#1
|
||||
|
||||
ปะการังฟอกขาวทั่วทะเลไทย
ปะการังฟอกขาวทั่วทะเลไทย ............... โดย วินิจ รังผึ้ง สิ่งที่กำลังอยู่ในความเป็นห่วงเป็นใยของคนรักทะเลไทยในขณะนี้ก็คือการเกิดปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาวครั้งใหญ่ทั่วท้องทะเลไทย ทั้งแนวปะการังทางฝั่งอ่าวไทยและฝั่งทะเลอันดามัน ซึ่งกินพื้นที่เป็นบริเวณกว้างกว่า 70 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว โดยการฟอกขาวของปะการังเริ่มเกิดขึ้นเมื่อปลายเดือนเมษายน โดยในช่วงนั้นอุณหภูมิของน้ำทะเลบ้านเราซึ่งปรกติจะอยู่ระหว่าง 28-29 องศาเซลเซียสเกิดสูงขึ้นไปถึง 30-31 องศาเซลเซียส และสูงขึ้นเป็นเวลานานติดต่อกันหลายสัปดาห์ ทำให้ปะการังเกิดการฟอกขาวขึ้นเป็นบริเวณกว้าง ซึ่งนักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อมทางทะเลได้ลงความเห็นว่าเป็นการเกิดปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาวครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งของประเทศไทย โดยประเทศไทยเคยเกิดปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาวครั้งใหญ่ๆเช่นในปี 2527 ปี 2541 และในปี 2553 ครั้งนี้ ซึ่งผลกระทบจากการเกิดปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาวเป็นบริเวณกว้างเช่นนี้ อาจส่งผลต่อความอุดมสมบูรณ์ของท้องทะเลและส่งผลกระทบต่อกิจกรรมท่องเที่ยวโดยเฉพาะการดำน้ำชมปะการังอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หลายคนอาจจะสงสัยว่าปะการังฟองขาวคืออะไร และจะมีผลกระทบต่อท้องทะเลไทยอย่างไร ก็ต้องขอเล่าให้เข้าใจง่ายๆว่า ปะการังซึ่งเป็นสัตว์ทะเลชนิดหนึ่ง แต่ละตัวแต่ละชีวิตมีขนาดเล็กๆ โดยปะการัง 1 ตัวหรือ 1 โพลิปมีขนาดเล็กเท่ากับปลายดินสอ โดยปะการังชนิดโครงสร้างแข็งสามารถจะสร้างโครงสร้างที่เป็นหินปูนขึ้นมา เมื่อปะการังชนิดเดียวกันแต่ละตัวมาเกาะกลุ่มร่วมกันสร้างโครงสร้างหินปูน ที่มีลักษณะเป็นกิ่งก้าน เป็นก้อนกลม เป็นแผ่นผืน เป็นช่อชั้น เพิ่มขึ้นมาจนเกิดเป็นแนวปะการังอันกว้างใหญ่ไพศาล เช่นแนวปะการังเกรตแบริเออร์ รีฟ ซึ่งเป็นแนวปะการังใหญ่ที่สุดในโลก อยู่ตอนเหนือของรัฐควีนส์แลนด์ ประเทศออสเตรเลีย มีความยาวถึงกว่า 2,000 กิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่ถึง 345,000 ตารางกิโลเมตร ได้รับยกย่องว่าเป็นสิ่งก่อสร้างของสิ่งมีชีวิตที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกเลยทีเดียว ซึ่งเป็นเรื่องน่ามหัศจรรย์ที่ผลงานการสร้างสรรค์ขนาดมหึมานี้เป็นของเจ้า ปะการังตัวเล็กๆเท่าปลายดินสอเหล่านี้ ชีวิตของปะการังที่เป็นสัตว์ทะเลขนาดจิ๋วนี้มีความน่ามหัศจรรย์ เพราะโครงสร้างของร่างกายปะการังแต่ละตัวจะมีสาหร่ายเซลล์เดียวซึ่งเป็นพืช ที่ชื่อ "ซูแซนเทลลี" อาศัยอยู่ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายด้วย โดยสาหร่ายซูแซนเทลลีจะมีรงควัตถุในตัวมันสามารถจะใช้สร้างสีสันเพื่อช่วยปกป้องเนื้อเยื่อใสๆของปะการัง ไม่ให้ถูกแสงแดดและรังสีจากดวงอาทิตย์แผดเผาจนเป็นอันตราย ทั้งยังสามารถสังเคราะห์แสงสร้างอาหารและพลังงานให้กับตัวมันเองและตัวปะการังอีกด้วย ทำให้ปะการังสามารถจะเติบโตสร้างโครงสร้างหินปูนขยายออกไปได้อย่างรวดเร็ว ปะการังจึงได้รับประโยชน์อย่างใหญ่หลวงจากสาหร่ายซูแซนเทลลี ในขณะเดียวกันสาหร่ายก็ได้ที่อยู่อาศัยที่ยึดที่อยู่ในโครงสร้างที่มั่นคง ไม่ต้องล่องลอยเคว้งคว้างไปในท้องทะเล ซึ่งหากอุณหภูมิของน้ำทะเลอยู่ในภาวะปรกติ ปะการังและสาหร่ายทะเลก็จะอยู่ร่วมกันอย่างเป็นสุข แต่เมื่อใดที่น้ำทะเลเกิดการเปลี่ยนแปลงไปจากภาวะปรกติอย่างรวดเร็วและเป็นเวลานานเกิน 3 สัปดาห์ ปะการังก็จะเกิดอาการผิดปรกติโดยจะมีการขับสาหร่ายซูแซนเทลลีให้หลุดออกจากโครงสร้าง ทำให้ปะการังต้องเหลือแต่โครงสร้างหินปูนที่มีสีขาวและตัวปะการังที่มีสีใสเท่านั้น เราจึงมองเห็นปะการังกลายเป็นสีขาวเหมือนถูกฟอกด้วยน้ำยาเคมีนั่นเอง ซึ่งนอกจากปะการังแล้ว สัตว์ทะเลที่มีสาหร่ายซูแซนเทลลีอาศัยอยู่ด้วย หรือสัตว์ทะเลที่มีสาหร่ายไว้สังเคราะห์แสงก็จะเกิดการฟอกขาวไปด้วย เช่นกัลปังหา ดอกไม้ทะเลบางชนิด หรือแม้แต่หอยมือเสือก็ยังฟอกขาวไปด้วย ปะการังที่เกิดการฟอกขาวนั้น หากเกิดการฟอกขาวนานไม่ถึงเดือนแล้วอุณหภูมิของน้ำกลับเข้าสู่ภาวะปรกติ ปะการังบริเวณนั้นก็อาจจะสามารถฟื้นตัวกลับมีสาหร่ายซูแซนเทลลีลงเกาะ แล้วกลับฟื้นค่อยๆมีสีสันกลับขึ้นมาได้ในอีก 2-3 เดือนถัดมา แต่หากปะการังที่ฟอกขาวบริเวณใด ถูกแช่ด้วยอุณหภูมิของน้ำทะเลที่ผิดปรกติเป็นเวลานานๆ ปะการังบริเวณนั้นก็อาจจะฟอกขาวโดยไม่สามารถฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้ และจะตายลงในที่สุด เมื่อปะการังตาย โครงสร้างหินปูนที่ถูกฟอกขาวก็จะค่อยๆมีสีหม่นมัวลงเนื่องจากตะกอนน้ำและสาหร่ายทะเลชนิดอื่นๆลงเกาะกินและครบคลุมพื้นที่แทน ปะการังตายเหล่านั้นก็จะค่อยๆผุพังลงเหมือนบ้านร้างเมืองร้างที่ไม่มีผู้คนอยู่อาศัย ซึ่ง ณ บัดนี้อุณหภูมิของน้ำทะเลทั้งฝั่งอันดามันและฝั่งอ่าวไทย ก็ได้กลับคืนสู่ภาวะปรกติเนื่องจากเข้าสู่ฤดูมรสุม และเข้าสู่ฤดูฝนแล้ว ปะการังฟอกขาวคงไม่ขยายวงออกไปอีก แต่ก็ไม่ทราบว่าจะสามารถฟื้นตัวคืนชีวิตกลับมาได้มากน้อยเท่าใด ผลกระทบของการเกิดปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาวก็คงไม่อาจปฏิเสธได้ว่า ความอุดมสมบูรณ์ของท้องทะเลจะต้องลดลงไป เพราะแนวปะการังเป็นเสมือนหัวใจของท้องทะเล เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ทะเล เป็นแหล่งอาหาร ที่หลบภัย แหล่งเผยแพร่เผ่าพันธุ์ ปลาและสัตว์ทะเลหลายชนิดกินตัวปะการังเป็นอาหารเช่นปลากลุ่มปลาผีเสื้อและสัตว์ทะเลอื่นๆ ซึ่งปลาและสัตว์ทะเลเหล่านี้ก็คงจะลดปริมาณลงไป ปลาอื่นๆที่กินกันเป็นลูกโซ่ก็คงจะหาอาหารยากขึ้น หาที่อยู่อาศัยยากขึ้น ก็อาจจะลดปริมาณตามลงไป เรือประมงก็คงจะหาปลายากขึ้น อาหารทะเลก็จะมีราคาสูงขึ้นไปด้วย สำหรับผลกระทบด้านการท่องเที่ยว หากแนวปะการังเสื่อมโทรม ลดความสวยงามลงไป หรือมีสัตว์ทะเลให้ดูให้ชมลดน้อยลง นักดำน้ำก็อาจจะมีปริมาณน้อยลงไปด้วย ธุรกิจดำน้ำก็อาจจะซบเซาลง เรือบริการดำน้ำก็คงจะมีลูกค้าลดลง ลูกเรือ ไดฟ์ลีดเดอร์ พนักงานอัดอากาศ พ่อครัว เรือรับจ้าง หรือแม้แต่คนขายข้าวปลาอาหารที่เป็นเสบียงลงเรือ ก็จะได้รับผลกระทบันไปหมด ปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาวนั้นแม้นจะเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่มีผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อความอุดมสมบูรณ์ของท้องทะเล แต่มนุษย์ก็คงไม่สามารถปฏิเสธความรับผิดชอบไปได้ เพราะต้นเหตุของอุณหภูมิน้ำทะเลที่สูงขึ้นก็เป็นผลมาจากภาวะโลกร้อนซึ่งมนุษย์ล้วนเป็นผู้ก่อขึ้นทั้งนั้น การเยียวยาแก้ไขปะการังฟอกขาวคงเป็นเรื่องยิ่งใหญ่เกินกำลังความสามารถของมนุษย์ คงต้องรอเวลาให้ธรรมชาติเยียวยารักษาตนเอง แต่เราท่านจะสามารถช่วยกันป้องกันการเกิดขึ้นครั้งใหม่ได้ด้วยการลดปัจจัยที่จะทำให้เกิดภาวะโลกร้อนกันคนละไม้คนละมือ การร่วมมือร่วมใจในมาตรการประหยัดพลังงาน ลดการสร้างมลพิษในอากาศ ลดการใช้ทรัพยากรบนผืนโลกด้วยการใช้ทุกสิ่งให้คุ้มค่า เริ่มต้นจากตัวเราก่อน ช่วยกันคนละไม้คนละมือ ก็คงจะช่วยชะลอความเสื่อมโทรมของแนวปะการังและปรากฏการณ์ภัยธรรมชาติลงได้บ้าง ช่วยกันเถอะครับ จาก .......... ผู้จัดการออนไลน์ วันที่ 27 กรกฎาคม 2553
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#2
|
|||
|
|||
ต้องรอดูว่าฝนที่ตกช่วงนี้ จะทำให้สถานการณ์ดีขึ้นหรือเปล่านะคะ เพี้ยง ขอให้ฟื้นเร็วๆทีเถอะ เห็นขาวโพลนแบบนี้แล้วใจหายจริงๆค่ะ
|
#3
|
|||
|
|||
สถานการณ์คลี่คลายลงเล็กน้อย ย้ำนะครับว่าเพียง "เล็กน้อย" เพราะเพียงอัตราการฟอกขาวที่ลดลงเท่านั้น แต่ไม่ได้หมายความว่าส่วนที่ฟอกขาวไปแล้วจะรอดตายได้ หรือมีการทดแทนพื้นที่ของปะการังกลุ่มใหม่มากขึ้นซึ่งต้องติดตามกันต่อไปว่าจะเป็นได้หรือไม่
ที่น่าห่วงกว่าคือปัจจัยที่ก่อให้เกิดการฟอกขาวยังคงอยู่ แม้ในปีนี้เหตุการณ์จะผ่านไปแล้ว แต่โอกาสที่จะฟอกขาวจะมีบ่อยขึ้นหรือไม่? ช่วงฤดูนี้ของปีข้างหน้าจะเกิดขึ้นอีกหรือไม่?ก็ต้องรอดูกันต่อไป เพราะสภาวะที่อุณหภูมิโลกยังคงไม่น่าไว้วางใจอย่างนี้ อะไรก็เกิดขึ้นได้ ที่กล่าวมานี้ไม่ได้ต้องการให้เสียกำลังใจนะครับ แต่กำลังจะบอกว่านับแต่นี้เป็นช่วงเวลาที่เราต้องระมัดระวังในการใช้ชีวิต และการประกอบกิจกรรมต่างๆให้มากขึ้นเพื่อไม่ให้เป็นการซ้ำเติมสถานการณ์มากขึ้นเท่านั้นเอง ซึ่งคาดว่าหลายๆท่านก็ระวังอยู่แล้วหรืออาจระมัดระวังอยู่จนเป็นกิจวัตรแล้วก็ได้ แต่อีกหลายๆท่านคงต้องเพิ่มความระมัดระวังขึ้นครับ การหาความรู้เกี่ยวกับข้อปฎิบัติที่ถูกต้องที่จะทำให้สภาวะบรรยากาศโลกดีขึ้นก็มีความสำคัญครับ หากมีการค้นคว้าศึกษาและใช้เวลาในการพิจารณาให้ลึกซึ้งมากขึ้น การปฎิบัติและลงแรงลงใจของเราก็จะมีผลดีโดยตรงต่อบรรยากาศโลกมากขึ้น และจะไม่ตกเป็นเหยื่อการตลาดของบางธุรกิจที่ใช้เหตุผลจากการที่โลกร้อนมาเป็นตัวชูโรงสร้างภาพที่ดีในธุรกิจของตัวเอง กิจกรรมต่างๆที่คิดว่าทำแล้วดีก็ช่วยกันทำต่อไปครับ (ทั้งนี้ก็ต้องใช้ดุลพินิจจากการศึกษาประกอบไปด้วย) ซึ่งผมเชื่อว่ากิจกรรมดีๆเหล่านี้ชาว sos ก็ได้ทำกันอยู่ตลอดมาอยู่แล้ว พอพูดถึงโลกร้อนแล้วมักจะเผลอเลยเถิดยาวออกนอกเรื่องอยู่เรื่อยเลยแฮะ ....อย่าซีเรียสนะครับ แล้วว่างๆจะมาพูดคุยแลกเปลี่ยนกันอีก |
|
|