เลือกสีตามสไลต์ที่คุณชอบ:
SaveOurSea.NET  

กลับไป   SaveOurSea.NET > สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม

ตอบ
 
Share คำสั่งเพิ่มเติม เรียบเรียงคำตอบ
  #1  
เก่า 31-03-2020
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันอังคารที่ 31 มีนาคม 2563

ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา


สภาวะอากาศทั่วไป

ประเทศไทยมีอากาศร้อนโดยทั่วไป กับมีอากาศร้อนจัดหลายพื้นที่ในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลาง โดยมีฝนเล็กน้อยบางแห่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง และภาคตะวันออก ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนดูแลรักษาสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศที่ร้อนถึงร้อนจัดไว้ด้วย

อนึ่ง ในช่วงวันที่ 1-4 เมษายน 2563 ประเทศไทยตอนบนจะมีพายุฤดูร้อนเกิดขึ้น โดยมีลักษณะของพายุฝนฟ้าคะนองและลมกระโชกแรง รวมถึงอาจมีฟ้าผ่าเกิดขึ้นได้ กับมีลูกเห็บตกบางพื้นที่ในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันออก โดยภาคตะวันออกเฉียงเหนือจะได้รับผลกระทบก่อน ส่วนภาคอื่นๆจะได้รับผลกระทบในระยะต่อไป ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนระวังอันตรายจากฝนฟ้าคะนองและลมกระโชกแรงที่จะเกิดขึ้น โดยหลีกเลี่ยงการอยู่ในที่โล่งแจ้งใต้ต้นไม้ใหญ่ สิ่งปลูกสร้าง และป้ายโฆษณาที่ไม่แข็งแรง สำหรับเกษตรกรควรเตรียมการป้องกันและระวังความเสียหายที่จะเกิดต่อผลผลิตทางการเกษตรไว้ด้วย


กรุงเทพมหานครและปริมณฑล

อากาศร้อนในตอนกลางวัน อุณหภูมิต่ำสุด 27-28 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 34-39 องศาเซลเซียส ลมใต้ ความเร็ว 10-20 กม./ชม.


คาดหมาย

ในช่วงวันที่ 30 - 31 มี.ค. 63 บริเวณประเทศจะมีอากาศร้อนโดยทั่วไป กับมีอากาศร้อนจัดหลายพื้นที่ในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลางกับมีฟ้าหลัวในตอนกลางวัน

ส่วนในช่วงวันที่ 1 - 5 เม. ย. 63 ประเทศไทยตอนบนจะมีพายุฤดูร้อนเกิดขึ้น โดยมีลักษณะของพายุฝนฟ้าคะนองและมีลมกระโชกแรง รวมทั้งอาจมีฟ้าผ่าเกิดขึ้นได้ กับมีลูกเห็บตกบางพื้นที่ในบริเวณภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก และภาคกลาง สำหรับภาคใต้จะมีฝนเพิ่มขึ้น


ข้อควรระวัง

ในช่วงวันที่ 30 - 31 มี.ค. 63 ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนดูแลสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศที่ร้อนถึงร้อนจัดอย่างต่อเนื่องไว้ด้วย ในช่วงวันที่ 1 - 5 เม.ย. 63 ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนระมัดระวังอันตรายจากพายุฝนฟ้าคะนองและลมกระโชกแรง รวมถึงลูกเห็บตก โดยหลีกเลี่ยงการอยู่ในที่โล่งแจ้ง ใต้ต้นไม้ใหญ่ สิ่งปลูกสร้าง และป้ายโฆษณาที่ไม่แข็งแรง สำหรับเกษตรกรควรเตรียมการป้องกันและระวังความเสียหายที่จะเกิดต่อผลผลิตทางการเกษตรไว้ด้วย



*********************************************************************************************************************************************************



ประกาศกรมอุตุนิยมวิทยา "พายุฤดูร้อนบริเวณประเทศไทยตอนบน (มีผลกระทบตั้งแต่วันที่ 1 - 4 เมษายน 2563)" ฉบับที่ 2 ลงวันที่ 31 มีนาคม 2563

บริเวณประเทศไทยตอนบนจะมีพายุฤดูร้อนเกิดขึ้น โดยมีลักษณะของพายุฝนฟ้าคะนองและลมกระโชกแรง รวมถึงอาจมีฟ้าผ่าเกิดขึ้นได้ กับมีลูกเห็บตกบางพื้นที่ในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก และภาคกลาง ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนระวังอันตรายจากฝนฟ้าคะนองและลมกระโชกแรงที่จะเกิดขึ้น โดยหลีกเลี่ยงการอยู่ในที่โล่งแจ้งใต้ต้นไม้ใหญ่ สิ่งปลูกสร้าง และป้ายโฆษณาที่ไม่แข็งแรง สำหรับเกษตรกรควรเตรียมการป้องกันและระวังความเสียหายที่จะเกิดต่อผลผลิตทางการเกษตรไว้ด้วย

จังหวัดที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบ มีดังนี้


ในช่วงวันที่ 1-2 เมษายน 2563

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ: จังหวัดอุดรธานี หนองคาย บึงกาฬ สกลนคร นครพนม มุกดาหาร กาฬสินธุ์ มหาสารคาม ร้อยเอ็ด ยโสธร อำนาจเจริญ นครราชสีมา บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีษะเกษ และอุบลราชธานี

ภาคตะวันออก: จังหวัดนครนายก ปราจีนบุรี สระแก้ว ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง จันทบุรี และตราด


ในช่วงวันที่ 3-4 เมษายน 2563

ภาคเหนือ: จังหวัดพะเยา น่าน แพร่ เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง อุตรดิตถ์ พิษณุโลก สุโขทัย พิจิตร กำแพงเพชร เพชรบูรณ์ และตาก

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ: จังหวัดเลย หนองบัวลำภู อุดรธานี หนองคาย กาฬสินธุ์ มหาสารคาม ขอนแก่น ชัยภูมิ นครราชสีมา บุรีรัมย์ และสุรินทร์

ภาคตะวันออก: จังหวัดนครนายก ปราจีนบุรี สระแก้ว ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง จันทบุรี และตราด

ภาคกลาง: จังหวัดนครสวรรค์ ลพบุรี สระบุรี ชัยนาท อ่างทอง สิงห์บุรี และพระนครศรีอยุธยา

ทั้งนี้เนื่องจากบริเวณความกดอากาศสูงจากประเทศจีนจะแผ่ลงมาปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือและทะเลจีนใต้ ประกอบกับมีลมใต้และลมตะวันออกเฉียงใต้พัดนำความชื้นจากทะเลจีนใต้เข้ามาปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก ภาคกลาง และภาคเหนือตอนล่าง ในขณะที่ประเทศไทยตอนบนมีอากาศร้อนถึงร้อนจัด ส่งผลทำให้ประเทศไทยตอนบนมีพายุฤดูร้อนเกิดขึ้น












__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #2  
เก่า 31-03-2020
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default

ขอบคุณข่าวจาก ข่าวสด


1 เม.ย.-30 มิ.ย. ปิดฝั่งทะเลอันดามัน ?ภูเก็ต-พังงา-กระบี่-ตรัง? ให้ปลาวางไข่



นายมีศักดิ์ ภักดีคง อธิบดีกรมประมง เปิดเผยว่า ระหว่างวันที่ 1 เม.ย.-30 มิ.ย. นี้ กรมประมงจะดำเนินมาตรการบริหารจัดการทรัพยากรสัตว์น้ำในฤดูสัตว์น้ำมีไข่ วางไข่ เลี้ยงตัวอ่อน ฝั่งทะเลอันดามัน ในพื้นที่ 4 จังหวัด ได้แก่ ภูเก็ต พังงา กระบี่ และตรัง ซึ่งเป็นหนึ่งในแนวทางสำคัญในการบริหารจัดการทรัพยากรสัตว์น้ำให้มีความยั่งยืนที่กรมประมงได้มีการประกาศใช้มาอย่างยาวนานกว่า 35 ปี เริ่มใช้ตั้งแต่ พ.ศ.2528 โดยได้มีการปรับปรุงมาตรการเพื่อให้สอดคล้องกับสภาวะของทรัพยากรสัตว์น้ำ สิ่งแวดล้อม และสังคม

ทั้งนี้ หากผู้ใดฝ่าฝืนจะเป็นความผิดตามตามมาตรา 70 แห่งพระราชกำหนดการประมง พ.ศ. 2558 ต้องระวางโทษ ปรับตั้งแต่ 5,000-30 ล้านบาท ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับขนาดของเรือประมง หรือปรับจำนวน 5 เท่าของมูลค่าสัตว์น้ำที่ได้จากการทำการประมง แล้วแต่จำนวนใดจะสูงกว่า และต้องได้รับโทษทางปกครองอีกด้วย

แต่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาจากสถิติการเก็บข้อมูลทางวิชาการ จำนวน และความหลากหลายของชนิดพันธุ์ของสัตว์น้ำพบว่ามีจำนวนลดลงอย่างมากเมื่อเทียบกับในอดีต ซึ่งมาจากด้วยเหตุปัจจัยหลายด้าน ทั้งความเสื่อมโทรมของแหล่งทรัพยากรสัตว์น้ำ สภาพแวดล้อม ความต้องการของผู้บริโภค รวมทั้ง อาจจะมีเรือประมงที่ใช้เครื่องมือทำการประมงบางชนิดที่มีประสิทธิภาพสูงเข้ามาทำการประมงในพื้นที่ด้วย ประกอบกับจากการติดตามสภาวะทรัพยากรสัตว์น้ำในแต่ละปีหลังจากมาตรการปิดอ่าวพบว่าลูกพันธุ์สัตว์น้ำที่เกิดขึ้นในช่วงมาตรการ ทั้งหมดที่กล่าวมาล้วนแล้วแต่เป็นต้นเหตุของปริมาณสัตว์น้ำที่ลดจำนวนลงทั้งสิ้น

ดังนั้น เมื่อปี พ.ศ. 2561 กรมประมง จึงได้มีการออกประกาศ ลงวันที่ 22 มี.ค. 2561 เพื่อกำหนดพื้นที่และระยะเวลาฤดูสัตว์น้ำมีไข่ วางไข่ เลี้ยงตัวอ่อนในมาตรการปิดฝั่งทะเลอันดามันให้เหมาะสมยิ่งขึ้น โดยพื้นที่การประกาศใช้มาตรการฯ ครอบคลุมพื้นที่ 5,000 ตารางกิโลเมตร ในพื้นที่บางส่วนของ จ.ภูเก็ต พังงา กระบี่ และตรัง ตั้งแต่ปลายแหลมพันวา อ.เมือง จ.ภูเก็ต ถึงปลายแหลมหยงสตาร์ อ.ปะเหลียน จ.ตรัง ระยะเวลา 90 วัน ระหว่างวันที่ 1 เม.ย. - 30 มิ.ย. ของทุกปี และได้กำหนดชนิดของเครื่องมือประมงซึ่งไม่กระทบกับพันธุ์สัตว์น้ำในช่วงประกาศใช้มาตรการฯ ให้สามารถใช้ทำการประมงได้ ดังนี้

1. เครื่องมืออวนลากแผ่นตะเฆ่ ที่ใช้ประกอบเรือกลที่มีขนาดความยาวไม่เกิน 14 เมตร และทำการประมงในเวลากลางคืนนอกเขตทะเลชายฝั่ง

2. เครื่องมืออวนล้อมจับปลากะตัก ให้ทำการประมงได้เฉพาะในเวลากลางวันและทำการประมงนอกเขตทะเลชายฝั่ง

3. เครื่องมืออวนติดตาปลาที่มีขนาดช่องตาอวน ตั้งแต่ 4.7 เซนติเมตรขึ้นไป มีความยาวอวนไม่เกิน 2,500 เมตร ต่อเรือประมง 1 ลำ ทำการประมงในเขตทะเลชายฝั่ง และเครื่องมืออวนติดตาปลาที่มีช่องตาอวนตั้งแต่ 4.7 เซนติเมตรขึ้นไป มีความยาวอวนเกิน 2,500 เมตร ต่อเรือประมง 1 ลำ ทำการประมงนอกเขตทะเลชายฝั่ง

4. เครื่องมืออวนปู อวนลอยกุ้ง อวนหมึก

5. เครื่องมืออวนครอบ อวนช้อน หรืออวนยกหมึก ที่ใช้ประกอบกับเครื่องกำเนิดไฟฟ้า (เครื่องปั่นไฟ) ทำการประมงนอกเขตทะเลชายฝั่ง

6.ลอบปูที่มีขนาดตาอวนโดยรอบตั้งแต่ 2.5 นิ้วขึ้นไป ใช้ทำการประมงไม่เกิน 300 ลูก ต่อเรือประมง 1 ลำ ให้ทำการประมงในเขตทะเลชายฝั่ง และลอบปูที่มีขนาดช่องตาเฉพาะท้องลอบตั้งแต่ 2.5 นิ้วขึ้นไป ให้ทำการประมงนอกเขตทะเลชายฝั่ง

7. ลอบหมึกทุกชนิด

8. ซั้งทุกชนิดที่ใช้ประกอบทำการประมงพื้นบ้านในเขตทะเลชายฝั่ง

9. คราดหอยที่ใช้ประกอบเรือกลที่มีขนาดความยาวไม่เกิน 18 เมตร มีความกว้างของปากคราดไม่เกิน 3.5 เมตร ช่องซี่งคราดไม่น้อยกว่า 1.2 เซนติเมตร และจำนวนของเครื่องมือคราดหอยต้องไม่เกิน 3 อัน ต่อเรือกล 1 ลำ ให้ทำการประมงนอกเขตทะเลชายฝั่ง โดยต้องปฏิบัติตามประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เรื่อง กำหนดเครื่องมือทำการประมง รูปแบบ และพื้นที่ทำการประมงของเครื่องมือคราดหอยที่ห้ามใช้ทำการประมงในที่จับสัตว์น้ำ พ.ศ. 2560 ลงวันที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ.2560

10. อวนรุนเคย โดยต้องปฏิบัติตามประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่ออกตามความในมาตรา 68 แห่งพระราชกำหนดการประมง พ.ศ. 2558

11. จั่น ยอ แร้ว สวิง แห เป็ด สับปะนก ขอ ลอบ ฉมวก แผงยกปูจักจั่น

12. เครื่องมืออื่นใดที่ไม่ใช้ประกอบเรือกลขณะทำการประมง

13. การใช้เรือประมงที่มีขนาดต่ำกว่า 10 ตันกรอส ที่ใช้เครื่องยนต์มีกำลังแรงม้าไม่ถึง 280 แรงม้า ประกอบเครื่องมือทำการประมงที่มิใช่เครื่องมือทำการประมงตามประเภทที่กำหนดไว้ในประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เรื่อง กำหนดให้การใช้เรือประมงทุกขนาดประกอบเครื่องมือทำการประมงบางประเภทเป็นประมงพาณิชย์ พ.ศ. 2560


https://www.khaosod.co.th/economics/news_3854558

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #3  
เก่า 31-03-2020
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default

ขอบคุณข่าวจาก GREENPEACE


Red Tide เมื่อการเติบโตของสาหร่าย คร่าชีวิตสัตว์ทะเลนับไม่ถ้วน ....................... โดย กรวิชญ์ มัจฉาธิคุณ

การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศในปัจจุบันเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ส่งผลให้โลกของเรากำลังแปรปรวนอย่างหนัก เป็นต้นเหตุของภัยพิบัติทางธรรมชาติหลายรูปแบบ เช่น ภัยแล้งที่เป็นหนึ่งในสาเหตุของไฟป่า การละลายของธารน้ำแข็งในขั้วโลกและกรีนแลนด์ ซึ่งเป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตบนโลก นอกจากภัยทางธรรมชาติที่สร้างผลกระทบในวงกว้างหลายประเทศแล้ว ปรากฎการณ์เล็กๆบางอย่างที่เกิดขึ้นก็เป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเช่นกัน


เนื้อหาโดยสรุป

- น้ำทะเลเปลี่ยนสี(Red Tide) หรือ ขี้ปลาวาฬ มีอันตรายที่ส่งผลต่อสิ่งมีชีวิตในปี พ.ศ. 2561 มีนักชีววิทยาเชื่อว่าศพวาฬวัยรุ่นที่เกยตื้นตายบนชายหาด รวมทั้งศพโลมา 9 ตัวนั้นตายเพราะพิษจากการเกิดภาวะน้ำทะเลเปลี่ยนสี

- นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยฟลอริด้า และมหาวิทยาลัยนอร์ทแคโรไลนา ระบุในแถลงการณ์ในนาม journal Environmenteal Science & Technology ว่า "การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เกิดจากน้ำมือมนุษย์จะส่งผลกระทบต่อการเจริญเติบโตของสาหร่าย ซึ่งเราจะควบคุมการเกิดปรากฎการณ์นี้ได้ยากขึ้นหรือไม่สามารถแก้ปัญหาได้เลย"

- ปรากฎการณ์ขี้ปลาวาฬส่งผลกระทบโดยตรงต่อระบบนิเวศทางทะเล เนื่องจาก สาหร่ายหรือแพลงก์ตอนพืชที่ตายแล้วจะลอยตัวขึ้นสู่ผิวน้ำทำให้พืชและปะการังไม่สามารถสังเคราะห์แสงได้ทำให้ระดับออกซิเจนในน้ำลดลงส่งผลให้พืชและสัตว์น้ำในบริเวณนั้นตายลงในที่สุด

- เราเหลือเวลาอีกไม่กี่ปีเท่านั้นที่จะหยุดหายนะเหล่านี้ได้ ด้วยการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ลดและหยุดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลในภาคพลังงาน ภาคอุตสาหกรรม ภาคคมนาคม ลดการบริโภคเนื้อสัตว์จากอุตสาหกรรมปศุสัตว์


น้ำทะเลเปลี่ยนสี(Red Tide) หรือ ขี้ปลาวาฬ ที่คนไทยรู้จักเป็นปรากฎการณ์ที่น้ำทะเลเกิดการเปลี่ยนสีเป็นสีต่างๆตามสีของสาหร่ายในบริเวณนั้นบางคนอาจจะรู้สึกแปลกตาและเห็นว่าสวยงาม แต่ปรากฎการณ์นี้มีอันตรายที่ส่งผลต่อสิ่งมีชีวิต โดยคร่าชีวิตสัตว์ทะเลไปมากมาย ในปี พ.ศ. 2561 มีนักชีววิทยาเชื่อว่าศพวาฬวัยรุ่นที่เกยตื้นตายบนชายหาด รวมทั้งศพโลมา 9 ตัวนั้นตายเพราะพิษจากการเกิดภาวะน้ำทะเลเปลี่ยนสีนี้เอง


ภาพปลาตายถูกน้ำพัดขึ้นมาบนชายฝั่งเนื่องจากปรากฎการณ์น้ำทะเลเปลี่ยนสีในฟลอริด้า เมื่อปี 2561 ? Steve Nesius / Greenpeace

สาเหตุที่ทำให้เกิดปรากฎการณ์นี้มีอยุ่ด้วยกันสองสาเหตุ คือ เกิดขึ้นโดยธรรมชาติและเกิดจากฝีมือของมนุษย์ ซึ่งมีที่มาจากการทำเกษตร เนื่องจากปุ๋ยที่ใช้ทำการเกษตรนั้นมีฟอสฟอรัสที่เป็นแหล่งอาหารของสาหร่ายอยู่จำนวนมากเมื่อถูกกระแสน้ำพัดพาไปลงสู่ทะเลจึงทำให้เกิดการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วของสาหร่าย และอีกปัจจัยหนึ่งที่มาจากการกระทำของมนุษย์คือการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ขึ้นไปสู่ชั้นบรรยากาศ เร่งให้โลกเกิดวิกฤตสภาพภูมิอากาศที่รุนแรงมากขึ้น ปรากฎการณ์นี้ไม่เพียงแค่เกิดขึ้นในต่างประเทศเท่านั้น แต่ในประะเทศไทยก็เกิดปรากกฎการณ์แบบนี้ขึ้นเช่นเดียวกัน ที่ จ.ชลบุรี ตั้งแต่บางแสน อ่าวอุดม อ่างศิลา ถึงศรีราชา โดยมีสาเหตุมาจากการเจริญเติบโตและเพิ่มปริมาณอย่างรวดเร็วของแพลงก์ตอนพืช หรือ ไดโนแฟลกเจลเลต จำพวก Noctiluca


มนุษย์เป็น "ตัวเร่ง" ให้เกิดน้ำทะเลเปลี่ยนสีบ่อยมากขึ้น

นักวิจัยของสถาบัน the Environmental Protection Agency ระบุเอาไว้ว่า แน่นอนว่าจากอุณหภูมิโลกและอุณหภูมิของน้ำในมหาสมุทรที่สูงขึ้น ทำให้สภาพแวดล้อมแปรปรวนเป็นตัวเร่งให้เกิดการเติบโตของสาหร่ายมากขึ้นกว่าเดิม

ดังนั้น มนุษย์เองเป็นก็ปัจจัยสำคัญที่ทำให้อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกสูงขึ้นเนื่องจากการปลดปล่อยจากก๊าซเรือนกระจกเนื่องจากกิจกรรมต่างๆที่เราทำ โดยนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยฟลอริด้า และมหาวิทยาลัยนอร์ทแคโรไลนา ระบุในแถลงการณ์ในนาม journal Environmenteal Science & Technology ว่า "การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เกิดจากน้ำมือมนุษย์จะส่งผลกระทบต่อการเจริญเติบโตของสาหร่าย ซึ่งเราจะควบคุมการเกิดปรากฎการณ์นี้ได้ยากขึ้นหรือไม่สามารถแก้ปัญหาได้เลย"


Red Tide มีส่วนทำให้ระบบนิเวศทางทะเลเสียหาย


สัตว์ทะเลหลายชนิดเช่น เต่าทะเล นกทะเล แมงกะพรุน หรือแม้กระทั่งฉลามก็ได้รับผลกระทบจาก ปรากฎการณ์น้ำทะเลเปลี่ยนสี ที่เกิดขึ้นในฟลอริด้าเมื่อปี 2661 ? Steve Nesius / Greenpeace

ปรากฎการณ์ขี้ปลาวาฬส่งผลกระทบโดยตรงต่อระบบนิเวศทางทะเล เนื่องจาก สาหร่ายหรือแพลงก์ตอนพืชที่ตายแล้วจะลอยตัวขึ้นสู่ผิวน้ำทำให้พืชและปะการังไม่สามารถสังเคราะห์แสงได้ทำให้ระดับออกซิเจนในน้ำลดลงส่งผลให้พืชและสัตว์น้ำในบริเวณนั้นตายลงในที่สุด เมื่อพืชและสัตว์น้ำตายแล้วซากของสิ่งมีชีวิตดังกล่าวจะถูกคลื่นพัดขึ้นมาบนพื้นดินทับถมกันจนเกิดการเน่าเหม็นทำให้เกิดมลพิษทางกลิ่นในปี พ.ศ.2517 เกิดเหตุการณ์น้ำทะเลนอกชายฝั่งฟลอริดาเปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีเหลืองอำพันทำให้ปลาทะเลจำนวนมากเสียชีวิต และในปี 2511 เกิดเหตุการณ์แบบเดียวกันขึ้นที่แนวชายฝั่งนอร์ทธัมเบอร์แลนด์ในประเทศอังกฤษเป็นสาเหตุการตายของนกทะเลจำนวนมาก และไม่นานมานี้ปรากฎการณ์ดังกล่าวได้เกิดขึ้นในประเทศไทยที่ อ่าวเตยงาม อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี โดยเป็นสาหร่ายกลุ่มสีเขียวแกมน้ำเงิน(blue green algae) ชนิด Lyngbya sp. และถ้าหากเกิดมากกว่านี้ อาจทำให้ปริมาณของออกซิเจนลดลงและทำให้สัตว์น้ำตายลงในที่สุด โดยจะพบเหตุการณ์นี้ทุกปี ปีละ2-3ครั้ง


เราจำเป็นต้องชะลอวิกฤตสภาพภูมิอากาศ หยุดอุณหภูมิเฉลี่ยโลกไว้ที่ 1.5 องศาเซลเซียส

ปัจจุบัน คณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (IPCC) ชี้แจงไว้ว่าเราควรตั้งเป้าหมายคงอุณหภูมิเฉลี่ยผิวโลกไม่ให้เกิน 1.5 องศาเซลเซียส การที่มนุษย์ยังเพิกเฉยและปล่อยให้โลกร้อนขึ้นเรื่อยๆจากการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศคือการสร้างหายนะให้กับมนุษย์และระบบนิเวศทั่วโลก

เราเหลือเวลาอีกไม่กี่ปีเท่านั้นที่จะหยุดหายนะเหล่านี้ได้ ด้วยการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ลดและหยุดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลในภาคพลังงาน ภาคอุตสาหกรรม ภาคคมนาคม ลดการบริโภคเนื้อสัตว์จากอุตสาหกรรมปศุสัตว์ ปรับเปลี่ยนการใช้พลังงานด้วยการพึ่งพาพลังงานหมุนเวียนให้มากขึ้น หรือร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการปกป้องมหาสมุทรของเรา ผ่านการผลักดันสนธิสัญญาทะเลหลวง (Global Ocean Treaty) ที่กรีนพีซ ร่วมกับนักวิจัยและนักวิทยาศาสตร์จากทั่วโลกร่วมกันขับเคลื่อน เพื่อเสนอให้องค์การสหประชาชาติประกาศรับรองการกำหนดเขตปกป้องมหาสมุทรให้ได้อย่างน้อย ร้อยละ 30 จากพื้นที่มหาสมุทรทั้งหมด โดยตั้งเป้าหมายทำให้ได้ภายในปี พ.ศ. 2573 เพื่อหยุดยั้งและปกป้องระบบนิเวศใต้ท้องทะเล


https://www.greenpeace.org/thailand/...d-tide-impact/

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
ตอบ


กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 15:08


vBulletin รุ่น 3.8.10
สงวนลิขสิทธิ์ ©2000-2024, บริษัท Jelsoft Enterprises จำกัด
Ad Management plugin by RedTyger