![]() |
|
|
|
#1
|
||||
|
||||
|
ขอบคุณข่าวจาก มติชน
กรมทะเล เผยสถานการณ์ 'ปะการังฟอกขาว' เตรียมฟื้นฟูตามความเหมาะสมของพื้นที่ 'กรมทะเล' เผยสถานการณ์ปะการังฟอกขาว เตรียมฟื้นฟูตามความเหมาะสมของพื้นที่ เพื่อให้กลับมาสมบูรณ์อีกครั้ง ![]() เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม นายปิ่นสักก์ สุรัสวดี อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง เปิดเผยถึงปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาวในปี พ.ศ. 2567 ว่า ปะการังฟอกขาว เป็นสภาวะที่ปะการังสูญเสียสาหร่ายเซลล์เดียว (Zooxanthellae) ที่อาศัยอยู่ในเนื้อเยื่อของปะการังแบบพึ่งพากัน (Symbiosis) และเป็นแหล่งพลังงานหลักของปะการัง ทำให้ปะการังอ่อนแอเพราะไม่ได้รับสารอาหารที่เพียงพอ และอาจตายได้ในที่สุดหากอยู่ในสภาวะเครียดเป็นเวลานาน สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดการฟอกขาวเป็นวงกว้างคือ ภาวะโลกร้อน และสภาพอากาศแปรปรวน ส่งผลให้อุณหภูมิของน้ำทะเลสูงขึ้น จนปะการังเครียดและสูญเสียสาหร่ายซูแซนเทลลีในเนื้อเยื่อให้ปะการังจนเห็นโครงสร้างหินปูนสีขาว นอกจากอุณหภูมิน้ำที่ร้อนขึ้นแล้ว น้ำจืด รวมทั้งสารเคมี และมลพิษต่างๆ ที่ไหลลงสู่ทะเล ล้วนส่งผลต่อการดำรงชีวิตและการฟอกขาวของปะการัง นายปิ่นสักก์ กล่าวว่า สำหรับประเทศไทยในปีนี้ สถานการณ์ปะการังฟอกขาวค่อนข้างรุนแรง โดยฝั่งอ่าวไทยเริ่มมีรายงานพบปะการังฟอกขาวในช่วงกลางเดือนเมษายนและสูงสุดในเดือนพฤษภาคม ในขณะที่ฝั่งทะเลอันดามันเริ่มเริ่มมีรายงานพบปะการังฟอกขาวในช่วงกลางเดือนเมษายนและสูงสุดในเดือนพฤษภาคม ในขณะที่ฝั่งทะเลอันดามันเริ่มมีรายงานปะการังฟอกขาวในช่วงต้นเดือนพฤษภาคมและสูงสุดในเดือนมิถุนายน สำหรับสถานการณ์ปะการังฟอกขาวโดยภาพรวมของประเทศไทย มีอัตราการฟอกขาวประมาณ 60-80% หลังจากนั้นปะการังที่ฟอกขาวค่อยๆ ฟื้นตัวขึ้น 60% และมีบางส่วนตายไป 40% จากการสำรวจพบปะการังน้ำตื้นโซนแนวราบ คือ บริเวณโผล่พ้นน้ำหรือปริ่มน้ำ ในช่วงเวลาน้ำลงสุดฟอกขาวเฉลี่ยมากกว่า 80% แบ่งเป็น ฝั่งอ่าวไทยมากกว่ากว่า 90% ฝั่งอันดามันอยู่ระหว่าง 60-70% ปะการังที่ตายจากการฟอกขาวเฉลี่ย 50% แบ่งเป็น ฝั่งอ่าวไทยมากกว่า 90% ฝั่งอันดามันอยู่ระหว่าง 20-30% นายปิ่นสักก์ กล่าวว่า พื้นที่น้ำลึกบริเวณปะการังแนวลาดชันที่มีระดับความลึก มากกว่า 3 เมตร พบการฟอกขาวเฉลี่ย 60% แบ่งเป็น ฝั่งอ่าวไทยอยู่ระหว่าง 80-90% ฝั่งอันดามันอยู่ระหว่าง 40-50% ปะการังที่ตายจากการฟอกขาวเฉลี่ย 30% แบ่งเป็น ฝั่งอ่าวไทยอยู่ระหว่าง 30-40% ฝั่งอันดามันอยู่ระหว่าง 15-25% นายปิ่นสักก์ กล่าวว่า อย่างไรก็ตามพบแนวปะการังในบางพื้นที่ที่ไม่พบปะการังฟอกขาว ประมาณ 10% โดยมีรายละเอียดแตกต่างกันระหว่างพื้นที่ จากการสำรวจเบื้องต้นพบชนิดปะการังที่เสียหายและตายลงเป็นจำนวนมาก ได้แก่ ปะการังเขากวาง (Acropora spp.) ปะการังดอกกะหล่ำ (Pocillopora spp.) และปะการังผิวยู่ยี่ (Porites rus) นายปิ่นสักก์ กล่าวว่า สำหรับสถานภาพปะการังมีแนวโน้มเสื่อมโทรมลง เนื่องจากมีปะการังตายเพิ่มขึ้น การฟื้นฟูแนวปะการังจึงอาจมีความจำเป็นและต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ เพื่อหาวิธีการที่เหมาะสมในแต่ละพื้นที่ ทั้งนี้ กรมฯ ไม่ได้นิ่งนอนใจได้มอบหมายให้ส่วนที่เกี่ยวข้องกำหนดมาตรการป้องกันและคุ้มครองทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งไม่ให้เกิดความเสียหายเพิ่มขึ้น พร้อมกับติดตามและเฝ้าระวังสถานการณ์อย่างใกล้ชิด อย่างไรก็ตาม การฟอกขาวของปะการังที่เกิดขึ้นเป็นวงกว้างย่อมส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ การดำรงชีวิต ความมั่นคงทางอาหาร และอื่นๆ อีกมากมาย "เราทุกคนควรตระหนักและเห็นถึงความสำคัญของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้มากยิ่งขึ้น อีกทั้งมีจิตสำนึกที่ดีต่อระบบนิเวศทางทะเล และร่วมกันอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเล โดยเริ่มต้นที่ตัวเราและส่งต่อถึงคนรอบข้างหรือคนในครอบครัว ไม่ทิ้งขยะ น้ำเสีย หรือสิ่งปฏิกูลลงในทะเล เพื่อลดปัจจัยทำให้เกิดการฟอกขาว และลดมลภาวะทางทะเลได้อีกด้วย" ดร.ปิ่นสักก์ กล่าว https://www.matichon.co.th/local/qua...e/news_4748348
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#2
|
||||
|
||||
|
ขอบคุณข่าวจาก กรุงเทพธุรกิจ
จาก "โลกร้อน" ถึง "โลกเดือด" สำนึกมนุษยชาติกับบทบาทที่รอไม่ได้ ......... โดย รศ.ดร.รุ่งรัตน์ ชัยสำเร็จ สำนักงานราชบัณฑิตยสภา ![]() อาหารเหลือ 1 คำ อาจมิได้ทำให้โลกร้อนขึ้นในทันที ทิ้งขวดน้ำพลาสติค 1 ใบ ฟาสต์แฟชั่น 1 ชิ้น โดยสารเครื่องบิน 1 เที่ยว ก็คงไม่ทำให้ผู้คนสัมผัสได้ในทันใดถึงภัยต่อสภาพภูมิอากาศที่มองไม่เห็น แม้กระนั้นปฏิกิริยาเล็กๆ จากผู้คนทั้งโลกล้วนเกี่ยวพันกันจนก่อตัวขึ้นเป็น ความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศ ภาวะคุกคามในอันดับต้นๆ ที่กำลังกลืนกินทรัพยากรและบั่นทอนความเป็นปกติสุขของมนุษยชาติ ดังปรากฏหลักฐานที่สะสมมานานนับร้อยปี และรุนแรงเป็นทวีคูณในศตวรรษนี้ ประเทศไทยจัดอยู่ในอันดับ 9 ของโลก ซึ่ง Global Climate Risk Index คาดการณ์ว่าจะได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ด้วยความเปราะบางของลักษณะทางภูมิศาสตร์และสภาพเศรษฐกิจสังคม ไทยจะได้รับความเสียหายครอบคลุมในวงกว้างทั้งภาคเศรษฐกิจการเกษตร การท่องเที่ยว และการค้า หลายจังหวัดของไทยเป็นพื้นที่เสี่ยงต่ออุณหภูมิความร้อนที่พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ในขณะที่หลายพื้นที่ก็เสี่ยงต่อภัยจากน้ำท่วมฉับพลันที่สร้างความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินอย่างคาดไม่ถึง "โลกร้อน" (Global Warming) เป็นคำที่ได้ยินกันอย่างหนาหูในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ความเคลื่อนไหวสากลเมื่อ พ.ศ.2558 ที่ประชุมภาคีสมาชิกของกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (United Nations Framework Convention on Climate Change: UNFCCC) ในการประชุม COP 21 ได้เห็นชอบร่วมกัน จนเป็นที่มาของข้อตกลงปารีส (Paris Agreement) มุ่งควบคุมอุณหภูมิโลกให้สูงขึ้นน้อยกว่า 2 องศาเซลเซียสและพยายามจำกัดไม่ให้เพิ่มขึ้นเกิน 1.5 องศาเซลเซียส โดยให้ทุกประเทศมีส่วนร่วมในลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก พร้อมๆ กับที่สมาชิกองค์การสหประชาชาติ 193 ประเทศได้รับรอง 17 เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs) เพื่อบรรลุภายใน พ.ศ. 2573 ในที่สุดก็เข้าสู่ภาวะ "โลกเดือด" (Global Boiling) เมื่อบันทึกข้อมูลอุณหภูมิโลกบ่งชี้ระดับความร้อนที่พุ่งสูงสุดในช่วง 1-23 ก.ค.2566 ถึง 3 สัปดาห์ต่อเนื่องกัน นายอันโตนิอู กุแตเรช (Ant?nio Guterres) เลขาธิการองค์การสหประชาชาติ ปลุกเร้าทุกฝ่ายให้ตื่นขึ้น "ยุคโลกร้อนได้สิ้นสุดลงแล้ว ยุคโลกเดือดได้มาถึงแล้ว" เรียกร้อง 3 ประเด็นสำคัญ คือ การปล่อยก๊าซเรือนกระจกจะต้องถูกควบคุมให้ลดลงทั่วทั้งโลกและด้วยความรวดเร็ว บริษัทเชื้อเพลิงฟอสซิลต้องมุ่งสู่พลังงานสะอาดโดยการเปลี่ยนผ่านตลอดทั้งห่วงโซ่คุณค่า และต้องยุติการฟอกเขียว จะต้องไม่มีการหลอกลวงอีกต่อไป การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ประจักษ์ได้เมื่อระดับอุณหภูมิและรูปแบบของสภาพอากาศเกิดการเปลี่ยนแปลงในระยะยาว ปรากฏการณ์ที่ส่งผลรุนแรงเพิ่มขึ้นตามลำดับคือ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสุดขั้ว 2 ลักษณะ เอลนิญโญ (El nino) และลานิญญา (La nina) ดังที่คนไทยรู้สึกได้ถึงความผิดปกติของอุณหภูมิในช่วงฤดูร้อนที่สูงกว่า 42-44.6 ?c ในหลายพื้นที่ สลับกับความถี่ของพายุ ระเบิดฝนและน้ำท่วมฉบับพลัน ตัวเลขที่เพิ่มขึ้นในแต่ละปีทั้งอัตราการเสียชีวิตจากภาวะโลกร้อนและผลพวงสืบเนื่อง ดังเช่นการละลายของน้ำแข็งขั้วโลกกับระดับน้ำทะเลที่เพิ่มสูงขึ้นและอุ่นขึ้น การสูญพันธุ์ของพืชและสัตว์หลายชนิดทั้งบนบกและในทะเล การขาดความมั่นคงทางอาหาร น้ำ และพลังงาน คุณภาพชีวิตและความปลอดภัย รวมถึงโรคอุบัติใหม่และการระบาดทั่ว เป้าหมายของประเทศไทย มุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี พ.ศ. 2593 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emission) ภายในปี พ.ศ. 2608 ดังที่รัฐบาลได้ประกาศเจตนารมณ์ในการประชุม COP 26 เมื่อ พ.ศ. 2564 ณ เมืองกลาสโกว์ สกอตแลนด์ การรับมือกับโลกเดือดเพื่อมุ่งสู่เป้าหมาย จำต้องพึ่งพา 2 มาตรการหลักควบคู่กัน เพื่อให้สามารถปรับตัวรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เกิด Climate Resilience ที่ดีพอ นั่นคือ มาตรการบรรเทา (Mitigation) มุ่งลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทุกชนิดจากทุกแหล่ง ดังที่ประเทศไทยกำลังพยายามขับเคลื่อน โดยมียุทธศาสตร์เศรษฐกิจ BCG (Bio-Circular-Green Economy) ซึ่งใช้เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) เป็นระบบและเครื่องมือสำคัญที่ช่วยฟื้นฟูเพื่อคืนชีวิตใหม่ให้แก่ทรัพยากรธรรมชาติ วัตถุดิบในการผลิต ควบคู่กับการลดปริมาณการปล่อยของเสีย ขยะ ให้ก๊าซเรือนกระจกลดน้อยลงมากที่สุดจนถึงเป็นศูนย์ โดยอาศัยกลไกการออกแบบกิจกรรมตามหลัก Rs รวมถึงมาตรการภาษีคาร์บอนเพื่อกดดันการเปลี่ยนแปลง ที่จำเป็นอย่างยิ่งอีกส่วนหนึ่งคือ มาตรการปรับตัว (Adaptation) อาศัยหลักการออกแบบใหม่ (Re-design) ทั้งกระบวนการและวิธีปฏิบัติ ตั้งแต่การเลือกถิ่นฐาน อาคารบ้านเรือน เครื่องแต่งกาย พฤติกรรมการเดินทาง การบริโภค และวิถีการดำรงชีวิตอื่น ๆ เพื่อเอื้อให้มนุษย์สามารถดำรงชีวิตและพัฒนาต่อเนื่องได้ภายใต้สภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็วมากขึ้น เช่น เกษตรในทะเลทราย โปรตีนจากพืช น้ำทะเลดื่มได้ อาหารเหลือ 1 คำ ขวดพลาสติค 1 ใบ และอื่น ๆ อีกมากมาย จากประชากรโลกกว่า 8 พันล้านคนจึงมิอาจรอคอยเพียงบทบาทการขับเคลื่อนผ่านข้อตกลงจากเวทีโลก คลื่นยักษ์ที่ถาโถมสู่โลกใบนี้ต้องการ "มือแห่งการเปลี่ยนแปลง" โดยเร่งด่วน วันนี้ และเดี๋ยวนี้ "ราชบัณฑิตยสภา" ในฐานะแหล่งสรรพปัญญา จะร่วมประสานพลัง สู่เป้าหมายอุณหภูมิโลกที่จะคงเกื้อกูลดุลยภาพของระบบนิเวศ ปักธงการขับเคลื่อนผ่านบทบาทการสร้างความตระหนักรู้และการร่วมมือกันจากทุกองค์กร ทุกชุมชน และทุก ๆ คน เพื่อให้ประเทศไทยสามารถปรับตัวพร้อมรับมือกับโลกเดือด เอกสารประกอบการประชุมวิชาการเนื่องในการเฉลิมฉลองครบรอบ 100 ปีราชบัณฑิตยสภา เรื่อง "ราชบัณฑิต มองไกล นำวิจัย ปรับตัวรับมือโลกร้อน" โดย รศ.ดร.รุ่งรัตน์ ชัยสำเร็จ กรรมการฝ่ายวิชาการ สำนักธรรมศาสตร์และการเมือง สำนักงานราชบัณฑิตยสภา, ผู้อำนวยการ สถาบันวิทยาการเศรษฐกิจหมุนเวียนเพื่อผู้ประกอบการและผู้บริโภค มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย วันที่ 6-7 ก.ย.นี้ ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ https://www.bangkokbiznews.com/environment/1141240
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#3
|
||||
|
||||
|
ขอบคุณข่าวจาก อสมท.
มดแดงที่ไม่ใช่มดแต่เป็น "กุ้งมดแดง" นักจัดการทำความสะอาดแก่เหล่าสัตว์ใต้ท้องทะเล หมู่เกาะลันตา เผยภาพสุดน่ารักของ "กุ้งมดแดง" นักจัดการทำความสะอาดแก่เหล่าสัตว์ใต้ท้องทะเล ![]() กุ้งมดแดง (มีชื่อภาษาอังกฤษ : Dancing shrimp, Hinge-beak shrimp, Camel shrimp ; ชื่อวิทยาศาสตร์ :Rhynchocinetes durbanensis) เป็นกุ้งขนาดเล็กชนิดหนึ่ง ที่มาของชื่อ "กุ้งมดแดง" อาจมาจากสีแดงสวยสดและพฤติกรรมที่ชอบอยู่รวมกันเป็นฝูงทำให้นึกถึงฝูงมดแดง บรรดาน้องกุ้งมดแดง ยังเป็นนักทำความสะอาดตัวยง แห่งท้องทะเล โดยเหล่าน้องกุ้งฯ ยังมีพฤติกรรมสร้างความสัมพันธ์แบบการอยู่ร่วมกันในระบบนิเวศกับปลาและสัตว์ทะเลชนิดอื่น ๆ เพราะกุ้งมดแดงจะช่วยกำจัดปรสิตหรือผิวหนังที่ตายแล้วของสัตว์ทะเล ความน่ารัก มหัศจรรย์ และเป็นที่รู้กันของบรรดาปลาและสัตว์ทะเล คือ กุ้งมดแดงจะชูก้ามขึ้นมาเหมือนโบกเสาอากาศ ประกาศให้รู้ว่า "จะมาช่วยทำความสะอาดแล้วนะ" ปลาและสัตว์ทะเลที่ว่ายผ่านไปมา ก็จะอ้าเหงือกและปากให้กุ้งมดแดงมาทำความสะอาด นอกจากนี้การพบเห็นกุ้งมดแดง ยังเป็นดัชนีชี้วัดคุณภาพของน้ำทะเล เนื่องจากเป็นสัตว์ที่มีความไวต่อการเปลี่ยนแปลงของคุณภาพน้ำเป็นอย่างมาก หากน้ำทะเลเสื่อมโทรมลงกุ้งมดแดงจะตายได้ง่ายมาก ขอบคุณภาพประกอบเหล่ากุ้งมดแดง ซึ่งพบที่ "เกาะตุกนลิมา"(ตุ-กน-ลิ-มา) ที่แปลว่า "กองหินห้าลูก" ในภาษามาลายู เกาะที่มีความสวยงามเปรียบเหมือนอัญมณีแห่งอันดามัน ตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะลันตา อ.ลันตา จ.กระบี่ และเป็นจุดดำน้ำดูปะการังทั้งน้ำตื้นและน้ำลึก ที่ขอชวนให้ทุกท่านได้มาเยือน อาจจะพบกับเหล่าน้องกุ้งมดแดง แสนน่ารักเหล่านี้ ที่มา : ส่วนอุทยานแห่งชาติ สํานักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 5 นครศรีธรรมราช อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะลันตา - Mu Ko Lanta National Park https://www.mcot.net/view/Lt9jx4I9
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สายน้ำ : 22-08-2024 เมื่อ 03:31 |
|
#4
|
||||
|
||||
|
ขอบคุณข่าวจาก Greennews
"อัตราฟอกขาวเฉลี่ย 60-80% ตาย 40%" สถานการณ์ปะการังฟอกขาว 67 "อัตราฟอกขาวเฉลี่ย 60-80% ? ฟื้นตัว 60% ตาย 40%" สถานการณ์ปะการังฟอกขาวไทย 2567 กรมทะเลสรุปวิกฤต "ค่อนข้างรุนแรง ? ทะเล อ่าวไทยหนักกว่าอันดามัน ? 4 ชนิดเสียหายมากที่สุด" ![]() "ปีนี้สถานการณ์ปะการังฟอกขาวค่อนข้างรุนแรงโดยฝั่งอ่าวไทยเริ่มมีรายงานพบปะการังฟอกขาวในช่วงกลางเดือนเมษายนและสูงสุดในเดือนพฤษภาคมในขณะที่ฝั่งทะเลอ่าวไทยเริ่มเริ่มมีรายงานพบปะการังฟอกขาวในช่วงกลางเดือนเมษายนและสูงสุดในเดือนพฤษภาคมในขณะที่ฝั่งทะเลอันดามันเริ่มมีรายงานปะการังฟอกขาวในช่วงต้นเดือนพฤษภาคมและสูงสุดในเดือนมิถุนายน สำหรับสถานการณ์ปะการังฟอกขาวโดยภาพรวมของประเทศไทย มีอัตราการฟอกขาวประมาณ 60-80% หลังจากนั้นปะการังที่ฟอกขาวค่อยๆ ฟื้นตัวขึ้น 60% และมีบางส่วนตายไป 40% จากการสำรวจพบปะการังน้ำตื้นโซนแนวราบคือบริเวณโผล่พ้นน้ำหรือปริ่มน้ำในช่วงเวลาน้ำลงสุดฟอกขาวเฉลี่ยมากกว่า 80% แบ่งเป็นฝั่งอ่าวไทยมากกว่ากว่า 90% ฝั่งอันดามันอยู่ระหว่าง 60-70% ปะการังที่ตายจากการฟอกขาวเฉลี่ย 50% แบ่งเป็นฝั่งอ่าวไทยมากกว่า 90% ฝั่งอันดามันอยู่ระหว่าง 20-30% ในพื้นที่น้ำลึกบริเวณปะการังแนวลาดชันที่มีระดับความลึกมากกว่า 3 เมตร พบการฟอกขาวเฉลี่ย 60% แบ่งเป็นฝั่งอ่าวไทยอยู่ระหว่าง 80-90% ฝั่งอันดามันอยู่ระหว่าง 40-50% ปะการังที่ตายจากการฟอกขาวเฉลี่ย 30% แบ่งเป็นฝั่งอ่าวไทยอยู่ระหว่าง 30-40% ฝั่งอันดามันอยู่ระหว่าง 15-25% อย่างไรก็ตาม พบแนวปะการังในบางพื้นที่ที่ไม่พบปะการังฟอกขาวประมาณ 10% โดยมีรายละเอียดแตกต่างกันระหว่างพื้นที่ จากการสำรวจเบื้องต้นพบชนิดปะการังที่เสียหายและตายลงเป็นจำนวนมาก ได้แก่ ปะการังเขากวาง (Acropora spp.) ปะการังดอกกะหล่ำ (Pocillopora spp.) และปะการังผิวยู่ยี่ (Porites rus)" ปิ่นสักก์ สุรัสวดี อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง เปิดเผยถึงปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาวในปี พ.ศ. 2567 วันนี้ (21 ส.ค. 2567) "สำหรับสถานภาพปะการังมีแนวโน้มเสื่อมโทรมลงเนื่องจากมีปะการังตายเพิ่มขึ้นการฟื้นฟูแนวปะการังจึงอาจมีความจำเป็นและต้องพิจารณาอย่างรอบคอบเพื่อหาวิธีการที่เหมาะสมในแต่ละพื้นที่ กรมฯได้มอบหมายให้ส่วนที่เกี่ยวข้องกำหนดมาตรการป้องกันและคุ้มครองทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งไม่ให้เกิดความเสียหายเพิ่มขึ้นพร้อมกับติดตามและเฝ้าระวังสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ปะการังฟอกขาว เป็นสภาวะที่ปะการังสูญเสียสาหร่ายเซลล์เดียว (Zooxanthellae) ที่อาศัยอยู่ในเนื้อเยื่อของปะการังแบบพึ่งพากัน (Symbiosis) และเป็นแหล่งพลังงานหลักของปะการังทำให้ปะการังอ่อนแอเพราะไม่ได้รับสารอาหารที่เพียงพอและอาจตายได้ในที่สุดหากอยู่ในสภาวะเครียดเป็นเวลานาน สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดการฟอกขาวเป็นวงกว้างคือ #ภาวะโลกร้อน และสภาพอากาศแปรปรวน ส่งผลให้ #อุณหภูมิของน้ำทะเลสูงขึ้นจนปะการังเครียดและสูญเสียสาหร่ายซูแซนเทลลีในเนื้อเยื่อให้ปะการังจนเห็นโครงสร้างหินปูนสีขาวนอกจากอุณหภูมิน้ำที่ร้อนขึ้นแล้วน้ำจืดรวมทั้งสารเคมีและมลพิษต่างๆที่ไหลลงสู่ทะเลล้วนส่งผลต่อการดำรงชีวิตและการฟอกขาวของปะการัง การฟอกขาวของปะการังที่เกิดขึ้นเป็นวงกว้างย่อมส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ การดำรงชีวิต ความมั่นคงทางอาหาร และอื่นๆ อีกมากมาย ดังนั้น เราทุกคนควรตระหนักและเห็นถึงความสำคัญของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้มากยิ่งขึ้น อีกทั้งมีจิตสำนึกที่ดีต่อระบบนิเวศทางทะเล และร่วมกันอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเล โดยเริ่มต้นที่ตัวเราและส่งต่อถึงคนรอบข้างหรือคนในครอบครัว ไม่ทิ้งขยะ น้ำเสีย หรือสิ่งปฏิกูลลงในทะเล เพื่อลดปัจจัยทำให้เกิดการฟอกขาว และลดมลภาวะทางทะเลได้อีกด้วย " ดร.ปิ่นสักก์ กล่าว https://greennews.agency/?p=38709
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#5
|
||||
|
||||
|
ขอบคุณข่าวจาก SpringNews
ดร.เอ้ ยืนยัน "กรุงเทพจมทะเล ไม่ใช่เรื่องเกินจริง" ขอผู้นำเร่งป้องกัน ![]() ดร.สุชัชวีร์ โพสต์เฟสบุ๊กยืนยัน กรุงเทพกำลังจะจมทะเลในไม่ช้า พร้อมเรียกร้องผู้นำประเทศเร่งหาวิธีรับมือภัยธรรมชาติที่อันตรายที่สุด ก่อนทุกอย่างจะสายเกินไป "กรุงเทพจมทะเลไปแล้ว และจะจมลงไปทุกวัน ๆ" นี่คือคำเตือนจาก ศาสตราจารย์ ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ หรือ ดร.เอ้ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กทม. ที่โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก หลังพาทีมข่าว Spring Keep The World ลงพื้นที่เขตบางขุนเทียน เพื่อสังเกตระดับน้ำทะเลที่เพิ่มสูงขึ้น โดยอ้างอิงถึงนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกที่มีความเห็นตรงกันว่า กรุงเทพเป็นอีกเมืองที่กำลังจมทะเลในไม่ช้า และอัตราเร่งจะมากขึ้นเนื่องจากภาวะโลกเดือดที่หยุดไม่อยู่ แผ่นดินกรุงเทพกำลังจะหายไปทุกวันๆ หากไม่ทำอะไร ดร.เอ้ ยังเรียกร้องให้ผู้นำทั้งในระดับชาติและระดับกทม. ต้องเริ่มคิดและลงมือทำเพื่อวางแผนต่อสู้กับภัยธรรมชาติ ที่อันตรายที่สุด โดยเปรียบเทียบการบรรเทาภัยธรรมชาติของหลายประเทศ เช่น เนเธอร์แลนด์ อิตาลี อเมริกา ญี่ปุ่น รวมถึงสิงคโปร์ ที่สร้าง "ระบบป้องกันน้ำทะเลหนุน" สำเร็จมาแล้ว ทั้งนี้สามารถรอติดตามรายละเอียดการลงพื้นที่ของทีมข่าวและดร.เอ้ เพื่อพูดคุยถึงปัญหา "กรุงเทพจมน้ำ" ในเชิงลึก รวมถึงวิธีแก้ไขก่อนจะสายเกินไป ในซีรีส์พิเศษ ชุด "Sinking Bangkok" วันศุกร์ที่ 23 สิงหาคม ผ่านทุกช่องทางของ Springnews https://www.springnews.co.th/keep-th...-change/852238
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#6
|
||||
|
||||
|
ขอบคุณข่าวจาก SpringNews
เปิดข้อเสนอทางวิชาการ 3 แนวทาง แก้ปัญหาก่อน "กรุงเทพจมทะเล" SHORT CUT - คุยกับ รศ.ดร.สุจริต คูณธนกุลวงศ์ อดีตอาจารย์ภาควิชาวิศวกรรมแหล่งน้ำ คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อดีตคณะทำงานศึกษาเรื่องกรุงเทพจมน้ำของสภาปฏิรูปแห่งชาติ - นักวิชาการมี 3 ข้อเสนอที่จำเป็นต้องทำ ถ้ามิเช่นนั้น "กรุงเทพ มีโอกาสจมน้ำ" ได้จริง ในอีก 40-50 ปีข้างหน้า แต่ปัจจุบันผ่านมาแล้ว 10 ปี ยังไม่มีการดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรม หรือการสื่อสารทางการเพื่อแสวงหาฉันทามติของสังคม - เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ใช้ทุนสูง ดังนั้นต้องขับเคลื่อนเรื่อง "เงิน-สังคม-สิ่งแวดล้อม" ไปพร้อมกัน ก่อนเมืองหลวงของไทย จะจมหายไปในทะเล ![]() มีข้อเสนอ แต่ไม่ได้สนอง...นักวิชาการบอก "กรุงเทพฯ จ" แน่ ต้องแก้ด้วย 3 แนวทาง แต่ผ่านมา 10 ปี ไทยไม่เลือกอะไรสักทาง หวังเห็นพิมพ์เขียวเพื่อให้สังคมเห็นร่วมกันว่าต้องป้องกันเรื่องนี้ "กรุงเทพฯ จม" เคยเป็นวาระสำคัญที่บรรดานักวิชาการเคยเข้ามาทำงานอย่างเป็นรูปธรรมครั้งหนึ่งในช่วงเปลี่ยนผ่านทางการเมือง หลังรัฐประหารปี 2557 ก่อเกิด "สภาปฏิรูปแห่งชาติ" ที่ทำงานตอบสนองวาระ "ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง" เพื่อศึกษาปัญหาต่างๆ ทุกแง่มุมในสังคม เพื่อนำไปสู่ข้อเสนอเพื่อแก้ไขปัญหา โดยตั้งอยู่บน 3 ปัจจัยก่อนกรุงเทพจะจม คือ แผ่นดินจะทรุดลงไหม? น้ำทะเลจะหนุนสูงขึ้นกว่าเดิมไหม? ฝนที่เคยตกหนักจะตกหนักกว่าเดิมได้อีกหรือเปล่า? แล้วกรุงเทพฯ เมืองหลวงที่อยู่ใกล้ปากแม่น้ำ พื้นดินสูงกว่าระดับน้ำทะเลไม่เกิน 2 เมตร จะรอดได้ไหม? "ถ้าเราไม่ทำอะไรเลย ยังไงกรุงเทพฯ ก็จะจมน้ำ" คือคำที่ ดร.สุจริต คูณธนกุลวงศ์ หนึ่งในคณะกรรมการการเตรียมการเพื่อรับมือวิกฤตการณ์ "กรุงเทพจม" ของสภาปฏิรูปแห่งชาติ บอกสิ่งที่คณะทำงานคิดเอาไว้ตั้งแต่ 10 ปีที่แล้ว ว่าสิ่งที่คาดการณ์ ทั้งเรื่องแนวโน้มน้ำทะเลจะสูงขึ้น ฝนจะตกหนักขึ้น ล้วนเกิดขึ้นครบแล้วทุกสิ่ง ตอนนี้กรุงเทพฯ ยังอยู่รอดเพราะแม่น้ำและคันกั้นน้ำริมตลิ่งยังทำหน้าที่ได้ดี แต่วันใดที่น้ำทะเลหนุนจนการพร่องน้ำในแม่น้ำมีปัญหา แม้จะขุดบายพาสเร่งระบาย ก็ระบายไม่ออกเพราะทะเลหนุน วันนั้นแหละต้องนับหนึ่ง "กรุงเทพฯ จม" โดยที่เราจะทำอะไรไม่ทัน ดร.สุจริต บอกกับ SPRiNG ว่าคณะทำงานฯ เคยได้มีข้อเสนอแผน 3 แนวทางที่ต้องทำเพื่อป้องกันกรุงเทพฯ จม ใต้การคาดการณ์ว่าอีก 50 ปี ระดับน้ำทะเลจะสูงขึ้นอีก 50 เซนติเมตร คือ ต้องยกคันกั้นน้ำริมตลิ่งให้สูงขึ้นเป็น 3.5 เมตร หรือสร้างเขื่อนปิดแม่น้ำสายสำคัญ เช่น เจ้าพระยา แม่กลอง หรือการสร้างเขื่อนกั้นปิดทะเลอ่าวไทยตั้งแต่หิวหินถึงสัตหีบ แนวทางแรก ยกคันกั้นน้ำริมตลิ่งให้สูงขึ้น จะรับได้ไหมถ้าต้องเสียทัศนียภาพ ความสวยงามของแม่น้ำไปเลย เพราะเราอาจจะต้องมีกำแพงริมแม่น้ำที่สูงมากเพื่อป้องกันไม่ให้น้ำท่วมเมือง แนวทางที่สอง การสร้างประตูเขื่อนปิดปากแม่น้ำ เมื่อน้ำทะเลขึ้นก็ปิด น้ำทะเลลดระดับก็เปิดให้น้ำระบายออก เพื่อไม่ให้น้ำขึ้นท่วมเข้ามาในเมือง และยกระดับถนนสายสำคัญเพื่อเป็นคันกั้นน้ำ เป็นโมเดลที่หลายประเทศทำแล้ว เช่น ญี่ปุ่น แต่ข้อท้าทายคือระบบนี้จะต้องรื้อระบบบำบัดน้ำเสียของ กทม.ใหม่ทั้งหมด เพราะเมื่อไม่มีน้ำทะเลมาผสมฆ่าเชื้อโรค น้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาจะเน่าทันทีภายใน 7 ชั่วโมง แนวทางที่สาม การสร้างถนนหรือเขื่อนปิดแนวทะเลอ่าวไทย จากหัวหินถึงสัตหีบ มูลค่าประมาณแสนล้านบาท แล้วสร้างแนวกังหันลมปั่นไฟจากลมทะเล แต่จะสร้างผลกระทบขนาดใหญ่ต่อระบบนิเวศ ระบบมวลของน้ำจะไม่เหมือนเดิม น้ำขึ้น-น้ำลงจะเปลี่ยนไป ชายหาดจะเปลี่ยนไปตลอดกาล "เราให้เวลา 10 ปีจากวันนั้นติดตามว่าการคาดการณ์แผ่นดินทรุดดีขึ้นไหม ระดับน้ำทะเลสูงขึ้นหรือเปล่า และฝนจะตกหนักกว่าเดิมไหม จนถึงวันนี้ ผ่านมา 10 ปีพอดี (2558-2567) พบว่าเป็นไปตามที่คาดไว้ เดี๋ยวนี้ฝนตกแรงขึ้นจริง น้ำทะเลขึ้นอาจมีเวลาอีก 5-10 ปี แผ่นดินทรุดดีขึ้นเพราะหยุดสูบน้ำบาดาล แต่เรายังไม่ตัดสินใจว่าจะทำ หรือไม่ทำ แล้วถ้าทำจะทำในรูปแบบ 1, 2 หรือ 3" ดร.สุจริต กล่าว ปัจจุบัน นายกรัฐมนตรีมอบหมายให้กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ศึกษาผลกระทบและออกแบบแผน ทำ Master Plan และ SEA แต่ก็ยังไม่มีการสั่งการอะไรจากทางการเมืองที่มีอำนาจจัดสรรงบประมาณ และเรื่องสำคัญกว่านั้นคือการสร้าง "ฉันทามติ" ของประชาชนทุกพื้นที่ที่มีส่วนได้ส่วนเสียว่าเรื่องนี้สำคัญอย่างไร และเราต้องมีจุดหมายเดียวกันเพื่อป้องกันไม่ให้น้ำท่วมกรุงเทพฯ เพราะเป็นเรื่องใหญ่ งบประมาณเยอะ และกระทบต่ออนาคตของทุกคนอย่างไม่เลือกหน้า เป็นปัญหาเรื่อง "เงิน-สังคม-สิ่งแวดล้อม" ที่ต้องเดินไปพร้อมกัน "ตอนนี้ทุกรัฐบาลเขามองแค่ว่าอีก 4 ปีจะเลือกตั้งยังไงให้กลับมาเป็นรัฐบาล ฉะนั้นอะไรที่ยาวให้นักวิชาการทำไปก่อน การแข่งขันทางการเมืองมันสูงมาก พอเราพูดกับเขา เขาบอกอาจารย์ทำไปก่อนได้ไหม ตอนนี้ของบศึกษาโครงการสัก 100-200 ล้านบาท ก็อาจจะไม่ได้ก็ได้นะ เพราะเอาไปทำดิจิทัลวอลเล็ตหมด ปัญหาที่เกิดขึ้นตอนนี้มันไม่มีใคร Take Care ทุกวันนี้กลายเป็น Short Term Benefit ไปหมด มันมีความสำคัญน้อยกว่าสิ่งที่เขาคิดอยู่" https://www.springnews.co.th/keep-th...-change/852241
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
![]() |
| คำสั่งเพิ่มเติม | |
| เรียบเรียงคำตอบ | |
|
|