#1
|
||||
|
||||
สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันพุธที่ 22 กรกฏาคม 2563
ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา
สภาวะอากาศทั่วไป มรสุมตะวันตกเฉียงใต้พัดปกคลุมทะเลอันดามันและด้านตะวันตกของประเทศไทย ในขณะที่มีลมตะวันออกเฉียงใต้พัดปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก และอ่าวไทย ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณประเทศไทยยังคงมีฝนตกต่อเนื่อง กับมีฝนตกหนักบางพื้นที่ในภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคใต้ ขอให้ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัยบริเวณดังกล่าว ระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสม อาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลากได้ กรุงเทพมหานครและปริมณฑล เมฆเป็นส่วนมาก กับมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 60 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 26-27 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 33-34 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-20 กม./ชม. คาดหมาย ในช่วงวันที่ 21 - 22 ก.ค. 63 มรสุมตะวันตกเฉียงใต้พัดปกคลุมทะเลอันดามันและประเทศไทย ในขณะที่มีลมตะวันออกเฉียงใต้พัดปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลางและภาคตะวันออก ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยตอนบนมีฝนตกหนักบางแห่ง ส่วนในช่วงวันที่ 23 - 24 ก.ค. 63 ลมตะวันออกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมประเทศไทยตอนบนมีกำลังอ่อนลง ทำให้ประเทศไทยตอนบนมีฝนลดลง ส่วนในช่วงวันที่ 25 - 27 ก.ค. 63 มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ยังคงพัดปกคลุมทะเลอันดามันและประเทศไทย ประกอบกับคลื่นกระแสลมฝ่ายตะวันออกจะเคลื่อนผ่านภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก และภาคกลาง ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยยังคงมีฝนตกต่อเนื่อง และมีฝนตกหนักบางแห่ง ข้อควรระวัง ในช่วงวันที่ 21 - 22 และในช่วงวันที่ 25 - 27 ก.ค. 63 ขอให้ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัยบริเวณภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้ ระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลากได้
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#2
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก ไทยรัฐ
ทะเลนองเลือด เกาะแฟโรเริ่มฤดูฆ่าวาฬ นักอนุรักษ์วอนเลิกได้แล้ว หมู่เกาะแฟโรในเดนมาร์ก ฆ่าฝูงวาฬจนทะเลเปลี่ยนเป็นสีเลือด นักอนุรักษ์วอนยุติการกระทำที่โหดเหี้ยม น้ำทะเลบนหมู่เกาะแฟโร ของเดนมาร์ก ได้เปลี่ยนเป็นสีแดงฉานหลังผู้คนท้องถิ่นเชือดวาฬในทะเล และนำซากมาวางเรียงรายบนชายหาด เป็นสิ่งที่องค์กรด้านอนุรักษ์สัตว์ขนานนามว่าเป็นการกระทำที่ป่าเถื่อน ซึ่งเกาะแห่งนี้ได้มีการฆ่าวาฬเป็นประจำทุกปีโดยไม่มีมาตรการใดๆ มาควบคุม โดยในปีนี้มีวาฬถูกฆ่าตายไปแล้วกว่า 250 ตัว ขณะที่รัฐบาลท้องถิ่นของเกาะระบุว่าการล่าวาฬลักษณะนี้ถือเป็นประเพณีของพวกเขา โดยผู้ที่อาศัยบนเกาะเล็กๆ แห่งนี้ได้รับประทานเนื้อวาฬมาอย่างยาวนานกว่าพันปี ภาพจาก: Sea Shepherd UK ภาพการล่าวาฬที่สร้างความสะเทือนใจให้แก่ผู้รักสัตว์ ไม่ได้เกิดขึ้นที่บนเกาะแฟโรเท่านั้น แต่ในประเทศในแถบเอเชียอย่างญี่ปุ่นได้มีการล่าวาฬมาอย่างยาวนานเช่นกัน ทำให้เกิดการถกเถียงเกี่ยวกับข้อขัดแย้งระหว่างการล่าวาฬที่ถูกมองว่าเป็นสิ่งที่โหดเหี้ยมป่าเถื่อนกับประเพณีล่าวาฬที่มีมาอย่างยาวนาน https://www.thairath.co.th/news/foreign/1894197
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#3
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการออนไลน์
หมีขาวขั้วโลก สุ่มเสี่ยงจะสูญพันธุ์!! ภายในปี 2100 หมีขั้วโลกในอลาสก้าและรัสเซียจะประสบปัญหาร้ายแรงภายในปี 2080 (เครดิตภาพ Katharina M Miller / Polar Bears International) นักวิทยาศาสตร์ได้คาดการณ์ ถ้ามนุษย์ยังปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปริมาณมากเทียบเท่าปัจจุบัน สัตว์ที่อาศัยแถบขั้วโลก "หมีขาวขั้วโลก" มีโอกาสสูงที่จะสูญพันธุ์เกือบหมดภายในปี 2100 ที่จริงเพียงแค่ปี 2040 หรืออีกราว 20 ปีข้างหน้าก็จะเห็นสภาพปัญหาที่หมีขาวประสบในด้านการแพร่พันธุ์ และเริ่มทยอยสูญพันธุ์ในบางพื้นที่ งานวิจัยที่ตีพิมพ์ใน Nature Climate Change ได้ศึกษาโอกาสอยู่รอดของหมีขาวภายใต้สภาวะอากาศ 2 scenario , ภายใต้ business-as-usual คือ ไม่ได้มีการลดก๊าซเรือนกระจกแต่อย่างใด ยังคงดำเนินกิจกรรมของมนุษย์ตามปกติ เมื่อสิ้นสุดศตวรรษ หมีขาวจะยังหลงเหลืออยู่แค่ที่ Queen Elizabeth Islands , หมู่เกาะทางตอนเหนือของแคนาดา และหากภายใต้สถานการณ์ที่มีการลดก๊าซเรือนกระจกลงระดับปานกลาง หมีขั้วโลกบริเวณ Arctic จะไม่สามารถสืบพันธุ์ได้ในปี 2080 นักวิทยาศาสตร์ประเมินว่า ปัจจุบันหมีขั้วโลกหลงเหลืออยู่ประมาณ 26,000 ตัว บริเวณ Svalbard,Norway,Hudson Bay ในแคนาดา และบริเวณ Chucki Sea ระหว่าง Alaska และ Siberia โดยปกติแล้วหมีขาวอาศัยผืนน้ำแข็งในการหาอาหาร แต่สาเหตุจากภาวะโลกร้อน กำลังทำให้ผืนน้ำแข็งหายไป หมีขาวจะสะสมพลังงานช่วงฤดูหนาว เพื่อนำพลังงานเหล่านี้ไปใช้ในช่วงฤดูร้อนที่ต้องออกหาอาหาร บนผืนน้ำแข็งที่ลดลงเรื่อยๆ โดยพบว่าบริเวณ Alaska's southern Beaufort Sea จำนวนหมีขาวลดลงถึง 25-50% ในช่วงที่ปริมาณน้ำแข็งเริ่มลดลง และบริเวณ western Hudson Bay ปริมาณหมีลดลง 30% ตั้งแต่ปี 1987 P?ter Moln?r นักชีววิทยาจาก University of Toronto ศึกษาวิจัยว่าหมีขาวสามารถอดอาหาร หรือใช้พลังงานน้อยสุดเท่าใดเพื่อการอยู่รอด และหาความสัมพันธ์กับปริมาณในวันที่ทะเลจะปราศจากน้ำแข็งในอนาคต ว่าจะมีจำนวนหมีขาวมากน้อยแค่ไหนที่ได้รับผลกระทบ "ถึงแม้ว่าเราจะสามารถลดก๊าซเรือนกระจกได้ระดับหนึ่ง แต่ก็ยังจะมีหมีขาวจำนวนหนึ่งสูญพันธุ์ภายในสิ้นศตวรรษนี้ โดยเฉพาะบริเวณ western และ southern Hudson Bay,Davis Straight แต่ปริมาณหมีขาวจะยังคงเหลือมากกว่าการที่เราไม่ลดก๊าซเรือนกระจกเลยแน่นอน" งานวิจัยศึกษาประชากรหมี 13 แห่งจากทั้งหมด 19 แห่ง คิดเป็น 80% ของหมีขาวทั้งหมด พบว่าหมีขาวบริเวณ sounthern Hudson Bay และ Davis Straight จะเริ่มสูญพันธุ์ในปี 2040 บริเวณ Alaska และ Russia ในปี 2080 และสูญพันธุ์เกือบหมดในปี 2100 แม้ว่าเราจะสามารถลดก๊าซเรือนกระจกได้ในอนาคต แต่โลกยังต้องอาศัยเวลา 25-30 ปี กว่าที่น้ำแข็งขั้วโลกจะกลับมาแข็งแรงพอ เนื่องจากปริมาณก๊าซเรือนกระจกได้สะสมอยู่ในชั้นบรรยากาศมาเป็นเวลานานนั่นเอง https://mgronline.com/greeninnovatio.../9630000074952
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#4
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก โพสต์ทูเดย์
อีก 80 ปีหมีขั้วโลกจะสูญพันธุ์เพราะโลกร้อน การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศทำให้น้ำแข็งขั้วโลกที่เป็นแหล่งอาหารและที่อยู่อาศัยละลายจนหมีขาดอาหาร ผลการวิจัยโดยมหาวิทยาลัยโตรอนโตของแคนาดาซึ่งตีพิมพ์ในวารสาร Nature Climate Change ระบุว่า การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ หรือภาวะโลกร้อน จะทำให้ประชากรหมีขั้วโลกเสี่ยงสูญพันธุ์ภายในปี 2100 หรืออีก 80 ปีข้างหน้า เนื่องจากน้ำแข็งขั้วโลกซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยละลาย งานวิจัยยังระบุอีกว่า เมื่อน้ำแข็งขั้วโลกละลาย หมีขั้วโลกจะถูกบีบบังคับให้อพยพไปอยู่บนพื้นดิน ทำให้การล่าแมวน้ำเป็นไปได้ยากขึ้น ส่งผลให้หมีขั้วโลกต้องนำไขมันที่เก็บสะสมไว้ออกมาใช้ ซึ่งวิธีนี้เป็นอันตรายกับหมี นอกจากนี้ นักวิจัยยังพบว่าลูกหมีขั้วโลกตกอยู่ในความเสี่ยงที่สุด เนื่องจากต้องอดอาหาร ขณะที่หมีตัวเต็มวัยเพศเมียที่ไม่มีลูกจะได้รับผลกระทบน้อยที่สุด ทั้งนี้ งานวิจัยชิ้นนี้ทำการสำรวจประชากรหมีขั้วโลกตั้งแต่ปี 1979-2016 แล้วใช้โมเดลคอมพิวเตอร์คำนวณว่าหมีขั้วโลกจะมีชีวิตอยู่ได้นานเท่าใดหากต้องอดอาหาร ร่วมกับการคำนวณว่าหมีขั้วโลกราว 80% ของหมีทั้งหมดจะต้องเผชิญกับภาวะนำแข็งขั้วโลกละลายจนไร้ที่อยู่อาศัยเมื่อใด https://www.posttoday.com/world/628908
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#5
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก Greennews
ค้านสายตาชาวบ้าน ศาลปกครองยกฟ้องคดีน้ำมันรั่ว ยันหน่วยงานรัฐฟื้นฟูทะเลระยองเรียบร้อยแล้ว ................ โดย ปรัชญ์ รุจิวนารมย์ ศาลปกครองระยองอ้างเหตุหน่วยงานรัฐฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมดีแล้ว และพิพากษายกฟ้อง คดีที่กลุ่มผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุน้ำมันรั่วที่ จ.ระยอง เมื่อปี พ.ศ.2556 ฟ้อง 6 หน่วยงานรัฐ ฐานไม่ได้ฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม และเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบอย่างเหมาะสม ด้านกลุ่มชาวประมงพื้นบ้านยืนยัน ผลกระทบน้ำมันรั่วยังชัดเจน กว่า 80% ของน้ำมันรั่วยังปนเปื้อนอยู่ก้นสมุทร จนทะเลระยองทำประมงไม่ได้ เมื่อวันที่ 21 กรกฏาคม พ.ศ.2563 ศาลปกครองระยองอ่านคำพิพากษาคดีปกครอง ที่สมาคมประมงพื้นบ้านเรือเล็กระยอง และประชาชน 454 คน เป็นโจทก์ยื่นฟ้องผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง คณะกรรมการป้องกันและขจัดมลพิษทางน้ำเนื่องจากน้ำมัน (กปน.) กรมเจ้าท่า กรมประมง กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และกรมควบคุมมลพิษ ที่ไม่ดำเนินการแก้ไขปัญหามลพิษ บรรเทาผลกระทบที่เกิดแก่ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง รวมถึงชดเชยค่าเสียหายให้ถูกต้องตามหลักวิชาการและความเป็นจริงอย่างเป็นธรรม เจ้าหน้าที่เร่งกำจัดคราบน้ำมันบนชายหาดด้านอ่าวพร้าว ทางตะวันตกของเกาะเสม็ด หลังจากท่อน้ำมันดิบกลางทะเลรั่วลงสู่ทะเลระยอง เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ.2556 //ขอบคุณภาพจาก: เริงฤทธิ์ คงเมือง/กรีนพีซ โดยผลการพิพากษาคดีดังกล่าว ทนายความตัวแทนผู้ฟ้องคดีจาก มูลนิธิศูนย์ข้อมูลชุมชน เปิดเผยว่า ศาลปกครองระยองพิพากษาไปในทางเดียวกับความเห็นของตุลาการผู้แถลงคดี ที่ได้ให้ความเห็นว่า หน่วยงานทั้งหมดดำเนินการโดยชอบด้วยกฎหมายตามอำนาจหน้าที่แล้ว จึงเห็นควรยกฟ้อง อย่างไรก็ดี บรรเจิด ล่วงพ้น ประธานเครือข่ายประมงพื้นบ้านโบสถ์ญวน หนึ่งในโจทก์ผู้ฟ้องคดี กล่าวว่า จากที่ฟังคำพิพากษา ศาลเหมือนไม่ได้เอาข้อมูลของฝ่ายผู้ฟ้องคดีไปพิจารณา จึงเป็นเหตุให้มีคำตัดสินออกมาในรูปแบบดังกล่าว ถึงแม้ว่าฝ่ายผู้ฟ้องคดีจะมีหลักฐานเชิงประจักษ์ถึงผลกระทบสิ่งแวดล้อมจากเหตุน้ำมันรั่วที่ยังคงเห็นอยู่อย่างชัดเจน โดย บรรเจิด ได้ให้ข้อมูลว่า นับตั้งแต่เหตุน้ำมันรั่วเมื่อ 7 ปีที่ผ่านมา สัตว์น้ำในทะเลระยองที่เคยมีมากมายถึง 80 ชนิดหายไปเกือบหมด สัตว์น้ำที่เหลืออยู่ก็มีสภาพผิดปกติไป ไม่รู้ว่าเป็นอันตรายหากบริโภคหรือไม่ ทำให้ชาวประมงพื้นบ้านต้องเสี่ยงภัยนำเรือเล็กที่มีออกไปหาปลาไกลขึ้น ทำให้ต้นทุนการประกอบอาชีพสูงขึ้น การหาปลาในทะเลเปิดยังอันตรายอย่างยิ่ง ทำให้ชาวประมงพื้นบ้านระยองต้องเสียชีวิตจากคลื่นลมและพายุแล้วหลายคน "สาเหตุที่ทะเลระยองยังไม่ฟื้นคืนความอุดมสมบูรณ์กลับมาก็เพราะว่า บริษัทผู้รับผิดขอบและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ได้จัดการทำความสะอาดคราบน้ำมันที่รั่วไหลลงทะเลอย่างเหมาะสม มุ่งเน้นแต่เพียงจัดการคราบน้ำมันที่ลอยไปเกยหาดเกาะเสม็ดเท่านั้น แต่คราบน้ำมันอีกกว่า 80% ยังคงจมอยู่ใต้ท้องอ่าวระยอง" บรรเจิด กล่าว "นับตั้งแต่เหตุน้ำมันรั่ว เราพบเต่าทะเลตายกว่า 200 ตัวในพื้นที่อ่าวระยอง อีกทั้งยังพบก้อน tarball ลอยมาเกยหาดทุกปี บ่งชี้ว่าสภาพสิ่งแวดล้อมอ่าวระยองยังคงปนเปื้อนมลพิษอย่างหนัก ผิดกับคำชี้แจงของทางภาครัฐที่บอกว่าได้ทำความสะอาดคราบน้ำมันและฟื้นฟูสภาพแวดล้อมเป็นอย่างดีแล้ว" เขากล่าวว่า หลังจากนี้กลุ่มชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจากเหตุน้ำมันรั่วจะเตรียมการยื่นอุธรณ์คดีต่อศาลปกครองสูงสุดต่อไป https://greennews.agency/?p=21450
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
|