![]() |
|
|
|
#1
|
||||
|
||||
|
ขอบคุณข่าวจาก มติชน
สาวโพสต์ถาม น้องฉลามกัดกันเพราะอะไร ชาวเน็ตเฉลย รู้ความจริงแล้วอึ้ง! ![]() เมื่อวันที่ 20สิงหาคม ผู้สื่อข่าวรายรายงานว่า มีผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่ง โพสต์ภาพและข้อความลงในเพจ "นี่ตัวอะไร" ที่มีสมาชิกมากกว่า 1 ล้านคน โดยเธอระบุว่า "น้องสวบ (กัด) กันเพราะหิวหรอคะ เห็นกัดครีบกันอยู่ครึ่งชม.พอปล่อยแล้วก็ไปอยู่ด้วยกัน" หลังจากโพสต์ไปไม่นานมีคนเข้ามาแสดงความคิดเห็นจำนวนมาก พร้อมกับเฉลยสาเหตุว่าทำไมน้องถึงกัดกัน "เป็นพฤติกรรมผสมพันธุ์ของปลาฉลามเสือดาวหรือปลาฉลามม้าลาย (Zebra shark ? Stegostoma tigrinum) ครับผม เจ้าตัวที่งับน่าจะเป็นตัวผู้พยายามเกาะติดตัวเมียครับ ถ้าตัวเมียนิ่งก็จะยอมให้ตัวผู้ผสมพันธุ์ครับ Fun Facts ? ชื่อปลาฉลามม้าลาย ได้มาจากลักษณะวัยอ่อนมีลวดลายขาวดำเหมือนม้าลายนั่นเอง" ผสมพันธุ์กันครับ ปลาฉลามเพศผู้จะงับครีบของปลาฉลามเพศเมียเพื่อยึดเกาะตอนผสมพันธุ์ ปลาฉลามเพศผู้จะสอดอวัยวะเพศที่เรียกว่า คลาสเปอร์ (Clasper) ลักษณะเป็นแท่ง 2 อันที่อยู่ตรงครีบท้องเข้าไปผสมพันธุ์ในตัวปลาฉลามเพศเมีย ในโพสต์คือ ปลาฉลามเสือดาว เป็นปลาฉลามที่ออกลูกเป็นไข่ ลูกปลาวัยเด็กจะมีสีขาวสลับกับลำตัวสีดำคล้ายกับม้าลายอันเป็นที่มาของชื่อสามัญว่า Zebra shark ครับ" "การผสมพันธุ์ครับ ที่เห็นคือตัวผู้จะกัดตัวเมียคล้ายการคลอเคลียเพื่อจีบกันก่อนเริ่มผสมครับ ใช่ที่ ม. บูรพาไหมครับ เพราะจำได้ว่าที่นี่เขาเพาะฉลามพวกนี้เพื่อปล่อยคืนสู่ธรรมชาติด้วย" "ถ้าเราไปกัดแขนผู้ชายแบบนี้ ผู้ชายจะรู้ตัวว่าเราจีบเขาไหม" https://www.matichon.co.th/social/news_4746579
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#2
|
||||
|
||||
|
ขอบคุณข่าวจาก ข่าวสด
เพื่อนตัวเล็ก - สัตวแพทย์-ทีมน้องมาเรียม ร่วมดูแล 'ปอดะ' ลูกพะยูน ![]() หลังพบลูกพะยูนวัย 2-4 เดือน พลัดหลงกับแม่บริเวณเกาะปอดะ จ.กระบี่ เมื่อวันที่ 10 ส.ค.ที่ผ่านมา ก่อนนำตัวส่งโรงพยาบาลสัตว์น้ำภายในมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย วิทยาเขตตรัง ในสภาพอิดโรย ตาจมลึกแสดงถึงภาวะขาดน้ำ แต่ยังยกหัวขึ้นหายใจได้ ร่างกายค่อนข้างผอม บริเวณตาซ้ายค่อนข้างขุ่น เสียงปอดมีความชื้นเล็กน้อย ลำไส้บีบตัวและอยากกินอาหาร ล่าสุด ลูกพะยูนที่เรียกกันเล่นๆ ว่า "น้องปอดะ" เพราะพบเจอบริเวณเกาะปอดะมีอาการดีขึ้น ดำน้ำและทรงตัวได้ดี หายใจ 84 ครั้งต่อนาที ถือว่าปกติ แต่ยังมีอาการหางลอยขึ้นเหนือน้ำอยู่บ้าง เพราะมีแก๊สสะสมอยู่ในส่วนท้ายของกระเพาะอาหารค่อนข้างเยอะ จึงให้กินอาหารประเภทน้ำ น้ำมะพร้าว น้ำมันพืช เพื่อให้ลำไส้บีบรัดตัว เอาของเสียออกมาให้มากขึ้น ลดการให้นมผงชั่วคราวจนกว่าอาการจะดีขึ้น แต่โดยรวมลูกพะยูนตัวนี้ดีขึ้นมาก ทีมสัตวแพทย์ผลัดเปลี่ยนกันดูแลใกล้ชิดตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมดึงอาสาสมัครพิทักษ์พะยูนตำบลเกาะลิบง อ.กันตัง จ.ตรัง ที่เคยช่วยดูแลน้องมาเรียม เมื่อปี 2562 มาดูแลลูกพะยูนตัวนี้ด้วย สัตวแพทย์หญิงปิยรัตน์ คุ้มรักษา กล่าวถึงน้องปอดะว่าลักษณะการทรงตัว ดำน้ำ ว่ายน้ำค่อนข้างดีขึ้น ดำน้ำใต้พื้นบ่อได้ แต่ยังมีอาการลอยผิดปกติช่วงส่วนท้ายของลำตัว หางยังมีลอยสูงกว่าบ้าง เอกซเรย์พบว่ามีแก๊สสะสมอยู่ในทางเดินอาหารส่วนท้ายค่อนข้างเยอะ พยายามให้สารน้ำ ให้ยาระบาย เพื่อระบายแก๊สออกให้มากที่สุด และรอให้น้องฟื้นตัว ถ้าน้องตอบสนองต่อการรักษา มีการระบายแก๊สเพิ่มมากขึ้น อาการก็น่าจะดีขึ้น ส่วนแผนระยะยาวถ้าน้องหายจากอาการขาดน้ำแล้วก็จะให้นมทดแทนเพื่อให้พลังงานกับเขาในแต่ละวัน โดยจัดบุคลากรและอาสาสมัครมาช่วยดูแลอย่างต่อเนื่อง https://www.khaosod.co.th/lifestyle/news_9369064
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#3
|
||||
|
||||
|
ขอบคุณข่าวจาก ประชาชาติธุรกิจ
ประเทศไทย ปล่อยขยะพลาสติกลงทะเล อันดับ 10 ของโลก ![]() ภาพจาก : TEI "TEI เข้าร่วมเวทีนานาชาติ เพื่อร่วมหยุดยั้งปัญหาขยะพลาสติกในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก เผยประเทศไทย ปล่อยขยะพลาสติกลงสู่ทะเล อันดับ 10 ของโลก" สถานการณ์ "ขยะพลาสติก" เป็นปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมที่สำคัญระดับโลก หากยังไม่มีระบบการจัดการขยะที่เพียงพอและไม่มีประสิทธิภาพได้มีการคาดการณ์ว่าภายใน 20 ปีข้างหน้า จะมีขยะหลุดรอดออกสู่สิ่งแวดล้อมทั่วโลก จำนวนมากถึง 700 ล้านตัน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศบนบก และระบบนิเวศทางทะเลและชายฝั่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งห่วงโซ่อาหารของมนุษย์ จากการศึกษางานวิจัยพบว่า มีการปนเปื้อนไมโครพลาสติกในร่างกายมนุษย์จากการบริโภคสัตว์น้ำมาอย่างต่อเนื่องและมีปริมาณเพิ่มมากขึ้นทุกปี ไทยอันดับ 10 ปล่อยขยะลงทะเล สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย (TEI) เผยว่า ในปี พ.ศ. 2566 ที่ผ่านมา พบว่า 5 ประเทศในภูมิภาคอาเซียนมีการปล่อยขยะพลาสติกลงสู่ทะเลเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก สำหรับประเทศไทยถูกจัดอันดับให้อยู่ในอันดับที่ 10 ของโลก พร้อมกับประเทศเวียดนาม อินโดนีเซีย มาเลเซียและฟิลิปปินส์ ดังนั้น การจัดการขยะพลาสติกจึงต้องเป็นวาระสำคัญที่ต้องดำเนินการร่วมกับทุกภาคส่วนในระดับภูมิภาคที่ใช้ทะเลหรือมหาสมุทรร่วมกัน เครือข่ายนวัตกรรมพลาสติกอินโด-แปซิฟิก เมื่อไม่นานมานี้ บนเวทีนานาชาติ สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย (TEI) ได้เข้าไปมีบทบาทสำคัญในการมีส่วนร่วมในการยกระดับการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมอันครอบคลุมทุกมิติทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ทั้งในระดับประเทศและระดับภูมิภาคตามมาตรฐานสากลที่ยึดมั่นในความเป็นกลาง เพื่อร่วมสนับสนุนการพัฒนาอย่างยั่งยืน จากปัญหาขยะพลาสติกในภูมิภาคอาเซียน นำไปสู่ความร่วมมือในการจัดการขยะพลาสติกระดับภูมิภาค เพื่อลดปัญหาขยะพลาสติกและลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยมีการเสริมสร้างความร่วมมือด้านการวิจัยและสร้างเครือข่ายของผู้เชี่ยวชาญจากหลากหลายสาขาที่เกี่ยวข้องในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในนาม "เครือข่ายนวัตกรรมพลาสติกอินโด-แปซิฟิก (The Indo-Pacific Plastics Innovation Network หรือ IPPIN)" ซึ่งเป็นเครือข่ายระดับภูมิภาคที่ทำงานร่วมกันของประเทศต่าง ๆ เพื่อเชื่อมโยงความร่วมมือในการดำเนินการด้านการวิจัย การประกอบการ และการลงทุน รวมทั้งร่วมจัดการกับปัญหาขยะพลาสติกในภูมิภาค โดยได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลออสเตรเลีย และดำเนินการโดยหน่วยงานวิทยาศาสตร์แห่งชาติของออสเตรเลีย (The Commonwealth Scientific and Industrial Research Organization หรือ CSIRO) พร้อมทั้งร่วมมือกับหน่วยงานในประเทศไทย เวียดนาม และอินโดนีเซียและจะขยายผลไปยังประเทศลาวและกัมพูชาต่อไป ผ่านการดำเนินการที่เป็นรูปธรรมทั้งในระดับนโยบายและการปฏิบัติเชิงพื้นที่? "ดร.วิจารย์ สิมาฉายา" ผู้อำนวยการสถาบันสิ่งแวดล้อมไทย ร่วมงานในบทบาทของ Advisory Group Member, Thailand Chapter, Indo-Pacific Plastics Innovation Network (IPPIN) พร้อมทั้งได้ร่วมนำเสนอข้อมูลภายใต้ธีม Envisioning 2030 : the pivotal role of Southeast Asian countries in ending plastic waste เกี่ยวกับการดำเนินงานของ TEI ในการขับเคลื่อนเพื่อร่วมแก้ไขปัญหาขยะพลาสติกทั้งในเชิงระดับนโยบายและการปฏิบัติในพื้นที่ ได้แก่ โครงการความร่วมมือภาครัฐ ภาคธุรกิจ ภาคประชาสังคม เพื่อจัดการพลาสติก และขยะอย่างยั่งยืน หรือ PPP Plastics เป็นการผนึกกำลังความร่วมมือกับภาครัฐ ภาคธุรกิจ และภาคประชาสังคม ในการเดินหน้าแก้ไขปัญหาขยะพลาสติกของประเทศไทย บนพื้นฐานของการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างสมดุลตามหลักการเศรษฐกิจหมุนเวียน และการสร้างโมเดลการจัดการขยะและขยะทะเลในพื้นที่เกาะ ฟอรั่มหารือที่นครเมลเบิร์น ในปีนี้ CSIRO ได้มีความมุ่งมั่นในการขับเคลื่อนเพื่อร่วมหยุดยั้งปัญหาขยะพลาสติกในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก โดยได้จัด ?การประชุม CSIRO Ending Plastic Waste Symposium 2024? ขึ้นในวันที่ 6-8 สิงหาคม 2567 ณ นครเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือของเครือข่ายนักวิจัยและผู้เชี่ยวชาญจากนานาประเทศ พร้อมทั้ง มีการนำเสนอข้อมูลผลการดำเนินงานของ IPPIN และทิศทางการดำเนินงานในอนาคต ในการแก้ไขปัญหาขยะพลาสติกอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน พร้อมทั้ง ร่วมรับฟังสัมมนาในหัวข้อที่เป็นประโยชน์และน่าสนใจ อาทิ ผลกระทบต่อสุขภาพจากไมโครพลาสติกในระบบนิเวศ พลาสติกทางการแพทย์ การเกษตร การก่อสร้าง บรรจุภัณฑ์อาหาร และการจัดการขยะพลาสติก ตลอดจนการเยี่ยมชมนิทรรศการงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการร่วมแก้ไขปัญหาขยะพลาสติกจากหน่วยงานต่าง ๆ หลากหลายประเทศทั่วโลก โดยงานวิจัยภายในงานทั้งหมดเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญของภารกิจยุติขยะพลาสติกของ CSIRO ทั้งนี้?ที่ประเทศออสเตรเลียมีเป้าหมายในการลดขยะพลาสติกออกสู่สิ่งแวดล้อมให้ได้ร้อยละ 80 ภายในปี 2030 ต้นแบบการจัดการขยะเกาะลันเตา การพัฒนาต้นแบบการจัดการขยะเกาะลันตา เป็นแนวปฏิบัติที่ดีในการจัดการขยะเกาะ และแนวทางการจัดการขยะพลาสติกทะเล รวมถึง การพัฒนาโมเดลการจัดการขยะพลาสติกในชุมชนเมืองแบบครบวงจร และการสร้างต้นแบบการจัดการขยะพลาสติกอย่างยั่งยืน ตามแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน อันจะนำไปสู่การพัฒนาแบบแผนธุรกิจ (Business Model) ตลอดห่วงโซ่ธุรกิจ เพื่อบรรลุเป้าหมายตาม Roadmap และแผนปฏิบัติการการจัดการขยะพลาสติกของประเทศไทย ที่จะลดปริมาณขยะพลาสติกของประเทศบนพื้นฐานของการจัดการขยะอย่างมีส่วนร่วมและยั่งยืน ตามหลักการเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) และได้แลกเปลี่ยนความรู้ประสบการณ์การจัดการขยะพลาสติกของประเทศไทยร่วมกับนักวิจัยและผู้เชี่ยวชาญจากนานาประเทศ เรามาหยุดยั้งปัญหาขยะพลาสติกในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิกร่วมกัน To Protect Tomorrow Together https://www.prachachat.net/sd-plus/s...y/news-1634132
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#4
|
||||
|
||||
|
ขอบคุณข่าวจาก SpringNews
น้ำทะเลขึ้นสูงทำกรุงเทพฯ ไม่รอดน้ำท่วมในอีก 26 ปีข้างหน้า SHORT CUT - กรุงเทพฯ เสี่ยงจมน้ำในอีก 26 ปี เนื่องจากระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นจากภาวะโลกร้อน โดยคาดว่าปี 2050 น้ำทะเลจะสูงขึ้น 60-75 ซม. ท่วมคันกั้นน้ำปัจจุบัน - แนวทางแก้ปัญหารวมถึงการสร้างคันกั้นน้ำใหม่ที่สูงขึ้น ใช้เทคโนโลยีจัดการน้ำ และอาจใช้โมเดลเนเธอร์แลนด์สร้างกระเปาะที่ปากแม่น้ำเพื่อป้องกันน้ำทะเล - มีข้อเสนอให้สร้าง "เมืองคู่แฝด" ที่จังหวัดฉะเชิงเทรา เพื่อกระจายความเจริญ และลดความแออัดในกรุงเทพฯ แทนการย้ายเมืองหลวงซึ่งทำได้ยาก ![]() ปี ค.ศ.2050 เป็นปีที่ผู้เชี่ยวชาญ และ หลายองค์กรฟันธงว่า ถึงคราวที่กรุงเทพมหานครและหลายๆ เมืองจะจมอยู่ใต้บาดาลจากระดับน้ำทะเลที่เพิ่มสูงขึ้น จากวิกฤตสภาพภูมิอากาศ ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นทุกปี จากภาวะโลกร้อนทำให้กรุงเทพเสี่ยง "จมน้ำ" เป็นข้อมูลที่ผู้เชี่ยวชาญยืนยันตรงกัน ทั้งรศ.ดร.เสรี ศุภราทิตย์ ผู้เชี่ยวชาญ IPCC (คณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ) ประธานกรรมการบริหาร Futuretales LAB,MQDC และ คุณชวลิต จันทรัตน์ กรรมการบริษัททีมกรุ๊ป นายกสมาคมวิศวกรที่ปรึกษาแห่งประเทศไทย รศ.ดร.เสรี อธิบายว่า IPCC คาดการณ์ระดับโลกและระดับภูมิภาคว่า ระดับน้ำทะเลสูงขึ้นเฉลี่ย 3-4 มิลลิเมตรต่อปี และมีปัจจัยเร่งที่ทำให้กรุงเทพจมน้ำเร็วขึ้น อีกประมาณ 6 ปี ข้างหน้า น้ำทะเลจะขึ้นอีก 10 เซนติเมตร 30 ปีขึ้นอีก 40-50 เซนติเมตรและ 80 ปีข้างหน้า น้ำทะเลอาจจะสูงขึ้นถึง 1.50 เมตร "การสูงขึ้นของน้ำทะเลจะสูงขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเวลาผ่านไป แสดงให้เห็นว่า กรุงเทพมีความเปราะบางสูงมาก งานวิจัยทั่วโลกบ่งชี้ว่า กรุงเทพฯ เป็นเมืองหลวงที่เปราะบางสูงมากจากการจมน้ำทะเล" IPCC มีการจำลองเหตุการณ์ว่า อนาคตข้างหน้าถ้ากรุงเทพจะจมน้ำทั้งหมดใช้เวลา 100 ปี จุดที่จะจมบางส่วนก่อน คือ แถวๆ บางขุนเทียน สมุทรปราการ สมุทรสาคร และ สมุทรสงคราม เพราะน้ำทะเลหนุนสูงเป็นการสูงอย่างถาวรไม่มีการลด เมื่อเจอกับฝนตกหนักน้ำเหนือหลาก เหตุการณ์เมื่อปี 2554 จะกลับมาแต่หนักและรุนแรงมากขึ้น ปี 2030 จะเห็นน้ำทะเลสูง น้ำเหนือหลาก ปี 2100 กรุงเทพ จมน้ำทั้งหมด จากการที่น้ำเหนือและน้ำหนุนมาประสานกัน กรุงเทพต้องเตรียมรับกับสถานการณ์ ในอนาคตข้างหน้า ถ้ารัฐบาลไม่ได้ทำอะไร ไม่ได้ป้องกันชายฝั่ง "จมแน่นอน" อาจารย์เสรีกล่าว ฝนตกหนักขึ้น น้ำทะเลสูงขึ้น น้ำเค็มรุกพื้นที่ชั้นใน คุณชวลิต จันทรัตน์ กรรมการบริษัททีมกรุ๊ป นายกสมาคมวิศวกรที่ปรึกษาแห่งประเทศไทย ให้ข้อมูลว่า ระดับน้ำทะเล กำลังเพิ่มสูงขึ้น จากโลกร้อนที่ทำให้ธารน้ำแข็ง และ หิมะละลายจนไปเพิ่มปริมาณน้ำในทะเล "ฝนจะตกบ่อยขึ้น 1.5 เท่า ปริมาณน้ำฝนจะมากขึ้นถึง 10% นี่เป็นสัญญาณว่า ระดับน้ำทะเลจะเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน" คุณชวลิต บอกว่า จนถึงปี 2050 หรือ ปีพ.ศ.2593 ระดับน้ำทะเลของโลกจะสูงขึ้น เฉพาะที่ไทยระดับน้ำทะเลจะสูงขึ้นประมาณ 60-75 เซนติเมตร น้ำจะสูงจนสามารถท่วมคันกั้นน้ำที่มีอยู่ในปัจจุบัน ผลพวงของน้ำทะเลที่สูงขึ้น ยังหมายความว่า น้ำเค็มจะรุกล้ำพื้นที่ชั้นในมากขึ้น ผลการศึกษาของทีมกรุ๊ปเกี่ยวกับผลกระทบของภูมิอากาศ ต่อพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา พบว่า เมื่อระดับน้ำทะเลสูงขึ้น น้ำเค็มจะรุกคืบจากปากอ่าวผ่านกรุงเทพมหานครไปยังจังหวัดต่างๆ พระนครศรีอยุธยา ราชบุรี จนถึงสุพรรณบุรี ฝั่งตะวันออกฉะเชิงเทราก็จะถูกน้ำทะเลบุกรุกเช่นกัน นั่นหมายความว่า พื้นที่เหล่านี้จะกลายเป็นดินเค็ม และ น้ำจืดจะถูกแทนที่ด้วยน้ำเค็มเช่นกัน เมื่อเมืองเสี่ยงจมน้ำ ควรแก้ยังไง? เมื่อเราทราบดีว่า กรุงเทพฯ เสี่ยงที่จะจมอยู่ใต้น้ำ เวลาที่เหลืออีก 26 ปีข้างหน้า เราควรจะตั้งรับอย่างไร แนวคันกั้นน้ำที่มีอยู่เพียงพอหรือไม่ ? "คำตอบจากคุณเชาวลิต คือ ต้องเริ่มทำแนวคันกั้นน้ำใหม่ ให้มีความสูงเพียงพอ และ ต้องบริหารจัดการแบบกึ่งอัตโนมัติ นำเทคโนโลยีมาใช้ในการบริหารจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ" เหนือสิ่งอื่นใด คือ ความร่วมมือระหว่างหน่วยงานรัฐในการทำงานแบบบูรณาการ สอดประสานกันเพื่อให้เกิดการบริหารจัดการน้ำอย่างไร้รอยต่อ ในภาวะที่ต้องสู้กับวิกฤตสภาพภูมิอากาศ อากาศแปรปรวน ในภาวะที่ไทยกำลังเข้าสู่ ลานีญา อย่าลืมว่าฝนจะหนาแน่นขึ้น โมเดล เนเธอร์แลนด์แก้ปัญหาน้ำอย่างยั่งยืน สำหรับการแก้ปัญหาน้ำท่วมกรุงเทพ ทีมกรุ๊ปเสนอ ให้ใช้โมเดลการต่อสู้กับน้ำท่วมสำเร็จของเนเธอร์แลนด์ แม้ว่า จะใช้เวลาถึง 20 ปีเต็ม โดยใช้วิธีการสร้างกระเปาะที่สามเหลี่ยมปากแม่น้ำ กั้นไม่ให้น้ำทะเลเข้า และ มีประตูระบายน้ำที่สามารถระบายน้ำออกสู่ทะเล เมื่อระดับน้ำในเมืองสูงขึ้น ขณะเดียวกันแนะนำให้สร้างคันกั้นน้ำ ป้องกันการกัดเซาะชายฝั่งด้วย นอกจากเนเธอร์แลนด์แล้ว อินเดีย และ รัสเซีย เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของการสร้างปราการป้องกันน้ำทะเลบุก และ รักษาชายฝั่งแม่น้ำไม่ให้ถูกกัดเซาะ จนชายฝั่งหายไป และ แผ่นดินต้องร่นไปเรื่อยๆ ย้ายเมืองหลวง คือ ทางออก? สำหรับการย้ายเมืองหลวง ในมุมมองของอาจารย์เสรี มองว่า จาการ์ตา เมืองหลวงอินโดนีเซีย มีลักษณะคล้ายกับไทย คือ น้ำทะเลหนุนสูง จึงตัดสินใจย้ายเมืองหลวงไปอยู่เมืองนูซันตารา แต่แผ่นดินอินโดนีเซียทรุดตัวมากกว่าไทยถึง 10 เท่าจึงเป็นปัจจัยเร่งที่ทำให้เขาพิจารณาย้ายเมืองหลวง มองย้อนกลับมาที่ไทย การย้ายเมืองหลวงของเราเป็นไปได้ยาก เพราะเราลงทุนสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานค่อนข้างมากแล้ว "ไม่เห็นด้วยกับการย้ายเมืองหลวงของประเทศ แต่อยากสื่อสารไปยังรัฐบาลให้เริ่มคิดได้แล้วเพราะ 6 ปี น้ำเริ่มสูง 30 ปี บางขุนเทียนจะหายไปแล้ว สิ่งที่รัฐบาลต้องตัดสินใจ คือ การรับมือน้ำท่วมเมืองหลวง เพราะตัดสินใจ ณ เวลานี้ไม่ได้หมายความว่าทำได้เลยถ้าตัดสินใจช้าอีก 30 ปีก็จะสายไปเสียแล้ว" มาตรการที่เสนอไปมี 4 มาตรการ 1. ไม่ทำอะไร น้ำท่วมก็ปล่อยให้ท่วมไป 2. ยกคันดิน หรือ ยกถนนริมทะเลทั้งหมดสูงขึ้นไป 1 เมตรเพื่อป้องกันน้ำทะเล สร้างคันดินกันชนสีเขียว คือ ปลูกป่าชายเลนขนาดใหญ่ริมทะเล โดยการเวนคืนที่ดิน 3. สร้างคันป้องกันปากอ่าวจากพัทยาไปสู่ชะอำ ริมทะเล 4. น้ำทะเลขึ้นสูงทำกรุงเทพฯ ไม่รอดน้ำท่วมในอีก 26 ปีข้างหน้า เสนอสร้างเมืองคู่แฝด กระจายความแออัด ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญ อีกหนึ่งท่าน คือ คุณชวลิต จากทีมกรุ๊ป เสนอให้สร้าง ?เมืองคู่แฝด? รองรับความเจริญ จากก่อนหน้านี้เคยมีการพูดถึง จ.นครนายก ว่าเหมาะจะเป็นเมืองหลวงแห่งใหม่ แต่คุณชวลิต มองไปที่เมืองแปดริ้ว จ.ฉะเชิงเทรา ด้วยความที่มีรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบินตัดผ่าน อยู่ใกล้สนามบินอู่ตะเภา อยู่ใกล้แหล่งท่องเที่ยวอย่างพัทยา และอยู่ในเขตพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) จึงเหมาะที่จะกระจายความเจริญเพื่อแก้ปัญหาเมือง เมืองคู่แฝดในที่นี้ จะทำหน้าที่กระจายผู้คน กระจายความเจริญออกสู่เมืองคู่ขนาน เพื่อแก้ปัญหาความแออัด ลดปัญหาจราจร และ ลดมลพิษ ในอนาคต https://www.springnews.co.th/keep-th...-change/852210
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
![]() |
| คำสั่งเพิ่มเติม | |
| เรียบเรียงคำตอบ | |
|
|