เลือกสีตามสไลต์ที่คุณชอบ:
SaveOurSea.NET  

กลับไป   SaveOurSea.NET > สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม

ตอบ
 
Share คำสั่งเพิ่มเติม เรียบเรียงคำตอบ
  #1  
เก่า 16-01-2020
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันพฤหัสบดีที่ 16 มกราคม 2563

ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา


สภาวะอากาศทั่วไป

ประเทศไทยตอนบนมีหมอกในตอนเช้าและมีหมอกหนาบางพื้นที่ ในตอนกลางวันมีแสงแดดจัด บริเวณพื้นราบของภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือยังคงมีอากาศหนาวเย็นในตอนเช้า ส่วนยอดดอยและยอดภูมีอากาศหนาวถึงหนาวจัด และมีน้ำค้างแข็งบางพื้นที่ ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนระวังการสัญจรผ่านบริเวณที่มีหมอกหนาไว้ด้วย สำหรับภาคตะวันออก ภาคกลาง รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล มีฝนฟ้าคะนองเกิดขึ้นในระยะนี้ ส่วนภาคใต้มีฝนน้อย สำหรับฝุ่นละออง ในระยะนี้มีฝุ่นละอองปกคลุมภาคกลาง รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑลเป็นจำนวนมาก คาดว่าจะแผ่ขยายเพิ่มความเข้มข้นมากขึ้น และฝุ่นละอองเหล่านี้จะลดลงหลังวันที่ 17 ม.ค. 63 เนื่องจากบริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นจากประเทศจีนระลอกใหม่จะแผ่ลงมาปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือ


กรุงเทพมหานครและปริมณฑล

มีหมอกในตอนเช้า โดยมีฝนเล็กน้อยบางแห่ง อุณหภูมิต่ำสุด 24-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 33-35 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-20 กม./ชม.


คาดหมาย

ในช่วงวันที่ 15 - 16 ม.ค. 63 ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือยังคงมีอากาศเย็นถึงหนาวกับมีหมอกในตอนเช้า บริเวณยอดดอยและยอดภูมีอากาศหนาวถึงหนาวจัดและมีน้ำค้างแข็งบางพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 5-14 องศาเซลเซียส ส่วนภาคกลาง ภาคตะวันออก รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑลมีฝนเล็กน้อยบางแห่ง สำหรับภาคใต้ยังคงมีฝนน้อย

ส่วนในช่วงวันที่ 17 - 21 ม.ค. 63 ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีอากาศเย็นถึงหนาว อุณหภูมิจะลดลง 1-2 องศาเซลเซียส สำหรับบริเวณยอดดอยและยอดภูมีอากาศหนาวถึงหนาวจัดและมีน้ำค้างแข็งบางพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 3-12 องศาเซลเซียส ส่วนภาคกลาง ภาคตะวันออก รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑลมีฝนฟ้าคะนองเพิ่มขึ้น สำหรับภาคใต้ตอนล่างมีฝนเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ส่วนบริเวณอ่าวไทยตอนล่างมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร


ข้อควรระวัง

ในวันที่ 15 - 16 ม.ค. 63 ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนระมัดระวังในการสัญจรผ่านบริเวณที่มีหมอกไว้ด้วย ส่วนในช่วงวันที่ 17 - 21 ม.ค. 63 ชาวเรือบริเวณอ่าวไทยตอนล่างควรเพิ่มความระมัดระวังในการเดินเรือ







__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #2  
เก่า 16-01-2020
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default

ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการออนไลน์


ชาวเน็ตเผยภาพ คลิปล็อกถุงขนมปัง จมทะเลนานกว่า 10 ปี ยังคงสภาพเดิม

โซเชียลแห่แชร์แผ่นคลิปล็อกถุงขนมปังที่จมอยู่ภายใต้ท้องทะเล ตั้งแต่ปี 2549 จนถึงปี 2563 ยังคงสภาพเหมือนเดิม วอนควรกันทิ้งขยะให้ถูกที่ เพื่อช่วยสัตว์ทะเลไม่ให้ตายจากเศษขยะพลาสติกฝีมือมนุษย์



จากกรณี ก่อนหน้านี้ทะเลไทยประสบปัญหาต้องสูญเสียสัตว์ทะเลหายากและลูกพะยูน เนื่องด้วยจากขยะพลาสติกในท้องทะเลที่มีเป็นจำนวนมาก ต่อมา เมื่อวันที่ 1 ม.ค. 63 ที่ผ่านมา ทางกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ได้ออกกฎบังคับใช้ให้ห้างสรรพสินค้า ซูเปอร์มาร์เก็ต และร้านสะดวกซื้อ งดแจกถุงพลาสติก หวังให้ปริมาณขยะลดลง เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

วันนี้ (15 ม.ค) มีผู้ใช้เฟซบุ๊ก "Opal Suthvanich" เผยภาพแผ่นคลิปล็อกถุงขนมปังที่จมอยู่ภายใต้ท้องทะเลโดยบนคลิปล็อคถุงได้ระบุตั้งแต่ปี 2549 จนถึงปัจจุบัน ปี 2563 เป็นระยะเวลากว่า 14 ปี พลาสติกชิ้นดังกล่าวยังคงสภาพเหมือนเดินและไม่ย่อยสลาย ผู้โพสต์ระบุว่า "พลาสติกในปี 49 ยังอยู่ดีในปี 63"

ทั้งนี้ เรื่องราวดังกล่าวได้เผยแพร่สู่โลกออนไลน์ มียอดแชร์กว่า 6,900 ครั้ง มีชาวเน็ตจำนวนมากเข้ามาแสดงความคิดเห็นวิพากษ์วิจารณ์ถึงพฤติกรรมของคนมักง่ายที่ทิ้งขยะลงทะเล บางส่วนแนะว่าไม่ควรมีพลาสติกคลิปล็อค หรือบางส่วนมองว่าต้องแก้ไขปัญหาที่ตัวบุคคลควรทิ้งขยะให้ถูกที่ เพื่อลดความเสี่ยงที่สัตว์ทะเลจะกินเข้าไป


https://mgronline.com/onlinesection/.../9630000004639
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #3  
เก่า 16-01-2020
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default

ขอบคุณข่าวจาก ThaiPBS


เตือนประชาชนระวัง "แมงกะพรุนพิษ" โผล่หาดแหลมตาชี จ.ปัตตานี

ทช.พบแมงกะพรุนหัวขวด บริเวณชายหาดแหลมตาชี ต.แหลมโพธิ์ อ.ยะหริ่ง จ.ปัตตานี เตือนประชาชนระวังการสัมผัสพิษจากแมงกะพรุน



วันนี้ (15 ม.ค.2563) กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) โดยศูนย์วิจัย ทช. อ่าวไทยตอนล่าง สำรวจระบบนิเวศน์ในพื้นที่ จ.ปัตตานี พบแมงกะพรุนหัวขวด Physalia sp.บริเวณชายหาดแหลมตาชี ต.แหลมโพธิ์ อ.ยะหริ่ง จ.ปัตตานี ความหนาแน่นประมาณ 4 ตัว/ 1,000 ตร.ม.



ทช.ขอแจ้งเตือนให้ประชาชนในบริเวณพื้นที่ดังกล่าว ระมัดระวังการสัมผัสพิษจากแมงกะพรุนชนิดนี้ด้วย ทั้งนี้ วิธีปฐมพยาบาลเบื้องต้นจากการถูกพิษคือ ให้ใช้น้ำส้มสายชูราดบริเวณที่ได้รับพิษอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 30 วินาที และรีบนำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลโดยเร็วต่อไป


https://news.thaipbs.or.th/content/288008

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #4  
เก่า 16-01-2020
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default

ขอบคุณข่าวจาก BBCThai


เผยจุดอ่อนของหมีน้ำ สัตว์ตัวจิ๋วที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก


ทาร์ดิเกรดเป็นสัตว์ที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก ทนทานต่อทุกสภาวะแม้ไร้อากาศ ไร้น้ำ หรือมีกัมมันตรังสี

ตัวทาร์ดิเกรด (Tardigrade) หรือ "หมีน้ำ" เป็นสัตว์ขนาดเล็กจิ๋วที่ใคร ๆ หลายคนชื่นชอบ เพราะความทนทรหดต่อสภาวะแวดล้อมที่โหดร้ายได้อย่างเหลือเชื่อของมัน ไม่ว่าจะเป็นอุณหภูมิสุดขั้วทั้งจุดเยือกแข็งและจุดเดือด, สภาพสุญญากาศ, ภาวะไร้ออกซิเจน หรือห้วงอวกาศที่มีรังสีอันตราย หมีน้ำก็สามารถมีชีวิตรอดอยู่ได้

แต่อย่างไรก็ตาม ผลวิจัยล่าสุดกลับชี้ว่าหมีน้ำอาจไม่ได้แข็งแกร่งขั้นสุดยอดอย่างที่เข้าใจกันมา มันสามารถจะถูกภาวะโลกร้อนและการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศทำร้ายเอาได้ง่าย ๆ เหมือนกับสัตว์โลกทั่วไป

ทีมนักชีววิทยาจากมหาวิทยาลัยโคเปนเฮเกนของเดนมาร์ก ตีพิมพ์ผลการศึกษาเรื่องนี้ลงในวารสาร Scientific Reports โดยระบุว่าได้ทำการทดลองกับหมีน้ำจำนวนหนึ่งที่อาศัยอยู่ในธรรมชาติ เพื่อทดสอบถึงความสามารถในการทนต่ออุณหภูมิสูงเป็นเวลายาวนาน

มีการเก็บตัวอย่างหมีน้ำ จากรางน้ำฝนบนหลังคาบ้านหลังหนึ่งในเมืองนีโวของเดนมาร์ก โดยพบว่าหมีน้ำที่สุ่มเก็บมาได้มีอยู่หลายชนิดพันธุ์ ทั้งที่อยู่ในสภาพเคลื่อนไหวโดยหากินหรือสืบพันธุ์ตามปกติ และที่อยู่ในสภาพจำศีลแน่นิ่งเหมือนไร้ชีวิต

เมื่อทดลองเพิ่มอุณหภูมิของสิ่งแวดล้อมที่หมีน้ำอาศัยอยู่ พบว่าหมีน้ำในสภาวะที่ดำรงชีวิตตามปกติ ไม่สามารถทนต่ออุณหภูมิที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างฉับพลันได้เป็นเวลานานเท่าที่เคยคิดกัน โดยพวกมันมีอัตราการตายสูงถึง 50% หากต้องอยู่ในอุณหภูมิ 37 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 24 ชั่วโมง


หมีน้ำทนทานต่อรังสีอันตรายในอวกาศ และอาจอยู่รอดบนดวงจันทร์ได้ Image copyrightGETTY IMAGES

ส่วนหมีน้ำที่อยู่ในสภาวะจำศีล ซึ่งมีร่างกายหดแห้งลงและมีเกราะเป็นสารที่คล้ายแก้วเคลือบหุ้มตัว จะทนทานต่ออุณหภูมิที่สูงขึ้นอย่างฉับพลันได้มากกว่าและนานกว่า โดยจะมีอัตราการตาย 50% เมื่ออยู่ในอุณหภูมิ 63 องศาเซลเซียสเป็นเวลา 24 ชั่วโมง

ยังมีการทดลองให้หมีน้ำในสภาวะที่ดำรงชีวิตตามปกติ ได้ปรับตัวกับสภาพที่อุณหภูมิค่อย ๆ เพิ่มสูงขึ้น โดยให้พวกมันอยู่ในอุณหภูมิ 30 องศาเซลเซียสเป็นเวลา 2 ชั่วโมง แล้วค่อยเพิ่มเป็น 35 องศาเซลเซียสอีก 2 ชั่วโมง ก่อนจะเพิ่มเป็น 37.6 องศาเซลเซียส ซึ่งในกรณีนี้พบว่าพวกมันมีอัตราการอยู่รอดเพิ่มสูงขึ้นมาก

แม้งานวิจัยก่อนหน้านี้จะชี้ว่า หมีน้ำสามารถทนต่ออุณหภูมิร้อนสุดขั้วได้ถึง 151 องศาเซลเซียสก็ตาม แต่นั่นเป็นการทดลองที่กินเวลาเพียงหนึ่งชั่วโมงครึ่งเท่านั้น

ดร. ริคาร์โด เนเวซ หัวหน้าทีมผู้วิจัยบอกว่า "ผลการศึกษาล่าสุดทำให้เราสรุปได้ว่า ปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อโอกาสอยู่รอดของหมีน้ำในอุณหภูมิสูง ก็คือระยะเวลาที่มันต้องเผชิญกับความร้อนที่เพิ่มขึ้นอย่างผิดปกติ ยิ่งพวกมันเจอกับความร้อนนานขึ้นเท่าไหร่ โอกาสที่จะมีชีวิตรอดยิ่งลดลง แม้ว่าจะอยู่ในสภาพจำศีลที่มีความแข็งแกร่งเกินปกติก็ตาม"

"เมื่อพิจารณาจากผลการทดลอง ระยะเวลาที่ต้องทนความร้อนยาวนาน สามารถทำให้ประชากรหมีน้ำล้มตายลงได้ถึงครึ่งหนึ่ง แม้จะเป็นภาวะที่ระดับอุณหภูมิไม่ได้สูงสุดขั้วก็ตาม ทำให้น่าคิดว่าสภาพการณ์ที่อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกกำลังเพิ่มสูงขึ้น อาจจะส่งผลกระทบต่อการดำรงเผ่าพันธุ์ของหมีน้ำด้วยเช่นกัน"


https://www.bbc.com/thai/features-51113381


*********************************************************************************************************************************************************


มหาสมุทรร้อนขึ้นในอัตราเทียบเท่าระเบิดปรมาณูถล่ม 5 ลูกต่อวินาที


Image copyrightGETTY IMAGES

ทีมนักวิทยาศาสตร์นานาชาติเผยผลการศึกษาเรื่องระดับอุณหภูมิของมหาสมุทรทั่วโลก ในรายงานที่ตีพิมพ์ลงวารสาร Advances in Atmospheric Sciences ฉบับล่าสุด โดยชี้ว่าในปี 2019 มหาสมุทรร้อนขึ้นในอัตราที่น่าตกใจยิ่งกว่าเดิม โดยพลังงานความร้อนที่เพิ่มขึ้น เทียบได้กับระเบิดปรมาณูแบบที่ใช้ถล่มเมืองฮิโรชิมาของญี่ปุ่น ซึ่งถูกทำให้ระเบิดขึ้นเป็นจำนวน 5 ลูกต่อวินาทีอยู่ตลอดเวลา

มีการวิเคราะห์ข้อมูลตั้งแต่ของช่วงทศวรรษ 1950 มาจนถึงปี 2019 โดยพบว่าอุณหภูมิเฉลี่ยของมหาสมุทรโลกในปีที่ผ่านมาเพิ่มขึ้น 0.075 องศาเซลเซียส เมื่อเทียบกับของช่วงปี 1981-2010

แม้จะดูเหมือนว่าระดับอุณหภูมิเฉลี่ยของมหาสมุทรเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย แต่หากคำนึงถึงข้อเท็จจริงที่ว่า มหาสมุทรกว้างใหญ่และมีปริมาณน้ำอยู่มหาศาล การทำให้อุณหภูมิของมหาสมุทรเพิ่มขึ้นนิดหน่อยก็ยังจะต้องใช้พลังงานความร้อนสูงมากในระดับที่เหลือเชื่อ เช่นในกรณีล่าสุดนี้ ทีมผู้วิจัยประมาณการว่าต้องใช้พลังงานถึง 228 เซกซ์ทิลเลียนจูล (Sextillion Joules ) จึงจะทำให้อุณหภูมิเฉลี่ยของน้ำทะเลเพิ่มขึ้นตามระดับที่รายงานได้

เพื่อให้คนทั่วไปมองเห็นภาพรวมและจินตนาการถึงพลังงานความร้อนระดับมหาศาลดังกล่าวได้ ทีมผู้วิจัยจึงได้คำนวณเปรียบเทียบกับพลังงานความร้อนที่ปลดปล่อยจากระเบิดปรมาณู ซึ่งสหรัฐฯใช้ถล่มเมืองฮิโรชิมาของญี่ปุ่น เพื่อยุติสงครามโลกครั้งที่สองในปี 1945


ระเบิดปรมาณูที่เมืองนางาซากิมีอานุภาพร้ายแรงกว่าที่เมืองฮิโรชิมาเสียอีก Image copyrightGETTY IMAGES

"ระเบิดปรมาณู 1 ลูก ปลดปล่อยพลังงานราว 63 ล้านล้านจูล" ดร. เจิ้ง ลี่จิง จากสถาบันบัณฑิตวิทยาศาสตร์จีน (CAS) หนึ่งในทีมผู้วิจัยอธิบาย "พลังงานความร้อนที่เราใส่เพิ่มเข้าไปในมหาสมุทรตลอด 25 ปีที่ผ่านมา เทียบได้กับระเบิดปรมาณูที่ใช้ถล่มเมืองฮิโรชิมา 3.6 พันล้านลูก หรือเท่ากับการทิ้งระเบิดปรมาณู 4 ลูก ในทุก 1 วินาที"

"แต่ในปี 2019 อัตราการเพิ่มขึ้นของพลังงานความร้อนนี้กลับสูงขึ้นอีก เทียบเท่ากับการทิ้งระเบิดปรมาณู 5 ลูก ในทุก 1 วินาทีอยู่ตลอดเวลา"

ศาสตราจารย์จอห์น อับราแฮม จากมหาวิทยาลัยเซนต์โทมัสในรัฐมินนิโซตาของสหรัฐฯ หนึ่งในทีมผู้วิจัยกล่าวเสริมว่า "ถ้ายังนึกภาพไม่ออก ให้ลองเปรียบเทียบกับการที่คนบนโลกนี้ทุกคน ใช้ไดร์เป่าผมคนละ 100 ตัว เป่าลมร้อนจ่อไปยังมหาสมุทรพร้อมกันก็ได้"

การที่มหาสมุทรร้อนขึ้นทำให้น้ำแข็งที่ขั้วโลกละลายเร็วขึ้น ระดับน้ำในมหาสมุทรเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว สัตว์ทะเลหลายชนิดรวมทั้งโลมาต้องตายลง เพราะไม่สามารถปรับตัวตามทันความเปลี่ยนแปลงนี้ได้

"แม้แต่การที่มีไอน้ำระเหยขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศมากขึ้น ก็ยังส่งผลทางลบต่อสภาพภูมิอากาศ โดยทำให้ฝนตกหนักมากขึ้นและเกิดพายุทรงพลังรุนแรงมากขึ้นทุกที" ศ. อับราแฮมกล่าว


https://www.bbc.com/thai/features-51121325

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
ตอบ


กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 17:56


vBulletin รุ่น 3.8.10
สงวนลิขสิทธิ์ ©2000-2024, บริษัท Jelsoft Enterprises จำกัด
Ad Management plugin by RedTyger