#1
|
||||
|
||||
สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันศุกร์ที่ 19 มิถุนายน 2563
ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา
สภาวะอากาศทั่วไป ประเทศไทยยังคงมีฝนต่อเนื่อง และมีฝนตกหนักบางแห่งบริเวณภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้ เนื่องจากมีหย่อมความกดอากาศต่ำปกคลุมบริเวณประเทศลาวตอนบน ในขณะที่มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ยังคงพัดปกคลุมทะเลอันดามันและประเทศไทย ขอให้ประชาชนบริเวณพื้นที่เสี่ยงภัยในภาคเหนือ ระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลากได้ กรุงเทพมหานครและปริมณฑล เมฆเป็นส่วนมาก กับมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 40 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 23-24 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 33-35 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-30 กม./ชม. คาดหมาย ในช่วงวันที่ 19 ? 20 มิ.ย. 63 มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามันและประเทศไทยจะมีกำลังอ่อนลง ทำให้ประเทศไทยมีฝนลดลง แต่ยังคงมีฝนตกหนักบางแห่งภาคตะวันออก และภาคใต้ฝั่งตะวันตก ส่วนในช่วงวันที่ 21 ? 24 มิ.ย. 63 มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามันและประเทศไทยจะมีกำลังแรงขึ้น ทำให้ประเทศไทยมีฝนเพิ่มขึ้นและมีฝนตกหนักบางแห่งบริเวณภาคตะวันออก และภาคใต้ สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยมีกำลังปานกลาง โดยทะเลอันดามันตอนบนมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ข้อควรระวัง ในช่วงวันที่ 21 ? 24 มิ.ย. 63 ประชาชนบริเวณภาคตะวันออก และภาคใต้ฝั่งตะวันตก ระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนตกสะสม ซึ่งอาจจะเกิดน้ำท่วมฉับพลัน และน้ำป่าไหลหลากได้ สำหรับชาวเรือบริเวณทะเลอันดามันควรเพิ่มความระมัดระวังในการเดินเรือและหลีกเลี่ยงบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองไว้ด้วย
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#2
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก ไทยรัฐ
เฉลยแล้ว ไข่ฟอสซิลปริศนา เป็นไข่สัตว์เลื้อยคลานทะเลยักษ์ 68 ล้านปีก่อน นักวิทย์ เฉลย ฟอสซิลไข่ปริศนา "เดอะ ธิง" พบในทวีปแอนตาร์กติก 9 ปีที่แล้ว เชื่อเป็นไข่สัตว์เลื้อยคลานทะเลยักษ์ อายุ 68 ล้านปีก่อน (18 มิ.ย.63) นักวิทยาศาสตร์ของมหาวิทยาลัยเทกซัส ในเมืองออสติน รัฐเทกซัส ของสหรัฐฯ เปิดเผยงานวิจัยที่บ่งชี้ว่า ฟอสซิลไข่ปริศนาที่ถูกค้นพบในทวีปแอนตาร์กติกาเมื่อ 9 ปีก่อน แต่ยังไม่เคยมีใครระบุได้แน่ชัดว่าเป็นไข่อะไร จนกลายเป็นหนึ่งในปริศนาลี้ลับ และฟอสซิลไข่ฟองนี้ได้รับชื่อเรียกขนานนามในหมู่ผู้ที่สนใจเรื่องไซไฟว่า "เดอะ ธิง" แต่ล่าสุดนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่ามันคือไข่ของสัตว์เลื้อยคลานทะเลยักษ์ ที่เคยมีชีวิตอยู่บนโลกเมื่อประมาณ 68 ล้านปีก่อน งานวิจัยชิ้นนี้จะถูกตีพิมพ์ลงในวารสารเนเจอร์ ฉบับสัปดาห์นี้ โดยมีรายละเอียดของการเปรียบเทียบขนาดของสัตว์เลื้อยคลานหลายร้อยสายพันธุ์ที่มีอยู่ในปัจจุบันพร้อมกับขนาดไข่ของมัน ซึ่งทำให้นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า "เดอะ ธิง" เป็นไข่ของสัตว์ที่น่าจะมีขนาดลำตัวยาวไม่ต่ำกว่า 7 เมตร นอกจากนี้ การศึกษาฟอสซิลอื่นๆ ที่ถูกพบในบริเวณเดียวกันในแถบแอนตาร์กติกา ยังทำให้นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าฟอสซิลไข่ "เดอะ ธิง" อาจเป็นไข่ของสัตว์เลื้อยคลานทะเลยักษ์ ที่เรียกว่า "โมซาซอร์" สัตว์เลื้อยคลานทะเลดึกดำบรรพ์ที่มีวิวัฒนาการมาจากกลุ่มกิ้งก่าและงู เคยมีชีวิตอยู่ในช่วงปลายยุคครีเทเชียส เมื่อประมาณ 65-89 ล้านปีก่อน นักวิจัยด้านโบราณคดีชาวชิลี ค้นพบ "เดอะ ธิง" ในทวีปแอนตาร์กติกา เมื่อปี 2554 แต่ยังไม่มีใครรู้ว่ามันคืออะไร จนกระทั่งมีการยืนยันในปี 2561 ว่ามันคือ "ฟอสซิลไข่ฝ่อ" ของสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่ง ซึ่งยังเป็นปริศนามายาวนาน นายลูคัส เลลเจเดร นักวิจัยของมหาวิทยาลัยเทกซัส เปิดเผยว่า ฟอสซิลไข่ฟองนี้มีขนาด 28 คูณ 18 เซนติเมตร นับเป็นไข่ของสัตว์เลื้อยคลานที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งก่อนหน้านี้นักวิทยาศาสตร์ระบุว่า ขนาดที่ใหญ่ของมันทำให้เชื่อได้ว่าอาจเป็นไข่ไดโนเสาร์ตัวใหญ่ แต่เปลือกของมันกลับมีลักษณะนิ่ม แตกต่างจากไข่ของไดโนเสาร์ทั่วไป นอกจากนี้มันยังมีขนาดใหญ่เกินกว่าที่จะเป็นไข่ของสัตว์เลื้อยคลานอย่างจระเข้และงู เลยทำให้ยังไม่มีใครสามารถหาข้อสรุปได้. https://www.thairath.co.th/news/foreign/1871380
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#3
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการออนไลน์
รื้ออีกขนำเฝ้าคอกหอยแครงนอกพื้นที่อนุญาต ชาวประมงพื้นบ้านยังออกทะเลจับลูกหอยขาย สร้างรายได้งาม สุราษฎร์ธานี - เจ้าของคอกหอยในอ่าวบ้านดอน เริ่มทยอยรื้อขนำที่สร้างนอกเขตอนุญาต หลังจังหวัดประกาศให้รื้อภายใน 60 วัน แต่ส่วนใหญ่ยังเฉย ด้านชาวประมงพื้นบ้านกว่า 100 ลำ ยังออกทะเลจับลูกหอยขายมีรายได้วันกว่า 500-1,000 บาท จากกรณีทางจังหวัดสุราษฎร์ธานี ออกประกาศให้มีการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง อาคาร (ขนำเฝ้าหอย และโฮมสเตย์) หรือสิ่งใดๆ ที่ได้ก่อสร้างหรือติดตั้งในที่จับสัตว์น้ำอ่าวบ้านดอน จ.สุราษฎร์ธานี ลงวันที่ 12 มิ.ย. โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ เป็นผู้ลงนาม และให้รื้อถอนให้เสร็จภายใน 60 วัน แต่ไม่ยากให้มีเหตุพิพาทกันอีก จึงยอมถอยออกมา ล่าสุด วันนี้ (18 มิ.ย.) ที่บริเวณอ่าวบ้านดอน ในพื้นที่ อ.เมือง อ.พุนพิน และ อ.กาญจนดิษฐ์ จ.สุราษฎร์ธานี ผู้ประกอบการเลี้ยงหอยแครง ได้ส่งคนเข้ารื้อขนำขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นขนำขนาด 2 ชั้น และขนาดกลางที่เป็นชั้นเดียว เนื่องจากสร้างในพื้นที่นอกเขตที่อนุญาตให้เลี้ยงหอยแครงในพื้นที่ชุ่มน้ำนานาชาติที่เป็นแหล่งอนุบาลสัตว์น้ำวัยอ่อนและเป็นสถานที่ลูกหอยแครงเกิดขึ้นตามธรรมชาติ ซึ่งในวันนี้ทั้ง 3 อำเภอ ได้รื้อขนำอำเภอละ 1 แห่ง หลังจากทางจังหวัดได้ออกประกาศให้มีการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง อาคาร (ขนำเฝ้าหอย และโฮมสเตย์) หรือสิ่งใดๆ ที่ได้ก่อสร้างหรือติดตั้งในที่จับสัตว์น้ำอ่าวบ้านดอน จ.สุราษฎร์ธานี ตั้งแต่วันที่ 12 มิ.ย.ที่ผ่านมา ส่วนขนำอื่นๆ นั้นยังไม่มีการเคลื่อนไหวหรือรื้อถอนแต่อย่างใด สำหรับขนำที่มีการถอนในวันนี้ (18 มิ.ย.) และเมื่อวันที่ 15 มิถุนายนที่ผ่านมา เป็นขนำที่ถูกรื้อถอนในพื้นที่ตำบลลีเล็ด อ.พุนพิน และในพื้นที่ อ.กาญจนดิษฐ์ เป็นขนำของผู้ประกอบการซึ่งเป็นหุ้นส่วนของกำนันคนดังในพื้นที่ อ.กาญจนดิษฐ์ ส่วนขนำในพื้นที่ อ.เมือง เป็นของกำนันคนดังในพื้นที่ อ.เมืองสุราษฎร์ธานี ส่วนบรรยากาศการหาหอยของกลุ่มชาวประมงพื้นบ้านกว่า 100 ลำ หรือกว่า 300 คน ยังคงออกทะเลจับลูกหอยในพื้นที่ อ.เมือง มีรายได้วันละกว่า 500 บาท ซึ่งการหาในวันนี้มีลูกหอยที่เพิ่งเกิดใหม่และหอยขนาดใหญ่คละปะปน โดยมีพ่อค้าแม่ค้านำเรือมารับซื้อที่กลางทะเล ราคาหอยใหญ่จะรับซื้อในกิโลกรัมละ 110 บาท ส่วนลูกหอยรับซื้อในกิโลกรัมละ 200-300 บาท ส่วนพื้นที่ตำบลลีเล็ด อ.พุนพิน ที่มีเหตุพิพาทกันระหว่างผู้ประกอบการและกลุ่มชาวประมงพื้นบ้าน ปรากฏว่าในพื้นที่เงียบสงบไร้เรือประมงพื้นบ้านเข้ามาจับลูกหอยเหมือนหลายวันที่ผ่านมา มีเพียงผู้ประกอบการส่งคนมาเฝ้าดูแลอยู่บนขนำ โดยชาวประมงพื้นบ้าน บอกว่า วันนี้ยังมีผู้ประกอบการในพื้นที่ อ.เมือง มาขอร้อง และขับไล่ไม่ให้ลงหาหอยแครงในทะเล โดยอ้างว่านำหอยขาวมาปล่อยเลี้ยง ทั้งที่บริเวณดังกล่าวเป็นแหล่งลูกหอยเกิดขึ้นเอง https://mgronline.com/south/detail/9630000063156
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#4
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการออนไลน์
ตื่นเต้น! "วาฬหลังค่อมสีขาว" วาฬเผือกที่หายาก โผล่โชว์ตัวนอกชายฝั่งออสเตรเลีย Migaloo วาฬหลังค่อมสีขาวชื่อดัง (ภาพ Twitter : Migaloo the Whale) นักดูวาฬรายงานการพบเห็น "วาฬหลังค่อมสีขาว" หรือวาฬหลังค่อมเผือกที่พบเห็นได้ยาก ในบริเวณนอกชายฝั่งของรัฐนิวเซาท์เวลส์ ประเทศออสเตรเลีย โดยคาดว่าน่าจะเป็นเจ้า "Migaloo" วาฬหลังค่อมสีขาวชื่อดังแห่งมหาสมุทร สำนักข่าว Daily Mail รายงานข่าวว่านักดูวาฬออสเตรเลีย รายงานการพบ "วาฬหลังค่อมสีขาว" บริเวณนอกชายฝั่งของรัฐนิวเซาท์เวลส์ ประเทศออสเตรเลีย ออกไปประมาณ 1 กิโลเมตร แต่ยังไม่สามารถยืนยันได้อย่างแน่ชัดว่าเป็นเจ้า "Migaloo" วาฬหลังค่อมสีขาวชื่อดังหรือไม่ รายงานดังกล่าวทำให้เหล่านักดูวาฬเตรียมตัววางแผนเพื่อเฝ้ารอชมวาฬชื่อดังตัวนี้ ดร. Vanessa Pirotta นักวิทยาศาสตร์ทางทะเลของมหาวิทยาลัย Macquarie กล่าวว่าเป็นการยากที่จะระบุว่าเป็นเจ้า Migaloo จริงหรือไม่เมื่อสังเกตจากชายฝั่ง โดย Migaloo เป็นหนึ่งในวาฬหลังค่อมจาก 40,000 ตัว ซึ่งถือว่าเป็นตัวที่มีความพิเศษเนื่องจากสีที่ผิดปกติ มีการพบ Migaloo ครั้งแรกตั้งแต่ปี ค.ศ.1991 รอบอ่าว Hervey Bay และนักวิจัยได้ติดตามมันตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาก เชื่อว่าเป็นวาฬสีขาวตัวแรกในประชากรวาฬหลังค่อมตะวันออก และชื่อ Migaloo ก็มีความหมายว่า "เจ้าตัวขาว" ในภาษาของชนพื้นเมือง ระหว่างเดือนพฤษภาคม-พฤษจิกายน ของทุกปี จะเป็นฤดูกาลอพยพของวาฬหลังค่อม จากทวีปแอนตาร์กติกา ไปยังเขตน้ำอุ่นทางตะวันออกเฉียงเหนือของออสเตรเลีย จากนั้นก็จะมีการผสมพันธุ์กัน ก่อนจะย้ายกลับไปอยู่ทางใต้พร้อมกับประชากรรุ่นใหม่ https://mgronline.com/travel/detail/9630000063086 ********************************************************************************************************************************************************* "Wi-Fi ใต้น้ำ" แจ้งเกิดครั้งแรก ปูทางนักดำน้ำออนไลน์ผ่านเลเซอร์ นักวิจัยซาอุฯ แจ้งเกิดอุปกรณ์กระจายสัญญาณเครือข่ายข้อมูลไร้สายไว-ไฟ (Wi-Fi) ใต้น้ำ สานฝันนักดำน้ำแชร์ภาพเรียลไทม์ผ่านระบบออนไลน์ เบื้องต้นใช้คลื่นวิทยุและลำแสงเลเซอร์จากแอลอีดี (LED) ในการส่งข้อมูลจากน่านน้ำสู่ภาคพื้นดิน ความเร็วถ่ายโอนข้อมูลเบื้องต้นวัดได้ 2.11 เมกะไบต์ต่อวินาที อุปกรณ์ส่งสัญญาณ Wi-Fi ใต้น้ำมีชื่อเรียกว่า "อะควา-ไฟ" (Aqua-Fi) เป็นผลงานของบาเซ็ม ชิฮาดา (Basem Shihada) นักวิจัยมหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีคิงอับดุลาห์ (King Abdullah University of Science and Technology) นักวิจัยรายนี้อธิบายแนวคิดการพัฒนาว่าเป็นการหาทางตอบโจทย์ภาคการศึกษาและภาคอุตสาหกรรมที่ต้องการติดตามและสำรวจสภาพแวดล้อมใต้น้ำ ทำให้เกิดการพัฒนาระบบเชื่อมต่อไร้สายใต้น้ำที่สามารถรับส่งข้อมูลได้ตามต้องการ รายละเอียดที่ทางมหาวิทยาลัยเผยแพร่บนเว็บไซต์ IEEE Xplore ระบุว่า Aqua-Fi ใช้คลื่นวิทยุในการส่งข้อมูลจากสมาร์ทโฟนของนักดำน้ำไปยังอุปกรณ์รับส่งข้อมูลหรือ "เกตเวย์" ที่ติดอยู่กับอุปกรณ์ใต้น้ำ ทั้งหมดนี้จะมี LED เป็นอุปกรณ์ยิงลำแสงเลเซอร์ในการส่งข้อมูลไปยังคอมพิวเตอร์บนบกหรือภาคพื้นดิน ซึ่งจะมีระบบแปลข้อมูลเป็นรูปภาพหรือวิดีโอที่ปลายทาง สถิติขณะนี้ถูกบันทึกว่านักวิจัยระบบสามารถอัพโหลดและดาวน์โหลดมัลติมีเดียผ่าน Aqua-Fi ด้วยการถ่ายโอนข้อมูลที่ความเร็ว 2.11 เมกะไบต์ต่อวินาที รายงานยังย้ำว่า Aqua-Fi ส่งข้อมูลโดยใช้ลำแสงเลเซอร์เชื่อมคอมพิวเตอร์ที่ติดตั้งบนผิวน้ำซึ่ง เข้ากับอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียม จากนั้นคอมพิวเตอร์จึงจะแปลงข้อมูลภาพถ่ายเป็นชุดข้อมูลศูนย์และหนึ่งจำนวนมหาศาล ซึ่งจะถูกแปลเป็นการเปิดปิดลำแสงเพื่อให้สามารถส่งข้อมูลได้ นอกจากการอัปโหลดและดาวน์โหลดเนื้อหาระหว่างคอมพิวเตอร์ 2 เครื่องที่ถ่ายโอนข้อมูลด้วยความเร็วสูงสุด 2.11 เมกะไบต์ต่อวินาที การสำรวจยังพบความล่าช้าหรือดีเลย์เฉลี่ย 1.00 มิลลิวินาทีสำหรับการรับส่งข้อมูลไปกลับ ทีมพัฒนาย้ำว่า ความสำเร็จนี้ถือเป็นครั้งแรกที่นักดำน้ำสามารถใช้อินเทอร์เน็ตใต้น้ำแบบไร้สายได้อย่างสมบูรณ์ โดยยอมรับว่าความท้าทายที่ทีมกำลังเผชิญ คืออุปสรรคเรื่องลำแสง LED ที่ต้องสอดคล้องกับเครื่องรับในน้ำที่กำลังเคลื่อนหรือกระเพื่อม ทำให้ทีมต้องแน่ใจว่าต้องออกแบบอุปกรณ์ให้เป็นทรงกลม ซึ่งจะช่วยให้การจับแสงทำได้จากทุกมุม ทีมวิจัยทิ้งท้ายถึงความหวังให้ Aqua-Fi ถูกใช้อย่างกว้างขวางใต้น้ำ เป็นการอุดช่องว่างที่ Wi-Fi สามารถทำงานได้เหนือน้ำเท่านั้น https://mgronline.com/cyberbiz/detail/9630000062898
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#5
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก สำนักข่าวไทย
โลมาหัวบาตรตายคู่ริมทะเลบางปู สมุทรปราการ 18 มิ.ย.-เจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบซากโลมาหัวบาตร ขนาดโตเต็มวัย 2 ตัว ลอยอยู่ริมฝั่งทะเลบางปู จ.สมุทรปราการ สัตวแพทย์เผยตายมาแล้วไม่ต่ำกว่า 1 สัปดาห์ เตรียมนำซากไปผ่าพิสูจน์หาสาเหตุ เมื่อช่วงเย็นที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบซากโลมาหัวบาตร ขนาดโตเต็มวัย 2 ตัว ลอยอยู่ริมฝั่งทะเลบางปู ภายในซอยเทศบาลบางปู 128 อำเภอเมืองสมุทรปราการ โดยซากโลมาตัวแรกยาวประมาณ 120 เซนติเมตร ซากตัวที่ 2 ยาวประมาณ 150 เซนติเมตร โดยพบห่างกันประมาณ 300 เมตร ขณะที่ชาวบ้านในพื้นที่บอกว่า เมื่อ 2-3 วันก่อน เพิ่งเกิดพายุฝนฟ้าคะนอง และพบซากเต่าตนุขนาดใหญ่ ลอยอยู่ชายฝั่งบริเวณใกล้เคียงกัน จึงสันนิษฐานว่าโลมาอาจเกิดอาการหลงน้ำ เพราะเบื้องต้นไม่พบรอยตาอวนและบาดแผลอื่นใด ด้านสัตวแพทย์ศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอ่าวไทยตอนบนฝั่งตะวันออก เปิดเผยว่าซากโลมาทั้ง 2 ซาก ตายมาแล้วไม่ต่ำกว่า 1 สัปดาห์ และจากสภาพผิวหนังที่เปื่อยยุ่ย ทำให้ไม่สามารถมองเห็นบาดแผลได้ จึงต้องนำซากไปผ่าพิสูจน์โดยละเอียดอีกครั้ง. https://www.mcot.net/viewtna/5eeb9276e3f8e40af94594e3
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#6
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก Nation TV
แม่เต่าทะเล(ตัวที่ 5) ขึ้นหาดวางไข่ที่เกาะสมุย เจ้าของรีสอร์ทริมชายหาดบนเกาะสมุย สุดดีใจเมื่อแม่เต่าตนุ ขึ้นมาวางไข่ที่ชายหาดแห่งนี้อีกครั้ง หลังเฝ้าคอยวันนี้มากว่า 50 ปี ซึ่งเป็นการขึ้นมาวางไข่เป็นรังที่ 16 ของปี วันที่ 18 มิ.ย.2563 นายธีระพงศ์ช่วยชู นายอำเภอเกาะสมุย นายสุทธิพงษ์ ทองเรือง ปลัดอำเภอ นายเชาวลิต เพชรน้อยประมงอำเภอเกาะสมุย และ น.ส.เทพสุดา ลอยจิ้ว ได้เดินทางมายังชายหาดอ่าวท้องยางหรือที่รู้จักกันอีกชื่อหนึ่งว่า ชายหาดอ่าวคอรัลโคฟ โดยแม่เต่าตนุได้ขึ้นมาวางไข่บริเวณายหาดหน้าคอรัลโคฟ บีช แอนด์ รีสอร์ท ม.4 ต.มะเร็ต อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานีหลังได้รับแจ้งจากเจ้าของรีสอร์ทแห่งนี้ว่ามีร่องรอยของเต่าทะเลขึ้นมาขุดหลุมวางไข่ ที่บริเวณชายหาดหน้ารีสอร์ทแห่งนี้ จึงได้เดินทางมาตรวจสอบเมื่อนางโกสุม เค้าอุทัย อายุ 75 ปี เจ้าของรีสอร์ทแห่งนี้ เปิดกล้องวงจรปิดที่ติดตั้งอยู่หน้าอาคารที่พัก ก็พบว่ากล้องวงจรปิดสามารถบันทึกภาพแม่เต่าตนุ อายุประมาณ 30ปีมีขนาดใหญ่น้ำหนักประมาณ 100กิโลกรัม คลานวนเวียนไปมาบริเวณชายหาด ที่เป็นพื้นที่ลานหน้าที่พักเมื่อช่วงเวลาประมาณ 03.14 น. ของวันที่ 18 มิ.ย.2563 เพื่อหาจุดที่เหมาะสมในการวางไข่จนแม่เต่าตนุตัวนี้คลานมาหยุดอยู่ที่ใต้ต้นมะพร้าวบริเวณชายหาดและได้ทำการวางไข่ตรงจุดดังกล่าว เมื่อเจ้าหน้าที่จึงได้ช่วยกันขุดหลุมตรงจุดเป้าหมาย ก็พบไข่เต่า ประมาณ 60-70ฟอง ที่แม่เต่าตนุตัวนี้ได้วางไข่ไว้ เจ้าหน้าที่จึงได้ทำการตรวจวัดขนาดไข่ เพื่อเก็บบันทึกเป็นข้อมูล ก่อนนำทรายฝังกลบหลุมไข่เต่าให้อยู่ในสภาพเดิม เพื่อให้ไข่เต่ามีโอกาสฟักไข่ตามธรรมชาติ ขณะที่คุณยาย โกสุมเล่าให้ฟังว่าเมื่อช่วงเช้าระหว่างที่คุณยายเดินออกมาที่ริมชายหาด ก็พบรอยเท้าเต่าเป็นทางยาวจากริมหาดมาถึงลานหน้าบ้าน จึงเรียกให้ลูกๆ ออกมาดู จากนั้นก็ได้แจ้งยังเจ้าหน้าที่อำเภอเกาะสมุยให้ทราบ ด้วยความรู้สึกดีใจมาก ที่แม่เต่ากลับขึ้นมาวางไข่ที่ชายหาดแห่งนี้อีกครั้ง หลังจากเฝ้ารอมานานกว่า 52ปี ตั้งแต่เมื่อครั้งยังอายุเพียง23 ปี เพราะเชื่อเหลือเกินว่า แม่เต่าจะต้องกลับขึ้นมาวางไข่ที่ชายหาดแห่งอีก คุณยายโกสุม ยังบอกอีกว่า ทราบมาก่อนหน้านี้แล้วว่ามีแม่เต่าขึ้นมาวางไข่ที่ชายหาดเกาะสมุยหลายจุด จึงบอกให้ลูกชายปิดไฟที่อยู่บริเวณริมชายหาดทั้งหมดในช่วงกลางคืน เพื่อไม่ให้แม่เต่าตกใจกลัวจนไม่กล้าขึ้นมาวางไข่ และในที่สุดแม่เต่าก็ขึ้นมาวางไข่จริงๆ"ยายดีใจมากสมกับที่ยายตั้งหน้าตั้งตารอคอยแม่เต่าที่ขึ้นมาวางไข่ที่ชายหาดแห่งอีกครั้งแม้จะเป็นรอค่อยที่ยาวนานกว่า 50 ปี" คุณยายโกสุม กล่าว ขณะที่นายธีระพงศ์ ช่วยชู นายอำเภอเกาะสมุย กล่าวว่า การขึ้นมาวางไข่รังนี้ นับเป็นแม่เต่าตัวที่5ที่ขึ้นมาวางไข่บนชายหาดของเกาะสมุยในปีนี้ และเป็นรังที่16ของปีที่มีแม่เต่าขึ้นมาวางไข่บนเกาะสมุย ซึ่งแม่เต่าตนุตัวนี้ เพิ่งขึ้นมาวางไข่บนชายหาดแห่งนี้เป็นรังแรก และเชื่อว่าหลังวันนี้แม่เต่าตนุตัวนี้ คงจะกลับขึ้นมาวางไข่ที่ชายหาดแห่งอาจจะถึง 5 - 6รังด้วยกันวันนี้จึงถือว่าเป็นตัวชี้วัดที่ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ของเกาะสมุย เราจะประกาศให้ทุกคนได้รับทราบว่าเกาะสมุยอนุรักษ์แน่เรื่องเต่า และอีกสิ่งหนึ่งที่จะต้องช่วยกันอนุรักษ์ คือ ระบบธรรมชาติ ไม่ให้ถูกทำลาย จึงอยากขอร่วมมือจากทั้งผู้ประกอบการ และพี่น้องประชาชนบนเกาะสมุยให้ช่วยกันดูแล เพื่อให้เกาะสมุยได้กลับมามีความสมบูรณ์ทางธะรมมชาติเหมือนเดิม จนชั่วลูกชั่วหลาน https://www.nationtv.tv/main/content/378781281/
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#7
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก PPTV
สัญญาณเตือน คลื่นความร้อนทำลายสถิติในไซบีเรีย รัสเซียและไซบีเรียเป็นหนึ่งในภูมิภาคที่มีสภาพอากาศหนาวเย็น แต่ความเปลี่ยนแปลงกำลังเกิดขึ้น เมื่อคลื่นความร้อนทำให้ในบางพื้นที่มีอุณหภูมิพื้นผิวสูงขึ้นมากกว่า 20 องศาเซลเซียส ภาพจาก NASA Earth Observations (NEO) นักวิทยาศาสตร์ด้านภูมิอากาศกล่าวว่า คลื่นความร้อน (Heat Wave) ที่ยาวนานในพื้นที่แถบไซบีเรียนั้น "น่ากลัวอย่างไม่ต้องสงสัย" การเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิที่ประหลาดนั้น คาดว่าเชื่อมโยงกับไฟป่า การรั่วไหลของน้ำมัน และแมลงกินต้นไม้ ในระดับโลก ความร้อนจากไซบีเรียดึงค่าเฉลี่ยความร้อนของโลกในปี 2020 ให้ก้าวสู่การเป็นปีที่ร้อนที่สุดในประวัติศาสตร์ แม้การปล่อยคาร์บอนจะลดลงชั่วคราวเนื่องจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ก็ตาม โดยอุณหภูมิในบริเวณขั้วโลกนั้นเพิ่มขึ้นเร็วที่สุด เนื่องจากกระแสน้ำในมหาสมุทรนำพาความร้อนเข้าหาบริเวณขั้วโลก ทำให้น้ำแข็งและหิมะละลาย นิซห์เนียยา เปชา (Nizhnyaya Pesha) เมืองทางตะวันตกเฉียงเหนือของรัสเซียในเขตอาร์กติก ซึ่งเป็นเขตหนาว ได้บันทึกอุณหภูมิที่ผิดธรรมชาติ โดยแตะหลัก 30 องศาเซลเซียส ในวันที่ 9 มิถุนายน ที่ผ่านมา ขณะที่ คาตันกา (Khatanga) เมืองทางภาคเหนือ ซึ่งโดยปกติจะมีอุณหภูมิในช่วงกลางวันอยู่ที่ประมาณ 0 องศาเซลเซียส กลับแตะที่ 25 องศาเซลเซียส ในวันที่ 22 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ข้อมูลจาก Copernicus Climate Change Service (C3S) ของสหภาพยุโรป ระบุว่า ในเดือนพฤษภาคม อุณหภูมิพื้นผิวในบางส่วนของไซบีเรียสูงถึง 10 องศาเซลเซียส สูงกว่าค่าเฉลี่ย ด้าน มาร์ติน สเตนเดล (Martin Stendel) จากสถาบันอุตุนิยมวิทยาเดนมาร์ก กล่าวว่า อุณหภูมิเดือนพฤษภาคมที่ผิดปกติซึ่งเกิดขึ้นในไซบีเรียน่าจะเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวในรอบ 100,000 ปีแม้มนุษย์ไม่ก่อให้เกิดความร้อนระดับโลก เฟรยา แวมบอร์ก (Freja Vamborg) นักวิทยาศาสตร์อาวุโสของ C3S กล่าวว่า มันเป็นสัญญาณที่น่าตกใจ แต่ไม่เพียงแค่ในเดือนพฤษภาคมเท่านั้นที่อากาศอบอุ่นขึ้นในไซบีเรีย แม้แต่ในฤดูหนาวและฤดูใบไม้ผลิ อุณหภูมิบนพื้นผิวก็สูงกว่าค่าเฉลี่ยเช่นกัน "แม้ว่าโลกโดยรวมจะร้อนขึ้น แต่มันก็ไม่ได้ร้อนขึ้นอย่างเท่าเทียมกันทั้งโลก ไซบีเรียโดดเด่นจากภูมิภาคอื่นเพราะมีแนวโน้มที่อากาศจะร้อนอบอุ่นมากขึ้น และอุณหภูมิมีการเปลี่ยนแปลงมากขึ้น อย่างไรก็ตามสิ่งที่ผิดปกติคือระยะเวลา โดยสภาพอากาศผิดปกติเฉลี่ยแล้วคงอยู่นานขึ้น" มารินา มาคารอฟ (Marina Makarova) หัวหน้านักอุตุนิยมวิทยาของ Rosgidromet หน่วยงานด้านสภาพอากาศของรัสเซีย กล่าวว่า "ฤดูหนาวนี้เป็นฤดูหนาวที่ร้อนที่สุดในไซบีเรียนับตั้งแต่เริ่มมีการบันทึกสภาพอากาศ 130 ปีก่อน โดยอุณหภูมิเฉลี่ยสูงถึง 6 องศาเซลเซียส สูงกว่าฤดูกาลปกติ" ในเดือนธันวาคม 2019 วลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย ให้ความเห็นเกี่ยวกับความร้อนที่ผิดปกติของพื้นที่แถบรัสเซียและไซบีเรียว่า "เมืองของเราบางแห่งถูกสร้างขึ้นทางตอนเหนือของวงกลมอาร์กติก (Arctic Circle) บนถนนที่เป็น ?ชั้นดินเยือกแข็งคงตัว (Permafrost)? หรือชั้นดินที่เย็นจัดจนเป็นน้ำแข็ง ซึ่งหากมันเริ่มละลาย คุณไม่อยากจินตนาการหรอกว่าจะเกิดอะไรขึ้น มันร้ายแรงมาก" การละลายของชั้นดินเยือกแข็งคงตัว ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการรั่วไหลของน้ำมันดีเซลในไซบีเรียเมื่อต้นเดือนมิถุนายน 2020 ซึ่งทำให้ปูตินต้องประกาศภาวะฉุกเฉิน ขณะที่อีกสาเหตุมาจากไฟป่า ซึ่งโหมกระหน่ำบนพื้นที่ป่าของไซบีเรียหลายล้านตารางกิโมเมตร เนื่องจากเกษตรกรมักจะจุดไฟในฤดูใบไม้ผลิเพื่อเตรียมปลูกพืชชุดใหม่ นอกจากนี้ รัสเซียยังพบ ฝูงมอดไหมไซบีเรีย เติบโตและขยายพันธุ์อย่างรวดเร็วในอุณหภูมิที่สูงขึ้น โดยป่าที่มีตัวอ่อนของมอดไหมไซบีเรียนั้น จะทำให้ต้นไม้อ่อนแอต่อไปได้มากขึ้น https://www.pptvhd36.com/news/%E0%B8...0%B8%99/127613
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
|