เลือกสีตามสไลต์ที่คุณชอบ:
SaveOurSea.NET  

กลับไป   SaveOurSea.NET > สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม

ตอบ
 
Share คำสั่งเพิ่มเติม เรียบเรียงคำตอบ
  #1  
เก่า 30-11-2010
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,809
Default


นักวิชาการโวย "หมู่เกาะสุรินทร์-สิมิลัน "เสียหายรุนแรงปล่อยให้ดำน้ำทำปะการังฟอกขาว



นางสาวนลินี ทองแถม นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญด้านปะการังและนิเวศน์ทะเลสถาบันวิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช)กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส) เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวเมื่อวันที่ 28 พ.ย. ว่า เกิดวิกฤตครั้งใหญ่สำหรับปะการังในท้องทะเลอันดามัน แหล่งท่องเที่ยวสำคัญและแหล่งที่จะประกาศเป็นพื้นที่มรดกโลก โดยเฉพาะพื้นที่หมู่เกาะสุรินทร์ และ หมู่เกาะสิมิลัน ต.เกาะพระทอง อ.คุระบุรี จ.พังงา จากการสำรวจเบื้องต้นพบแหล่งปะการังบางแห่งในบริเวณหมู่เกาะสุรินทร์และหมู่เกาะสิมิลัน เกิดฟอกขาวทั้งหมด ส่งผลกระทบต่อจำนวนประชากรของปะการังในพื้นที่ชายฝั่งทะเลอันดามัน

นางสาวนลินีกล่าวอีกว่า จากการสำรวจสภาพแนวปะการังรอบเกาะต่างๆในบริเวณหมู่เกาะพีพี จ. กระบี่ ซึ่งได้แก่ เกาะพีพีดอน เกาะพีพีเล เกาะไผ่ เกาะยูง เกาะบิด๊ะใน และเกาะบิด๊ะนอก โดยวิธีการ Manta tow เมื่อวันที่ 16-18 พฤศจิกายน 2553 โดยนักวิชาการจากสถาบันวิจัยและพัฒนาทรัพยากรทางทะเล ชายฝั่งทะเล จ.ภูเก็ต พบว่า แนวปะการังส่วนใหญ่ของทุกๆเกาะอยู่ในสภาพเสียหาย มีปะการังตายมากกว่าปะการังมีชีวิตประมาณ 2 เท่าและเสียหายมาก มีปะการังตายมากกว่าปะการังมีชีวิตประมาณ 3 เท่า โดยเฉพาะจุดที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ เช่น อ่าวมาหยา อ่าวต้นไทร หาดยาว อ่าวรันตี แหลมตง ส่วนบริเวณที่แนวปะการังยังอยู่ในสภาพปานกลาง ได้แก่บริเวณที่เป็นหน้าผาหิน ซึ่งมีปะการังปกคลุมอยู่ค่อนข้างน้อยโดยธรรมชาติอยู่แล้ว

สำหรับสาเหตุหลักของความเสียหายของแนวปะการังเหล่านี้นั้น น.ส.นลินีกล่าวว่า คือการฟอกขาว อันเนื่องมาจากการสูงขึ้นอย่างผิดปกติของอุณหภูมิน้ำทะเลในช่วงฤดูร้อน ซึ่งเริ่มเกิดในช่วงปลายเดือนเมษายน 53 ปะการังบริเวณหมู่เกาะพีพีเริ่มตายลงจากการฟอกขาวตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2553 โดยเฉพาะบริเวณที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวดำน้ำที่สำคัญและมีนักท่องเที่ยวมาเยือนเป็นจำนวนมากในแต่ละวัน เช่น ด้านตะวันออกของเกาะยูงและเกาะไผ่ หินกลาง แหลมตง อ่าวรันตี อ่าวต้นไทร ซึ่งเป็นแนวปะการังน้ำตื้นที่มีปะการังเขากวางเป็นชนิดเด่น เดิมส่วนใหญ่มีปะการังอยู่ในสภาพปานกลาง-ดี แต่จากการสำรวจในครั้งนี้พบว่าปะการังเขากวางกว่าร้อยละ 90 ได้ตายลง ทำให้แนวปะการังยู่ในสภาพเสียหายถึงเสียหายมากดังกล่าว

นางสาวนลินีกล่าวอีกว่า เมื่อเทียบผลการสำรวจในครั้งนี้กับการสำรวจความเสียหายของแนวปะการังหลังเหตุการณ์สึนามิในปี 2548 ซึ่งในปี 2548 พบว่าแนวปะการังของหมู่เกาะพีพีหลายบริเวณมีสภาพดีมาก มีปะการังมีชีวิตมากกว่าปะการังตายประมาณ 3 เท่า และส่วนใหญ่อยู่ในสภาพดีถึงสภาพปานกลาง มีปะการังมีชีวิตมากกว่าปะการังตายประมาณ 2 เท่าหรือในสัดส่วนใกล้เคียงกัน แต่ในการสำรวจครั้งนี้พบแนวปะการังที่ยังอยู่ในสภาพดีเหลืออยู่น้อยมาก และไม่พบแนวปะการังที่อยู่ในสภาพดีมากเหลืออยู่เลย ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่าความเสียหายของแนวปะการังจากการฟอกขาวในครั้งนี้ ก่อให้เกิดความเสียหายรุนแรงมากกว่าความเสียหายจากสึนามิเมื่อเดือนธันวาคม 2547

“ข้อสังเกตที่พบขณะทำการสำรวจในครั้งนี้ พบว่าแนวปะการังหลายบริเวณยังมีนักท่องเที่ยวมาท่องเที่ยวดำน้ำเป็นจำนวนมาก แต่นักท่องเที่ยวยังขาดความรู้ความเข้าใจถึงปัญหาที่เกิดขึ้นกับแนวปะการัง ดังกล่าวนอกจากนี้ยังพบว่าในหลายบริเวณยังมีทุ่นจอดเรือไม่เพียงพอกับเรือท่องเที่ยวที่มีจำนวนมาก มีการเหยียบปะการังของไกด์นำเที่ยวและนักท่องเที่ยว การทิ้งสมอเรือในแนวปะการัง รวมทั้งพบอวนและลอบที่อยู่ในสภาพใหม่และเก่าจำนวนมากในแนวปะการัง ผู้ประกอบการส่งเสริมให้นักท่องเที่ยวให้อาหารปลาในแนวปะการัง ซึ่งอาจเป็นสาเหตุให้มีสาหร่ายขึ้นคลุมปะการังจำนวนมากในหลายบริเวณ เช่น เกาะไผ่ หินกลาง เนื่องจากปลาเปลี่ยนพฤติกรรมไปกินอาหารจากนักท่องเที่ยวแทนที่จะกินสาหร่ายที่ขึ้นคลุมปะการัง ซึ่งหากไม่มีการจัดการแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างเร่งด่วน โอกาสที่แนวปะการังบริเวณหมู่เกาะพีพี จ. กระบี่ จะกลับมีความสวยงามสมบูรณ์ดังเดิมคงเป็นไปได้ยากหรืออาจต้องใช้เวลานานมาก”

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมมาอีกว่า นายอดิศักดิ์ ทองไข่มุกด์ อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ได้มีคำสั่ง322/2553 ลงวันที่ 30 กันยายน 2553 แต่งตั้ง รองอธิบดี ทช.และผู้เชี่ยวชาญนักวิชาการจากสถาบันการศึกษา เช่น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัย มหิดล มหาวิทยาลัยรามคำแหง มหาวิทยาลัยบูรพา มหาวิทยาลัยเกษตร มหาวิทยาลัยราชฎัภภูเก็ต มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และบุคลากรของกรม ทช.และกรมอุทยานสัตว์ป่าและพันธ์พืช ร่วมพิจารณาหาทางแก้ปัญหาและหาทางอนุรักษ์ฟื้นฟู โดยให้เหตุผลว่าเนื่องจากสภาพปะการังในน่านน้ำไทยเกิดปัญหาฟอกขาวที่เกิดจากสาเหตุการเปลี่ยนแปลงของอณหภูมิน้ำทะเลที่ผิดปกติและเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลก โดยคณะกรรมการจะจัดการประชุมกันในวันที่ 30 พ.ย. นี้



จาก : มติชน วันที่ 29 พฤศจิกายน 2553
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สายชล : 30-11-2010 เมื่อ 18:25
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #2  
เก่า 30-11-2010
สายชล's Avatar
สายชล สายชล is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
สถานที่: Bangkok
ข้อความ: 9,123
Default

อ้างอิง:
ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ สายน้ำ อ่านข้อความ

นักวิชาการโวย "หมู่เกาะสุรินทร์-สิมิลัน" เสียหายรุนแรงปล่อยให้ดำน้ำทำปะการังฟอกขาว


เนื้อข่าวดีมาก....แต่หนังสือพิมพ์เล่นโปรยหัวข่าวอย่างนี้ อ่านแล้วเหมือนนักดำน้ำทำให้ปะการังเกิดการฟอกขาว....

อุณหภูมิของน้ำสูงขึ้นเนื่องจากโลกร้อนต่างหากเล่าคะ...ที่ทำให้ปะการังฟอกขาว แต่นักดำน้ำที่ไม่ระมัดระวัง อาจจะมีส่วนซ้ำเติมปะการังที่ฟอกขาวอยู่แล้วให้บอบช้ำมากยิ่งขึ้นนะคะ....

__________________
Saaychol
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #3  
เก่า 30-11-2010
สายชล's Avatar
สายชล สายชล is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
สถานที่: Bangkok
ข้อความ: 9,123
Default

เมื่อเช้าไปประชุมเรื่องปะการังฟอกขาวมาค่ะ...ทางหน่วยราชการและนักวิชาการเห็นความสำคัญ ของการฟื้นฟูแนวปะการังที่มีการฟอกขาวมาก โดยมุ่งเน้นให้มีการออกมาตรการ ที่จะทำให้แนวปะการังฟื้นตัวได้เองตามธรรมชาติ ในขณะเดียวกัน..ก็ป้องกันไม่ให้มนุษย์ (ทั้งนักท่องเที่ยวและชาวประมง) เข้าไปทำร้ายแนวปะการังให้บอบช้ำเป็นการซ้ำเติม หนักขึ้นไปอีกด้วย


ในการนี้คงทำได้ในรูปของการสร้างองค์ความรู้......ออกสื่อ...ออกโปสเตอร์ และออกหนังสือ เพื่อให้ข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องกับนักท่องเที่ยว....ผู้ประกอบการท่องเที่ยว ....ชาวประมง...และประชาชนทั่วไป และขอร้องให้ทางอุทยานแห่งชาติทางทะเลทั้งหลาย พิจารณาปิดแนวปะการังที่ได้รับความเสียหายมาก....จัดทำทุ่นจอดเรือ...กำหนดเขตหรือระยะห่างในการเข้าไปทำกิจกรรมใกล้แนวปะการัง....การกวดขันไม่ให้มีการลักลอบทำประมงในเขตอุทยานฯ


รายงานการประชุมออกมาเมื่อไร...จะมาแจ้งให้ทราบโดยละเอียดอีกครั้งนะคะ
__________________
Saaychol

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สายชล : 30-11-2010 เมื่อ 20:50
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #4  
เก่า 01-03-2011
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,809
Default


วิกฤตรุม 'ปะการัง' ลามทั่วโลกถึงไทย ................... โดย ศักดิ์สกุล กุลละวณิชย์



ปะการัง เป็นสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในทะเลอยู่ในชั้น 'แอน โธซัว' จัดเป็นพวกดอกไม้ทะเล ส่วนแนวปะการังนั้นสร้างขึ้นมาจากโครงสร้างของ 'ปะการังแข็ง' หรือปะการังที่ถูกรองรับด้วยชั้นของสารแคลเซียมคาร์บอเนตที่ผลิตขึ้นมาโดยสาหร่ายคอรอลลีน

แนวปะการังเป็นระบบนิเวศที่มีความหลากหลายมาก เป็นที่อยู่อาศัยของปลามากกว่า 4,000 ชนิด ชุมชนของหอยและสัตว์อื่นๆอีกเป็นจำนวนมาก รวมแล้วมีจำนวนประชากรสัตว์น้ำที่ได้ประโยชน์จากปะการังกว่า 275 ล้านตัวต่อแนวปะการังหนึ่งๆเลยทีเดียว

ในช่วงเวลาที่อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะช้างสั่งปิด 3 เกาะ หลังเกิดปัญหาปะการัง ฟอกขาว ซึ่งตายไปกว่า 90% ก็มีรายงานของ "บีบีซี อังกฤษ" ในเรื่องนี้ตรงกันพอดี

โดยมีผลการประเมินล่าสุดระบุว่า 3 ใน 4 ส่วนของแนวปะการังโลกกำลังเผชิญกับหายนะครั้งใหญ่

รายงานทางวิทยาศาสตร์ 20 กว่าชิ้น ที่ทางสถาบันทรัพยากรโลก (WRI) รวบ รวมและได้ข้อสรุปว่า มีสาเหตุสำคัญมาจากการทำประมงจับปลาและการเปลี่ยน แปลงของสภาพอากาศโลก

"ถ้าพวกเราไม่ทำอะไรกันเลยกับปัญหานี้ ผมเชื่อว่าอีกประมาณ 50 ปี ปะการังในแบบที่เรารู้จักจะไม่มีให้เห็นอีกต่อไป" ดร.มาร์ก สปอลดิง แห่งศูนย์วิจัยธรรมชาติประเทศอังกฤษกล่าว

"จะเห็นได้ว่า จากรายงานสภาพปะการังในปัจจุบันของสถาบันทรัพยากรโลก มีส่วนช่วยกระตุ้นให้เกิดการตื่นตัวทั้งในภาครัฐบาลประเทศต่างๆ, ภาคธุรกิจเอกชน ให้หันกลับมามองปัญหาและร่วมกันอนุรักษ์แนวปะการังชายฝั่งกันอีกครั้ง" เจน ลุบเชนโก ประธานกลุ่มอนุรักษ์ทะเลและอากาศแห่งสหรัฐกล่าว

"ตอนนี้ แน่ชัดแล้วว่า ตัวการของปัญหามาจากทั้งคนท้องถิ่นและสภาพอากาศโลกเปลี่ยนแปลง ซึ่งส่งผลร้ายแรงต่อปะการังทั่วโลก" ลุบเชนโกกล่าวย้ำ



สําหรับเรื่องการทำประมงจับปลาของประเทศต่างๆ จากรายงานระบุว่าเป็นตัวทำลายปะการังกว่าครึ่งหนึ่งของโลก เพราะมักเป็นการทำลายโดยตรง ปะการังไม่สามารถขึ้นใหม่ได้ทัน ยกตัวอย่างเช่นการใช้ระเบิดจับปลาในกลุ่มประเทศโลกที่สาม ที่มักทำให้แนวปะการังหายไปเป็นแถบๆ

ส่วนเรื่องสภาพอากาศ มีหลายสาเหตุย่อย เช่น มลพิษของน้ำทะเลแต่ละที่, ผลกระทบจากธุรกิจการท่องเที่ยว ไปจน ถึงปรากฏการณ์เอลนิโญ่ ซึ่งถ้าดูจากสถิติ ตัวเลขการเพิ่มขึ้นของมลพิษ และสภาพภูมิอากาศโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างถาวร ก็จะทำให้ 95% ของปะการังทั้งหมดถูก 'ฟอกขาว' และตายลงอย่างแน่นอน

"ปะการังกำลังถูกทำลายจากภาวะโลกร้อน เพราะปะการังนั้นอ่อนไหวต่อเรื่องอุณหภูมิอย่างมาก ถ้าน้ำร้อนขึ้นปฏิกิริยาการฟอกขาวก็จะเร็วขึ้น ในอนาคตผมหวังว่าภาวะโลกร้อนจะถูกชะลอจากการร่วมมือกันของทุกคน แต่นี่ก็ไม่ใช่สาเหตุเดียว ยังมีเรื่องอื่นอีกที่ต้องแก้ไข ถ้าเราอยากจะรักษาปะการังไว้" ดร.สปอลดิง แสดงความเห็น

หันมาดูในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งในรายงานระบุว่าเป็นภูมิภาคที่มีปัญหามากที่สุด และสภาพปัญหาส่วนใหญ่มาจากกิจกรรมของมนุษย์ เพราะในพื้นที่ที่มีคนอยู่มากอัตราของปะการังถูกทำลายก็มากไปด้วย คนอยู่น้อยปัญหาก็น้อยนั่นเอง

โดยกลุ่มประเทศที่มีปัญหาปะการังถูกทำลายอยู่ในอันดับต้นๆ ได้แก่ โคโมรอส ฟิจิ เฮติ อินโดนีเซีย คิริบาติ ฟิลิปปินส์ แทนซาเนีย และ วานูอาตู

อย่างไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกก็ยังให้ความหวังว่ายังพอมีทางออกในการที่จะช่วยเหลือปะการังที่ยังสมบูรณ์ไม่ถูกทำลาย

"ต้องเริ่มจากการลดกิจกรรมของคนในพื้นที่ เท่านี้ก็ซื้อเวลาได้บ้าง จากนั้นค่อยมาช่วยกันในเรื่องแก้ปัญหาภาวะโลกร้อน ซึ่งทำยากกว่า" ลอเร็ตตา เบิร์ก เจ้าหน้าที่อาวุโสของสถาบันทรัพยากรโลกกล่าว

"ในรายงานมีทางแก้ไขให้หลายวิธี และก็มีตัวอย่างในหลายพื้นที่ที่สามารถรักษาความสมบูรณ์ไว้ได้ ดังนั้น เราจึงต้องเรียนรู้จากกันและกัน เพราะถ้าทำไม่ได้ อีก 50 ปีเราจะเหลือเพียงก้อนหินปูนขาวๆ ที่มีปลาไม่กี่ตัวว่ายผ่านเท่านั้น" ดร.สปอลดิงกล่าวทิ้งท้าย




จาก ........................ ข่าวสด วันที่ 1 มีนาคม 2554
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #5  
เก่า 01-03-2011
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,809
Default


เตือนไม่ดูแลปะการังตอนนี้ อีก 50 ปีสูญพันธุ์หมด


นักอนุรักษ์ออกมาเตือน สถานการณ์น่าห่วงของปะการังทั่วโลก ซึ่งกำลังถูกคุกคาม ถึง 3 ใน 4 ของโลก โดยเฉพาะในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่ปะการังถูกคุกคามถึง 95% แจงหากไม่ดูแลตั้งแต่ตอนนี้ อีก 50 ปีปะการังสูญพันธุ์หมด เหลือแต่ซากหินปูนประดับท้องทะเลแน่ๆ


บีบีซีนิวส์ระบุว่า ความแข็งแรงของปะการังนั้นช่วยในการดำรงชีวิตผู้คนกว่า 275 ล้านคนทั่วโลก และส่วนใหญ่มีชีิวิตอยู่ด้วยการพึ่งพาความอยู่รอดของปะการัง (บีบีซีนิวส์)

นักวิทยาศาสตร์หลายร้อยชีวิตใช้เวลา 3 ปีรวบรวมข้อมูลเป็นรายงานสถานการณ์ความเสี่ยงของปะการังทั่วโลก ซึ่ง ริชาร์ด แบล็ค (Richard Black) ผู้สื่อข่าวสิ่งแวดล้อมของบีบีซีนิวส์ระบุว่า ตามข้อมูลของนักวิจัย สิ่งที่คุกคามปะการังรุนแรงสุดคือ การทำประมงอย่างเกินพอดี ส่วนการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะส่งผลกระทบต่อปะการังภายใน 20 ปี

รายงานฉบับนี้ เกิดจากความร่วมมือของกลุ่มวิจัยและองค์กรอนุรักษ์กว่า 20 แห่ง ซึ่งนำโดย สถาบันทรัพยากรโลก (World Resources Institute: WRI) ในวอชิงตัน ดีซี สหรัฐฯ ซึ่ง เจน ลุบเชนโค (Jane Lubchenco) จากองค์การสมุทรศาสตร์และบรรยากาศสหรัฐฯ หรือโนอา (National Oceanographic and Atmospheric Agency: NOAA) บอกว่า รายงานนี้เป็นเหมือน “เสียงปลุก” สำหรับนักนโยบายทั้งหลาย ผู้นำธุรกิจ ผู้มีหน้าที่ดูแลและจัดการทางมหาสมุทรและผู้ที่เกี่ยวข้องให้ตระหนักถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการปกป้องแนวปะการัง

“การคุกคามทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับโลก รวมถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ได้สร้างผลเสียหายอย่างมีนัยสำคัญต่อแนวปะการัง และทำให้อนาคตของระบบนิเวศน์ที่สวยงามและมีคุณค่านี้ต้องตกอยู่ภายใต้ความเสี่ยง” ลุบเชนโก ให้ความเห็น

รายงานประเมินสิ่งแวดล้อมนี้ ยังได้ทบทวนการทำประมงแบบเกินพอดี ที่พบในรายงานความเสี่ยงของปะการังเมื่อปี 1998 โดยได้เปลี่ยนแปลงและเพิ่มเติมรายละเอียดมากขึ้น ซึ่งตลอด 13 ปีที่ผ่านมา พบว่าพื้นที่ปะการังเสี่ยงต่อการถูกทำลายเพิ่มขึ้นเป็น 3 ใน 4 ของพื้นที่ทั้งหมด และสาเหตุหลักๆของความเสียหายที่เพิ่มขึ้นนั้น เกิดจากการทำประมงแบบเกินพอดี โดยเฉพาะในมหาสมุทรอินเดียและแปซิฟิก

โดยภาพรวม แนวปะการังของโลกมากกว่าครึ่งถูกคุกคามจากวิธีที่ชาวประมงใช้ ซึ่งมีตั้งแต่การจับสัตว์แบบธรรมดาๆ แต่มากเกินกว่าธรรมชาติจะฟื้นฟูได้ทัน ไปจนถึงการใช้วิธีจับปลาที่รุนแรง อย่างการใช้ระเบิดเพื่อทำให้ปลาตกใจหรือทำให้ตาย ซึ่งวิธีดังกล่าวได้ทำลายปะการังให้กลายเป็นเศษเล็กเศษน้อยด้วย นอกจากนี้ยังมีปัจจัยคุกคามสำคัญอีก ได้แก่ มลพิษที่ไหลมาตามแม่น้ำ การพัฒนาชายฝั่งและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

ทั้งนี้ หากสภาพภูมิอากาศนั้นเป็นไปตามคาดการณ์ ภายในปี 2030 ปะการังทั่วโลกจะฟอกขาวไปกว่าครึ่ง และเมื่อถึงปี 2050 จะมีปะการังฟอกขาวถึง 95%

แนวปะการัง เกิดจากตัวปะการังที่มีชีวิตอยู่ร่วมกับสาหร่าย ซึ่งให้สารอาหารที่ทำให้ปะการังมีสี แต่เมื่ออุณหภูมิน้ำร้อนเกินไป สาหร่ายจะถูกขับออกไป และตัวปะการังจะเปลี่ยนเป็นสีขาว แม้ว่าปะการังจะฟื้นตัวขึ้นมาได้ แต่หากเกิดปรากฏการณ์เช่นนี้บ่อยๆ ก็ทำให้ปะการังตายได้ง่ายๆเหมือนกัน

นอกจากนี้ค่าความเป็นกรดเป็นด่างในน้ำทะเลที่ค่อยๆลดลง ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อน้ำทะเลดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์มากขึ้น หรือการที่มหาสมุทรเกิดภาวะเป็นกรดนั้นเป็นภัยต่อการก่อโครงสร้างของปะการัง

มาร์ค สปัลดิง (Mark Spalding) นักวิทยาศาสตร์ทางทะเลอาวุโสจากองค์กรอนุรักษ์ธรรมชาติ (The Nature Conservancy) บอกว่า ตอนนี้ปะการังได้รับผลกระทบจากภาวะโลกร้อนแล้ว ซึ่งเขาเกรงว่าในอนาคตทั้งภาวะโลกร้อนและภาวะเป็นกรดของมหาสมุทร จะเป็นภัยคุกคามหลักต่อปะการัง และไม่มีภัยคุกคามใดที่ส่งผลกระทบต่อปะการังอย่างเดี่ยวๆ แต่มักจะมีหลากลหายปัจจัยรวมกัน ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเจ็บปวดยิ่ง


หากหยุดยั้งการทำประมงแบบเกินพอดีและมลพิษได้ก็จะช่วยรักษาปะการังไว้ได้ (บีบีซีนิวส์)

รายงานจากบีบีซีนิวส์ยังบอกด้วยว่า บริเวณเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นพื้นที่ซึ่งได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุด โดย 95% ของปะการังในบริเวณนี้ ได้รับการขึ้นบัญชีที่ถูกคุกคาม หากแต่ในแง่ผลกระทบต่อสังคมมนุษย์แล้ว การคุกคามดังกล่าวเป็นเพียงส่วนหนึ่งของความสมดุลเท่านั้น

นักวิจัยให้เหตุผลว่า สังคมที่จะได้รับผลกระทบหนักๆจากปะการังที่ลดจำนวนลง จะเป็นสังคมที่อยู่ในบริเวณที่มีการคุกคามสูง บริเวณที่มีสัดส่วนของประชากรที่พึ่งพิงปะการังในวิถีชีวิตมาก รวมถึงพื้นที่ที่ประชากรปรับตัวได้ต่ำ โดยประเทศที่มีปะการังตกอยู่ในความเสี่ยงสูง ได้แก่ คอโมโรส ฟิจิ เฮติ อินโดนีเซีย คิริบาส ฟิลิปปินส์ แทนซาเนีย และวานูอาตู

“ยังมีเหตุผลที่จะมีความหวัง เพราะปะการังนั้นฟื้นตัวเร็ว และด้วยการลดการคุกคามระดับท้องถิ่น เราสามารถช่วยซื้อเวลาในการหาทางแก้ไขเพื่อรับมือกับการคุกคามระดับโลก ซึ่งจะช่วยรักษาปะการังไว้สำหรับคนรุ่นต่อไปในอนาคต” ลอเรตตา เบิร์ก (Lauretta Burke) เจ้าหน้าที่อาวุโสจากสถาบันทรัพยากรโลกและเป็นหัวหน้าทีมในการเขียนรายงานให้ความเห็น

งานวิจัยยังแสดงให้เห็นว่า ความหลากหลายของสิ่งมีชีวิตในแนวปะการัง จะช่วยให้ปะการังแข็งแรงและทนทานต่ออุณหภูมิน้ำที่เพิ่มสูงขึ้นได้ ซึ่งในรายงานของบีบีซีนิวส์ได้เน้นว่า การปกป้องพื้นที่สำคัญของทะเลนั้นเป็นยุทธศาสตร์ที่ต้องทำให้ชัดเจน

นักวิทยาศาสตร์ระบุว่า มีพื้นที่ปะการังที่ต้องได้รับการปกป้องกว่า 2,500 พื้นที่ และแม้ว่าทั่วโลกจะมีการปกป้องพื้นที่เหล่านั้นไปมากกว่าครึ่ง แต่กลับเป็นเพียงการปกป้องแบบพอเป็นพิธีเท่านั้น มีเพียง 1 ใน 6 ของพื้นที่ทั้งหมดเท่านั้นที่ได้รับการปกป้องอย่างจริงจัง

“รายงานฉบับนี้ เต็มไปด้วยแนวทางแก้ไข มีตัวอย่างจริงในพื้นที่ซึ่งประชากรประสบความสำเร็จในการเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อมให้ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม หากเราไม่เรียนรู้จากความสำเร็จเหล่านั้น ผมคิดว่าในอีก 50 ปี ปะการังเกือบทั้งหมดก็จะหายไป เหลือเพียงซากหินปูนสึกกร่อนที่ปกคลุมไปด้วยสาหร่ายและรอยแทะเล็มจากปลาตัวเล็กๆจำนวนหนึ่ง” สปัลดิงกล่าว





จาก ..................... ผู้จัดการออนไลน์ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2554
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #6  
เก่า 08-05-2011
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,809
Default


เพาะพันธุ์ปะการัง แก้วิกฤติฟอกขาว



กลางปีที่แล้ว เกิดวิกฤติแนวปะการังทั่วทั้งโลกประสบปัญหาปะการังฟอกขาวขึ้นโดยมีสาเหตุจากน้ำทะเลมีอุณหภูมิเพิ่มขึ้นเป็นเวลานานเกินกว่าปะการังในทะเลจะดำรงชีวิตอยู่ได้ ประเทศไทยพบว่าแนวปะการังบริเวณอ่าวไทยฝั่งตะวันออก ได้รับความเสียหายอยู่ในระหว่าง 40-80% อันประกอบด้วย ปะการังเขากวาง ทั้งแบบกิ่งและแบบโต๊ะ ปะการังดอกกะหล่ำ ปะการังดอกเห็ด ปะการังฟอกขาวเคยเกิดขึ้นมาแล้ว 7-8 ครั้ง แต่ครั้งนี้ถือว่ามีความรุนแรงมากกว่าทุกครั้ง แหล่งท่องเที่ยวบางแห่งต้องงดการท่องเที่ยวดำน้ำดูปะการัง

บริษัทไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และกรมทรัพยากรชายฝั่งทะเล กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จับมือกันเพื่อผุดโครงการพลิกฟื้นชีวิตแนวปะการังให้กลับมาอยู่ในสภาพเดิม โดยเลือกฟื้นฟูแนวปะการังบริเวณหมู่เกาะสีชัง อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี มีขนาดพื้นที่ 0.63 ตารางกิโลเมตร หรือประมาณ 394 ไร่ ลักษณะโดยทั่วไปเป็นแนวปะการังแบบชายฝั่ง ปะการังที่พบส่วนใหญ่เป็นปะการังก้อน ปะการังดาวใหญ่ ปะการังวงแหวน และปะการังช่องเหลี่ยม นอกจากนั้นยังมีปะการังแบบกิ่ง เช่น ปะการังเขากวาง ปะการังดอกกะหล่ำ ปะการังแบบแผ่น เช่น ปะการังลายดอกไม้ ปะการังจาน เหมือนๆกับปะการังในแถบอ่าวไทยทั่วๆไป

ความเสียหายของแนวปะการังในแถบบริเวณหมู่เกาะสีชัง นอกจากเกิดจากการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิของระดับน้ำทะเลที่เพิ่มสูงขึ้นแล้ว ยังเกิดความเสียหายและเสื่อมโทรมจากสาเหตุทางธรรมชาติ เช่น การแตกหัก และการพลิกคว่ำจากคลื่นลมในช่วงฤดูมรสุม ที่สำคัญเกิดจากการกระทำของมนุษย์ ที่มีผลจากการท่องเที่ยวที่เพิ่มมากขึ้น ประกอบกับการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งในบริเวณดังกล่าวได้ขยายตัวออกไป

เกษมสันต์ จิณวาโส อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง(ทช.) เปิดเผยว่า ในการฟื้นฟูมี 2 วิธีใหญ่ๆ คือ การย้ายการปลูกปะการังและการเพิ่มพื้นที่ลงเกาะของตัวอ่อนปะการัง ซึ่งควรใช้ทั้งสองวิธีควบคู่กันไป รวมถึงมีมาตรการบริหารอื่นๆที่เหมาะสมและการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน นอกจากนี้การขยายพันธุ์จากเซลล์สืบพันธุ์ของปะการัง ได้มีการทดลองและดำเนินการคู่ขนานกันมา เพื่อเพิ่มศักยภาพการฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติทางทะเลให้กลับมามีชีวิตที่สมบูรณ์

“ ปัจจุบัน ปะการังที่เพาะขยายพันธุ์ได้ด้วยวิธีนี้มีมากกว่า 10 ชนิด มีอัตราการปฏิสนธิมากกว่าร้อยละ 95 อัตราการลงเกาะร้อยละ 50-75 และอัตราการรอดภายหลังการเลี้ยงเป็นเวลา 6 เดือน ร้อยละ 40-50 ที่สำคัญ ความร่วมมือครั้งนี้นับเป็นอีกก้าวหนึ่งที่สำคัญของทุกภาคส่วน ที่จะมาร่วมกันเริ่มต้นแก้ไขปัญหา” ศาสตราจารย์นายแพทย์ภิรมย์ กมลรัตนกุล อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าว

สุรงค์ บูลกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้สนับสนุนโครงการครั้งนี้ เปิดเผยว่า บริษัทเห็นความสำคัญของการรักษาสภาพแวดล้อมทั้งบนบกรวมถึงสิ่งแวดล้อมในทะเล ชุมชนที่ศรีราชาให้โอกาสเราทำงาน ประกอบกับเรามีนโยบายในการดูแลรักษาและเน้นการป้องกันผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นส่งผลให้ทะเลที่อยู่รายรอบโรงกลั่นยังอยู่ในสภาพที่ดี ชาวประมงหาเลี้ยงชีพได้ตามปกติ ชุมชนอยู่ได้ไทยออยล์ก็อยู่ได้ ดังนั้นการที่บริษัทสนับสนุนโครงการนี้ถือเป็นการดูแลชุมชนด้วย

“นอกจากนี้บริษัทฯยังมีโครงการนำหอกลั่นขนาดใหญ่ที่ไม่ได้ใช้งานแล้วไปทำแนวปะการังโดยมีการประสานกับกองทัพเรือ เพื่อใช้เป็นแหล่งอนุบาลกล้าปะการังได้อีกทางหนึ่ง” นายสุรงค์กล่าว

เหล่านี้คือความร่วมมือทั้งสามฝ่าย ทั้งภาครัฐ เอกชนและสถาบันการศึกษา ที่ร่วมกันกอบกู้วิกฤติที่เกิดจากมหันตภัยปะการังฟอกขาวให้กลับมาอยู่ในสภาพเดิม เพื่อสร้างสมดุลทางธรรมชาติให้กลับมาสู่ทะเลไทยอีกครั้งหนึ่ง.




จาก ................... เดลินิวส์ คอลัมน์ ชีวิตกับธรรมชาติ วันที่ 8 พฤษภาคม 2554
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #7  
เก่า 24-05-2011
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,809
Default


ปฏิบัติการพลิกฟื้น ปะการังไทยไม่ให้สูญพันธุ์



"ไทย" นับเป็นประเทศหนึ่งในโลกที่มีแนวปะการังอันอุดมสมบูรณ์และงดงามอยู่หลายจุดทั้งฝั่งอ่าวไทยและฝั่งอันดามัน

บรรดาสัตว์ทะเลต่างต้องพึ่งพาแนวปะการังเป็นที่หลบภัย เป็นแหล่งอาหาร และเป็นที่อยู่อาศัย ถือเป็นปัจจัยสำคัญในระบบนิเวศอันซับซ้อนใต้ท้องมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ เปรียบได้เช่นเดียวกัน กับตึกรามบ้านช่องในสังคมมนุษย์

หากจะกล่าวไปแล้วประเทศไทยนั้นมีรายได้หลักอันดับหนึ่งจากการท่องเที่ยว

แนวปะการังจึงถือเป็นหนึ่งในสิ่งดึงดูดใจนักท่องเที่ยวด้วยเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม ตลอดช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ระบบนิเวศปะการังทั่วโลกเสื่อมโทรมลงในอัตราที่รวดเร็วจนน่าตกใจ โดยปะการังเกือบร้อยละ 60 ถูกคุกคามจากพฤติกรรมของมนุษย์ จนทำให้ปะการังกว่าร้อยละ 30 ถูกทำลายหรือเสื่อมสภาพอย่างรุนแรง ไม่เว้นแม้แต่ในประเทศไทย ซึ่งมีสาเหตุมาจากการประมงแบบทำลายล้าง

สารเคมีที่ปล่อยลงสู่ทะเลทั้งทางเรือและตามแนวชายฝั่ง

รวมทั้งภาวะสภาพภูมิอากาศโลกเปลี่ยนแปลงอันเป็นผลมาจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศ


ย้อนกลับไปในปี 2553 กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช และสถาบันอุดมศึกษาต่างๆ ได้ร่วมกันสำรวจสภาพการฟอกขาวของปะการัง

รวมทั้งรวบรวมข้อมูลจากนักประดาน้ำในบริเวณต่างๆ พบว่า

แนวปะการังในทุกจังหวัดของฝั่งทะเล "อันดามัน" เกิดการฟอกขาวมากกว่าร้อยละ 70

ส่วนทางฝั่งอ่าวไทย พบว่ามีการฟอกขาวในปริมาณที่ต่ำกว่า โดยแนวปะการังที่ได้รับความเสียหายจากการฟอกขาวอยู่ในระดับที่แตกต่างกันไปขึ้นกับสถานที่ สภาพสิ่งแวดล้อม และการรบกวนของกิจกรรมของมนุษย์

ในแนวปะการังที่มีปะการังเขากวาง หรือปะการังประเภทกิ่งก้าน และปะการังแผ่น เป็นชนิดเด่น มีการตายของปะการังเป็นจำนวนมาก เช่น แนวปะการังทางทิศตะวันออกของหมู่เกาะสิมิลัน แนวปะการังทุกบริเวณของหมู่เกาะสุรินทร์ จ.พังงา และในบางบริเวณของเกาะห้าใหญ่ หมู่เกาะพีพี จ.กระบี่ พบว่า

ปะการังเขากวางประมาณราวร้อยละ 70-90 ตายและมีสาหร่ายขึ้นปกคลุม

ส่วนบริเวณอ่าวไทย โดยเฉพาะแนวปะการังในจ.ระยอง และกลุ่มเกาะช้าง จ.ตราด อันเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญมีปะการัง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มปะการังเขากวางที่ตายจากการฟอกขาวราวร้อยละ 35-60 ทางสมาคมวิทยาศาสตร์ทางทะเลแห่งประเทศไทย ระบุว่า

ปะการังได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง อันจะส่งผลให้ความหลากหลายทางชีวภาพในท้องทะเลลดลง ระบบนิเวศปะการังเสี่ยงต่อการถูกทำลายมากขึ้น

ทั้งยังส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตความเป็นอยู่และรายได้ของชุมชนชายฝั่ง เช่น ชาวประมง และผู้ประกอบการท่องเที่ยว รวมทั้งต่อเนื่องไปยังเศรษฐกิจโดยรวมของชาติ และภาพลักษณ์ของไทยในฐานะแหล่งท่องเที่ยวทางทะเลที่สวยงามติดอันดับโลก




เพื่อเป็นการสนับสนุนการหามาตรการแก้ไขพลิกฟื้นวิกฤตการณ์ดังกล่าว

ล่าสุด ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ หรือ "เนคเทค" ซึ่งจะมีอายุครบ 25 ปี ในเดือนก.ย.นี้ เป็นหน่วยงานภายใต้สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโน โลยีแห่งชาติ หรือสวทช. ของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

จึงทำงานร่วมกับคณะนักวิจัยทางทะเลของมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ สถาบันอุดมศึกษาในกำกับของรัฐแห่งแรกของไทย ตั้งอยู่ที่ อ.ท่าศาลา จ.นครศรีธรรมราช ภายใต้โครงการ "เครือข่ายศูนย์ความรู้เฉพาะด้านนิเวศวิทยาพยากรณ์และการจัดการ" (Centre of Excellence for Eco-Informatics) เพื่อเดินหน้าโครงการวิจัยต้นแบบของการนำระบบเครือข่ายเซ็นเซอร์มาใช้ติดตามการเปลี่ยนแปลงของลักษณะทางกายภาพของระบบนิเวศปะการังในไทย บริเวณรีสอร์ต บ้านรายา อ่าวขอนแค เกาะราชาใหญ่ ห่างจากฝั่ง จ.ภูเก็ต ไปราว 20 กิโลเมตร

โดย "ไทย" ถือเป็นประเทศแรกในเขตภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และประเทศที่ 4 ของโลกที่มีระบบเครือข่ายเซ็นเซอร์ศึกษาลักษณะทางกายภาพทางทะเลของแนวปะการังที่ทันสมัย ถัดจากประเทศออสเตรเลีย ไต้หวัน และเกาะมูกิ ในมหาสมุทรแปซิฟิก

ผศ.ดร.กฤษณะเดช เจริญสุธาสินี ผู้นำคณะนักวิจัยและอาจารย์ประจำสำนักวิชาวิทยาศาสตร์ ภาควิชาวิทยาศาสตร์เชิงคำนวณ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ กล่าวว่า

โครงการติดตั้งเครือข่ายเซ็นเซอร์ใต้ทะเลริเริ่มมาเป็นเวลาราว 3 ปีครึ่ง เพื่อเก็บข้อมูลนำไปศึกษาหาสาเหตุของปะการังฟอกขาวเป็นเวลา 10 ปี

ในระยะแรกใช้เซ็นเซอร์ชนิด HoBo จำนวน 10 ตัว ราคาตัวละ 3,000-4,000 บาท เป็นทุ่นขนาดเล็กนำไปผูกไว้กับเชือกใต้น้ำลึกลงไปราว 3-5 เมตร เพื่อวัดปริมาณแสงกับอุณหภูมิ ซึ่งเมื่อต้องการเก็บข้อมูลจะต้องประดาน้ำลงไปเพื่อนำเครื่องเก็บข้อมูลไปโหลดข้อมูลจากเซ็นเซอร์ดังกล่าว ส่งผลให้มีข้อเสียไม่สามารถวัดค่าต่างๆ ได้ในแบบต่อเนื่อง หรือเรียลไทม์ ทั้งยังมีปัญหาเพรียงเกาะเซ็นเซอร์ทำให้ขัดข้อง

ผศ.ดร.กฤษณะเดช กล่าวว่า ต่อมาในเดือนต.ค.2553 เนคเทคได้สนับสนุนอุปกรณ์ตรวจวัดน้ำทะเล หรือ "ซีทีดี" (Conductivity Temperature and Depth Pressure Sensor) จากออสเตรเลีย จำนวน 2 เครื่อง ราคาประมาณ 500,000 บาทต่อเครื่อง ให้นำมาทดลองใช้

ทางคณะจึงได้นำลงไปติดตั้ง โดยมีผู้เชี่ยวชาญจากออสเตรเลียมาช่วยติดตั้ง เนื่องจากออสเตรเลียเป็นผู้นำการใช้เซ็นเซอร์ชนิด ซีทีดี บริเวณแนวปะการัง "เกรท แบริเออร์ รีฟ" ซึ่งซีทีดีสามารถวัดค่า หรือพารามิเตอร์ เพิ่มได้อีกหลักๆ 2 ตัว ได้แก่ ความดันซึ่งจะทำ ให้รู้ความลึก และความเค็มของน้ำทะเลผ่านกระบวนการทางไฟฟ้าเคมีในการหาความต่างศักย์ไฟฟ้าแปลงออกมาเป็นปริมาณเกลือแกงหรือโซเดียมไอออน ที่อยู่ในรูปของโซเดียมคลอไรด์ในน้ำทะเล

นอกจากนั้น ในอนาคตจะหาเซ็นเซอร์ตรวจวัดค่าความเป็นกรดด่าง หรือพีเอช มาติดตั้งด้วย เนื่องจากปริมาณก๊าซคาร์บอนได ออกไซด์ที่มีอยู่มากในชั้นบรรยากาศละลายลงในทะเล ทำให้มีความเป็นกรดเพิ่มขึ้น (พีเอชลดลง) ซึ่งอาจเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลต่อปะการังเสื่อมโทรม

ผศ.ดร.กฤษณะเดช กล่าวอีกว่า เครื่องซีทีดีนั้นสามารถทำให้วัดค่าต่างๆ ได้แบบเรียลไทม์

โดยจะส่งข้อมูลผ่านสายเคเบิลขึ้นมายังสถานีวิจัยในบ้านรายา รีสอร์ท แอนด์ สปา ประกอบกับข้อมูลจากศูนย์ตรวจวัดสภาพอากาศบนบก ซึ่งติดตั้งไว้ที่อาคารระบบ "เซิร์ฟเวอร์" ของรีสอร์ต ส่งข้อมูลออกไปยังเนคเทค มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ และมหา วิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ซานดิเอโก รัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา หนึ่งในสมาชิกเครือข่ายสำรวจทรัพยากรแนวปะการัง หรือครีออน (CREON) ซึ่งข้อมูลนี้หน่วยงานทั่วโลกสามารถเข้ามาดูได้ผ่านโปรแกรมอาร์ดีวี คิดค้นโดยสำนักงานบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติของสหรัฐ หรือนาซ่า

ในอนาคตมีแผนจะเพิ่มเซ็นเซอร์ และนำไปติดตั้งในพื้นที่อื่นด้วย เช่น เกาะกระ จ.นครศรีธรรมราช ซึ่งมีปะการังจำนวนมากและเริ่มถูกรบกวนโดยเรือประมง




ด้านดร.ศรเทพ วรรณรัตน์ หัวหน้าห้องปฏิบัติการวิจัยการจำลองขนาดใหญ่ ของเนคเทค กล่าวว่า อุปกรณ์ซีทีดี ยังสามารถวัดพารามิเตอร์เกี่ยวกับเรื่องน้ำขึ้นน้ำลงได้ด้วย อันจะมีประโยชน์ในแง่ของการเก็บข้อมูลไปออกแบบการจำลองสภาพการขึ้นลงของน้ำอันจะส่งผลอย่างมากต่อความถูกต้องในการหามาตรการรับมือปรากฏการณ์ "สตอร์ม เซิร์จ" ที่จะทำให้เกิดน้ำท่วมชายฝั่งรุนแรง

ขณะเดียวกัน นายปิยะวัฒน์ เสงี่ยมกุล ประธานผู้จัดการโรงแรมบ้านรายา รีสอร์ท แอนด์ สปา กล่าวถึงการตัดสินใจสนับสนุนคณะนักวิจัย ว่า

เนื่องจากตนเป็นคนรักธรรมชาติและชื่นชอบการประดาน้ำ โดยได้มีโอกาสเข้ามาช่วยแม่บริหารรีสอร์ตหลังเรียนจบวิศว กรรมศาสตร์ไฟฟ้า จากมหาวิทยาลัยเทคโน โลยีมหานคร ซึ่งทุกวันตนจะดำน้ำลงไป เก็บขยะในอ่าวขอนแคของรีสอร์ต แต่ด้วยความที่ไม่มีความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับการอนุรักษ์มากนักจึงรู้สึกยินดีต้อนรับนักวิทยาศาสตร์และทุกหน่วยงานที่จะเข้ามาดำเนินการใดๆ เพื่อช่วยฟื้นฟูและอนุรักษ์ธรรมชาติในพื้นที่ไว้

นอกจากนี้ รีสอร์ตของตนยังมีความเพียบพร้อมด้านการสื่อสาร ไม่ว่าจะเป็นระบบ 3จี ไว-ไฟ และเครือข่ายอินเตอร์เน็ตผ่านสายเคเบิลใยแก้วนำแสง จึงคิดว่าเหมาะเป็นสถานที่สำหรับการทำวิจัยด้วย

นายปิยะวัฒน์ ยังระบุด้วยว่า บ้านรายาเป็นรีสอร์ตแห่งเดียวบนเกาะราชาใหญ่ที่รอดพ้นจากคลื่นยักษ์สึนามิเมื่อปี 2547 มาได้ ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะแนวปะการังที่อุดมสมบูรณ์ในอ่าวของรีสอร์ตตนเชื่อว่า สามารถลดทอนความรุนแรงของคลื่นมรณะดังกล่าวได้

การสนับสนุนอาคารศูนย์วิจัยในรีสอร์ตเป็นเหมือนการทำธุรกิจแบบวิน-วิน ตนได้มีส่วนอนุรักษ์ธรรมชาติ ทางรีสอร์ตสามารถใช้ข้อมูลเป็นสภาพอากาศแบบเรียลไทม์ให้ลูกค้าได้ทราบ กล้องที่ติดตั้งไว้ใต้ทะเลเพื่อติดตามดูปะการังก็สามารถถ่ายทอดมายังล็อบบี้ของโรงแรมได้ นับเป็นจุดขายที่โดดเด่นของรีสอร์ต นอกจากนี้ ประเทศชาติก็ยังได้ประโยชน์ด้วย ทุกคนได้ประโยชน์หมด

"ผมเกิดที่ภูเก็ต ผมเห็นความเปลี่ยนแปลงของระบบนิเวศ โดยเฉพาะปะการังว่ามันพังทลายไปรวดเร็วแค่ไหน นักท่องเที่ยวมาที่นี่มาเพราะต้องการธรรมชาติ ถ้าธรรมชาติพัง ผมก็พัง ชาวบ้านก็พัง ก็ต้องรีบป้องกันและแก้ไขกัน เพราะที่นี่เป็นเสมือนบ้าน ผมว่ายน้ำเป็นก็ที่อ่าวขอนแค ตอน 8 ขวบ มันอาศัยความผูกพันมากกว่า ผมแค่อยากได้ปะการังที่สวยงามในอ่าวนี้ไปนานๆ" ปิยะวัฒน์ กล่าว




จาก ................... ข่าวสด วันที่ 24 พฤษภาคม 2554
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
เก่า 27-03-2017
moon1245
ข้อความนี้ถูกลบโดย สายน้ำ.
ตอบ


กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 01:49


vBulletin รุ่น 3.8.10
สงวนลิขสิทธิ์ ©2000-2025, บริษัท Jelsoft Enterprises จำกัด
Ad Management plugin by RedTyger