#1
|
||||
|
||||
เยี่ยมธนาคาร “ปูม้า”…ริมอ่าวไทย
เยี่ยมธนาคาร “ปูม้า”…ริมอ่าวไทย โดย มนู จรรยงค์ เคยได้ยินว่า ในสมัยก่อนชาวประมงออกเรือจับปลา ถ้าหากมีปูม้าติดอวนขึ้นมาเขาก็จะโยนปูม้าทิ้งทะเลทันที เช่นเดียวกับปลาเล็กปลาน้อย หรือปลาบางชนิด เช่น “ปลาสำลี” เขาก็จะโยนทิ้งทะเลเช่นเดียวกัน ทั้งนี้เนื่องจากสัตว์น้ำเหล่านี้คนไม่นิยมรับประทานกัน เพราะสมัยยังมีสัตว์น้ำที่ดีกว่านี้ให้เลือกกิน โดยเฉพาะปูม้า เนื้อจะไม่แน่นหวานอร่อยสู้ปูทะเลไม่ได้ เช่นเดียวกับปลาสำลี เนื้อแน่นสู้ปลาเก๋า ปลากะพง หรือปลาจาละเม็ดไม่ได้ เพราะอร่อยกว่ากันเยอะเลย ในสมัยก่อนปลาสำลีจึงกลายเป็นปลาที่ใช้เลี้ยงสัตว์ไปฉิบ จนปัจจุบันอาหารทุกอย่างหากินยากเข้าทุกที ปูม้า ปลาสำลี จึงเดินขึ้นเหลาอย่างสง่าผ่าเผย อยู่ในเมนูอาหารราคาแพง โดยเฉพาะปลาสำลีผมมีเรื่องจะเล่าให้ฟังในตอนท้ายของสารคดีท่องเที่ยวอาทิตย์นี้ มาว่าต่อถึงธนาคารปูม้ากันดีกว่าครับ ธนาคารปูม้าที่เราไปเยี่ยมเยือน ตั้งอยู่ที่หมู่บ้านประมงม่องล่าย อ.เมือง จ.ประจวบคีรีขันธ์ แหล่งอนุรักษ์ปูม้าของชุมชนรอบอ่าวประจวบฯ ซึ่งดำเนินงานโดย กลุ่มรักษ์อ่าวประจวบฯ ที่ทำการเป็นอาคารชั้นเดียวหลังเล็กๆ มีป้ายเขียนไว้ว่า “ธนาคารปูม้า” ภายในห้องเผยให้เห็น ถังใส่น้ำทะเลสีขาวตั้งเรียงเป็นแถวพร้อมสายออกซิเจนช่วยลูกปูให้มีอากาศหายใจอย่างเพียงพอ ไม่งั้นการเบียดเสียดจะทำให้ลูกปูที่ไม่แข็งแรงเสียชีวิตได้ ก็จะไม่ให้เบียดเสียดได้อย่างไร ในเมื่อแม่ปูม้าตัวหนึ่งให้ลูกได้เป็นแสนเป็นล้านตัว ธนาคารปูม้า มีสมาชิกซึ่งเป็นชาวประมงประมาณ 80 ครอบครัว มีเรือประมง 50 ลำ ตามหลักการของธนาคารปูม้าแห่งนี้ ก็คือ เมื่อชาวบ้านจับปูไข่มาได้ก็นำมาบริจาคให้แก่ธนาคาร ธนาคารก็จะเลี้ยงไว้จนออกเป็นตัวภายใน 2-3 วัน (โดยไม่ต้องให้อาหาร) ธนาคารก็จะปล่อยลงทะเลรอบๆอ่าว จากนั้นก็คืนแม่ปูม้าให้แก่ชาวประมงนั้นๆไป แต่ส่วนมากเขาจะไม่เอาคืน ธนาคารปูม้าแห่งนี้เปิดมาได้ประมาณปีกว่า ปล่อยลูกปูม้าลงทะเลไปจนนับไม่ถ้วน เป็นล้านๆตัว จากลูกปูตัวเล็กๆ ใช้เวลาประมาณ 5-6 เดือนก็โตพอบริโภคได้แล้ว แต่ต้องไปจับเอาเองในทะเล ชาวประมงคนหนึ่งบอก อย่างไรก็ตาม อย่าคิดว่าแม่ปูม้าให้ลูกเป็นล้านตัวแล้วจะรอดทั้งหมด เปล่า…มันไม่ได้รอดทั้งหมดหรอกมันจะตายเองบ้าง ถูกสัตว์อื่นกินบ้าง เหลือไม่ถึงครึ่ง ล้านตัวก็เหลือ 3-4 แสนตัว จำนวนนี้ก็ถือว่ามากโขทีเดียว ไม่ยังงั้นปูม้าจะเต็มอ่าวไทยไปหมด นายสิทธิพร ชาวประมงคนหนึ่ง กล่าว ถึงกระนั้นชาวประมงที่มีอาชีพจับปูม้า ก็ยังมีรายได้ดีพอสมควร กล่าวคือ พวกเขาจะมีรายได้วันละประมาณ 1,200-1,800 บาท จากการลงอวนจับปูได้วันละไม่ต่ำกว่า 10 กก.ๆ ละ 120-180 บาท เขียนมาตั้งนาน ยังไม่ได้บรรยายถึงบุคลิก ลักษณะของปูม้าเลยสักนิด ลักษณะทั่วไปของปูม้า คือ มีก้ามยาวเรียว มีสัน หนามข้างกระดองข้างละ 9 อัน อันสุดท้ายมีขนาดใหญ่และยาวที่สุด กระดองแบนกว้างมีตุ่มเล็กๆกระจายเต็มไปหมด มีหนามที่ขอบเบ้าตาด้านบน ขอบเบ้าตาด้านล่าง มีหนามแหลม 1 อัน ขาเดินมี 3 คู่ กรรเชียงว่ายน้ำ 1 คู่ ตัวผู้มีก้ามยาวเรียวกว่า มีสีฟ้าอ่อน และมีจุดขาวตกกระทั่วไปบนกระดองและก้าม พื้นท้องเป็นสีขาว จับปิ้งเป็นรูปสามเหลี่ยมเรียวสูง ตัวเมียจะมีก้ามสั้นกว่า กระดองและก้ามมีสีฟ้าอมน้ำตาลอ่อนและมีจุดขาวประทั่วไปทั้งกระดองและก้าม ถิ่นอาศัยอยู่ตามปากแม่น้ำ หรือบริเวณชายฝั่งทะเล อาหารกินซากพืชที่ตายแล้ว ขนาดความยาวประมาณ 15-20 ซม. ออกไข่ครั้งละประมาณ 200,000-3,000,000 ตัว (แล้วแต่แม่พันธุ์จะมีขนาดใหญ่และสมบูรณ์แค่ไหน) ปัจจุบัน สาเหตุที่ปริมาณปูม้าลดน้อยลง เนื่องจากการนำทรัพยากรขนาดเล็กมาใช้มากเกินไป อีกทั้งปูม้าที่มีไข่ก็ยังถูกจับมาใช้ประโยชน์ทั้งที่มีกฎหมายคุ้มครองอยู่แล้ว จนทำให้ปูม้าใกล้จะสูญพันธุ์ จนกระทั่งมีการอนุรักษ์ในรูปแบบต่างๆ เช่น การเพาะเลี้ยงในบ่อดิน หรือการใช้ถังเพาะไข่ปู และมีการจัดตั้งธนาคารเพื่อเพาะเลี้ยงและปล่อยลูกปูสู่ทะเล ซึ่งขณะนี้มีการจัดตั้งธนาคารปูม้าหลายต่อหลายแห่ง เชื่อว่าในอนาคตปูม้าจะต้องเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างแน่นอน และจะไม่ขาดแคลนอีกต่อไป ท้ายนี้ผมจะขอเล่าถึงปูม้าและปลาสำลี ขึ้นเหลาหรือภัตตาคารครั้งแรกๆ ในสมัยก่อนตามที่เกริ่นไว้แต่แรก ปูม้าขึ้นเหลาราคา กก.ละครึ่งค่อนพัน (ปูเป็นกับปลาสำลีที่ติดอวนแล้วชาวประมงเหวี่ยงทิ้งทะเลไปน่ะ) หลังจากปลาสำลีขึ้นเรสเตอรองต์แล้ว ก็มีร้านอาหารจาก ตจว.(ต่างจังหวัด) มาเปิดในกรุงเทพฯ แถวย่านคลองประปา-สามเสน ชื่อว่าร้าน “ปลาเผาภูเก็ต” ใช้ปลากะพงเผามีน้ำจิ้มหลากหลายชนิด ทั้งน้ำจิ้มทะเล น้ำจิ้มสามรสออกรสหวานๆ ใช้หอมแดงพริกขี้หนูซอยใส่ ปลาเผาร้อนๆ จิ้มอร่อยอย่าบอกใคร ผมก็ไปเป็นแฟนของร้านปลาเผาภูเก็ตแห่งนี้อยู่เหมือนกัน แต่ความที่เป็นคนเบี้ยน้อยหอยน้อย ไปนั่งร้านนี้ทีไรก็มักจะสั่งปลาสำลีเผา และปูม้ามารับประทานทุกครั้งไป (เพราะถูกกว่าปลากะพงหรือปูทะเล) จนแฟนโกรธว่าผมขี้เหนียว สั่งแต่ปลาสำลีมากิน ผมก็เถียงไปว่า ปลาสำลีเนื้อก็อร่อยไม่แพ้ปลากะพงนะเธอ เลือกน้ำจิ้มให้ดีก็อร่อยถมเถไปแล้ว แต่เธอกลับบอกว่า ที่ไม่อยากกินปลาสำลีนั้นเป็นเพราะที่บ้านของเธอใช้ปลาสำลีย่างให้แมวกินทุกวัน พูดกันตรงๆก็คือ ใช้ปลาสำลีเป็นอาหารเลี้ยงแมวน่ะ เรามีปากเสียงกันเพราะเรื่องนี้ ในที่สุดก็ต้องเลิกรากันไป เป็นเดี๋ยวนี้สั่งปูม้า-ปลาสำลีเผามากินก็ถือว่าโก้ไม่หยอกแล้วครับ จาก : บ้านเมือง วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2553
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
|