#1
|
||||
|
||||
สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันพฤหัสบดีที่ 9 กรกฏาคม 2563
ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา
สภาวะอากาศทั่วไป มรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังอ่อนพัดปกคลุมทะเลอันดามันและประเทศไทย ทำให้ประเทศไทยมีฝนลดลง แต่ยังคงมีฝนตกหนักบางแห่งในภาคใต้ กรุงเทพมหานครและปริมณฑล เมฆบางส่วน กับมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 30 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 26-27 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 33-35 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-25 กม./ชม. คาดหมาย ในช่วงวันที่ 8 ? 9 ก.ค. 63 มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามันและประเทศไทยมีกำลังอ่อนลง ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณประเทศไทยมีฝนลดลง แต่ยังคงมีฝนตกหนักบางแห่งบบริเวณภาคเหนือ ตะวันออก และภาคใต้ ส่วนในช่วงวันที่ 10 ? 14 ก.ค. 63 มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามันและประเทศไทยจะมีกำลังแรงขึ้น ทำให้ประเทศไทยมีฝนเพิ่มขึ้น โดยมีฝนตกหนักบางแห่งบริเวณภาคตะวันออกฉียงเหนือ ภาคตะวันออก และภาคใต้ ข้อควรระวัง ในช่วงวันที่ 12 ? 14 ก.ค. 63 ขอให้ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัยบริเวณภาคตะวันออก และภาคใต้ ระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลากได้
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#2
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก เดลินิวส์
ล่องเรือ''เก็บขยะ''ครั้งใหญ่สุด .............. คอลัมน์ พุ่มไม้ใบบัง โดย ร่มธรรม ขำนุรักษ์ อาสาฮาวายล่องเรือลุยเก็บขยะทะเลครั้งใหญ่สุดจากแพขยะแปซิฟิกใช้เวลา 48 วัน ได้ขยะอื้อ เจอสัตว์ตายเพราะขยะเพียบ ชวนตระหนักปัญหาขยะทะเล ''เรือล่าขยะ'' ออกเดินทางเก็บขยะ 48 วันที่แพขยะใหญ่แปซิฟิก ได้ขยะกลับมาถึง 103 ตัน พบทั้งอวนหาปลาและขยะพลาสติกอื่น! เมื่อวันที่?23?มิถุนายนที่ผ่านมาเรือของทาง?Ocean Voyages Institute?ได้กลับมาจากแพขยะใหญ่แปซิฟิก?(Great Pacific Garbage Patch)?หลังจากออกล่าขยะในถึง?48?วัน?เพื่อช่วยทำความสะอาดหมาสมุทร?โดยพบทั้งอวนตกปลาและขยะพลาสติกอื่น?ๆ?ซึ่งหลังจากการเดินทางได้ขยะกลับมาถึง?103?ตัน? Mary Crowley?ผู้ก่อตั้งและผู้บริหารของ?Ocean Voyages Institute?กล่าวว่า?"พวกเขาประสบความสำเร็จเกินเป้าหมายที่จะนำขยะพลาสติกและอวนที่ถูกทิ้งร้างออกจากมหาสมุทร?100?ตัน?เพื่อช่วยฟื้นฟูมหาสมุทรที่มีความเกี่ยวเนื่องกับสุขภาพของโลกและเรา" "หากปล่อยไว้อวนและเหล่าพลาสติกต่าง?ๆ?จะแตกตัวออกเป็นไมโครพลาสติก?ซึ่งส่งผลต่อความสามารถในการกักเก็บคาร์บอนของมหาสมุทรและทำให้ห่วงโซ่อาหารในมหาสมุทรซึ่งมีความเปราะบางเป็นพิษ" Ocean Voyages Institute?ใช้ดาวเทียม?GPS?ในการติดตามอวนที่ทิ้งร้างตั้งแต่ปี?2018?ซึ่งการติดตามอวนร้างหนึ่งอันสามารถนำพาไปสู่อ้วนร้างถัดไปและขยะชิ้นอื่น?ๆ?ได้? แพขยะใหญ่แปซิฟิกอยู่ระหว่างฮาวายและแคลิฟอร์เนีย?เป็นบริเวณที่มีขยะพลาสติกอยู่มากที่สุดในโลก!!?อย่างไรก็ตาม?Ocean Voyages Institute?มีแผนที่จะออกเดินทางล่าขยะในบริเวณดังกล่าวอีกต่อไปเรื่อย?ๆ! "งานที่ทำจะช่วยให้มหาสมุทรมีสุขภาพที่ดีขึ้นสำหรับโลกใบนี้?และชีวิตที่ปลอดภัยของสัตว์ทะเล?จะไม่มีอวนที่เข้าไปทำร้ายวาฬ?โลมาเต่า?หรือปะการังอีก" Crowley?กล่าว ทั้งนี้ถึงเราจะมีผู้ที่ช่วยทำความสะอาดมหาสมุทรแล้ว?แต่ขยะพวกนี้คงไม่หมดไปหากเราหมั่นเติมมันเข้าไปในทุก?ๆ?วันเราควรช่วยการลด?ละ?เลิก?การใช้พลาสติกที่ไม่จำเป็นและให้เป็นที่?เพื่อเพื่อนร่วมโลกและตัวของเราเอง?อย่างที่เพื่อนๆ?ทราบกันดีว่าภัยพลาสติกได้คืบคลานมาอยู่ใกล้ตัวมนุษย์มากขึ้นแล้ว? ถือเป็นโครงการที่น่าสนใจอย่างมาก?โดยเราเองสามารถร่วมกันแก้ไขปัญหาขยะด้วยกันโดยการลดสร้างขยะ?ใช้ซ้ำเก็บ?แยก?ทิ้งขยะให้ถูกที่?ทุกภาคส่วนร่วมกัน https://www.dailynews.co.th/article/783599
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#3
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการออนไลน์
นักสิ่งแวดล้อม ทช. แนะปลูกป่าชายเลน ลดโลกร้อนได้ดีกว่าป่าบก! ภาวะโลกร้อนส่งผลต่อวิกฤตภัยแล้งในรอบ 20 ปี 'ดร.สนใจ หะวานนท์' ผู้เชี่ยวชาญป่าชายเลนจากกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ยืนยันถึงข้อมูลการวิจัย การปลูกต้นไม้ช่วยลดโลกร้อนด้วยการปลูกป่าชายเลน สามารถกักเก็บคาร์บอนฯ มากกว่าป่าบกในพื้นที่เท่ากัน จากการศึกษาเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาสภาวะโลกร้อนของนักวิทยาศาสตร์จำนวนมาก ต่างลงความเห็นว่า "การปลูกต้นไม้" เป็นหนทางแก้ไขที่สำคัญ ถ้าช่วยกันปลูกต้นไม้ทั่วโลกจำนวน 1.2 ล้านล้านต้น จะช่วยดูดซับก๊าซเรือนกระจกที่ก่อให้เกิดโลกร้อนที่มนุษย์สร้างเอาไว้ในรอบ 10 ปีที่ผ่านมาได้ แม้เป็นการยากที่จะปลูกต้นไม้ปริมาณมากขนาดนั้นในระยะเวลาอันสั้น แต่ก็ยังมีข่าวดี ถ้าเรามาช่วยกันปลูกป่าชายเลนจะสามารถช่วยในการดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากกว่าป่าอื่นในพื้นที่เท่ากัน และยังช่วยสะสมคาร์บอนในดินได้ยาวนานและมากกว่าป่าบกหลายเท่าตัว ดร.สนใจ หะวานนท์ ผู้เชี่ยวชาญป่าชายเลนจากกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ซึ่งได้ศึกษาวิจัยเรื่องป่าชายเลนในหลายประเทศมากว่า 40 ปี กล่าวถึงผลการวิจัยเรื่องป่าชายเลนที่ร่วมโครงการกับกรมป่าไม้ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และบริษัท คันไซ อิเลคทริค เพาเวอร์ ประเทศญี่ปุ่น เมื่อปี 2543 และได้ผลสรุปในปี 2547 ว่า "ถ้าเปรียบเทียบด้านการสะสมคาร์บอนไดออกไซด์ระหว่างป่าชายเลนกับป่าบก โดยกระบวนการสังเคราะห์แสงที่ต้องใช้คาร์บอนไดออกไซด์และปล่อยออกซิเจนออกมา พบว่าป่าชายเลนของประเทศไทยสะสมก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เหนือพื้นดินได้ 27.1 ตันต่อเฮกตาร์ (6.25 ไร่) และสะสมในดิน 16.9 ตันต่อเฮกตาร์ รวมแล้ว 44.0 ตันต่อเฮกตาร์ ประมาณการณ์ได้ว่าป่าชายเลนของประเทศไทยประมาณ 1.5 ล้านไร่ หรือประมาณ 0.24 ล้านเฮกแตร์ สามารถดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ได้ประมาณ 11 ล้านตันต่อปี สำหรับป่าดิบชื้น International Panel on Climate Change) (IPCC) ได้ให้ข้อมูลเฉพาะการดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ของต้นไม้เหนือพื้นดินว่า โดยเฉลี่ย 20.2 ตันต่อเฮกตาร์" "แต่ถ้าในส่วนของการสะสมคาร์บอนที่อยู่ในดินแล้ว ป่าชายเลนจะมีมากกว่าป่าบกถึง 6 เท่าตัว เนื่องจากป่าบกสะสมคาร์บอนในดินได้เพียงประมาณ 200 ตันเท่านั้น ขณะที่การศึกษาที่อ่าวท่าคา-สวี จังหวัดชุมพร ในปี 2542 พบว่าป่าชายเลนสามารถสะสมคาร์บอนฯ ที่บริเวณดินเลนลึกลงไปได้อีกถึง 1,200 ตันต่อเฮกตาร์ เนื่องจากในชั้นดินเลนมีการสะสมธาตุคาร์บอนต่างๆ จากการทับถมของอินทรียวัตถุทั้งหลายได้เป็นเวลานาน และถ้าเป็นป่าชายเลนที่ปลูกเป็นต้นไม้ขนาดใหญ่สูงประมาณ 30 เมตร จะเก็บปริมาณคาร์บอนเพิ่มขึ้นได้อีก 200 ตันต่อเฮกตาร์ นี่คือเหตุผลว่าป่าชายเลนสามารถกักเก็บคาร์บอนได้มหาศาล" ป่าชายเลนเป็นแหล่งรวมความหลากหลายของพรรณไม้ ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศเพื่อไปสังเคราะห์แสงได้มากกว่าป่าบกในหน่วยพื้นที่เท่ากัน จากการวิจัยที่ปากแม่น้ำท่าจีนพบว่าไม้แต่ละสายพันธุ์จะมีคุณสมบัติดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ต่างกัน เพื่อนำไปใช้ประโยชน์การเลือกพันธุ์ไม้ที่จะใช้ปลูกป่าชายเลน ดังนี้ ในพื้นที่ 1 ไร่ ถ้าปลูกไม้แสมสามารถดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ได้ปีละ 7.49 ตัน ไม้โกงกางดูดซับคาร์บอนฯได้ปีละ 6.22 ตัน และไม้ตะบูนสามารถดูดซับคาร์บอนฯ ได้ 4.14 ตันต่อปี ซึ่งไม้โกงกางและตะบูนมีอายุยืนกว่า 100 ปี ไม้แสมอายุประมาณ 50 ปี แต่เดิมพื้นที่ป่าชายเลนของประเทศไทยกินบริเวณทั้งชายฝั่งทะเลอันดามันและชายฝั่งทะเลอ่าวไทยเป็นพื้นที่กว้าง แต่หลายปีที่ผ่านมาป่าชายเลนถูกทำลายจากการทำนากุ้งและการบุกรุกจึงทำให้พื้นที่ป่าชายเลนของไทยลดน้อยลงไปมาก ปัจจุบันกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มีนโยบายในการส่งเสริมการปลูก และอนุรักษ์ป่าชายเลนในหลายพื้นที่ โดยได้รับความร่วมมือจากภาคเอกชนที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม รวมทั้งประชาชนในท้องถิ่นหลายแห่ง ทำให้ป่าชายเลนของไทยค่อยๆ ฟื้นคืนมา แต่ก็ยังต้องการความร่วมมืออีกมากจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะการดูแลต่อเนื่อง เพราะถ้าปลูกป่าในสภาวะไม่เหมาะสมและไม่มีการดูแล ไม่นานต้นไม้ที่ปลูกใหม่ก็จะตาย ตัวอย่างโครงการล่าสุดที่กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งได้หารือร่วมกับเอกชน คือ โครงการ Dow and Thailand Mangrove Alliance ซึ่งเป็นการสร้างเครือข่ายชายฝั่งในการอนุรักษ์ป่าชายเลนร่วมกับกลุ่มบริษัท ดาว ประเทศไทย และ องค์การระหว่างประเทศเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ (IUCN) เพื่อสนับสนุนการอนุรักษ์ป่าชายเลนอย่างครบวงจรและมีส่วนร่วม โดยจะมีการพัฒนาศูนย์การเรียนรู้ห้องเรียนมีชีวิตในป่าชายเลนและเผยแพร่ความรู้ด้านการคัดแยกขยะเพื่อลดขยะทะเลโดยเริ่มต้นโครงการที่ปากน้ำประแส จังหวัดระยอง และมีแผนจะขยายไปในอีกหลายจังหวัด สิ่งที่แตกต่างจากโครงการอื่นๆ ก็คือจะมีการส่งเสริมกลไกคาร์บอนเครดิตของป่าชายเลนเป็นครั้งแรกในประเทศไทย และภายในปีนี้จะเปิดให้ให้ชุมชนและประชาชนได้มีส่วนร่วมด้วย สำหรับประชาชนทั่วไป หากต้องการช่วยกันลดโลกร้อน ขอให้ช่วยกันปลูกต้นไม้ให้ได้มากที่สุด และอย่าลืมเรื่องของการดูแลรักษา ทำอย่างไรให้ต้นไม้ได้รับน้ำอย่างต่อเนื่องในช่วงแรก เพราะเมื่อต้นไม้ที่ปลูกใหม่แห้งตายหมดก่อนที่จะแข็งแรงก็จะไม่สามารถช่วยดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ และขอให้ร่วมกันสนับสนุนโครงการปลูกและอนุรักษ์ป่าชายเลนให้มากๆ เพราะเป็นป่าที่ช่วยลดโลกร้อนได้ดีที่สุด ก็มีนักวิทยาศาสตร์ทำนายว่าปี 2563 อุณหภูมิของโลกจะสูงขึ้น 0.5-1 องศาเซลเซียส ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของประเทศไทย ทำให้ฝนตกน้อยลง ขณะที่กรมอุตุนิยมวิทยาประกาศว่าปีนี้ประเทศไทยจะเผชิญกับภัยแล้งที่รุนแรงมากที่สุดในรอบ 20 ปี ปริมาณน้ำฝนจะต่ำกว่าค่าปกติถึง 2-3 % ส่งผลให้ปริมาณน้ำในเขื่อนปีนี้น้อยกว่าปีที่แล้วประมาณ 14 % ส่วนที่กระทบหนักที่สุดคือพื้นที่เพาะปลูกพืชในหลายจังหวัดซึ่งอาจขาดแคลนน้ำในการเกษตรกรรม ในขณะที่บางพื้นที่ซึ่งไม่ต้องการน้ำฝนมากกลับประสบปัญหาน้ำท่วม ผู้ที่สนใจข้อมูลความรู้ และความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับป่าชายเลนในประเทศไทย สามารถติดตามได้จากเว็บไซต์ของกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม www.dmcr.go.th https://mgronline.com/greeninnovatio.../9630000070159
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#4
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการออนไลน์
อึ้ง! พบเต่าอัลลิเกเตอร์ ซากดึกดำบรรพ์มีชีวิตติดร่างแห-กัดมือคนหาปลากำแพงเพชร กำแพงเพชร - พบเต่าอัลลิเกเตอร์ เต่าน้ำจืดใหญ่ที่สุดในโลกติดร่างแหคนหาปลากำแพงเพชร คาดมีคนแอบปล่อยหรือหลุดลงแหล่งน้ำธรรมชาตินานหลายปี พอคนหาปลาพยายามจับถูกกัดทันที วันนี้ (8 ก.ค.) นายมานพ พาติกะบุตร ประมงอาวุโส อ.ลานกระบือ จ.กำแพงเพชร ได้นำเต่าอัลลิเกเตอร์ ซึ่งถือเป็นเต่าน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดในโลก ส่งให้ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืดกำแพงเพชรนำไปดูแล หลังจากได้รับแจ้งจากชาวบ้านในอำเภอลานกระบือลงไปหาปลาในแหล่งน้ำพบเต่าอัลลิเกเตอร์ติดแหมาด้วย จึงได้พยายามจับเพื่อจะนำขึ้นบก และถูกกัดที่มือจนได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย ประมงอาวุโส อ.ลานกระบือ บอกว่า เบื้องต้นพบเต่าอัลลิเกเตอร์ตัวนี้มีน้ำหนัก 34 กิโลกรัม ความยาวตั้งแต่หัวถึงท้าย 104 เซนติเมตร กระดองยาว 50 เซนติเมตร หางยาว 40 เซนติเมตร อายุประมาณ 35 ปี สันนิษฐานว่าน่าจะมีคนนำมาเลี้ยงตั้งแต่ยังเล็กๆ เมื่อหลายสิบปีก่อน แล้วอาจจะหลุดออกมาหรือมีชาวบ้านนำมาปล่อยในแหล่งน้ำธรรมชาติได้ประมาณ 10 ปี กระทั่งมีคนมาพบ ตามข้อมูลวิกิพีเดียระบุว่า เต่าอัลลิเกเตอร์เป็นซากดึกดำบรรพ์มีชีวิตชนิดหนึ่ง กินเนื้อ กินปลาและสัตว์น้ำต่างๆ เป็นอาหาร โดยวิธีการซุ่มนิ่งๆ ไม่เคลื่อนไหวใต้น้ำ แล้วอ้าปากใช้ลิ้นที่ส่วนปลายแตกเป็นสองแฉกที่ส่วนปลายสุดของกรามล่างเพื่อหลอกปลาให้เข้าใจว่าเป็นหนอน เมื่อปลาเข้าใกล้ได้จังหวะก็จะงับด้วยความรุนแรงและรวดเร็ว นอกจากนี้แล้วเต่าอัลลิเกเตอร์ยังกินเต่าด้วยกันเองเป็นอาหารด้วยจากการขบกัดที่รุนแรง พบได้ในแถบอเมริกา "เต่าอัลลิเกเตอร์ถือเป็นสัตว์หายากที่มีการพัฒนาช้าที่สุด เป็นสัตว์สงวนตามบัญชีไซเตสด้วย" ทั้งนี้ หลังทราบข่าวทำให้ประชาชนและนักเรียนที่ผ่านมาต่างแวะเข้ามาดูด้วยความตื่นเต้นเพราะไม่เคยเห็นเต่าตัวใหญ่แบบนี้มาก่อน ซึ่งประมงอาวุโส อ.ลานกระบือ ยังได้ฝากถึงผู้ที่ครอบครองอยู่ด้วยว่า การนำเข้าสัตว์ต่างถิ่นต้องขออนุญาตเลี้ยงอย่างถูกต้อง และหากปล่อยให้อยู่ตามธรรมชาติอาจจะทำลายสัตว์ท้องถิ่นได้ หากมีครอบครองไม่ประสงค์ที่จะเลี้ยงต่อ ขอให้ติดต่อกับเจ้าหน้าที่ประมง https://mgronline.com/local/detail/9630000070003
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#5
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก ข่าวสด
ภาพสุดประทับใจ ลูกเต่าตนุ 69 ตัว ฟักออกจากไข่ พากันเดินลงทะเลเกาะสมุย ลูกเต่าตนุ ฟักออกจากไข่ทีเดียว 2 รัง พากันเดินลงทะเลเกาะสมุยอย่างปลอดภัย 69 ตัว พบตายในรัง 1 ตัว มีไข่ไม่ฟัก 6 ฟอง เมื่อวันที่ 8 ก.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตั้งแต่เดือน ก.พ. 2563 ที่เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี มีแม่เต่าขึ้นวางไข่แล้ว 17 รัง แบ่งเป็นชายหาดหน้าโรงแรมบันยันทรีสมุย 5 รัง ชายหาดหน้าโรงแรมศิลาวดีพูลสปาแอนด์รีสอร์ท 5 รัง บริเวณชายหาดแหลมสอ 6 รัง ชายหาดโรงแรมคอรัลคลิฟบีชรีสอร์ท 1 รัง คาดว่ามีไข่เต่าไม่ต่ำกว่า 1,000 ฟอง ทางนายสัตว์แพทย์ประจำศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอ่าวไทยตอนกลาง พร้อมด้วยผู้นำชุมชน และชาวบ้าน ช่วยกันดูแลรักษากันแนวเขตป้องกันไข่เต่าไม่ให้ได้รับความเสียหาย ล่าสุด ที่ชายหาดอ่าวท้องหนัน ม.4 ต.มะเร็ต มีลูกเต่าตนุฟักออกไข่ทีเดียว 2 รัง พากันเดินลงทะเลเกาะสมุยอย่างปลอดภัย นับได้ 70 ตัว ลงทะเล 69 ตัว ตายในรัง 1 ตัว และมีไข่ไม่ฟัก 6 ฟอง ด้าน สพญ.พิมพ์ชนก ประจำค่าย สัตวแพทย์ประจำศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอ่าวไทยตอนกลาง กล่าวว่า จากการตรวจสอบไข่เต่าตนุมีอัตราการฟักที่สมบูรณ์มาก มีการฟักเยอะมาก เป็นไปตามธรรมชาติ แม้จะมีลูกเต่าที่ตายไม่สามารถขึ้นจากหลุมได้ คาดว่าน่าจะอ่อนแอ ซึ่งเป็นตามธรรมชาติที่เกิดขึ้นได้อยู่แล้ว https://www.khaosod.co.th/around-thailand/news_4464869
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#6
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก ThaiPBS
เศร้า! คาด "ถุงพลาสติก" ฆ่าช้างป่าเขาคิชฌกูฏ เศร้า!เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติเขาคิชฌกูฏรับแจ้งพบซากช้างป่า?ตาย สัตวแพทย์ผ่าพิสูจน์? พบความผิดปกติของระบบทางเดินอาหาร? และพบพลาสติกในลำไส้ คาดทำให้ลำไส้อักเสบจนช้างไม่ถ่ายมูล วันนี้ (8 ก.ค.2563) นายอนุชา กระจายศรี ผอ.สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 2 พร้อมด้วยนายเผด็จ ลายทอง ผอ.สสป.สบอ.2 (ศรีราชา)? หัวหน้าและเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติเขาคิชฌกูฏ เจ้าหน้าที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาสอยดาว นายอำเภอเขาคิชฌกูฏ? พร้อมผู้นำชุมชน ทีมสัตวแพทย์ สัตวบาล ประจำ สสป.สบอ.2 (ศรีราชา) ชุดอาสาเฝ้าระวังและผลักดันช้างป่าอุทยานแห่งชาติคิชฌกูฏ และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาสอยดาว เจ้าหน้าที่ตำรวจพิสูจน์หลักฐานจังหวัดจันทบุรี เจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีตำรวจภูธรเขาคิชฌกูฏ เข้าตรวจสอบบริเวณพื้นที่หลังมหาวิทยาลัยราชมงคลตะวันออก ในเขตอุทยานแห่งชาติเขาคิชฌกูฎ ท้องที่หมู่ 10 ต.พลวง อ.เขาคิชฌกูฏ จ.จันทบุรี หลังได้รับแจ้งพบซากช้างป่า จำนวน 1 ตัว จากผลการตรวจสอบชันสูตร พบซากช้างป่าสีดอตัวผู้ น้ำหนัก 3,000 -? 3,500 กิโลกรัม อายุประมาณ 18 -?20 ปี โดยเจ้าหน้าที่ติดตามช้างป่าตัวดังกล่าว ระบุว่า? ช้างป่าตัวนี้ไม่ขับถ่ายปัสสาวะและอุจจาระ มาประมาณ 2 วันแล้ว? ตรวจภายนอกไม่พบร่องรอยผิดปกติ หรือ บาดแผลใดๆ สัตวแพทย์ทำการผ่าชันสูตร พบความผิดปกติของระบบทางเดินอาหาร โดยพบว่า ลำไส้เกิดการอักเสบ มีแผลที่ผนังลำไส้ พบลิ่มเลือด พบปื้นเลือดและเนื้อตายในบางส่วน? ภาพ:กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช ถุงพลาสติกอยู่ในท้องช้าง นอกจากนี้ยังพบถุงพลาสติกที่มีลักษณะเปื่อยภายในลำไส้ตลอดจนปะปนอยู่กับอุจจาระภายในลำไส้ใหญ่ และภายในช่องปาก พบอุจจาระอยู่เต็มลำไส้ พบพยาธิตัวกลมปะปนกับอุจจาระ? พบน้ำภายในลำไส้และช่องท้องปริมาณมาก สัตวแพทย์ทำการเก็บตัวอย่าง อวัยวะภายใน เพื่อส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการสถาบันสุขภาพสัตว์แห่งชาติ กรมปศุสัตว์ คณะสัตวแพทยศาสตร์? มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน และ คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สัตวแพทย์สรุปสาเหตุการตายเบื้องต้นว่าเกิดจาก ระบบทางเดินอาหารในส่วนของลำไส้เล็กและลำไส้ใหญ่ มีความผิดปกติ เกิดการอักเสบอย่างรุนแรง ทำให้ส่งผลต่อการเคลื่อนตัวของลำไส้ เกิดอาการท้องอืด ไม่มีการขับถ่ายปัสสาวะและอุจจาระ? โดยต้องรอรอผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการเพิ่มเติมอย่างละเอียดอีกครั้ง https://news.thaipbs.or.th/content/294392
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#7
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก PPTV
สลด! พบซากช้างป่า กลางอุทยานฯเขาคิชฌกูฎ ผ่าชันสูตร เจอ "ถุงพลาสติก" เต็มลำไส้ เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติเขาคิชฌกูฏ รับแจ้งพบซากช้างป่า ด้านสัตวแพทย์ผ่าพิสูจน์ พบความผิดปกติของระบบทางเดินอาหาร และพลาสติกในลำไส้ เมื่อวันที่ 8 ก.ค. 2563 นายอนุชา กระจายศรี ผอ.สบอ. 2 นายเผด็จ ลายทอง ผอ.สสป.สบอ.2 (ศรีราชา)? หัวหน้าและเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติเขาคิชฌกูฏ เจ้าหน้าที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาสอยดาว นายอำเภอเขาคิชฌกูฏ? เข้าตรวจสอบบริเวณพื้นที่หลังมหาวิทยาลัยราชมงคลตะวันออก ในเขตอุทยานแห่งชาติเขาคิชฌกูฎ อำเภอเขาคิชฌกูฏ จังหวัดจันทบุรี หลังได้รับแจ้งพบซากช้างป่า จำนวน 1 ตัว จากผลการตรวจสอบชันสูตร พบซากช้างป่าสีดอ เพศผู้ จำนวน 1 ตัว น้ำหนักประมาณ 3,000 -? 3,500 กิโลกรัม อายุประมาณ 18 -?20 ปี โดยเจ้าหน้าที่ติดตามช้างป่าตัวดังกล่าว ระบุว่า? ช้างป่าตัวดังกล่าวไม่ขับถ่ายปัสสาวะและอุจจาระ มาประมาณ 2 วัน? ตรวจภายนอกไม่พบร่องรอยผิดปกติ หรือ บาดแผลใด ทั้งนี้สัตวแพทย์ทำการผ่าชันสูตร พบความผิดปกติของระบบทางเดินอาหาร พบว่า ลำไส้เกิดการอักเสบ มีแผลที่ผนังลำไส้ พบลิ่มเลือด พบปื้นเลือดและเนื้อตายในบางส่วน? นอกจากนี้ยังพบถุงพลาสติกที่มีลักษณะเปื่อยภายในลำไส้ตลอดจนปะปนอยู่กับอุจจาระภายในลำไส้ใหญ่ และภายในช่องปาก พบอุจจาระอยู่เต็มลำไส้ พบพยาธิตัวกลมปะปนกับอุจจาระ? พบน้ำภายในลำไส้และช่องท้องปริมาณมาก และทำการเก็บตัวอย่าง อวัยวะภายใน เพื่อส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการสถาบันสุขภาพสัตว์แห่งชาติ กรมปศุสัตว์ คณะสัตวแพทยศาสตร์? มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน และ คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยสัตวแพทย์สรุปสาเหตุการตายเบื้องต้นว่าเกิดจาก ระบบทางเดินอาหารในส่วนของลำไส้เล็กและลำไส้ใหญ่ มีความผิดปกติ เกิดการอักเสบอย่างรุนแรง ทำให้ส่งผลต่อการเคลื่อนตัวของลำไส้ เกิดอาการท้องอืด ไม่มีการขับถ่ายปัสสาวะและอุจจาระ? โดยต้องรอรอผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการเพิ่มเติมอย่างละเอียดอีกครั้ง https://www.pptvhd36.com/news/%E0%B8...0%B8%99/129025 ********************************************************************************************************************************************************* ขยะจากทะเล เกลื่อนเกาะห้อง กรมอุทยานแจงเป็นแบบนี้ทุกปี กรมอุทยานแห่งชาติฯ ชี้แจงขยะที่พบบริเวณเกาะห้อง เกิดจากทิศทางลมเปลี่ยนพัดขยะเข้าฝั่ง เจ้าหน้าที่เร่งทำความสะอาดเข้าสู่สภาวะปกติ เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม นายฑีฆาวุฒิ ศรีบุรินทร์ หัวหน้าอุทยานแห่งชาติธารโบกขรณี กล่าวถึงกรณีที่มีการเผยแพร่ข่าวผ่านช่องทางต่างๆในสังคมพบว่ามีขยะจำนวนมากถูกซัดจากทะเล ขึ้นหาดบริเวณเกาะห้อง ภายในอุทยานแห่งชาติธารโบกขรณี จังหวัดกระบี่ "ขอชี้แจงว่า เนื่องจากช่วงนี้เป็นช่วงมรสุม มีทิศทางลมเปลี่ยนแปลง ทำให้พัดพาขยะที่เป็นธรรมชาติและสิ่งแปลกปลอมพัดเข้าหาฝั่งบริเวณเกาะห้องเป็นประจำทุกปี ขยะที่เกิดขึ้นเป็นขยะที่มาจากทะเลและเป็นขยะที่มีอย่างต่อเนื่อง และอุทยานแห่งชาติธารโบกขรณี ได้ระดมกำลังเจ้าหน้าที่ไปจัดเก็บขยะและคัดแยกขยะกลับคืนฝั่งและได้นำขยะไปทิ้งที่หลุมขยะของเทศบาลอ่าวลึกใต้ ตำบลอ่าวลึกใต้ อำเภออ่าวลึก จังหวัดกระบี่ ซึ่งขณะนี้ได้ดำเนินการเก็บกวาดทำความสะอาด ชายหาดกลับเข้าสู่สภาวะปกติเรียบร้อยแล้ว" https://www.pptvhd36.com/news/%E0%B8...0%B8%99/128991 ********************************************************************************************************************************************************* เต่ามะเฟืองวางไข่หาดเขาหน้ายักษ์ พบไข่ 100 ฟอง จนท.ดูแลใกล้ชิด พบเต่ามะเฟืองวางไข่หาดเขาหน้ายักษ์ อช.เขาลำปี-หาดท้ายเหมือง จังหวัดพังงา เจ้าหน้าที่หวั่นเจอน้ำทะเลขึ้นสูงขุดย้ายไข่ขึ้นมาฟัก นายหฤษฎ์ชัย ฤทธิช่วย หัวหน้าอุทยานแห่งชาติเขาลำปี-หาดท้ายเหมือง จังหวัดพังงา รายงานว่าเมื่อเวลาประมาณ 05.30 น. เจ้าหน้าที่อุทยานฯได้รับแจ้งจากชาวบ้านใน ตำบลท้ายเหมือง ว่า พบร่องรอยการขึ้นมาวางไข่ของเต่าทะเลบริเวณทิศใต้ของหาดเขาหน้ายักษ์ จึงเข้าตรวจสอบพบ มีร่องรอยการขึ้นมาวางไข่ของเต่าทะเล ซึ่งอยู่ห่างจากเขาหน้ายักษ์มาทางทิศใต้ประมาณ 2 กม. และห่างจากหลุมไข่เดิมที่แม่เต่าขึ้นมาวางไข่เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2563 ประมาณ 1.5 กม. จากการตรวจสอบเจ้าหน้าที่คาดว่า รอยดังกล่าวเป็นร่องรอยของเต่ามะเฟือง เมื่อวัดขนาดความกว้างได้ 170 ซม. ความกว้างช่วงอก 80 ซม. จึงได้ทำการขุดหาไข่เต่าจนเจอวัดความลึกของหลุมไข่ได้ 70 ซม. พบไข่ทั้งหมด 100 ฟอง เป็นไข่ดี 91 ฟอง ไข่ลม 9 ฟอง แต่เนื่องจากหลุมไข่ที่แม่เต่าวางไข่อยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเลขึ้นสูงสุดและปัจจุบันอยู่ในช่วงฤดูมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ซึ่งอาจจะเกิดความเสียหายต่อไข่เต่าได้ " เจ้าหน้าที่จึงได้ทำการย้ายไข่ทั้งหมดมาเพาะฟักในลังโฟม โดยได้รับคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญจากศูนย์วิจัยและพัฒนาทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งทะเลอันดามันตอนบน ทั้งนี้จะทำการติดตั้งไฟกกไข่ เครื่องวัดอุณหภูมิ (Data Logger) เพื่อควบคุมอุณหภูมิ และความชื้น ให้เหมาะสมต่อการเพาะฟักของเต่ามะเฟือง ภายใต้การดูแลอย่างใกล้ชิดของเจ้าหน้าที่และผู้เชี่ยวชาญต่อไป" สำหรับ เต่ามะเฟือง เป็นเต่าทะเลที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ขนาดโตเต็มที่ยาว 210 เซนติเมตร หนัก 900 กิโลกรัม กระดองเป็นหนังหนาสีดำมีจุดประสีขาว มีร่องสันนูนตามยาว 7 สัน อาศัยอยู่ในทะเลเปิดกินแมงกะพรุนเป็นอาหารหลัก ในประเทศไทยพบวางไข่เฉพาะบริเวณชายหาดฝั่งตะวันตกของจังหวัดพังงาและภูเก็ต จัดเป็นสัตว์ทะเลหายากและใกล้สูญพันธุ์เนื่องจากการอพยพย้ายถิ่นระยะไกลจึงมีแหล่งอาศัยในพื้นที่ทางทะเลระหว่างประเทศ และเป็นสัตว์ป่าสงวนลำดับที่ 18 ตาม พรบ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2562 https://www.pptvhd36.com/news/%E0%B8...0%B8%99/128979
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#8
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก BBCThai
หิมะสีชมพูบนเทือกเขาแอลป์ส่งสัญญาณอะไรเรื่องโลกร้อน ที่มาของภาพ,AFP/GETTY IMAGES นักวิทยาศาสตร์กำลังศึกษาปรากฏการณ์ "หิมะสีชมพู" บริเวณธารน้ำแข็งเปรเซนา (Presena glacier) ที่เทือกเขาแอลป์ในเขตประเทศอิตาลี ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นจากสาหร่ายชนิดหนึ่งที่ชื่อ Chlamydomonas nivalis ซึ่งพบในเกาะกรีนแลนด์ รวมทั้งทุ่งหิมะในเทือกเขาแอลป์ และแถบขั้วโลก เม็ดสีที่ออกเฉดสีแดงของสาหร่ายชนิดนี้ทำให้หิมะมีสีออกชมพูไปจนถึงสีแดง จึงทำให้ปรากฏการณ์นี้มีชื่อเรียกต่าง ๆ เช่น หิมะแตงโม (watermelon snow) หิมะสีชมพู (pink snow) หิมะสีแดง (red snow) หรือแม้แต่ หิมะเลือด (blood snow) แม้จะเป็นปรากฏการณ์ที่สวยงามแปลกตา แต่บรรดานักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า หิมะและน้ำแข็งสีชมพูนี้ไม่ใช่เรื่องดีสำหรับปัญหาโลกร้อนและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ที่มาของภาพ,AFP/GETTY IMAGES สาหร่ายยิ่งเพิ่ม โลกยิ่งร้อนขึ้น ตามปกติ หิมะและน้ำแข็งจะสะท้อนรังสีดวงอาทิตย์กลับขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศได้กว่า 80% แต่การที่หิมะและน้ำแข็งมีสีเข้มขึ้นจากสาหร่ายชนิดนี้ ทำให้สูญเสียความสามารถในการสะท้อนความร้อนออกไป และขณะเดียวกันก็ดูดซับความร้อนเอาไว้มากขึ้นจนทำให้ธารน้ำแข็งเริ่มละลายเร็วขึ้น ยิ่งน้ำแข็งละลายมากเท่าไหร่ก็ยิ่งทำให้เกิดสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเจริญเติบโตของสาหร่ายมากขึ้นเท่านั้น จนกลายเป็นวัฏจักรที่เป็นอันตรายต่อสภาพภูมิอากาศโลก ดร.บิอาโจ ดิ เมาโร จากสภาวิจัยแห่งชาติของอิตาลี ผู้ศึกษาปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นนี้กล่าวว่า "ทุกอย่างที่ทำให้หิมะสีเข้มขึ้นจะทำให้หิมะละลาย เพราะมันไปเร่งการดูดซับรังสีดวงอาทิตย์" ที่มาของภาพ,AFP/GETTY IMAGES ผลการศึกษาชิ้นหนึ่งที่ทำขึ้นเมื่อปีที่แล้วเตือนว่า ราวครึ่งหนึ่งของธารน้ำแข็ง 4,000 แห่งในแถบเทือกเขาแอลป์จะละลายหายไปภายในระยะเวลา 30 ปีข้างหน้า อันเป็นผลมาจากการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ทั่วโลก และราว 2 ใน 3 ของธารน้ำแข็งในแถบนี้จะหายไปภายในปี 2100 ที่มาของภาพ,AFP/GETTY IMAGES รายงานเมื่อปี 2018 ขององค์การสหประชาติ ระบุว่า โลกกำลังมุ่งสู่ภาวะที่อุณหภูมิจะสูงขึ้น 1.5 องศาเซลเซียส ภายในปี 2030 - 2052 หากอุณหภูมิโลกยังคงเพิ่มสูงขึ้นในอัตราที่เป็นอยู่ในปัจจุบันต่อไป และอุณหภูมิจะเพิ่มขึ้น 3 องศาเซลเซียส ภายในช่วงสิ้นสุดศตวรรษนี้ เมื่ออุณหภูมิโลกเพิ่มขึ้น 2 องศาเซลเซียส ก็จะทำให้เกิดปรากฏการณ์ที่น้ำแข็งบริเวณขั้วโลกเหนือละลายหายไปในฤดูร้อน อย่างน้อย 1 ครั้งในทุก 10 ปี ซึ่งนี่จะทำให้สัตว์และพืชจำนวนมากต้องสูญพันธุ์เพราะถิ่นที่อยู่อาศัยของพวกมันเล็กลงไปทุกขณะ https://www.bbc.com/thai/features-53332996
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#9
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก BBCThai
พบเหมืองโบราณของมนุษย์ยุคน้ำแข็งในถ้ำใต้น้ำที่เม็กซิโก ทีมนักโบราณคดีนานาชาติค้นพบร่องรอยการทำเหมืองดินแดง (red ochre) ของมนุษย์โบราณยุคน้ำแข็ง ในเครือข่ายถ้ำใต้น้ำซาจิทาริโอ (Sagitario) บริเวณคาบสมุทรยูคาตันของเม็กซิโก โดยคาดว่าเหมืองแห่งนี้มีอายุเก่าแก่ถึง 12,000 ปี ทีมนักโบราณคดีค้นพบร่องรอยการก่อไฟตั้งแคมป์ในถ้ำของชาวเหมืองยุคก่อนประวัติศาสตร์ รวมทั้งพบหลุมขุดเจาะเก่า เครื่องมือหินที่ใช้ขุด และหินที่ทำเป็นสัญลักษณ์บอกทิศทางในถ้ำมืดอีกด้วย "เครื่องมือหินและกองเถ้าถ่านจากการก่อไฟ ยังคงถูกเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดีเหมือนอยู่ในไทม์แคปซูล เพราะสภาพน้ำในถ้ำนั้นนิ่งสนิท ไม่มีกระแสปั่นป่วนไปมา" ผศ.ดร. แบรนดี แม็กโดนัลด์ ผู้นำทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยมิสซูรีของสหรัฐฯ กล่าวอธิบาย คาดว่ามีมนุษย์เข้าไปอาศัยในเครือข่ายถ้ำใต้พิภพของคาบสมุทรยูคาตันตั้งแต่หลายหมื่นปีที่แล้ว โดยก่อนหน้านี้มีการค้นพบซากโครงกระดูกมนุษย์ในถ้ำหลายแห่ง แต่ในช่วงสิ้นสุดยุคน้ำแข็งเมื่อราว 8,000 ปีก่อน ระดับน้ำทะเลค่อย ๆ เพิ่มสูงขึ้น และเอ่อท่วมถ้ำเหล่านี้จนจมมิดอยู่ใต้น้ำในที่สุด ผลการวิเคราะห์หลักฐานทางโบราณคดีที่พบชี้ว่า มนุษย์ยุคน้ำแข็งใช้ไฟนำทางในถ้ำมืด และใช้เศษหินงอกหินย้อยในถ้ำที่หักหล่นอยู่ กะเทาะเอาหินพอก (flowstone) หรือแผ่นหินปูนซึ่งฉาบหน้าดินแดงที่ต้องการออก ซึ่งร่องรอยการขุดเจาะที่มีอยู่ชี้ว่าน่าจะมีการใช้งานเหมืองนี้ติดต่อกันนานนับพันปี แม้จะยังไม่ทราบว่ามนุษย์โบราณกลุ่มนี้ใช้ดินแดง ซึ่งเป็นดินเหนียวที่มีเหล็กออกไซด์ผสมอยู่ไปทำประโยชน์ในด้านใดกันแน่ แต่ทีมผู้วิจัยคาดว่าพวกเขาน่าจะนำดินแดงไปใช้เป็นสี เพื่อทำงานฝีมือ งานศิลปะ และใช้ในการประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ หรือแม้แต่ใช้ดินแดงบางส่วนที่มีสารหนูปะปนอยู่ทาผิวหนังเพื่อไล่แมลง กำจัดเหาหรือตัวเห็บตัวหมัดได้อีกด้วย https://www.bbc.com/thai/features-53333000
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
|