่า ควรใช้พลาสติกอย่างมีสติ ไม่ใช้ครั้งเดียวทิ้ง รู้จักแยกขยะ ไม่กินทิ้งกินขว้าง ฯลฯ

ผู้ผลิตภาคเกษตรและอุตสาหกรรม ไม่ใส่ใจกับการปรับระบบการผลิตสินค้าและบริการ มีข้อมูลเรื่องโลกร้อนแต่ไม่ลงมือทำอะไร


ตอนนี้นักวิทยาศาสตร์ไม่พูดเรื่อง โลกร้อน แล้ว ล้าสมัยไปแล้ว เพราะโลกกำลังเดือด เข้าสู่ยุค Global Boiling อย่างเต็มตัวตั้งแต่ปีที่แล้ว

เมื่อนายอันโตนิโอ กูเตร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติ บอกว่า ตอนนี้เป็น จุดจบของภาวะโลกร้อน และเป็น จุดเริ่มต้นของภาวะโลกเดือด

The era of global warming has ended and the era of global boiling has arrived.

ชาวโลกจะเผชิญภัยธรรมชาติที่น่ากลัวกว่ายุคโลกร้อน ดังนั้นความจำเป็นในการลดก๊าซเรือนกระจกเป็นเรื่องเร่งด่วนยิ่งกว่าที่เคยเป็นมา การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศไม่ใช่เรื่องฟุ่มเฟือยแต่เป็นสิ่งที่ต้องทำ

เป้าหมายการลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ จะต้องเกิดขึ้นในทุกประเทศ และผลักดันทำให้เป็นจริงภายในกลางศตวรรษนี้

กรีนพีซ แนะว่า ทุกคนต้องช่วยกัน วางเป้าหมายให้โลกลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงครึ่งหนึ่งภายในปี ค.ศ.2030 และลดลงเป็นศูนย์ในปี 2050

ใช้พลังงานสะอาดแทนถ่านหิน เปลี่ยนแปลงระบบอาหาร หันไปส่งเสริมเกษตรกรรมยั่งยืน ปกป้องผืนน้ำ ผืนป่า

แล้วทุกวันนี้เราทำอะไรกันอยู่


https://www.bangkokbiznews.com/lifes...prakai/1129575

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #3  
เก่า 02-06-2024
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,809
Default

ขอบคุณข่าวจาก กรุงเทพธุรกิจ


"ปลิงทะเลขาว" สัตว์น้ำเศรษฐกิจ สร้างรายได้ โปรตีนสูง


KEY POINTS

- ปลิงทะเลขาว จัดเป็นหนึ่งในชนิดของปลิงทะเลที่พบเจอได้บนหน้าดินบริเวณแนวชายฝั่งทะเลเขตร้อนทั่วไปทั้งมหาสมุทรแปซิฟิกและมหาสมุทรอินเดีย

- ในประเทศไทยพบได้มากในแนวหญ้าทะเลชายฝั่งทะเลอันดามัน (พังงา ภูเก็ต กระบี่ ตรัง และสตูล)

- ถือเป็นสัตว์น้ำเศรษฐกิจเนื่องจาก ชาวเอเชียในประเทศ ญี่ปุ่น จีน เกาหลี ไต้หวัน ฮ่องกง ในสมัยอดีตมีความเชื่อกันว่าเมื่อรับประทานปลิงทะเลแล้วจะทำให้ร่างกายแข็งแรง และเป็นยาอายุวัฒนะ




ปลิงทะเล ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในแหล่งน้ำทะเลที่สะอาด ดังนั้น ปลิงทะเลจึงนับได้ไว้เป็นตัวชี้วัดคุณภาพของน้ำ และยังเป็นหนึ่งในสิ่งมีชีวิตที่ช่วยรักษาความสมดุลในท้องทะเล และเป็นเทศบาลในท้องทะเลที่สำคัญในการหมุนเวียนของระบบนิเวศในทะเล

ข้อมูลจาก สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน) ระบุว่า เนื่องจากปลิงทะเลนั้นจะกินซากพืชหรือซากสัตว์ ตะกอนดิน แพลงก์ตอนที่ตายแล้วที่ทับถมกันบนทราย ช่วยย่อยอินทรีย์สารให้มีขนาดเล็กลงและปลดปล่อยสารอาหารที่มีขนาดเล็กให้สัตว์ที่มีขนาดเล็กกว่าและจุลินทรีย์ต่าง ๆ ด้วยสารที่ขับออกมาจากอยู่ในรูปแบบของแอมโมเนีย ซึ่งแพลงก์ตอนนั้นสามารถนำไปใช้ได้

ที่ผ่านมา มีการนำปลิงทะเลขึ้นมาใช้ประโยชน์เพื่อการบริโภค เพราะปลิงทะเลจัดเป็นอาหารที่มีโปรตีนสูง จึงนิยมนำมาใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตยาและอาหารเสริม ซึ่งในประเทศมีการจับปลิงทะเลขึ้นมาใช้ประโยชน์เป็นจำนวนมาก ทั้งเพื่อการบริโภคภายในประเทศและส่งออกต่างประเทศ เป็นที่ต้องการของตลาด เป็นเหตุให้ปลิงทะเลถูกจับขึ้นมาจำนวนมากแทบจะเกิดทดแทนไม่ทัน

ด้วยเหตุนี้ กรมประมง จึงมุ่งที่จะผลักดันให้ปลิงทะเลเป็นสัตว์ เศรษฐกิจตัวใหม่ของประเทศไทย โดย ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่งประจวบคีรีขันธ์ ได้เคยมีการศึกษาการเพาะพันธุ์ปลิงทะเล ชนิด H.scabra จนสำเร็จในปี 2551 และต่อมา มีการศึกษาพัฒนาเทคนิคการอนุบาลลูกปลิงทะเลอย่างต่อเนื่องเพื่อเพิ่มอัตราการรอด และเพิ่มผลผลิตเพื่อนำปล่อยคืนสู่ธรรมชาติและทดลองเลี้ยงในบ่อดินเพื่อเป็นแนวทางในการส่งเสริมให้เป็นสัตว์น้ำเศรษฐกิจชนิดใหม่


ปลิงทะเลขาว ทำไมจึงเป็นสัตว์เศรษฐกิจ

ปลิงทะเลขาว หรือที่บางท้องถิ่นเรียกกันว่า ปลิงทะเลสีเทา หรือปลิงเทา จัดเป็นหนึ่งในชนิดของปลิงทะเลที่พบเจอได้บนหน้าดินบริเวณแนวชายฝั่งทะเลเขตร้อนทั่วไปทั้งมหาสมุทรแปซิฟิกและมหาสมุทรอินเดีย ในประเทศไทยพบได้มากในแนวหญ้าทะเลชายฝั่งทะเลอันดามัน (พังงา ภูเก็ต กระบี่ ตรัง และสตูล)

ชาวเอเชียในประเทศ ญี่ปุ่น จีน เกาหลี ไต้หวัน ฮ่องกง ในสมัยอดีตมีความเชื่อกันว่าเมื่อรับประทานปลิงทะเลแล้วจะทำให้ร่างกายแข็งแรง และเป็นยาอายุวัฒนะ นอกจากนี้ยังนำไปทำเป็นส่วนหนึ่งของรักษาโรค จนในปัจจุบันมีการวิจัยและได้ค้นพบว่า ปลิงทะเลอุดมไปด้วยโปรตีนสูงและมีกรดมิวโคโพลีแซคคาไรด์ (Mucopolysaccharide acid) ไตรเทอพีน ไกลโคลไซด์ (Triterpene glycosides) และโฮโลโทนิน (Holotonin) ที่มีสรรพคุณในการบำรุงร่างกาย และยังมีคุณสมบัติยับยั้งการเกิดเนื้องอก (Anti-tumor)

เป็นสารป้องกันการจับตัวเป็นก้อนของเลือด (Blood coagulation agent) เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ต้านเชื้อราและเนื้องอก จึงมีความต้องการบริโภคในปริมาณที่มาก และเริ่มมีการจับปลิงทะเล เพื่อนำไปบริโภคและจำหน่ายโดยไม่มีการควบคุมปริมาณการจับ ส่งผลให้ปลิงทะเลในธรรมชาติหลายชนิดมีปริมาณที่ลดลงอย่างมากโดยเฉพาะปลิงทะเลขาวที่เริ่มเสี่ยงสูญพันธุ์ จึงจำเป็นต้องมีการควบคุมการประมง พัฒนาการเพาะเลี้ยง และสร้างจิตสำนึกให้ประชาชนเห็นถึงความสำคัญของปลิงทะเลขาวต่อระบบนิเวศและเศรษฐกิจ

ปลิงทะเลขาว กลายเป็นสัตว์น้ำเศรษฐกิจที่มีมูลค่าสูงเนื่องจากการบริโภคภายในประเทศ และส่งออกต่างประเทศ โดยราคาขายปลิงทะเลสดจากชาวประมง ถ้าเป็นแบบสดจะขายอยู่ที่ ราคา 300 ? 500 บาท/กิโลกรัม ส่วนแบบตากแห้ง ราคาจะยิ่งสูงขึ้นไปถึง 3,000 ? 7,000 บาท/กิโลกรัม นิยมนำไปแปรรูปเป็นอาหาร ยา และเครื่องสำอาง เป็นต้น


ประโยชน์ของปลิงทะเลขาว

1. ประโยชน์ทางโภชนาการ

เป็นแหล่งโปรตีนชั้นดี ปลิงขาวมีปริมาณโปรตีนสูง ประมาณ 15-30% ของน้ำหนักแห้ง มีกรดอะมิโนจำเป็นเป็นหลายชนิด เช่น ไกลซีน โปรลีน และอาร์จินีน เป็นต้น เป็นแหล่งแร่ธาตุ เช่น แคลเซียม แมกนีเซียม โพแทสเซียม และฟอสฟอรัส เป็นต้น ทั้งนี้ ยังเป็นแหล่งวิตามินหลายชนิด เช่น วิตามิน A วิตามิน B1 วิตามิน B2 และวิตามิน เป็นต้น อีกด้วย

2. ประโยชน์ทางยา

ช่วยบำรุงผิวพรรณ ปลิงขาวมีคอลลาเจนช่วยบำรุงผิวพรรณ ชะลอวัย และลดริ้วรอยได้ ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันเนื่องจากปลิงขาวมีสารต้านอนุมูลอิสระช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน และยังช่วยในการยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) ที่ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง


การเลี้ยงปลิงทะเลขาว

สถานีวิจัยเพื่อการพัฒนาชายฝั่งอันดามัน จังหวัดระนอง และสถานีวิจัยประมงศรีราชา จังหวัดชลบุรี อธิบายถึง การเลือกสถานที่สำหรับการเลี้ยงปลิงทะเลขาว ว่าเป็นปัจจัยอย่างหนึ่งที่สำคัญ มีข้อควรพิจารณาดังต่อไปนี้

1. เป็นแหล่งที่มีพันธุ์ปลิงทะเลขาวตามธรรมชาติ

2. เป็นแหล่งน้ำเค็มที่สะอาดที่มีการไหลเวียนของแหล่งน้ำ

3. เป็นแหล่งที่มีกระแสน้ำและคลื่นลมไม่แรงมากนัก

4. แหล่งเลี้ยงควรอยู่ชายฝั่ง ระดับความลึกประมาณ 4 เมตร


รู้จัก ปลิงทะเลขาว

1. ปลิงทะเลขาวมีอายุขัยประมาณ 5 - 10 ปี โดยประมาณ

2. สามารถฟื้นฟูอวัยวะบางส่วนของร่างกายที่สูญเสียไปจากกการสำลอก

3. มีระบบภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงสามารถต่อสู้กับเชื้อโรคได้ดี

4. การดูส่วนปาก และส่วนทวารของปลิงทะเลขาว ในระยะแรกที่ยังเป็นตัวไม่เต็มวัยจะดูได้ง่ายกว่า หากเป็นตัวเต็มวัยแล้วจะดูได้ยาก จึงต้องใช้วิธี ดังนี้

- โดยการดูจากการพ่นน้ำ เมื่อนำปลิงขาวขึ้นมาพ้นจากน้ำ ปลิงขาวจะพ้นน้ำออกทางปาก ซึ่งทำให้ทราบได้ว่าส่วนปาก และส่วนทวาร

- โดยการดูจากจานหนวดที่อยู่ล้อมรอบบริเวณปากของปลิงขาว ต้องจับปลิงขาวหงายขึ้นเพื่อดูจานหนวด ซึ่งจะทำให้เราทราบได้ว่าส่วนไหนคือส่วนปาก และส่วนทวาร


https://www.bangkokbiznews.com/environment/1129557

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
ตอบ

คำสั่งเพิ่มเติม
เรียบเรียงคำตอบ

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 20:22


vBulletin รุ่น 3.8.10
สงวนลิขสิทธิ์ ©2000-2025, บริษัท Jelsoft Enterprises จำกัด
Ad Management plugin by RedTyger