เลือกสีตามสไลต์ที่คุณชอบ:
SaveOurSea.NET  

กลับไป   SaveOurSea.NET > สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม

ตอบ
 
Share คำสั่งเพิ่มเติม เรียบเรียงคำตอบ
  #1  
เก่า 03-11-2011
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,809
Default


อัลกอร์ น้ำท่วม การเมือง คนไทย ถึง จดหมายขอโทษธรรมชาติ…?


รูป
   
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #2  
เก่า 03-11-2011
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,809
Default


อัลกอร์ น้ำท่วม การเมือง คนไทย ถึง จดหมายขอโทษธรรมชาติ…? (ต่อ)



จาก ..................... ไทยรัฐ วันที่ 3 พฤศจิกายน 2554
รูป
   
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #3  
เก่า 03-11-2011
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,809
Default


โลกร้อนน้ำท่วม ตอนที่ 1


นักวิทยาศาสตร์มีความเชื่อว่าปรากฏการณ์โลกร้อน การเพิ่มปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ไปยังชั้นบรรยากาศ ทำให้เกิดปรากฏการณ์ฝนตกมากผิดปกติมากขึ้น และทำให้เพิ่มความเสี่ยงที่เกิดน้ำท่วมใหญ่ได้มาก

ประเทศไทยขณะนี้ซึ่งประสบสภาวะน้ำท่วม ก็ได้เป็นข่าวพาดหัวใหญ่ของสำนักข่าวใหญ่อย่าง ซีเอ็นเอ็น บีบีซีและอีกหลายแห่ง ซึ่งก็สร้างผลกระทบต่อประเทศหนักมาก ทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม และอาจจะส่งผลกระทบทางการเมืองที่ต้องการวิธีการวางแผนแก้ปัญหาที่ดีขึ้นในอนาคต ทุกประเทศก็เป็นเช่นนี้

ในงานวิจัยล่าสุดซึ่งมีนักวิจัยสองกลุ่มที่ได้มีงานวิจัยตีพิมพ์ในวารสารเนเจอร์ หรือ เรื่องของธรรมชาติ โดยใช้ข้อมูลจริงที่เกิดขึ้นในอดีตมาวิเคราะห์และสร้างเป็นแบบจำลองทางคอมพิวเตอร์เพื่อหาข้อสรุปจากผลการทดลอง กลุ่มแรกสามารถพิสูจน์ได้ว่ามีความเชื่อมโยงที่ชัดเจนระหว่างสภาวะเรือนกระจกที่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกไปกับการสังเกตการณ์เรื่องปริมาณน้ำฝนซึ่งมีความผิดปกติมากขึ้น โดยเฉพาะโลก ซีกด้านเหนือก็คือ ยุโรป อเมริกาเหนือ เอเชีย ก็ตั้งแต่ สิงคโปร์ และไทยขึ้นไปถึงไซบีเรีย ส่วนอีกกลุ่มหนึ่ง วิจัยพบว่าสภาวะเรือนกระจก โลกร้อน น่าจะทำให้เกิดน้ำท่วมใหญ่ที่ประเทศอังกฤษเมื่อปี 2000 ที่ผ่านมา โดยมีการนำหลักฐานการบันทึกปริมาณน้ำฝนในประเทศอังกฤษและเวลส์ (England and Wales) ตั้งแต่ปี 1766 หรือเกือบ 250 ปีมาทำการวิเคราะห์

น้ำท่วมในประเทศอังกฤษครั้งนั้น ทำให้หมู่บ้านแฮมเชียร์อยู่ใต้น้ำ 6 สัปดาห์และทำให้ประเทศเสียหาย ไปประมาณ 50,000 ล้านบาท และยังมีนักวิจัยอีกทีมหนึ่ง นำโดยมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด (Oxford University) ได้ทำการคำนวณโดยใช้แบบจำลองทางคอมพิวเตอร์จากสภาพบรรยากาศของโลกโดยที่ยังไม่นำผลของการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และสภาพสภาวะเรือนกระจกอื่นใดที่เกิดจากน้ำมือมนุษย์มาคิด

เพื่อสร้างผลการพยากรณ์รูปแบบของปริมาณน้ำฝนแล้วนำผลอันนี้มาดูปริมาณน้ำฝนที่ตกลงบริเวณต่าง ๆ และวัดดูผลกระทบปริมาณที่ไหลลงสู่แม่น้ำสายต่าง ๆ ทั่วประเทศอังกฤษและเวลส์ และหลังจากนั้น มาเทียบเคียงกับความเป็นจริงที่เกิดขึ้นเมื่อตอนน้ำท่วมใหญ่ปี 2000 ปรากฏว่าผลของการปล่อยก๊าซในสภาวะ เรือนกระจกทำให้เกิดน้ำท่วมอย่างผิดปกติ

ดร.พาร์ดีพ พอลล์ หัวหน้านักวิจัยของมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด ระบุไว้ว่า “เราพบว่าการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทำให้เกิดน้ำท่วมมากขึ้นผิดปกติอย่างเห็นได้ชัดในปี 2000 ซึ่งทำให้น้ำท่วมมากขึ้นเป็นเท่าตัวเลยทีเดียว”

ซึ่งก็สรุปได้ว่าในส่วนของกลุ่มประเทศอังกฤษ เชื่อว่าโลกร้อนทำให้เกิดสภาวะน้ำท่วมใหญ่ ในตอนหน้าผมจะได้นำผลวิจัยจากแคนาดาซึ่งอยู่ทวีปอเมริกาเหนือมานำเสนอให้ท่านผู้อ่าน รวมทั้งผลกระทบจาก ปรากฏการณ์เอลนิโน (El Nino)

เมื่อทราบแล้วรัฐบาลและฝ่ายการเมืองได้มีผลกระทบอย่างไร ก็ติดตามได้ในบทความต่อไป.




จาก .................. เดลินิวส์ คอลัมน์โลกาภิวัฒน์ โดย รศ.ดร.บุญมาก ศิริเนาวกุล อธิการบดีมหาวิทยาลัยนานาชาติแสตมฟอร์ด วันที่ 3 พฤศจิกายน 2554
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #4  
เก่า 05-11-2011
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,809
Default


วันที่โลกปราศจากน้ำแข็ง .................... โดย โรเบิร์ต คุนซิก


เมื่อ 56 ล้านปีก่อน การเพิ่มขึ้นอย่างเป็นปริศนาของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในบรรยากาศ ส่งผลให้อุณหภูมิโลกพุ่งพรวด ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในชั่วพริบตาของธรณีกาลนี้ทำให้สรรพชีวิตพลิกผันไปตลอดกาล

โลกเมื่อราว 56 ล้านปีก่อนผิดแผกจากโลกในปัจจุบัน มหาสมุทรแอตแลนติกยังไม่เปิดเต็มที่ และส่ำสัตว์ซึ่งอาจรวมถึงบรรพบุรุษไพรเมตของมนุษย์ สามารถเดินทางจากเอเชียผ่านยุโรปข้ามกรีนแลนด์ไปถึงอเมริกาเหนือได้ โดยไม่เห็นหิมะสักปุยเดียว กระทั่งก่อนหน้าช่วงเวลาดังกล่าว โลกก็อุ่นกว่าทุกวันนี้มากแล้ว แต่ในช่วงรอยต่อระหว่างสมัยพาลีโอซีนกับอีโอซีน โลกกลับอุ่นขึ้นมากอย่างรวดเร็ว

สาเหตุคือการปล่อยคาร์บอนครั้งใหญ่อย่างฉับพลันเมื่อเทียบกับธรณีกาล เพียงแต่ปริมาณคาร์บอนที่ปล่อยขึ้นสู่บรรยากาศในช่วงความร้อนสูงสุดในสมัยพาลีโอซีน-อีโอซีนหรือพีอีทีเอ็ม (Paleocene-Eocene Thermal Maximum: PETM) ยังไม่แน่ชัด ประมาณคร่าวๆ ว่าน่าจะสูสีกับการปล่อยคาร์บอนในปัจจุบันถ้ามนุษย์เผาถ่านหิน น้ำมัน และก๊าซธรรมชาติทั้งหมดที่มีอยู่ในโลก ช่วงพีอีทีเอ็มกินเวลายาวกว่า 150,000 ปี กระทั่งคาร์บอนส่วนเกินถูกดูดซับไปสิ้น ก่อให้เกิดภัยแล้ง อุทกภัย แมลงระบาด และสิ่งมีชีวิตบางชนิดสูญพันธุ์ไป แม้ชีวิตบนโลกยังอยู่รอดปลอดภัย ซ้ำยังเจริญงอกงามเสียด้วย แต่ก็เปลี่ยนโฉมหน้าไปอย่างลิบลับ ปัจจุบันผลกระทบทางวิวัฒนาการที่เกิดจากปรากฏการณ์คาร์บอนพุ่งสูงในครั้งนั้น พบเห็นได้รอบตัวเรา หรือจะว่าไปก็รวมถึงตัวเราด้วย และทุกวันนี้พวกเรากำลังทำให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเสียเอง

คาร์บอนทั้งหมดเหล่านั้นมาจากไหน เรารู้ว่าคาร์บอนส่วนเกินในบรรยากาศตอนนี้มาจากตัวเรา แต่เมื่อ 56 ล้านปีก่อนยังไม่มีมนุษย์ แล้วยิ่งไม่ต้องพูดถึงรถยนต์และโรงไฟฟ้า คาร์บอนพุ่งสูงช่วงพีอีทีเอ็มมีแหล่งที่มาที่เป็นไปได้หลายแหล่ง เป็นต้นว่าเกิดการระเบิดครั้งใหญ่ของภูเขาไฟหลายครั้ง ซึ่งปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากตะกอนอินทรีย์ก้นสมุทรออกมา ไฟป่ายังอาจเผาผลาญตะกอนพีตในสมัยพาลีโอซีน หรือจะเป็นดาวหางยักษ์ที่พุ่งชนหินคาร์บอเนต จนเป็นสาเหตุของการปล่อยคาร์บอนปริมาณมหาศาลอย่างรวดเร็ว

สมมุติฐานเก่าแก่ที่สุดและยังคงเป็นที่ยอมรับมากที่สุดคือ คาร์บอนส่วนใหญ่มาจากตะกอนมหาศาลของมีเทนไฮเดรต ซึ่งเป็นสารประกอบประหลาดคล้ายน้ำแข็ง มีโมเลกุลของน้ำหลายโมเลกุลก่อตัวล้อมรอบโมเลกุลมีเทนเดี่ยวๆ ไฮเดรตจะคงตัวที่ความดันสูงและอุณหภูมิต่ำในช่วงแคบๆเท่านั้น ทุกวันนี้เราพบตะกอนไฮเดรตปริมาณมากใต้เขตทุนดราของอาร์กติกและใต้พื้นสมุทร ในช่วงพีอีทีเอ็ม ความร้อนแรกเริ่มมาจากไหนสักแห่ง อาจเป็นภูเขาไฟหรือวงโคจรของโลกที่ปรวนแปรเล็กน้อย จนทำให้บางส่วนของโลกได้รับแสงอาทิตย์มากกว่าปกติ อาจส่งผลให้ไฮเดรตหลอมละลายจนโมเลกุลมีเทนหลุดจากวงล้อมของน้ำและลอยขึ้นสู่บรรยากาศ

สมมุติฐานดังกล่าวช่างน่าพรั่นพรึง ก๊าซมีเทนในบรรยากาศทำให้โลกร้อนได้มากกว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ถึงกว่า 20 เท่าเมื่อเทียบโมเลกุลต่อโมเลกุล พอผ่านไป 10 ปีหรือ 20 ปี มันจะทำปฏิกิริยากับออกซิเจนกลายเป็นก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และทำให้โลกร้อนต่อไปอีกนาน นักวิทยาศาสตร์หลายคนเตือนว่า ความร้อนจากการเผาเชื้อเพลิงฟอสซิลในยุคปัจจุบัน อาจนำไปสู่การปล่อยก๊าซมีเทนครั้งใหญ่จากทะเลลึกและขั้วโลกเหนือ

ขณะที่มหาสมุทรดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ซึ่งทำให้โลกร้อน น้ำทะเลก็กลายเป็นกรดมากขึ้น และจะเป็นเช่นนี้ต่อไปในศตวรรษหน้า เมื่อระดับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์พุ่งสูงอีกครั้ง หลักฐานนี้พบเห็นได้ในตะกอนใต้ทะเลลึกบางแห่งซึ่งบ่งชี้ถึงช่วงพีอีทีเอ็มอย่างชัดเจน

ในช่วงพีอีทีเอ็ม มหาสมุทรที่เป็นกรดจะละลายแคลเซียมคาร์บอเนตไปหมด พอถึงจุดนี้ เราอาจนึกถึงชะตากรรมที่ตามมาได้ไม่ยาก เมื่อน้ำทะเลที่เป็นกรดทำลายล้างสรรพชีวิตจำนวนมหาศาล โดยเฉพาะการกัดกร่อนเปลือกและโครงสร้างหินปูนของปะการัง หอยกาบ และฟอแรม ซึ่งเป็นสภาพการณ์ที่นักวิทยาศาสตร์หลายคนในปัจจุบันคาดว่าอาจเกิดขึ้นในศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด

หากพิจารณาระดับความเป็นกรดของมหาสมุทร นักวิทยาศาสตร์ประเมินว่า การพุ่งสูงระลอกแรกน่าจะมีคาร์บอนราวสามล้านล้านตันเข้าสู่บรรยากาศ จากนั้นอีก 1.5 ล้านล้านตันจึงค่อยๆปล่อยออกมา ปริมาณรวม 4.5 ล้านล้านตันนั้นใกล้เคียงกับปริมาณคาร์บอนทั้งหมด ที่คาดการณ์กันในปัจจุบันว่าน่าจะกักเก็บอยู่ในแหล่งเชื้อเพลิงฟอสซิลที่มีอยู่ในโลก การพุ่งสูงครั้งแรกสอดคล้องกับการปล่อยคาร์บอนของมนุษย์ในอัตราปัจจุบันเป็นเวลา 300 ปี ถึงแม้ข้อมูลจะไม่แน่นอน แต่นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่ก็สันนิษฐานว่า การปล่อยคาร์บอนในช่วงพีอีทีเอ็มนั้นเกิดขึ้นช้ากว่ามากโดยใช้เวลาหลายพันปี

ไม่ว่าการปล่อยคาร์บอนจะเร็วหรือช้า กระบวนการทางธรณีวิทยาต้องใช้เวลาในการกำจัดนานกว่ามาก ขณะที่คาร์บอเนตบนพื้นสมุทรละลายความเป็นกรดก็ลดลง มหาสมุทรจึงดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากขึ้น และภายในไม่กี่ร้อยปีหรือพันปีหลังการปล่อยคาร์บอนอย่างฉับพลัน ช่วงที่ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในบรรยากาศมีปริมาณสูงสุดก็ผ่านไป ในเวลาเดียวกัน ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ละลายอยู่ในเม็ดฝน ก็ชะล้างแคลเซียมจากหินและดินไหลลงสู่ทะเล ไปรวมกับคาร์บอเนตไอออนเพื่อสร้างแคลเซียมคาร์บอเนตเพิ่มขึ้น ฝนค่อยๆชะก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ส่วนเกินในบรรยากาศ และกลายเป็นหินปูนที่ก้นทะเลในที่สุด แล้วสภาพอากาศก็ค่อยๆกลับคืนสู่สภาวะก่อนหน้า

การเผาผลาญเชื้อเพลิงฟอสซิลปลดปล่อยคาร์บอนกว่า 300,000 ล้านตันนับตั้งแต่ศตวรรษที่สิบแปด นั่นอาจยังไม่ถึงหนึ่งในสิบของคาร์บอนที่กักเก็บอยู่ใต้ดิน หรือคาร์บอนที่ปล่อยออกมาในช่วงพีอีทีเอ็มด้วยซ้ำ จริงอยู่ที่ว่าช่วงเวลาอันไกลโพ้นนั้นไม่ได้ให้คำตอบว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตบนโลก ถ้าเราเลือกเผาผลาญเชื้อเพลิงฟอสซิลที่เหลือ เป็นไปได้ว่าอาจเกิดการเปลี่ยนแปลงทางวิวัฒนาการอย่างขนานใหญ่ และเมื่อคำนึงถึงความกดดันอีกสารพัดที่มีต่อสิ่งมีชีวิต นั่นอาจทำให้เกิดการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ ช่วงพีอีทีเอ็มแค่ช่วยให้เราประเมินทางเลือกที่มีอยู่เท่านั้น ช่วงเวลาหลายสิบล้านปีนับจากนี้ ไม่ว่าโฉมหน้าของมนุษยชาติจะเป็นอย่างไร รูปแบบของชีวิตทั้งหมดบนโลกอาจผิดแผกไปจากสิ่งที่ควรจะเป็นอย่างสิ้นเชิง เพียงเพราะวิธีในการเติมพลังงานเพื่อขับเคลื่อนชีวิตของเราในระยะเวลาเพียงไม่กี่ร้อยปี.




จาก ...................... ไทยโพสต์ วันที่ 5 พฤศจิกายน 2554
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #5  
เก่า 11-11-2011
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,809
Default


อีก 5 ปี โลกเสี่ยงร้อนขึ้นถาวร ระวัง 'น้ำท่วม' ใหญ่กว่าเดิม!?



ผู้เชี่ยวชาญชี้โลกถึงขั้นวิกฤติ หากไม่ลดการใช้เชื้อเพลิงซากดึกดำบรรพ์อย่างรวดเร็วใน 5 ปี สภาพอากาศจะเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล

สถานการณ์โลกในปัจจุบัน อากาศตามภูมิภาคต่างๆของโลกเกิดความแปรปรวน เป็นเหตุให้ดินฟ้าอากาศทุกมุมโลกวิปริตผิดจากเดิมและทำให้เกิดภัยธรรมชาติที่รุนแรงเล่นงานมนุษยชาติหนักหน่วงอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในโลกยุคดิจิตอล ทุกประเทศทั่วโลกต่างได้รับผลกระทบจากสภาพอากาศของโลกทั้งสิ้น ไม่เว้นแม้แต่ประเทศไทยที่กำลังเผชิญมหาอุทกภัยในเวลานี้

อย่างไรก็ดี ดินฟ้าอากาศที่เปลี่ยนแปลงไปและสาเหตุที่ทำให้โลกร้อนขึ้นถึงขั้นวิกฤติที่อาจส่งผลให้ความร้ายแรงของภัยธรรมชาติเพิ่มมากขึ้นเกิดจากหลายสาเหตุ หนึ่งในนั้นมาจากการที่ทั่วโลกใช้เชื้อเพลิงซากดึกดำบรรพ์อย่างไม่บันยะบันยัง ซึ่งจะทำให้สภาพอากาศของโลกเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล

นายฟาติธ์ บิโรล หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์สำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ(ไออีเอ)เปิดเผยว่า จากการวิเคราะห์ของไออีเอพบว่า หากทั่วโลกไม่ลดการใช้พลังงานเชื้อเพลิงซากดึกดำบรรพ์ เช่น น้ำมันดิบ แก๊สธรรมชาติ และถ่านหินอย่างสิ้นเปลืองในภาคส่วนต่างๆภายใน 5 ปี จะเป็นการปิดกั้นความเป็นไปได้ที่จะหยุดภาวะโลกร้อนให้อยู่ในระดับที่ปลอดภัย และหากไม่เปลี่ยนพฤติกรรมการใช้พลังงานอย่างรวดเร็วจะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศของโลกตลอดไปและไม่สามารถแก้ไขได้

นายฟาติธ์ เปิดเผยอีกว่า หากโลกยังคงมีอุณหภูมิเพิ่มขึ้นไม่แต่เกิน 2 องศาเซลเซียส ยังจัดอยู่ในระดับปลอดภัย เพราะการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศต้องไม่เกิน 450 ส่วนในล้านส่วน ซึ่งในปัจจุบันมีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศอยู่ที่ 390 ส่วนในล้านส่วน หรือร้อยละ 80 ของจำนวนคาร์บอนที่ปล่อยในชั้นบรรยากาศได้โดยไม่เป็นอันตรายต่อโลก และในอนาคตก็จะมีใช้พลังงานมากขึ้นเรื่อยๆ โดยไออีเอคำนวณว่าในปี 2015 จะมีการปล่อยคาร์บอนอย่างน้อยร้อยละ 90 จากการใช้พลังงานในภาคส่วนต่างๆ และโรงงานอุตสาหกรรม และในปี 2017 ทั่วโลกจะปล่อยคาร์บอนเข้าสู่ชั้นบรรยากาศจนถึงระดับที่เป็นอันตรายต่อโลกและทำให้โลกร้อนขึ้น

“อนุสัญญาเกียวโตซึ่งเป็นข้อตกลงให้ประเทศที่ร่ำรวยยอมลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจะสิ้นสุดในปี 2012 แม้ทั้งรัสเซียและญี่ปุ่นต่างมีข้อตกลงกันเมื่อเร็วๆ นี้ ที่จะทำข้อตกลงเรื่องการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปี 2018หรือ2020 แต่จะช้าเกินไป หากไม่มีข้อตกลงระหว่างประเทศในเร็วๆ นี้ ผลกระทบจากการปล่อยคาร์บอนในชั้นบรรยากาศมากเกินไปจะเกิดขึ้นในปี 2017 และเราจะหมดโอกาสในการกลับมาเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศของโลกตลอดไป” หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ไออีเอกล่าว




จาก ...................... เดลินิวส์ วันที่ 11 พฤศจิกายน 2554
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #6  
เก่า 19-11-2011
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,809
Default


ธารน้ำแข็งที่ราบสูงชิงไห่-ทิเบต หดปีละ 7.8 เมตร


ทิวทัศน์ธารน้ำแข็ง Karuola Glacier

ซินหวาเน็ต--หน่วยงานวิทยาศาสตร์ กรมอุตุนิยมวิทยาแห่งประเทศจีน แถลงเมื่อวันที่ 16 พ.ย. เผยรายงานการประเมิน 'การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของประเทศครั้งที่สอง' ระบุจากช่วงปี 2494 ถึงปี 2552 อุณหภูมิเหนือพื้นดินประเทศจีน โดยเฉลี่ย เพิ่มสูง 1.38 องศาเซลเซียส โดยอุณหภูมิสูงขึ้นในอัตรา 0.23 องศาเซลเซียสในทุก 10 ปี

นอกจากนี้ ในแต่ปี ธารน้ำแข็งบนที่ราบสูงชิงไห่-ทิเบต หดหายไป 7.8 เมตร

ระดับน้ำทะเลที่ชายฝั่งสูงขึ้นในอัตราปีละ 2.5 มิลลิเมตร

ทศวรรษที่ 90 ของศตวรตวรรษที่ 20 การสะสมของหิมะในแต่ละวันระหว่างช่วงฤดูหนาวและฤดูใบไม้ผลิมีแนวโน้มลดลง และในช่วงหลังๆมานี้ ยังพบว่าธารน้ำแข็งบนNyainqentanglha Range หนึ่งในเทือกเขาสำคัญที่ตั้งอยู่ตอนกลางของภาคตะวันออกทิเบต เกิดการเปลี่ยนแปลงมาก ธารน้ำแข็งในเขต Naimona Nyi บนเทือกเขาหิมาลัยก็กำลังละลายตัวอย่างรวดเร็ว ระหว่างปี 2519-2549 ปลายธารน้ำแข็ง หดในอัตราโดยเฉลี่ยต่อปี ที่ประมาณ 5 เมตร โดยระหว่างปี 2547-2549 อัตราการหดตัวของธารน้ำแข็งเป็นไปอย่างรวดเร็วในอัตราเฉลี่ยปีละ 7.8 เมตร แสดงถึงแนวโน้มการหดตัวอย่างรวดเร็วมากขึ้นในระยะหลังมานี้



นักวิจัยศูนย์วิจัยสภาพภฒิอากาศแห่งประเทศจีน นาย หลัว หย่ง กล่าวว่า จากปี 2494 เป็นต้นมา สภาพอุณหภูมิสูง อุณหภูมิต่ำ ระดับน้ำลด และการกลายสภาพเป็นทะเลทราย ตลอดจนสภาพอากาศที่รุนแรงอื่นๆ ได้เกิดขึ้นบ่อยครั้งและมีความรุนแรงมากขึ้น

ผู้เชี่ยวชาญยังได้ชี้ว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ที่ทำให้เกิดกรณีสภาพอากาศที่รุนแรงบ่อยครั้งขึ้นนั้น ยังส่งผลต่อสุขภาพผู้คน และผลกระทบในด้านลบ และควรมีการรณรงค์ให้ประชาชนหันมาสนใจลดการแพร่กระจายความร้อน ร่วมมือในการสร้างสังคมคาร์บอนต่ำ( low-carbon life)

เนื่องจากภาวะโลกร้อน สภาพที่ธารน้ำแข็งบนที่ราบสูงชิงไห่-ทิเบตกำลังละลายอย่างรวดเร็ว

จากการสำรวจ บริเวณพื้นที่ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเนือ ภาคกลาง และภูมิภาคอื่นๆในประเทศจีน ในช่วงเกือบ 50 ปี มานี้ มีการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และได้ส่งผลกระมบต่อผลผลิตการเกษตร พื้นดินเสียหายทำประโยชน์ไม่ได้และกลายสภาพเป็นดินเค็ม ทำให้เกิดการระบาดโรคพญาธิใบไม้ในเลือด โรคทางเดินลมหายใจและโรคระบาดอื่นๆ โดยอัตราการระบาดสูงมากขึ้น


ธารน้ำแข็งในเขต Nyinchi อำเภอ Bowo ตั้งอยู่ด้านตะวันออกเฉียงใต้ของทิเบต (บันทึกภาพเมื่อวันที่ 20 กันยายน)

บริเวณภาคใต้ ระดับผิวน้ำทะเลในทะเลใต้ สูงขึ้น จากปี 2536 ถึง 2549 ระดับผิวน้ำทะเลในทะเลใต้สูงขึ้นในอัตราเฉลี่ย 3.9 มิลลิเมตรต่อปี าสำหรับภูมิภาคตะวันตกเฉียงใต้ ช่วง 40 ปี สุดท้ายของศตวรรษที่ 20 บนที่ราบสูงซื่อชวน (หรือเสฉวน) ที่ราบสูงอวิ๋นกุ้ย มีแนวโน้มอุณหภูมิสูงขึ้นๆอย่างชัดเจน อุณหภูมิในบริเวณที่ราบลุ่มเสฉวนมีแนวโน้มลดลงอย่างชัดเจน ปริมาณฝนตกในแต่ละวันก็น้อยลง

ห้าปีมานี้ สามารถลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ 1,460 ล้านตัน

จากปี 2549 ถึงปี 2553 ระดับการบริโภคพลังงานต่อหน่วยจีดีพี (energy consumption per unit GDP) ลดลง 19.1 เปอร์เซนต์ การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ลดลง 1,460 ล้านตัน

ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า กองหินที่เชิงเขา Naimona Nyi ที่ทอดตัวต่อเนื่องยาวนับสิบกิโลเมตร เคยเป็นตะกอนที่เกิดจากสิ่งมีชีวิต (Sediment)ในธารน้ำแข็ง

แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมระยะเวลา 5 ปี ฉบับที่ 11 การพัฒนาพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) ก้าวหน้าอย่างก้าวกระโดด ปลายปี 2553 ปริมาณการใช้พลังงานหมุนเวียน เท่ากับ 300 ล้านตัน Standard coal คิดเป็นสัดส่วน 9.6 เปอร์เซนต์ ของปริมาณการบริโภคพลังงานทั้งหมด


ที่นี่เคยเป็นปลายธารน้ำแข็ง ขณะนี้เหลือเพียงตะกอนหลังจากที่ธารน้ำแข็งละลายหมดแล้ว กลายเป็นก้อนหินที่ไร้ประโยชน์ทอดยาว





จาก ..................... ผู้จัดการออนไลน์ วันที่ 18 พฤศจิกายน 2554

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #7  
เก่า 22-11-2011
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,809
Default


ก๊าซเรือนกระจกพุ่งทุบสถิติ เลยสถานการณ์เลวร้ายสุด


จาก ..................... ไทยรัฐ วันที่ 22 พฤศจิกายน 2554
รูป
 
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
ตอบ


กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 07:45


vBulletin รุ่น 3.8.10
สงวนลิขสิทธิ์ ©2000-2025, บริษัท Jelsoft Enterprises จำกัด
Ad Management plugin by RedTyger