#1
|
||||
|
||||
สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันพฤหัสบดีที่ 16 มกราคม 2563
ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา
สภาวะอากาศทั่วไป ประเทศไทยตอนบนมีหมอกในตอนเช้าและมีหมอกหนาบางพื้นที่ ในตอนกลางวันมีแสงแดดจัด บริเวณพื้นราบของภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือยังคงมีอากาศหนาวเย็นในตอนเช้า ส่วนยอดดอยและยอดภูมีอากาศหนาวถึงหนาวจัด และมีน้ำค้างแข็งบางพื้นที่ ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนระวังการสัญจรผ่านบริเวณที่มีหมอกหนาไว้ด้วย สำหรับภาคตะวันออก ภาคกลาง รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล มีฝนฟ้าคะนองเกิดขึ้นในระยะนี้ ส่วนภาคใต้มีฝนน้อย สำหรับฝุ่นละออง ในระยะนี้มีฝุ่นละอองปกคลุมภาคกลาง รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑลเป็นจำนวนมาก คาดว่าจะแผ่ขยายเพิ่มความเข้มข้นมากขึ้น และฝุ่นละอองเหล่านี้จะลดลงหลังวันที่ 17 ม.ค. 63 เนื่องจากบริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นจากประเทศจีนระลอกใหม่จะแผ่ลงมาปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กรุงเทพมหานครและปริมณฑล มีหมอกในตอนเช้า โดยมีฝนเล็กน้อยบางแห่ง อุณหภูมิต่ำสุด 24-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 33-35 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-20 กม./ชม. คาดหมาย ในช่วงวันที่ 15 - 16 ม.ค. 63 ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือยังคงมีอากาศเย็นถึงหนาวกับมีหมอกในตอนเช้า บริเวณยอดดอยและยอดภูมีอากาศหนาวถึงหนาวจัดและมีน้ำค้างแข็งบางพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 5-14 องศาเซลเซียส ส่วนภาคกลาง ภาคตะวันออก รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑลมีฝนเล็กน้อยบางแห่ง สำหรับภาคใต้ยังคงมีฝนน้อย ส่วนในช่วงวันที่ 17 - 21 ม.ค. 63 ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีอากาศเย็นถึงหนาว อุณหภูมิจะลดลง 1-2 องศาเซลเซียส สำหรับบริเวณยอดดอยและยอดภูมีอากาศหนาวถึงหนาวจัดและมีน้ำค้างแข็งบางพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 3-12 องศาเซลเซียส ส่วนภาคกลาง ภาคตะวันออก รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑลมีฝนฟ้าคะนองเพิ่มขึ้น สำหรับภาคใต้ตอนล่างมีฝนเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ส่วนบริเวณอ่าวไทยตอนล่างมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร ข้อควรระวัง ในวันที่ 15 - 16 ม.ค. 63 ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนระมัดระวังในการสัญจรผ่านบริเวณที่มีหมอกไว้ด้วย ส่วนในช่วงวันที่ 17 - 21 ม.ค. 63 ชาวเรือบริเวณอ่าวไทยตอนล่างควรเพิ่มความระมัดระวังในการเดินเรือ
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#2
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการออนไลน์
ชาวเน็ตเผยภาพ คลิปล็อกถุงขนมปัง จมทะเลนานกว่า 10 ปี ยังคงสภาพเดิม โซเชียลแห่แชร์แผ่นคลิปล็อกถุงขนมปังที่จมอยู่ภายใต้ท้องทะเล ตั้งแต่ปี 2549 จนถึงปี 2563 ยังคงสภาพเหมือนเดิม วอนควรกันทิ้งขยะให้ถูกที่ เพื่อช่วยสัตว์ทะเลไม่ให้ตายจากเศษขยะพลาสติกฝีมือมนุษย์ จากกรณี ก่อนหน้านี้ทะเลไทยประสบปัญหาต้องสูญเสียสัตว์ทะเลหายากและลูกพะยูน เนื่องด้วยจากขยะพลาสติกในท้องทะเลที่มีเป็นจำนวนมาก ต่อมา เมื่อวันที่ 1 ม.ค. 63 ที่ผ่านมา ทางกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ได้ออกกฎบังคับใช้ให้ห้างสรรพสินค้า ซูเปอร์มาร์เก็ต และร้านสะดวกซื้อ งดแจกถุงพลาสติก หวังให้ปริมาณขยะลดลง เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม วันนี้ (15 ม.ค) มีผู้ใช้เฟซบุ๊ก "Opal Suthvanich" เผยภาพแผ่นคลิปล็อกถุงขนมปังที่จมอยู่ภายใต้ท้องทะเลโดยบนคลิปล็อคถุงได้ระบุตั้งแต่ปี 2549 จนถึงปัจจุบัน ปี 2563 เป็นระยะเวลากว่า 14 ปี พลาสติกชิ้นดังกล่าวยังคงสภาพเหมือนเดินและไม่ย่อยสลาย ผู้โพสต์ระบุว่า "พลาสติกในปี 49 ยังอยู่ดีในปี 63" ทั้งนี้ เรื่องราวดังกล่าวได้เผยแพร่สู่โลกออนไลน์ มียอดแชร์กว่า 6,900 ครั้ง มีชาวเน็ตจำนวนมากเข้ามาแสดงความคิดเห็นวิพากษ์วิจารณ์ถึงพฤติกรรมของคนมักง่ายที่ทิ้งขยะลงทะเล บางส่วนแนะว่าไม่ควรมีพลาสติกคลิปล็อค หรือบางส่วนมองว่าต้องแก้ไขปัญหาที่ตัวบุคคลควรทิ้งขยะให้ถูกที่ เพื่อลดความเสี่ยงที่สัตว์ทะเลจะกินเข้าไป https://mgronline.com/onlinesection/.../9630000004639
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#3
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก ThaiPBS
เตือนประชาชนระวัง "แมงกะพรุนพิษ" โผล่หาดแหลมตาชี จ.ปัตตานี ทช.พบแมงกะพรุนหัวขวด บริเวณชายหาดแหลมตาชี ต.แหลมโพธิ์ อ.ยะหริ่ง จ.ปัตตานี เตือนประชาชนระวังการสัมผัสพิษจากแมงกะพรุน วันนี้ (15 ม.ค.2563) กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) โดยศูนย์วิจัย ทช. อ่าวไทยตอนล่าง สำรวจระบบนิเวศน์ในพื้นที่ จ.ปัตตานี พบแมงกะพรุนหัวขวด Physalia sp.บริเวณชายหาดแหลมตาชี ต.แหลมโพธิ์ อ.ยะหริ่ง จ.ปัตตานี ความหนาแน่นประมาณ 4 ตัว/ 1,000 ตร.ม. ทช.ขอแจ้งเตือนให้ประชาชนในบริเวณพื้นที่ดังกล่าว ระมัดระวังการสัมผัสพิษจากแมงกะพรุนชนิดนี้ด้วย ทั้งนี้ วิธีปฐมพยาบาลเบื้องต้นจากการถูกพิษคือ ให้ใช้น้ำส้มสายชูราดบริเวณที่ได้รับพิษอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 30 วินาที และรีบนำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลโดยเร็วต่อไป https://news.thaipbs.or.th/content/288008
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#4
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก BBCThai
เผยจุดอ่อนของหมีน้ำ สัตว์ตัวจิ๋วที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก ทาร์ดิเกรดเป็นสัตว์ที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก ทนทานต่อทุกสภาวะแม้ไร้อากาศ ไร้น้ำ หรือมีกัมมันตรังสี ตัวทาร์ดิเกรด (Tardigrade) หรือ "หมีน้ำ" เป็นสัตว์ขนาดเล็กจิ๋วที่ใคร ๆ หลายคนชื่นชอบ เพราะความทนทรหดต่อสภาวะแวดล้อมที่โหดร้ายได้อย่างเหลือเชื่อของมัน ไม่ว่าจะเป็นอุณหภูมิสุดขั้วทั้งจุดเยือกแข็งและจุดเดือด, สภาพสุญญากาศ, ภาวะไร้ออกซิเจน หรือห้วงอวกาศที่มีรังสีอันตราย หมีน้ำก็สามารถมีชีวิตรอดอยู่ได้ แต่อย่างไรก็ตาม ผลวิจัยล่าสุดกลับชี้ว่าหมีน้ำอาจไม่ได้แข็งแกร่งขั้นสุดยอดอย่างที่เข้าใจกันมา มันสามารถจะถูกภาวะโลกร้อนและการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศทำร้ายเอาได้ง่าย ๆ เหมือนกับสัตว์โลกทั่วไป ทีมนักชีววิทยาจากมหาวิทยาลัยโคเปนเฮเกนของเดนมาร์ก ตีพิมพ์ผลการศึกษาเรื่องนี้ลงในวารสาร Scientific Reports โดยระบุว่าได้ทำการทดลองกับหมีน้ำจำนวนหนึ่งที่อาศัยอยู่ในธรรมชาติ เพื่อทดสอบถึงความสามารถในการทนต่ออุณหภูมิสูงเป็นเวลายาวนาน มีการเก็บตัวอย่างหมีน้ำ จากรางน้ำฝนบนหลังคาบ้านหลังหนึ่งในเมืองนีโวของเดนมาร์ก โดยพบว่าหมีน้ำที่สุ่มเก็บมาได้มีอยู่หลายชนิดพันธุ์ ทั้งที่อยู่ในสภาพเคลื่อนไหวโดยหากินหรือสืบพันธุ์ตามปกติ และที่อยู่ในสภาพจำศีลแน่นิ่งเหมือนไร้ชีวิต เมื่อทดลองเพิ่มอุณหภูมิของสิ่งแวดล้อมที่หมีน้ำอาศัยอยู่ พบว่าหมีน้ำในสภาวะที่ดำรงชีวิตตามปกติ ไม่สามารถทนต่ออุณหภูมิที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างฉับพลันได้เป็นเวลานานเท่าที่เคยคิดกัน โดยพวกมันมีอัตราการตายสูงถึง 50% หากต้องอยู่ในอุณหภูมิ 37 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 24 ชั่วโมง หมีน้ำทนทานต่อรังสีอันตรายในอวกาศ และอาจอยู่รอดบนดวงจันทร์ได้ Image copyrightGETTY IMAGES ส่วนหมีน้ำที่อยู่ในสภาวะจำศีล ซึ่งมีร่างกายหดแห้งลงและมีเกราะเป็นสารที่คล้ายแก้วเคลือบหุ้มตัว จะทนทานต่ออุณหภูมิที่สูงขึ้นอย่างฉับพลันได้มากกว่าและนานกว่า โดยจะมีอัตราการตาย 50% เมื่ออยู่ในอุณหภูมิ 63 องศาเซลเซียสเป็นเวลา 24 ชั่วโมง ยังมีการทดลองให้หมีน้ำในสภาวะที่ดำรงชีวิตตามปกติ ได้ปรับตัวกับสภาพที่อุณหภูมิค่อย ๆ เพิ่มสูงขึ้น โดยให้พวกมันอยู่ในอุณหภูมิ 30 องศาเซลเซียสเป็นเวลา 2 ชั่วโมง แล้วค่อยเพิ่มเป็น 35 องศาเซลเซียสอีก 2 ชั่วโมง ก่อนจะเพิ่มเป็น 37.6 องศาเซลเซียส ซึ่งในกรณีนี้พบว่าพวกมันมีอัตราการอยู่รอดเพิ่มสูงขึ้นมาก แม้งานวิจัยก่อนหน้านี้จะชี้ว่า หมีน้ำสามารถทนต่ออุณหภูมิร้อนสุดขั้วได้ถึง 151 องศาเซลเซียสก็ตาม แต่นั่นเป็นการทดลองที่กินเวลาเพียงหนึ่งชั่วโมงครึ่งเท่านั้น ดร. ริคาร์โด เนเวซ หัวหน้าทีมผู้วิจัยบอกว่า "ผลการศึกษาล่าสุดทำให้เราสรุปได้ว่า ปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อโอกาสอยู่รอดของหมีน้ำในอุณหภูมิสูง ก็คือระยะเวลาที่มันต้องเผชิญกับความร้อนที่เพิ่มขึ้นอย่างผิดปกติ ยิ่งพวกมันเจอกับความร้อนนานขึ้นเท่าไหร่ โอกาสที่จะมีชีวิตรอดยิ่งลดลง แม้ว่าจะอยู่ในสภาพจำศีลที่มีความแข็งแกร่งเกินปกติก็ตาม" "เมื่อพิจารณาจากผลการทดลอง ระยะเวลาที่ต้องทนความร้อนยาวนาน สามารถทำให้ประชากรหมีน้ำล้มตายลงได้ถึงครึ่งหนึ่ง แม้จะเป็นภาวะที่ระดับอุณหภูมิไม่ได้สูงสุดขั้วก็ตาม ทำให้น่าคิดว่าสภาพการณ์ที่อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกกำลังเพิ่มสูงขึ้น อาจจะส่งผลกระทบต่อการดำรงเผ่าพันธุ์ของหมีน้ำด้วยเช่นกัน" https://www.bbc.com/thai/features-51113381 ********************************************************************************************************************************************************* มหาสมุทรร้อนขึ้นในอัตราเทียบเท่าระเบิดปรมาณูถล่ม 5 ลูกต่อวินาที Image copyrightGETTY IMAGES ทีมนักวิทยาศาสตร์นานาชาติเผยผลการศึกษาเรื่องระดับอุณหภูมิของมหาสมุทรทั่วโลก ในรายงานที่ตีพิมพ์ลงวารสาร Advances in Atmospheric Sciences ฉบับล่าสุด โดยชี้ว่าในปี 2019 มหาสมุทรร้อนขึ้นในอัตราที่น่าตกใจยิ่งกว่าเดิม โดยพลังงานความร้อนที่เพิ่มขึ้น เทียบได้กับระเบิดปรมาณูแบบที่ใช้ถล่มเมืองฮิโรชิมาของญี่ปุ่น ซึ่งถูกทำให้ระเบิดขึ้นเป็นจำนวน 5 ลูกต่อวินาทีอยู่ตลอดเวลา มีการวิเคราะห์ข้อมูลตั้งแต่ของช่วงทศวรรษ 1950 มาจนถึงปี 2019 โดยพบว่าอุณหภูมิเฉลี่ยของมหาสมุทรโลกในปีที่ผ่านมาเพิ่มขึ้น 0.075 องศาเซลเซียส เมื่อเทียบกับของช่วงปี 1981-2010 แม้จะดูเหมือนว่าระดับอุณหภูมิเฉลี่ยของมหาสมุทรเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย แต่หากคำนึงถึงข้อเท็จจริงที่ว่า มหาสมุทรกว้างใหญ่และมีปริมาณน้ำอยู่มหาศาล การทำให้อุณหภูมิของมหาสมุทรเพิ่มขึ้นนิดหน่อยก็ยังจะต้องใช้พลังงานความร้อนสูงมากในระดับที่เหลือเชื่อ เช่นในกรณีล่าสุดนี้ ทีมผู้วิจัยประมาณการว่าต้องใช้พลังงานถึง 228 เซกซ์ทิลเลียนจูล (Sextillion Joules ) จึงจะทำให้อุณหภูมิเฉลี่ยของน้ำทะเลเพิ่มขึ้นตามระดับที่รายงานได้ เพื่อให้คนทั่วไปมองเห็นภาพรวมและจินตนาการถึงพลังงานความร้อนระดับมหาศาลดังกล่าวได้ ทีมผู้วิจัยจึงได้คำนวณเปรียบเทียบกับพลังงานความร้อนที่ปลดปล่อยจากระเบิดปรมาณู ซึ่งสหรัฐฯใช้ถล่มเมืองฮิโรชิมาของญี่ปุ่น เพื่อยุติสงครามโลกครั้งที่สองในปี 1945 ระเบิดปรมาณูที่เมืองนางาซากิมีอานุภาพร้ายแรงกว่าที่เมืองฮิโรชิมาเสียอีก Image copyrightGETTY IMAGES "ระเบิดปรมาณู 1 ลูก ปลดปล่อยพลังงานราว 63 ล้านล้านจูล" ดร. เจิ้ง ลี่จิง จากสถาบันบัณฑิตวิทยาศาสตร์จีน (CAS) หนึ่งในทีมผู้วิจัยอธิบาย "พลังงานความร้อนที่เราใส่เพิ่มเข้าไปในมหาสมุทรตลอด 25 ปีที่ผ่านมา เทียบได้กับระเบิดปรมาณูที่ใช้ถล่มเมืองฮิโรชิมา 3.6 พันล้านลูก หรือเท่ากับการทิ้งระเบิดปรมาณู 4 ลูก ในทุก 1 วินาที" "แต่ในปี 2019 อัตราการเพิ่มขึ้นของพลังงานความร้อนนี้กลับสูงขึ้นอีก เทียบเท่ากับการทิ้งระเบิดปรมาณู 5 ลูก ในทุก 1 วินาทีอยู่ตลอดเวลา" ศาสตราจารย์จอห์น อับราแฮม จากมหาวิทยาลัยเซนต์โทมัสในรัฐมินนิโซตาของสหรัฐฯ หนึ่งในทีมผู้วิจัยกล่าวเสริมว่า "ถ้ายังนึกภาพไม่ออก ให้ลองเปรียบเทียบกับการที่คนบนโลกนี้ทุกคน ใช้ไดร์เป่าผมคนละ 100 ตัว เป่าลมร้อนจ่อไปยังมหาสมุทรพร้อมกันก็ได้" การที่มหาสมุทรร้อนขึ้นทำให้น้ำแข็งที่ขั้วโลกละลายเร็วขึ้น ระดับน้ำในมหาสมุทรเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว สัตว์ทะเลหลายชนิดรวมทั้งโลมาต้องตายลง เพราะไม่สามารถปรับตัวตามทันความเปลี่ยนแปลงนี้ได้ "แม้แต่การที่มีไอน้ำระเหยขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศมากขึ้น ก็ยังส่งผลทางลบต่อสภาพภูมิอากาศ โดยทำให้ฝนตกหนักมากขึ้นและเกิดพายุทรงพลังรุนแรงมากขึ้นทุกที" ศ. อับราแฮมกล่าว https://www.bbc.com/thai/features-51121325
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
|