เลือกสีตามสไลต์ที่คุณชอบ:
SaveOurSea.NET  

กลับไป   SaveOurSea.NET > สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม

ตอบ
 
Share คำสั่งเพิ่มเติม เรียบเรียงคำตอบ
  #1  
เก่า 31-05-2020
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันอาทิตย์ที่ 31 พฤษภาคม 2563

ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา


สภาวะอากาศทั่วไป

บริเวณความกดอากาศต่ำปกคลุมภาคเหนือตอนบน ในขณะที่มรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังปานกลางที่พัดปกคลุมทะเลอันดามันและประเทศไทยเริ่มมีกำลังอ่อนลง แต่ยังคงทำให้บริเวณประเทศไทยมีฝนตกหนักบางแห่งในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ภาคตะวันออก ภาคกลาง และภาคใต้ ขอให้ประชาชนบริเวณดังกล่าว ระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนตกสะสม ซึ่งอาจจะเกิดน้ำท่วมฉับพลัน และน้ำป่าไหลหลากในพื้นที่เสี่ยงภัยได้


กรุงเทพมหานครและปริมณฑล

มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 30 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง อุณหภูมิต่ำสุด 24-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 34-37 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-30 กม./ชม.


คาดหมาย

ในช่วงวันที่ 30 ? 31 พ.ค. ประเทศไทยมีฝนตกเพิ่มขึ้น และมีฝนตกหนักบางแห่ง เนื่องจากร่องมรสุมจะเลื่อนลงมาพาดผ่านภาคเหนือตอนบนและภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังปานกลางพัดปกคลุมทะเลอันดามัน และประเทศไทย

ส่วนในช่วงวันที่ 1 ? 5 มิ.ย. 63 พ.ค. 63 มรสุมตะวันตกเฉียงใต้พัดปกคลุมทะเลอันดามัน และประเทศไทย ประกอบกับร่องมรสุมจะมีกำลังอ่อนลง ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยมีฝนลดลง


ข้อควรระวัง

ในช่วงวันที่ 30 - 31 พ.ค. ขอให้ประชาชนบริเวณภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้ ระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนตกสะสม ซึ่งอาจจะเกิดน้ำท่วมฉับพลัน และน้ำป่าไหลหลากในพื้นที่เสี่ยงภัยได้












__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #2  
เก่า 31-05-2020
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default

ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการออนไลน์


นายกเมืองพัทยาแจงคลิปภาพปล่อยน้ำเสียลงทะเล แท้จริงแค่ตะกอนน้ำค้างท่อ

ศูนย์ข่าวศรีราชา - นายกเมืองพัทยา แจงคลิปภาพปล่อยน้ำเสียลงหาดพัทยาที่ถูกแชร์ในโลกออนไลน์ แท้จริงแค่ตะกอนน้ำค้างท่อที่ถูกฝนชะลงทะเล ไม่ใช่น้ำเสียตามที่เป็นข่าว ยันระบบบำบัดเมืองพัทยามีประสิทธิภาพ ซ้ำก่อนปล่อยน้ำลงทะเลทุกครั้งยังต้องตรวจวัดค่า BOD ตามมาตรฐานสากล



จากกรณีที่เพจ We love Pattaya ได้แชร์ภาพคลิปท่อบำบัดน้ำเสียเมืองพัทยาที่กำลังปล่อยน้ำเสียจำนวนมากลงสู่ทะเลพัทยา จนทำให้น้ำทะเลบริเวณดังกล่าวกลายเป็นสีดำไปทั่ว พร้อมระบุข้อความภาษาอังกฤษที่แปลได้ว่า ?ท่อบำบัดน้ำเสียกำลังทำงาน? จนทำให้มีชาวต่างชาติจำนวนมากเข้ามาแสดงความคิดเห็นและเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในวงกว้างนั้น

วันนี้ (30 พ.ค.) ผู้สื่อข่าวได้เดินทางลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง โดยพบว่าบริเวณที่ถูกระบุในคลิปวิดีโอ คือ อาคารสูบน้ำชายหาดพัทยา ที่ตั้งอยู่บริเวณทางเข้าวอล์กกิ้งสตรีท ย่านพัทยาใต้ และยังพบว่าจุดดังกล่าวเป็นที่ระบายน้ำของเมืองพัทยาที่ได้หยุดปล่อยน้ำลงชายหาดพัทยาไปแล้ว แต่ยังมีคราบน้ำเสียสีดำกระจายอยู่ในวงกว้าง

ขณะที่ นายสนธยา คุณปลื้ม นายกเมืองพัทยา เผยถึงคลิปวิดีโอที่ถูกเผยแพร่ในโลกออนไลน์ พร้อมระบุว่า เป็นการปล่อยน้ำเสียจำนวนมากลงสู่ทะเลพัทยา ว่าพื้นที่ที่อยู่ในคลิปภาพเป็นสถานีสูบน้ำในระบบบำบัดน้ำเสียของเมืองพัทยา ซึ่งตั้งอยู่บริเวณปากทางวอล์กกิ้งสตรีท พัทยาใต้ และเป็นจุดที่ใช้สูบน้ำเสียเพื่อนำไปบำบัด

โดยเฉพาะในช่วงที่มีฝนตกน้ำจำนวนมากจะเอ่อล้นและไหลระบายลงสู่ทะเล ซึ่งภาพที่เห็นไม่ใช่การระบายน้ำเสียโดยตรง เนื่องจากน้ำเสียทั้งหมดที่ออกมาจากอาคารจะถูกสูบเข้าระบบบำบัดน้ำเสียที่โรงบำบัดน้ำเสียวัดบุญกาญจนาราม และที่โรงบำบัดนำเสียซอยหนองใหญ่

พร้อมยืนยันว่า เมืองพัทยา มีระบบระบายน้ำอยู่ทั่วเมืองและในช่วงก่อนที่จะมีฝนตกลงมาน้ำภายในท่อระบายน้ำได้ถูกสูบเพื่อนำไปบำบัดทั้งหมดแล้ว จะเหลือก็แต่เพียงตะกอนและน้ำเสียตกค้างอยู่บ้างเท่านั้น



"เมื่อฝนตกลงมาอย่างหนักน้ำที่ออกมาจากท่อระบายน้ำก็อาจจะมีความขุ่นดำอยู่บ้าง ซึ่งก่อนหน้านี้ในช่วงที่มีฝนตกเมืองพัทยา จะกักน้ำฝนไว้เพื่อให้เกิดความเจือจางของตะกอนแล้วจึงปล่อยลงสู่ทะเล แต่ด้วยปริมาณน้ำที่มีจำนวนมากจึงเกรงว่าน้ำจะเอ่อล้นท่อหนุนกลับขึ้นไปท่วมบ้านเรือนประชาชน จึงมอบนโยบายให้สำนักช่างสุขาเมืองพัทยา ว่าจะต้องระบายน้ำฝนลงทะเลบ้างแม้สภาพน้ำจะมีความขุ่นดำบ้างก็ตาม"

นายกเมืองพัทยา ยังกล่าวอีกว่า ภาพที่เห็นในคลิปไม่ใช่การระบายน้ำเสียลงสู่ทะเลอย่างแน่นอน เพราะหากเป็นท่อระบายน้ำเสียจริงเมืองพัทยา จะตั้งในพื้นที่สาธารณะได้อย่างไร

ที่สำคัญ เมืองพัทยา ได้มีการตรวจสอบค่า BOD ของน้ำที่ถูกปล่อยลงสู่ทะเลตลอดเวลา ซึ่งจะต้องมีค่า BOD ไม่เกิน 20 ตามมาตรฐานที่กฎหมายกำหนดและส่วนใหญ่จะต้องมีการตรวจสอบค่าก็จะอยู่ที่ 11-13 เท่านั้นซึ่งถือว่ายังอยู่ในมาตรฐาน เช่นเดียวกับระบบระบายน้ำเสียที่ค่า BOD ก็จะต้องต่ำกว่ามาตรฐานที่กำหนดจึงจะสามารถปล่อยสู่แหล่งน้ำสาธารณะ


https://mgronline.com/local/detail/9630000056389


*********************************************************************************************************************************************************


เร่งตรวจยึดขนำบุกรุกสร้างกลางทะเลพื้นที่ชุ่มน้ำ หาลูกหอยวุ่นไม่หยุด ประมงพื้นบ้านเกือบปะทะกำนันคนดัง

สุราษฎร์ธานี - ผกก.สภ.เมืองสุราษฎร์ธานี พร้อมเจ้าท่า และ ทช. เร่งตรวจยึดขนำหรูที่บุกรุกก่อสร้างกลางทะเลในพื้นที่ชุ่มน้ำนานาชาติ ในขณะที่บรรยากาศการหาลูกหอยแครงของชาวประมงพื้นบ้านยังวุ่นไม่เลิก วันนี้เกือบมีปะทะกับกลุ่มกำนันคนดังในพื้นที่อำเภอพุนพิน



เมื่อเวลา 13.00 น. วันนี้ (30 พ.ค.) พ.ต.อ.ศิริชัย สุขสาตต์ ผกก.สภ.เมืองสุราษฎร์ธานี นำเจ้าหน้าที่ชุดพนักงานสอบ พร้อมด้วยนายณัฐพัชร เจ๊ะมะ นักวิชาการขนส่ง สำนักงานเจ้าท่าภูมิภาค สาขาสุราษฎร์ธานี และนายวิชัย สมรูป ผอ.สนง.ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งสุราษฎร์ธานี เข้าทำการตรวจยึดขนำหรูสีแดง 2 ชั้น มูลค่ากว่า 2 ล้านบาท ที่ก่อสร้างอยู่กลางทะเลในพื้นที่ชุมน้ำนานาชาติ หรือ พื้นที่อนุรักษ์ ใน ต.บางชนะ อ.เมืองสุราษฎร์ธานี หลังจากเจ้าท่าภูมิภาคสาขาจังหวัดได้แจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน สภ.เมืองสุราษฎร์ธานี ให้ดำเนินคดีต่อเจ้าของอาคารทั้ง 2 หลัง ในข้อหาบุกรุกและก่อสร้างสิ่งล้วงล้ำลำน้ำโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งทั้ง 2 แห่งชาวประมงพื้นบ้านร้องเรียนต่อ พล.ท.สิทธิพร มุสิกะสิน แม่ทัพน้อยที่ 4 ที่ลงพื้นที่ เมื่อวันที่ 27 พ.ค.ที่ผ่านมาว่า ถูกกลุ่มชายฉกรรจ์ที่อยู่ในอาคารขู่ทำร้ายและสั่งห้ามลงเก็บลูกหอย ซึ่งทางแม่ทัพน้อยที่ 4 ได้สั่งการให้มีการตรวจค้นพบอาวุธปืน จำนวน 4 กระบอก และเครื่องกระสุนปืน และควบคุมชายฉกรรจ์ จำนวน 4 คนไปดำเนินการสอบสวนและดำเนินคดี



ในขณะที่ชาวประมงพื้นบ้านจำนวนหลายพันคนยังคงออกทะเลหาลูกหอยแครงในพื้นที่อำเภอเมืองสุราษฎร์ธานีกันอย่างคึกคัก และมีชาวประมงพื้นบ้านนำเรือกว่า 500 ลำเข้าไปจับลูกหอยในพื้นที่ ต.ลีเล็ด อ.พุนพิน ได้มีนายประเสริฐ ชัญจุกรณ์ กำนันตำบลลีเล็ด พร้อมพวกจำนวนหนึ่งได้นำเรือติดเครื่องขยายเสียงออกมาระบุว่า พื้นที่ดังกล่าวกว่า 100 ไร่เป็นพื้นที่ของชุมชนได้กันพื้นที่เลี้ยงหอยแครง โดยซื้อลูกหอยมาปล่อย แต่ชาวบ้านไม่เชื่อเกือบมีการปะทะกัน สุดท้ายนายวิชวุทย์ จินโต ผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานี จึงได้มอบหมายให้ นายวิชัย สมรูป ผอ.สนง.ทช.สุราษฎร์ธานี เข้าเจรจาให้ทั้ง 2 ฝ่ายหาข้อยุติ โดยใช้วิธีตรวจสอบว่าใต้น้ำเป็นลูกหอยหรือหอยใหญ่

จากการตรวจสอบ พบว่า เป็นหอยแครงใหญ่ที่มีขนาด 80-100 ตัวต่อกิโลกรัม นายวิชัย จึงได้ขอร้องให้ชาวประมงถอยออกจากจุดนี้ไปก่อน และขอให้ทางจังหวัดได้ประชุมหาทางออกอีกครั้งในวันจันทร์นี้ ซึ่งทางกลุ่มประมงพื้นบ้านจึงได้ยอมถอนตัวไปจับลูกหอยในพื้นที่ที่ทาง นาวาเอกวศากร สุนทรนันท์ รองผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ทางทะเลจังหวัดสุราษฎร์ธานี (ศรชล.) ได้เปิดพื้นที่บริเวณขนำสีแดงในพื้นที่ตำบลลีเล็ด


https://mgronline.com/south/detail/9630000056393

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #3  
เก่า 31-05-2020
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default

ขอบคุณข่าวจาก ข่าวสด


ซากเครื่องบินรบสมัยสงครามโลก โผล่ชายหาด ขณะพาหมาเดินเล่น


Debi Hartley

ซากเครื่องบินรบสมัยสงครามโลก - ซีเอ็นเอ็น รายงานว่า สามีภรรยาชาวอังกฤษพบซากเครื่องบินรบยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 บนชายหาดเมืองคลีโธรปส์ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เชื่อว่าเป็นรุ่นบริสทอล โบไฟเตอร์ ทีเอฟ.เอ็กซ์

นางเดบี ฮาร์ตลีย์ วัย 51 ปี และนายเกรแฮม โฮลเดน อายุ 54 ปี พาสุนัขชื่อ บอนนี ไปเดินเล่นที่ชายหาด และเห็นซากเครื่องบินดังกล่าวเมื่อวันจันทร์ที่ 25 พ.ค.

ทั้งสองเล่าว่า ตอนนั้นไม่รู้ว่าซากที่พบเป็นอะไร ใช้เวลาราว 45 นาทีพินิจพิเคราะห์และถ่ายรูปไว้ จากนั้นเมื่อกลับไปบ้านจึงเริ่มค้นหาข้อมูล จนพบว่าซากที่พบเป็นเครื่องบินยุคสงครามโลกครั้งที่ 2

"ตอนนั้นฉันตะลึงพรึงเพริดมากที่เห็นซาก ฉันไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน ส่วนคู่ชีวิตของฉันอยู่เมืองคลีโธรปส์มา 30 ปีและก็เดินบนเส้นทางนี้ประจำทุกวัน แต่ไม่เคยเห็นซากนี้มาก่อน" นางฮาร์ตลีย์กล่าว

หญิงรายนี้กล่าวด้วยว่า เมื่อก่อนไม่เคยสนใจประวัติศาสตร์เลย แต่ตอนนี้พยายามหาข้อมูลเกี่ยวกับเครื่องบินรุ่นนี้มากขึ้น


Debi Hartley

ต่อมา เจ้าหน้าที่พิพิธภัณฑ์กองทัพอากาศอังกฤษยืนยันกับซีเอ็นเอ็น ว่าเครื่องที่พบเป็นรุ่นบริสทอล โบไฟเตอร์ ทีเอฟ.เอ็กซ์ (Bristol Beaufighter TF.X) มีรหัส JM333 มาจากฝูงบนรบ 254

"เครื่องลำนี้บินตกเมื่อวันที่ 21 เมษายน 1944 หลังจากเพิ่งเหินขึ้นไม่นานจากเมืองนอร์ธ โคตส์ มณฑลลินคอล์นเชียร์ เนื่องจากเครื่องยนต์ทั้งสองตัวดับ ตอนนั้นนักบินดีดตัวออกจากเครื่องได้ทัน และไม่บาดเจ็บอะไร" เอียน เธิร์กส์ หัวหน้าแผนกของสะสม พิพิธภัณฑ์กองทัพอากาศ กล่าว

ด้านเจ้าหน้าที่ยามชายฝั่งเตือนประชาชนอย่าได้เข้าไปดูซาก เนื่องจากยังมีอันตรายอยู่ เข้าใจว่ามีหลายคนสนใจ แต่เพื่อความปลอดภัย ขอให้รอไว้ก่อน อีกทั้งยังได้รับรายงานว่า ตอนนี้ทรายไหลกลบซากเครื่องอีกรอบไปแล้ว


https://www.khaosod.co.th/around-the...s/news_4227772

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #4  
เก่า 31-05-2020
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default

ขอบคุณข่าวจาก แนวหน้า


พบพะยูนตายกลางอ่าวพังงา เร่งตรวจหาสาเหตุ



วันที่ 30 พ.ค.63 ผู้สื่อข่าว?ราย?งานว่า? นายศรายุทธ ตันเถียร หัวหน้าอุทยานแห่งชาติอ่าวพังงา ได้ร่วมตรวจสอบซากพะยูนบริเวณท่าเทียบเรือบ้านสามช่องเหนือ หมู่ที่ 9 ตำบลกะไหล อำเภอตะกั่วทุ่ง จังหวัดพังงา หลังได้รับแจ้งจากนายอ่าหมาน สุมาลี อายุ 40 ปี ซึ่งเป็นชาวประมงว่า พบซากพะยูนเสียชีวิต บริเวณเกาะยางแดง เขตอุทยานแห่งชาติอ่าวพังงา ก่อนจะแจ้งให้เจ้าหน้าที่ทราบ และนำมาไว้ที่ท่าเทียบเรือบ้านสามช่อง

เบื้องต้นซากพะยูนดังกล่าวไม่ทราบเพศ มีขนาดความยาว 2.10 เมตร ขนาดรอบลำตัวประมาณ 1.07 เมตร น้ำหนักประมาณ 180 กก.ผิวหนังถลอกบริเวณหัว สภาพซากเริ่มบวมน้ำ แต่ไม่พบบาดแผลหรือร่องรอยแผลขนาดใหญ่? จึงให้เจ้าหน้าที่นำซากพะยูนดังกล่าวส่งให้ศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งทะเลอันดามันตอนบน จังหวัดภูเก็ต เพื่อดำเนินการตรวจหาสาเหตุการเสียชีวิตที่แท้จริง



นายศรายุทธ กล่าวว่า เป็นที่หน้าเสียใจที่มีการพบร่องรอยพะยูนในอ่าวพังงาในสภาพเสียชีวิต ทั้งที่ไม่พบรายงานการอาศัยอยู่ โดยหลังจากนี้อุทยานแห่งชาติอ่าวพังงาจะร่วมกับศูนย์ปฏิบัติการอุทยานแห่งชาติทางทะเลที่ 2 จังหวัดภูเก็ต ในการใช้อากาศยานไร้คนขับ (Drone) บินสำรวจประชากรพะยูน หรือร่องรอยการกินหญ้าทะเลบริเวณที่พบซาก เพื่อวางแผนในการอนุรักษ์ต่อไป


https://www.naewna.com/local/496201

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #5  
เก่า 31-05-2020
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default

ขอบคุณข่าวจาก บ้านเมือง


บุกยึดขนำหรูกลางทะเล รุกที่สาธารณะมูลค่ากว่า 3 ล้าน

สุราษฎร์ธานี-ผกก.สภ.เมืองสุราษฎร์ธานีพร้อมเจ้าท่า/ ทช. เร่งตรวจยึด ขนำหรูกลางทะเลมูลค่ากว่า 3 ล้านรุกสร้างกลางทะเลในพื้นที่ชุ่มน้ำนานาชาติ ส่วนบรรยากาศการเก็บหาลูกพันธุ์หอยแครงของชาวประมงพื้นบ้านยังวุ่นไม่เลิกวันนี้เกือบมีการปะทะระหว่างกลุ่มกำนันคนดังในพื้นที่อำเภอพุนพินกับชาวบ้าน



สุราษฎร์ธานี-เมื่อเวลาประมาณ 13.00 น.(30พ.ค.63) พ.ต.อ.ศิริชัย สุขสาตต์ ผกก.สภ.เมืองสุราษฎร์ธานีนำกำลังเจ้าหน้าที่ชุดพนักงานสอบสวน ร่วมกับนายณัฐพัชร เจ๊ะมะ นักวิชาการขนส่ง สำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขาสุราษฎร์ธานีและนายวิชัย สมรูป ผอ.สำนักงานบริหารทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ 4สุราษฎร์ธานี และเจ้าหน้าที่จำนวนหนึ่งเข้าทำการตรวจยึดขนำหรูหลังคาสีแดง 2 ชั้นมูลค่ากว่า 3 ล้านบาท และขนำหรูหลังคาสีขาว อยู่กลางทะเลในพื้นที่ชุ่มน้ำนานาชาติหรือพื้นที่อนุรักษ์อ่าวบ้านดอน เขตตำบลบางชนะ อำเภอเมืองสุราษฎร์ธานี หลังจากเจ้าท่าภูมิภาคสาขาจังหวัดสุราษฎร์ธานีได้แจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน สภ.เมืองสุราษฎร์ธานี ให้ดำเนินคดีต่อเจ้าของอาคารทั้ง 2 หลังในข้อหาบุกรุกและก่อสร้างสิ่งรุกล้ำลำน้ำโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งทั้ง2แห่งชาวประมงพื้นบ้านร้องเรียนต่อ พลโทสิทธิพร มุสิกะสิน แม่ทัพน้อยที่4 ขณะลงพื้นที่เมื่อวันที่ 27 พ.ค. ที่ผ่านมาว่าถูกกลุ่มชายฉกรรจ์ที่อยู่ในอาคารขู่ทำร้ายและสั่งห้ามลงเก็บหาลูกพันธุ์หอยแครงซึ่งทางแท่ทัพน้อยที่4ได้สั่งการให้มีการตรวจค้นพบอาวุธปืนจำนวน 4 กระบอกพร้อมเครื่องกระสุนปืนและควบคุมชายฉกรรจ์จำนวน 4 คนไปดำเนินการสอบสวนและดำเนินคดี

ในขณะที่ชาวประมงพื้นบ้านจำนวนหลายพันคนยังคงออกทะเลเก็บหาลูกพันธุ์หอยแครง ในพื้นที่อำเภอเมืองสุราษฎร์ธานีกันอย่างคึกคักและมีชาวประมงพื้นบ้านนำเรือกว่า 500 ลำเข้าไปเก็บหาลูกพันธุ์หอยแครงในพื้นที่ตำบลลีเล็ดอำเภอพุนพิน ปรากฎว่าได้มีนายประเสริฐ ชัญจุกรณ์ กำนันตำบลลีเล็ดอำเภอพุนพิน พร้อมพวกจำนวนหนึ่งได้นำเรือติดเครื่องขยายเสียง ออกมาประกาศว่าพื้นที่ดังกล่าวกว่า 100 ไร่เป็นพื้นที่ของชุมชนซึ่งได้กันพื้นที่ไว้เพาะเลี้ยงหอยแครง โดยซื้อลูกพันธุ์หอยแครงจากชาวประมงพื้นบ้านมาปล่อย แต่ชาวบ้านไม่เชื่อเกือบมีการปะทะกัน

ในที่สุดนายวิชวุทย์ จินโต ผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานีทราบเรื่องจึงได้มอบหมายให้นายวิชัย สมรูป ผอ.สำนักงานบริหารทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ 4 สุราษฎร์ธานี เข้าเจรจาหาข้อยุติให้ทั้ง 2 ฝ่าย โดยใช้วิธีการตรวจสอบว่าใต้น้ำจุดที่ชาวบ้านกำลังจะเก็บหาลูกพันธุ์หอยอยู่นั้นเป็นลูกพันธุ์หอยแครงหรือหอยแครงขนาดใหญ่โดยพิสูจน์การตรงนั้นเลย ปรากฏว่าผลการพิสูจน์ในช่วงนั้นพบว่าเป็นหอยแครงตัวใหญ่ที่มีขนาด 80-100 ตัวต่อกิโลกรัม นายวิชัยจึงได้ขอร้องให้ชาวประมงพื้นบ้านถอยออกจากจุดนี้ไปก่อนและขอให้ทางจังหวัดร่วมกับเจ้าหน้าที่ทุกส่วนที่เกี่ยวข้องได้ประชุมหาทางออกอีกครั้งในวันจันทร์ ที่ 1 มิ.ย.นี้ ทางกลุ่มชาวประมงพื้นบ้านจึงยอมถอนตัวออกไปจากจุดดังกล่าว.


https://www.banmuang.co.th/news/crime/194241

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #6  
เก่า 31-05-2020
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default

ขอบคุณข่าวจาก ThaiPBS


ตั้งค่าหัวฉลามตัวละ 1,000 บาทผิด กม.หรือไม่?

ไทยพีบีเอสออนไลน์ ตรวจสอบภายหลังกระแสข่าวเทศมนตรีตำบลเจ๊ะบิลัง อ.เมือง จ.สตูล ตั้งค่าหัวล่าฉลามตัวละ 1,000 บาท หลังชาวบ้านผวากัดเด็กริมคลองต้องเย็บแผล 50 เข็ม ด้าน ทช.ยอมรับฉลามทุกสายพันธุ์ ยังไม่ได้รับการคุ้มครอง ล่าไม่ผิดอยู่ระหว่างผลักดัน วอนอย่าล่า



วันนี้ (30 พ.ค.2563) นายมะหมัดนี ซัมบิลังโหลด นายกเทศมนตรีตำบลเจ๊ะบิลัง อ.เมือง จ.สตูล ลงล่องเรือรอบคลองน้ำเค็มบ้านเจ๊ะบิลัง หลังเกิดกรณีฉลามกัดเท้าซ้ายของเด็กวัย 12 ขวบในพื้นที่ ม.2 ต.เจ๊ะบิลัง ขณะนั่งห้อยขาเล่นน้ำ กับเพื่อนที่คลองจนเกิดบาดแผลฉกรรจ์เย็บร่วม 50 เข็ม ขณะนี้อาการปลอดภัยแล้วแต่ต้องล้างแผลทุกวัน

"ศูนย์อนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลจ.สตูลยืนยันว่าเป็นบาดแผลรอยฟันฉลามจริง โดยกัดลึกถึงกระดูก ขณะนี้อาการปลอดภัยแล้วแต่ต้องล้างแผลทุกวันหลังเย็บแผลร่วม 50 เข็ม"

นายกเทศมนตรีตำบลเจ๊ะบิลัง กล่าวว่า หลังจากนี้ทางเทศบาลตำบลเจ๊ะบิลัง จะติดป้ายห้ามเด็กเล่นน้ำในช่วงนี้ทั้งที่ผ่านมาตลอดอยู่ในพื้นที่ 40 ปีไม่เคยเจอเหตุการณ์ฉลามกัด หรือทำร้ายชาวบ้านมาก่อนจะ

"หากชาวบ้านคนไหนวางอวน หรือจับฉลามมาได้ตัวเป็นๆในบริเวณคลองเจ๊ะบิลัง ตั้งแต่จุดท่าเรือโลมาจนมาถึงท่าเรืออบจ.สตูลจุดที่เด็กถูกฉลามกัดพร้อมจ่ายเงินให้ทันทีตัวละ 1,000 บาท"

ชาวบ้านริมคลองเจ๊ะบิลัง หลายคนยอมรับว่า เป็นห่วงเด็กๆ จะลงไปเล่นน้ำ และถูกฉลามกัด ทำให้เด็กพากันหวาดกลัว หยุดเล่นมา 2 วันเกิดเหตุแล้ว ส่วนแนวทางแก้ปัญหาก็อยากให้มาช่วยกันจับหรือทำป้ายเตือน เพื่อให้ทุกคนเพิ่มความระมัดระวังขณะใช้เรือหรือเด็กลงไปในน้ำ

นางฝาตีม๊ะ สลิมีน กล่าวว่า อยากให้เจ้าหน้าที่มาช่วยกันจับ เพราะกลัวบุตรหลานจะลงไปด้วยรู้เท่าไม่ถึงกาณ์รแม้บางคนไม่เชื่อว่าเป็นฉลาม แต่เชื่อหลานเพราะเขาเห็นตัวเป็นๆ


ตั้งค่าหัวฉลาม-ไม่ผิดเหตุไม่ใช้สัตว์คุ้มครอง

ไทยพีบีเอสออนไลน์ สัมภาษณ์ นายโสภณ ทองดี อธิบดีกรมทรัพยารกทางทะเและชายฝั่ง (ทช.) กล่าวว่า กรณีฉลามกัดเด็กที่สตูล ตรวจสอบแล้วพบว่าเป็นฉลามหัวบาตร แต่ลักษณะนิสัยของฉลามชนิดนี้ไม่ได้ดุร้าย หรือไล่ล่า แต่ที่กัดขาเด็กน่าจะเกิดจากความตกใจ เหมือนกับเคสที่เคยมีฉลามหัวบาตรกัดฝรั่งในพื้นที่หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ดังนั้นจึงขอความร่วมมือกับทางท้องถิ่น ทำความเข้าใจกับชาวบ้านว่าอย่าไปไล่ล่าฉลาม ทั้งเพื่อลดความกลัวหรือนำมาบริโภค เพราะว่ามันเป็นอุบัติเหตุในท้องทะเล ฉลามไม่ได้จ้องกัดคน

"ไม่อยากให้ตั้งรางวัลล่าฉลาม เพราะจะทำให้เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ได้ ซึ่งตอนนี้ประเทศไทยยังไม่มีการขึ้นบัญชีฉลามทุกสายพันธุ์เข้าในบัญชีสัตว์คุ้มครอง ทำให้การล่าหรือนำมาบริโภค จึงยังไม่มีความผิดตามกฎหมาย"

นายโสภณ กล่าวอีกว่า ที่ผ่านมา ทช.ได้มีการตั้งทีมในการศึกษาวิจัยฉลาม เพื่อเตรียมผลักดันให้เป็นสัตว์ทะเลคุ้มครองเพิ่มเติม เนื่องจากพบว่าในช่วงหลายปีมีการล่าฉลาม และนำมาวางโชว์ขายในร้านอาหารทางทะเล ดังนั้นค่อนข้างชัดเจนแล้วว่าทช.ต้องเร่งผลักดันให้มีการขึ้นบัญชีเป็นสัตว์คุ้มครอง

"ทช.จับตามาหลายปี พบดัชนีแนวโน้มที่จะสุ่มเสี่ยงตอการสูญพันธุ์ก็ต้องเร่งผลักดันให้เป็นสัตว์คุ้มครอง ซึ่งที่ผ่านมาในรอบหลายปีเพิ่งมีการขึ้นบัญชีฉลามวาฬ วาฬโอมุระ เต่ามะเฟืองและพะยูน เป็นสัตว์สงวน"

โดยเฉพาะการแพร่กระจายของปลาฉลามหัวบาตร (Bull shark: Carcharhinus leucas) ซึ่งพบมากบริเวณปากแม่น้ำบางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา ปากแม่น้ำแม่กลอง จ.สมุทรสงคราม เเละบริเวณแหลมผักเบี้ย จ.เพชรบุรี เนื่องจากบริเวณดังกล่าวเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยเเละเเหล่งอาหารของปลาฉลามหัวบาตรวัยอ่อน




นักวิชาการ ระบุฟันรอยแผล "ฉลามหัวบาตร" กัดเด็ก

เมื่อวานนี้ (29 พ.ค.) นายธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ รองคณบดีคณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (มก.) โพสต์เฟซบุ๊ก Thon Thamrongnawasawat ว่า มีข่าวเด็กไปเล่นน้ำแถวท่าเรือเจ๊ะบิลัง สตูล จากนั้นโดนปลากัด ดูจากบาดแผลมีรอยเป็นฟัน 3 เหลี่ยม คิดว่าเป็นฉลามครับ แต่ขนาดไม่ใหญ่มากพื้นที่แถวนั้นเป็นหาดเลนและป่าเลน น้ำขุ่น ไม่ใช่แหล่งท่องเที่ยว แต่เด็กๆ แถวนั้นอาจมาเล่นกัน

บางทีแถวปากน้ำอาจมีฉลามเข้ามาหากิน หากให้ระบุชนิด อาจเป็นลูกฉลามหัวบาตร (bull shark) เพราะชอบเข้าน้ำกร่อย/ปากแม่น้ำ (แน่นอนว่ามีสิทธิเป็นชนิดอื่น แต่น่าจะตัวนี้ครับ)

ข่าวฉลามกัดคนมีมาก 1-2 ปีหน ส่วนใหญ่มีลักษณะคล้ายกัน ฉลามขนาดไม่ใหญ่ กัดที่เท้า และไม่ได้ตั้งใจล่า แต่เป็นการเข้าใจผิด เมื่องับแล้วรู้ว่าไม่ใช่เหยื่อก็ว่ายหนีไป ข้อควรระวังคงทำยาก แต่แนะนำว่าไม่ควรเล่นน้ำกลางคืนหรือโพล้เพล้ ระวังอย่าเล่นช่วงน้ำขึ้น

ช่วงนี้ระวังไว้นิด แต่เท่าที่ผ่านมาก็ไม่เคยมีข่าวว่าฉลามกัดซ้ำที่เดิมก็คงระวังกันไว้หน่อย แต่ไม่ต้องล่าพวกเขาหรอกครับ เขาไม่ตั้งใจ


https://news.thaipbs.or.th/content/293119

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #7  
เก่า 31-05-2020
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default

ขอบคุณข่าวจาก Greennews


ฉลองขึ้นทะเบียนลุ่มน้ำสงครามเป็นแรมซาร์ไซต์ล่าสุดของไทย ท่ามกลางกระแสกังวลเขื่อนโขง ................. โดย ปรัชญ์ รุจิวนารมย์

นักวิชาการยินดี ระบบนิเวศพื้นที่ชุ่มน้ำลุ่มน้ำสงครามตอนล่าง จ.นครพนม ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระหว่างประเทศ หรือ แรมซาร์ไซต์ (Ramsar Site) แห่งที่ 15 ของประเทศไทย ชี้เป็นพื้นที่เพาะพันธุ์วางไข่สำคัญของปลาแม่น้ำโขง ช่วยอุ้มชูเศรษฐกิจและความมั่นคงทางอาหารท้องถิ่น หากแต่กระแสการพัฒนาโครงการเขื่อนผลิตกระแสไฟฟ้าในลุ่มแม่น้ำโขงตอนล่างกำลังเป็นภัยคุกคามสำคัญที่อาจทำลายระบบนิเวศที่เปราะบางแห่งนี้

เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ.2563 พุฒิพงศ์ สุรพฤกษ์ โฆษกประจำกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ได้แถลงต่อสื่อมวลชนในการแถลงข่าวว่า สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) ได้รับแจ้งจากสำนักเลขาธิการอนุสัญญาว่าด้วยพื้นที่ชุ่มน้ำโลก (The Secretariat of Ramsar Bureau) ว่า พื้นที่ชุ่มน้ำลุ่มน้ำสงครามตอนล่าง ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็น พื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระหว่างประเทศ หรือ แรมซาร์ไซต์ แห่งที่ 15 ของไทย และเป็นแรมซาร์ไซต์ ลำดับที่ 2,420 ของโลก โดยมีผลอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ.2562


แม่น้ำสงครามทิวทัศน์ลุ่มแม่น้ำสงครามตอนล่างที่ บ้านปากยาม อ.ศรีสงคราม จ.นครพนม //ขอบคุณภาพจาก: รักษ์แม่น้ำสงคราม

พุฒิพงศ์ ระบุว่า พื้นที่ชุ่มน้ำแม่น้ำสงครามตอนล่าง จังหวัดนครพนม ที่ได้รับการเสนอขึ้นทะเบียนเป็นแรมซาร์ไซต์ มีพื้นที่ครอบคลุมตั้งแต่ปากน้ำบ้านไชยบุรี ต.ไชยบุรี อ.ท่าอุเทน ไปจนถึงบ้านปากยาม ต.สามผง อ.ศรีสงคราม จ.นครพนม มีความยาวทั้งสิ้น 92 กิโลเมตร รวมพื้นที่ทั้งหมด 34,381 ไร่ โดยการกำหนดพื้นที่เสนอแรมซาร์ไซต์ ยึดหลักการสำคัญ คือ ครอบคลุมเฉพาะส่วนที่เป็นตัวแม่น้ำสงครามตอนล่าง และพื้นที่ป่าบุ่งป่าทามที่ติดกับสองฝั่งแม่น้ำ และพื้นที่ป่าสาธารณะ หรือป่าบุ่งป่าทามที่ผู้นำชุมชนและคณะกรรมการหมู่บ้านเห็นชอบ

สำหรับความสำคัญของพื้นที่ชุ่มน้ำลุ่มน้ำสงครามตอนล่าง โฆษก ทส. กล่าวว่า พื้นที่ชุ่มน้ำแห่งนี้ประกอบไปด้วยระบบนิเวศหายาก ได้แก่ ป่าบุ่งป่าทาม หรือป่าน้ำท่วมผืนใหญ่ มีความสำคัญในเชิงความหลากหลายทางชีวภาพของชนิดพันธุ์พืชและสัตว์ในระบบนิเวศ เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของพันธุ์ปลาน้ำจืด เป็นแหล่งประมงพื้นบ้านที่มีความสำคัญต่อความมั่นคงทางอาหารของคนในพื้นที่ ตลอดจนเป็นแหล่งอพยพเพื่อผสมพันธุ์วางไข่ของพันธุ์ปลาจากแม่น้ำโขงในช่วงฤดูน้ำหลาก พบความหลากหลายของพันธุ์ปลาอย่างน้อย 124 ชนิด พันธุ์พืช 208 ชนิด รวมทั้ง ดังนั้นพื้นที่ชุ่มน้ำลุ่มน้ำสงครามตอนล่างจึงมีความสำคัญในเชิงวัฒนธรรมและเศรษฐกิจอย่างยิ่ง

หนึ่งในทีมนักวิชาการที่ร่วมผลักดันการขึ้นทะเบียนพื้นที่ชุ่มน้ำลุ่มน้ำสงครามตอนล่างให้เป็น แรมซาร์ไซต์ สันติภาพ ศิริวัฒนไพบูลย์ อาจารย์สาขาวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี ให้ความเห็นต่อประเด็นนี้ เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม ว่า เป็นเรื่องน่ายินดียิ่งที่ในที่สุด พื้นที่ชุ่มน้ำลุ่มน้ำสงครามตอนล่างที่มีความสำคัญสูงทั้งทางด้านระบบนิเวศและวิถีความเป็นอยู่ชุมชนแห่งนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็น แรมซาร์ไซต์ แห่งล่าสุดของไทย ซึ่งจะช่วยเสริมให้มีการอนุรักษ์ดูแลพื้นที่แห่งนี้ได้ดียิ่งขึ้นหลังจากที่ภาคประชาสังคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ร่วมผลักดันการอนุรักษ์พื้นที่ชุ่มน้ำลุ่มน้ำสงครามตอนล่าง อันเป็นลุ่มน้ำสาขาของแม่น้ำโขงแห่งท้ายๆ ที่ยังไม่ได้รับผลกระทบจากการพัฒนามากนัก และยังคงสภาพระบบนิเวศป่าบุ่งป่าทามที่ยังคงความสมบูรณ์ที่สุดของลุ่มน้ำโขง มาอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี พ.ศ.2557

"การขึ้นทะเบียนเป็นแรมซาร์ไซต์จะช่วยให้การอนุรักษ์ความสมบูรณ์ของระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพของพื้นที่ เป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพและง่ายดายขึ้น เพราะจะได้รับการสนับสนุนงบประมาณในการอนุรักษ์ดูแลพื้นที่ชุ่มน้ำจากเงินกองทุนอนุสัญญาฯ ตลอดจนองค์กรนานาชาติอื่นๆ ทั้งยังช่วยผลักดันให้หน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องออกมาตรการและบังคับใช้กฎหมายในการดูแลพื้นที่อย่างเหมาะสมยิ่งขึ้น" สันติภาพ กล่าว

"การรักษาพื้นที่ชุ่มน้ำแห่งนี้ให้คงความสมบูรณ์มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะนอกจากพื้นที่ป่าและทุ่งน้ำท่วมในลุ่มน้ำสงครามตอนล่างจะเป็นแหล่งอนุบาลสัตว์น้ำสำคัญของทั้งลุ่มน้ำโขง ชาวบ้านในพื้นที่ยังได้รับประโยชน์จากความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติ และบริการด้านระบบนิเวศ จากการหาปลาในฤดูน้ำหลาก และการทำเกษตร (นาทาม) ในฤดูแล้ง ซึ่งเป็นหลักประกันต่อความมั่นคงทางอาหารและเศรษฐกิจชุมชน"


ชาวประมงชาวประมงท้องถื่นกำลังหาปลาในแม่น้ำสงคราม //ขอบคุณภาพจาก: รักษ์แม่น้ำสงคราม

อย่างไรก็ดี เขาเตือนว่า กระแสการพัฒนาโครงการเขื่อนผลิตกระแสไฟฟ้าหลายแห่งในลุ่มน้ำแม่น้ำโขงตอนล่างขณะนี้ กำลังเป็นภัยคุกคามสำคัญต่อการอนุรักษ์ดูแลพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระหว่างประเทศแห่งนี้

"แม่น้ำสงครามเป็นหนึ่งในแม่น้ำสาขาของแม่น้ำโขง ถือเป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศแม่น้ำโขง ระบบนิเวศแม่น้ำสงครามจึงเชื่อมโยงกับระบบนิเวศของทั้งลุ่มแม่น้ำโขง ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงระดับน้ำและสิ่งแวดล้อม จากการดำเนินงานของเขื่อนในลุ่มแม่น้ำโขง จึงไม่เพียงส่งผลกระทบโดยตรงต่อความสมบูรณ์ของระบบนิเวศแม่น้ำโขง แต่ยังสร้างความเสียหายต่อระบบนิเวศย่อยในลุ่มน้ำสงครามอีกด้วย" เขากล่าว

"จากวิกฤตการณ์ภัยแล้งครั้งประวัติการณ์ และการขึ้นลงของระดับน้ำโขงผันผวนผิดฤดูกาลเมื่อปีที่ผ่านมา ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า เขื่อนที่มีอยู่แล้วในแม่น้ำโขงขณะนี้ได้สร้างความเสียหายต่อระบบนิเวศแม่น้ำโขงและลำน้ำสาขา รวมไปถึงระบบนิเวศลุ่มน้ำสงครามอย่างหนัก"

ดังนั้น เขาเตือนว่า การลงทุนโครงการเขื่อนในแม่น้ำโขงเพิ่มขึ้นอีกทั้ง โครงการเขื่อนหลวงพระบาง เขื่อนปากลาย และเขื่อนสานะคาม ซึ่งห่างจากชายแดนไทยเพียง 2 กิโลเมตร ย่อมก่อให้เกิดผลกระทบต่อระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อมของทั้งลุ่มน้ำโขงหนักยิ่งขึ้นไปอีก

"ลุ่มน้ำโขงไม่ควรมีเขื่อนเพิ่มขึ้นอีกแล้ว" เขากล่าวย้ำ

อนึ่ง เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม เครือข่ายประชาชนลุ่มน้ำโขงอีสาน 45 องค์กร ได้ออกแถลงการณ์ต่อสถานการณ์การผลักดันโครงการก่อสร้างเขื่อนสานะคาม ซึ่งเป็นโครงการเขื่อนผลิตกระแสไฟฟ้าล่าสุดบนลำน้ำโขงตอนล่าง

โดยเครือข่ายฯ ได้เรียกร้องให้รัฐบาลไทยและหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องให้แสดงจุดยืนที่ชัดเจนต่อปัญหาผลกระทบด้านระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อมในแม่น้ำโขงจากการดำเนินงานของเขื่อนต่าง ๆ ในแม่น้ำโขง ทบทวนจุดยืนในการซื้อไฟฟ้าจากเขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำบนแม่น้ำโขงทั้งหมด เปิดเผยข้อมูลและข้อเท็จจริงอย่างรอบด้าน และเปิดพื้นที่ให้กับภาคประชาชนในการร่วมแก้ปัญหา และเสนอทางเลือกด้านการพัฒนาในลุ่มน้ำโขงอย่างยั่งยืน


ปลาปลาสดๆจากแม่น้ำสงครามเป็นหนึ่งในบริการทางนิเวศจากระบบนิเวศพื้นที่ชุ่มน้ำอันสมบูรณ์ในลุ่มน้ำสงคราม //ขอบคุณภาพจาก:
รักษ์แม่น้ำสงคราม


ข้อมูลจาก สผ. ระบุว่า แรมซาร์ไซต์ หรือพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระหว่างประเทศ เป็นพื้นที่ชุ่มน้ำที่เป็นตัวแทนหายากหรือมีลักษณะพิเศษเฉพาะ ที่ได้รับความคุ้มครองภายใต้อนุสัญญาแรมซาร์ (Ramsar Convention) หรืออนุสัญญาว่าด้วยพื้นที่ชุ่มน้ำ มีความสำคัญต่อการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ และรักษาชุมชนประชากรทางนิเวศของ นกน้ำ และปลา ในระดับนานาชาติ

โดยในปัจจุบัน ทั่วโลกมีพื้นที่ชุ่มน้ำที่ได้รับการขึ้นทะเบียนแรมซาร์ไซต์ทั้งหมด 2,390 แห่ง คิดเป็นพื้นที่รวม 253,875,627 เฮกตาร์ สำหรับประเทศไทยมีพื้นที่ชุ่มน้ำที่อยู่ในทะเบียนรายนามพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระหว่างประเทศ หรือ แรมซาร์ไซต์ ทั้งหมด 15 แห่ง ได้แก่

1. พรุควนขี้เสี้ยน ในเขตห้ามล่าสัตว์ป่าทะเลน้อย
2. เขตห้ามล่าสัตว์ป่าบึงโขงหลง จ.บึงกาฬ
3. ดอนหอยหลอด จ.สมุทรสงคราม
4. ปากแม่น้ำกระบี่ จ.กระบี่
5. เขตห้ามล่าสัตว์ป่าหนองบงคาย จ.เชียงราย
6. เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพฯ (พรุโต๊ะแดง) จ.นราธิวาส
7. อุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม-หมู่เกาะลิบง-ปากน้ำตรัง จ.ตรัง
8.อุทยานแห่งชาติแหลมสน-ปากแม่น้ำกระบุรี-ปากคลองกะเปอร์ จ.ระนอง
9. อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะอ่างทอง จ.สุราษฎร์ธานี
10. อุทยานแห่งชาติอ่าวพังงา จ.พังงา
11. อุทยานแห่งชาติเขาสามร้อยยอด จ.ประจวบคีรีขันธ์
12. พื้นที่ชุ่มน้ำกุดทิง จ.บึงกาฬ
13. เกาะกระ จ.นครศรีธรรมราช
14. เกาะระ เกาะพระทอง จ.พังงา
15. ลุ่มน้ำสงครามตอนล่าง จ.นครพนม


https://greennews.agency/?p=21120

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
ตอบ


กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 14:43


vBulletin รุ่น 3.8.10
สงวนลิขสิทธิ์ ©2000-2024, บริษัท Jelsoft Enterprises จำกัด
Ad Management plugin by RedTyger