#1
|
||||
|
||||
สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันจันทร์ที่ 17 สิงหาคม 2563
ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา
สภาวะอากาศทั่วไป มรสุมตะวันตกเฉียงใต้พัดปกคลุมทะเลอันดามันตอนบน ประเทศไทย และอ่าวไทย ประกอบกับมีหย่อมความกดอากาศต่ำปกคลุมบริเวณประเทศเวียดนามตอนบน ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยตอนบนมีฝนต่อเนื่อง และมีฝนตกหนักบางแห่งในบริเวณทางด้านตะวันออกของภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ขอให้ประชาชนที่อาศัยในพื้นที่เสี่ยงภัยบริเวณดังกล่าว ระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสมไว้ด้วย กรุงเทพมหานครและปริมณฑล เมฆมาก กับมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 60 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 25-27 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-34 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-25 กม./ชม. คาดหมาย ในช่วงวันที่ 16 ? 17 ส.ค. 63 มรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังปานกลาง ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน และประเทศไทยจะมีกำลังอ่อนลง ประกอบกับมีหย่อมความกดอากาศต่ำยังคงปกคลุมบริเวณประเทศเวียดนามตอนบน ลักษณะเช่นนี้ทำให้ภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน มีการกระจายของฝนมากกว่าภาคอื่นๆ ส่วนในช่วงวันที่ 18 - 22 ส.ค. 63 ร่องมรสุมพาดผ่านประเทศจีนตอนใต้ เวียดนามและลาวตอนบน เข้าสู่หย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณทะเลจีนใต้ตอนบน ในขณะที่มรสุมตะวันตกเฉียงใต้พัดปกคลุมทะเลอันดามัน และประเทศไทย ลักษณะเช่นนี้ทำให้ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ภาคกลาง และภาคตะวันออกมีฝนตกหนักบางแห่ง สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยจะมีกำลังอ่อนลง ข้อควรระวัง ในช่วงวันที่ 18 ? 22 ส.ค. 63 ขอให้ประชาชนในบริเวณภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ภาคกลาง และภาคตะวันออก ระวังอันตรายจากฝนตกหนักในระยะนี้ไว้ด้วย
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#2
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก ไทยรัฐ
เรือเกยตื้นเกาะมอริเชียส หลุดเป็น 2 ส่วน หลังทำน้ำมันรั่วนับพันตัน เรือสินค้าของญี่ปุ่นซึ่งเกยตื้นทำน้ำมันเชื้อเพลิงนับพันตันรั่วลงทะเลนอกชายฝั่ง เกาะมอริเชียส เมื่อปลายเดือนก่อน หักเป็น 2 ส่วนแล้ว สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ทางการของประเทศเกาะ มอริเชียส เปิดเผยเมื่อวันเสาร์ที่ 15 ส.ค. 2563 ว่า เรือบรรทุกสินค้า 'เอ็มวี วาคาชิโอะ' ของบริษัท นากาชิกิ ชิปปิ้ง ประเทศญี่ป่น ที่เกยตื้นอยู่บริเวณชายฝั่ง 'ปอนเต เดอนี' (Pointe d'Esny) พื้นที่ชุ่มน้ำทางตะวันออกของมอริเชียส ตั้งแต่ 25 ก.ค. และทำให้น้ำมันหลายร้อยตันรั่วไหลลงมหาสมุทรอินเดีย หักออกเป็น 2 ส่วนแล้ว น้ำมันเริ่มรั่วออกจากเรือสินค้าลำนี้ตั้งแต่เมื่อสัปดาห์ก่อน ทำให้มอริเชียสต้องประกาศภาวะฉุกเฉินทางสิ่งแวดล้อม และเกิดปฏิบัติการทำความสะอาดครั้งใหญ่โดยเจ้าหน้าที่และอาสาสมัครท้องถิ่นหลายพันคน แต่ช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา รอแตกบริเวณด้านท้ายเรือมีขนาดใหญ่ขึ้น ทำให้ทางการต้องประกาศให้พื้นที่แห่งนี้เป็นเขตหวงห้าม และระงับปฏิบัติการของเหล่าอาสาสมัคร คณะกรรมาธิการจัดการวิกฤติแห่งชาติของมอริเชีย ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด กระทั่งในเวลาประมาณ 16:30 น. ของวันเสาร์ที่ 15 ส.ค. เรือ เอ็มวี วาคาชิโอะ ก็หักเป็น 2 ส่วน แต่เจ้าหน้าที่เสริมแนววัตถุดูดซับน้ำมัน หรือ 'บูม' (Boom) เอาไว้ใกล้เรือแล้ว เพื่อดูดซับน้ำมันที่อาจรั่วออกมาเพิ่มเติม ทั้งนี้ เมื่อช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมานาย สุนิล โดวาร์คาซิง อดีตนักยุทธศาสตร์ขององค์กร กรีนพีซ และอดีตสมาชิกสภามอริเชียส บอกกับสำนักข่าว ซีเอ็นเอ็น ว่า น้ำมันจาก 1 ใน 3 แทงก์บนเรือ เอ็มวี วาคาชิโอะ รั่วไหลลงทะเลมหาสมุทรอินเดียไปแล้ว ขณะที่ลูกเรือพยายามนำน้ำมันออกจากแทงก์ที่เหลือ ก่อนที่เรือจำแยกออกจากกัน อย่างไรก็ตาม ยังไม่ในชัดว่าเจ้าหน้าที่สามารถนำน้ำมันออกไปได้มากเท่าใด ก่อนที่เรือจะแยกออกในวันเสาร์ แต่บริษัท 'มิตสึอิ โอ.เอส.เค. ไลน์ส' ผู้ให้บริการเรือลำนี้เผยก่อนหน้านี้ว่า น้ำมันประมาณ 1,180 ตันรั่วไหลออกจากแทงก์เก็บเชื้อเพลิงบนเรือ แต่เจ้าหน้าที่สามารถเก็บกู้คืนมาจากทะเลและชายฝั่งได้ราว 460 ตัน อนึ่ง เรือ เอ็มวี วาคาชิโอ บรรทุกน้ำมันเชื้อเพลิงกำมะถันต่ำมาทั้งหมดประมาณ 3,800 ตัน และมีน้ำมันดีเซลอีก 200 ตัน https://www.thairath.co.th/news/foreign/1911704
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#3
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการออนไลน์
เรือบรรทุกน้ำมันเกยตื้น ที่ชายฝั่งมอริเชียส ล่าสุดขาดสองท่อน น้ำมันรั่วลงทะเลกว่า 1,180 ตัน 'ดร.ธรณ์' หวั่นผลกระทบแนวปะการัง การรั่วไหลของน้ำมันจากเรือบรรทุกน้ำมันรั่ว ที่ชายฝั่งทะเลมอริเชียส ในมหาสมุทรอินเดีย (เครดิตภาพ ซีเอ็นเอ็น) เรือบรรทุกน้ำมันเกยตื้น ที่ชายฝั่งมอริเชียส ล่าสุดขาดสองท่อน น้ำมันรั่วลงทะเลกว่า 1,180 ตัน ?ดร.ธรณ์?หวั่นผลกระทบแนวปะการัง ซีเอ็นเอ็น รายงานว่า เรือบรรทุกน้ำมัน ชื่อว่า MV Wakashio ขาดเป็นสองท่อน ทำน้ำมันรั่วไหลลงมหาสมุทรอินเดียแล้วเกินกว่าครึ่ง และคาดจะส่งผลกระทบต่อแนวปะการัง นายกรัฐมนตรีมอริเซียสได้ประกาศภาวะฉุกเฉินด้านสิ่งแวดล้อม จากคำแถลงการณ์ คณะกรรมการวิกฤตการณ์แห่งชาติของมอริเชียส ระบุว่า เรือ MV Wakashio ซึ่งเป็นของญี่ปุ่นได้แล่นเกยตื้นที่ Pointe d'Esny เมื่อปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ได้มีน้ำมันจำนวนมากรั่วไหลลงสู่ทะเลสาบในมหาสมุทรอินเดียเมื่อสัปดาห์ที่แล้วจึงมีการดำเนินการทำความสะอาดครั้งใหญ่โดยอาสาสมัครในพื้นที่หลายพันคนกำลังดำเนินการอยู่ แต่รอยแตกภายในตัวเรือขยายใหญ่ขึ้นเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา ตามข้อมูลของผู้ควบคุมเรือ Mitsui O.S.K. Lines บริษัท สัญชาติญี่ปุ่น Tal Harris ผู้ประสานงานด้านการสื่อสารของ Greenpeace Africa International กล่าวกับ CNN ว่าทางการได้ "กำหนดพื้นที่ดังกล่าวเป็นเขตต้องห้าม" และขอให้อาสาสมัครหยุดกิจกรรมเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา Sunil Dowarkasing อดีตนักยุทธศาสตร์ของ Greenpeace International และอดีตสมาชิกรัฐสภาในมอริเชียสบอกกับ CNN ว่าถังน้ำมันหนึ่งในสามถังของเรือได้รั่วไหลลงสู่มหาสมุทรแล้วและทีมงานพยายามที่จะนำน้ำมันออกจากรถถังคันอื่นก่อนหน้านี้ เรือแตก ยังไม่ชัดเจนว่ามีการขจัดน้ำมันออกไปปริมาณเท่าใดก่อนวันเสาร์ เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา บริษัท Mitsui O.S.K. Lines ระบุว่ามีน้ำมันประมาณ 1,180 เมตริกตันรั่วไหลออกจากถังเชื้อเพลิงของเรือ โดยมีประมาณ 460 ตันที่กู้จากทะเลและชายฝั่ง เรือลำดังกล่าวบรรทุกน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีซัลเฟอร์ต่ำมากประมาณ 3,800 ตัน และน้ำมันดีเซล 200 ตันตามข้อมูลของผู้ประกอบการ นายกรัฐมนตรี Pravind Jugnauth ประกาศภาวะฉุกเฉินด้านสิ่งแวดล้อมว่า "เราอยู่ในสถานการณ์วิกฤตสิ่งแวดล้อม" ขณะเดียวกัน Kavy Ramano รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสิ่งแวดล้อมของประเทศ กล่าวว่าการรั่วไหลนี้อยู่ใกล้กับระบบนิเวศทางทะเลที่ได้รับการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมสองแห่ง และเขตสงวน Blue Bay Marine Park บริเวณใกล้เคียงมีชายหาดท่องเที่ยวยอดนิยมและสวนป่าชายเลนหลายแห่ง ทั้งนี้ MV Wakashio กำลังเดินทางจากจีนไปบราซิลเมื่อเกยตื้นบนแนวปะการัง เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคมที่ผ่านมา 'ดร.ธรณ์' อัปเดท ผลกระทบต่อแนวปะการัง ซึ่งรุนแรงกว่าบ้านเราเคยประสบ 5 เท่า จากเพจเฟซบุ๊ก โดย ผศ.ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ นักวิทยาศาสตร์ทางทะเล ได้อัปเดทข่าวเรือชนแนวปะการัง น้ำมันรั่วที่มอร์ริเชียสว่า ตอนนี้คลื่นซัดจนเรือขาดสองท่อน น้ำมันอย่างน้อย 1,180 ตันไหลลงแนวปะการังครับ บนเรือมีน้ำมัน 4,000 ตัน หลังจากเรือชน ทีมดูแลสิ่งแวดล้อมรีบช่วยกันดูดน้ำมันที่มีอยู่ 3 แทงค์ ข่าวบอกว่าดูดออกมาได้ส่วนหนึ่ง ตอนนี้เรือหักแล้ว ยังไม่แน่ว่าดูดออกมาได้ทั้งหมดเท่าไหร่ แต่ที่แน่ๆ คือหนึ่งแทงค์รั่วเกือบหมด นั่นคือ 1,180 ตันที่รั่วมาแล้ว เทียบกับปริมาณที่เคยรั่วในทะเลไทย ตั้งแต่ปี 2516 ถึงปัจจุบัน ครั้งใหญ่สุดเกิดในปี 2545 เรือชนหินสันฉลาม สัตหีบ น้ำมันเตารั่ว 234 ตัน (ข้อมูลกรมทะเล) แต่เหตุการณ์ที่มอร์ริเชียส แรงกว่าเรา 5 เท่า และที่สำคัญคือเกิดบนแนวปะการังโดยตรง รอบๆ มีทั้งอุทยานทางทะเลและแหล่งท่องเที่ยว ยังมีป่าชายเลนและหาดสวยบนฝั่ง จากการวิเคราะห์ข้อมูลดาวเทียม วันที่ 11 สค. คราบน้ำมันกระจายไปในพื้นที่กว้าง 27 ตร.กม. ถึงวันนี้ไม่ทราบว่ากระจายถึงไหน แต่มีรายงานว่ากระจายไปไกลกว่าเดิมหลายเท่า อาสาสมัครไปช่วยกัน แต่มันอันตรายเพราะไอระเหย รัฐบาลพยายามขอให้อย่าไปเลย ให้ผู้เชี่ยวชาญจัดการเถิด แน่นอนว่าจะเกิดผลกระทบ ทั้งต่อปะการังโดยตรง สัตว์อื่นๆ รวมถึงระบบนิเวศป่าชายเลนและชายหาด การนำน้ำมันออกจากระบบนิเวศซับซ้อนแบบนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย คงต้องมีการทำงานกันต่อเนื่อง และใช้เวลาหลายเดือน/เป็นปี ประเทศมอร์ริเชียสมีผู้ป่วยโควิดไม่ถึง 400 คน แต่การท่องเที่ยวกระทบหนักจากปัญหาล็อกดาวน์ทั่วโลก และมาเจออุบัติเหตุซ้ำอีกหน ผมจะมารายงานเพื่อนธรณ์เป็นระยะครับ ทั้งนี้ มอริเซียส เป็นประเทศในแอฟริกาตะวันออก มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า สาธารณรัฐมอริเชียส เป็นประเทศที่เป็นเกาะนอกชายฝั่งแอฟริกาในมหาสมุทรอินเดียตะวันตกเฉียงใต้ ตั้งอยู่ทางตะวันออกของมาดากัสการ์ ประมาณ 900 กิโลเมตร และทางตะวันตกเฉียงใต้ของอินเดียประมาณ 3,943 กิโลเมตร https://mgronline.com/greeninnovatio.../9630000083935 ********************************************************************************************************************************************************* ทช. โชว์ภาพการสำรวจ "ทะเลไทยสมบูรณ์" วาฬ โลมา โผล่มาให้เห็น กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง หรือ ทช. โดยศูนย์วิจัย ทช. อ่าวไทยตอนบนฝั่งตะวันตก ได้โพสต์การสำรวจสัตว์ทะเลหายากและใกล้สูญพันธุ์ บริเวณอ่าวไทยตอนบนฝั่งตะวันตก (เมื่อ 14 ส.ค.ที่ผ่านมา) ว่าพบสัตว์ทะเลหายาก 3 ชนิด คือ โลมาอิรวดี โลมาหลังโหนก และวาฬบรูด้า เป็นการพบ โลมาอิรวดี (lrrawaddy dolphin : Orcealla brevirostris) 3-5 ตัว นอกฝั่งตะวันออกของจ.สมุทรสาคร ในระยะ 3.5 กม. ส่วนโลมาหลังโหนก (Indo-Pacific humpback dolphin : Sousa Chinensis) โดยรับแจ้งจากชาวประมง พบ 2 ตัวบริเวณปากร่องน้ำแม่กลอง-บางตะบูน และ วาฬบรูด้า (Bryde?s Whale : Balaenoptera edeni) พบ 5 ตัวแพร่กระจายบริเวณนอกฝั่งตะวันออกและตะวันตกของ จ.สมุทรสาคร ระยะห่างฝั่ง 15-20 กม. ซึ่งส่วนใหญ่อาศัยหากินและเลี้ยงลูก บริเวณทะเลเขตติดต่อกับกรุงเทพฯ เมื่อตรวจสอบอัตลักษณ์ (Photo ID) เป็นคู่แม่ลูก 2 คู่ ได้แก่ แม่สายชลและเจ้าสายฝน แม่ศรีสุขและเจ้าสีสัน และไม่ทราบชื่อ 1 ตัว สัตวแพทย์ตรวจสุขภาพวาฬบรูด้าที่ระบุชื่อได้ทั้งสิ้น 4 ตัว พบว่าทุกตัวมีการเคลื่อนไหว การทรงตัว คุณภาพและอัตราการหายใจปกติ และความสมบรูณ์ของร่างกาย (Body Condition Score: BCS) อยู่ในเกณฑ์ดี (ค่าเฉลี่ย BCS = 2.25) และพบรอยโรคบนผิวหนัง (Tattoo Skin disease: TSD) 2 ตัว https://mgronline.com/greeninnovatio.../9630000083941
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#4
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก ข่าวสด
ปั้น'เกาะมันใน' ระยอง สู่โมเดลทรัพยากรทะเล ..................... โดย นนทวรรณ มนตรี ปั้น'เกาะมันใน' ระยอง - หมู่เกาะมัน ถือเป็นสวรรค์แห่ง ท้องทะเลตะวันออก แบ่งเป็น 3 เกาะ คือ เกาะมันใน เกาะมันกลาง และเกาะมันนอก ทั้ง 3 เกาะล้วนมีธรรมชาติที่สวยงามแตกต่างกันไป หมู่เกาะมันตั้งอยู่ในต.กร่ำ อ.แกลง จ.ระยอง ห่างจากท่าเรือแหลมตาล ระยะทางประมาณ 6 กิโลเมตร อาณาเขต ทิศเหนือ ติดต่อ อ.เขาชะเมา และอ.วังจันทร์ จ.ระยอง ทิศใต้ ติดต่อชายฝั่งทะเลอ่าวไทย ทิศตะวันออก ติดต่อกับ อ.แก่งหางแมว และ อ.นายายอาม จ.จันทบุรี ทิศตะวันตก ติดต่อกับอ.เมือง จ.ระยอง หนึ่งในสามเกาะอย่าง "เกาะมันใน" กำลังถูกผลักดันให้เป็นต้นแบบพื้นที่คุ้มครองทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง พร้อมเป็นแหล่งเรียนรู้นกอพยพตามธรรมชาติ โดยกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เกาะมันในครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 137 ไร่ตั้งอยู่ห่างจากอ่าวมะขามป้อมประมาณ 6 กิโลเมตร บนเกาะมีสถานีอนุรักษ์พันธุ์ เต่าทะเลตามโครงการสมเด็จอนุรักษ์พันธุ์เต่าทะเล ปัจจุบันอยู่ในความดูแลของศูนย์วิจัยกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอ่าวไทยทางฝั่งตะวันออก สำหรับจุดท่องเที่ยวและพักผ่อนที่น่าสนใจบนเกาะส่วนใหญ่ตั้งอยู่ทางบริเวณทางด้านทิศเหนือของเกาะ ซึ่งบริเวณนี้เป็นที่ตั้งของบ่อเลี้ยงเต่าทะเลหลากหลายสายพันธุ์ เช่น เต่าตนุและเต่ากระ ส่วนเต่าตัวที่มีอายุมากที่สุด 25 ปี มีน้ำหนักประมาณ 85 กิโลกรัม นอกจากนั้นยังมีอาคารนิทรรศการอนุรักษ์พันธุ์เต่าทะเล ซึ่งภายในอาคารประกอบไปด้วยเต่าทะเลสายพันธุ์ต่างๆ ที่ถูกนำมาสตัฟฟ์ไว้เพื่อการศึกษาให้นักเรียนนักศึกษา ตลอดจนนักท่องเที่ยวที่สนใจได้เข้ามาเยี่ยมชม บริเวณด้านหน้าชายหาดที่อยู่ตรงข้ามกับอ่าวมะขามป้อมและแหลมแม่พิมพ์มีชื่อว่าหาดหน้าบ้าน ยังเป็นจุดพักผ่อนหย่อนใจและลงเล่นน้ำได้อย่างปลอดภัยและเป็นจุดที่สามารถชมพระอาทิตย์ตกที่สวยงามที่สุดบนเกาะมันใน เกาะมันในยังมีเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติและชมวิวทิวทัศน์รอบเกาะอีกด้วย ดร.ปิ่นสักก์ สุรัสวดี รองอธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเล และชายฝั่ง เล่าที่มาของเกาะมันใน ว่า สมเด็จพระนางเจ้า สิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง พระราชทานเกาะมันใน เมื่อวันที่ 11 ส.ค. 2522 ซึ่งในขณะนั้นเป็นกรมประมงดูแล ต่อมาในปี 2528 ได้โอนภารกิจมายังสังกัดศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอ่าวไทยตะวันออก กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง จวบจนปัจจุบัน เกาะมันใน ครอบคลุมพื้นที่ 137 ไร่ ในพื้นที่ต.กร่ำ อ.แกลง จ.ระยอง นับเป็นพื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์แห่งหนึ่ง และยังเป็น แหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ที่สำคัญของจ.ระยองอีกด้วย แต่หลายปีที่ผ่านมาพบว่าพื้นที่เกาะใกล้แนวชายฝั่งและในทะเล ที่เป็นแหล่งอาศัยของทรัพยากรสัตว์ป่า สัตว์ทะเล และนกที่มีความหลากหลาย เริ่มได้รับผลกระทบจากการพัฒนาและใช้ประโยชน์ด้านต่างๆ ของมนุษย์ หากไม่ได้รับการแก้ไขอาจส่งผลกระทบมากขึ้น ขณะที่งานด้านการศึกษาวิจัย และพัฒนาด้านทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ค่อนข้างมีความซับซ้อน จึงมีความจำเป็นที่ ต้อง บูรณาการระหว่างหน่วยงานอื่น รวมทั้งภาคประชาชน ชุมชนในพื้นที่ เพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงด้านองค์ความรู้ บุคลากรที่มีความสามารถ ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน เพื่อให้การดำเนินงานด้านระบบนิเวศทางทะเลของประเทศครอบคลุมที่ในทุกมิติ ล่าสุดกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งได้ร่วมลงนามบันทึกความร่วมมือ โดย ดร.ปิ่นสักก์ พร้อมด้วย นายสัตวแพทย์เกษตร สุเตชะ นายกสมาคมอนุรักษ์นกและธรรมชาติแห่งประเทศไทย และ น.ส.แนนซี่ ลิน กิ๊บสัน ประธานกรรมการมูลนิธิรักสัตว์ป่า ร่วมลงนามบันทึกความเข้าใจความร่วมมือทางวิชาการ ที่กรมทรัพยากรทางทะลและชายฝั่ง ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะกรุงเทพฯ เพื่อมุ่งหวังให้เกาะมันใน จ.ระยอง เป็นต้นแบบพื้นที่คุ้มครองทรัพยากรธรรมชาติและแหล่งเรียนรู้นกอพยพและนกธรรมชาติ "เกาะมันในมีความพร้อมและมีศักยภาพที่จะเป็นแหล่งเรียนรู้ระบบนิเวศวิทยาทางทะเล มีศูนย์แหล่งเพาะพันธุ์และอนุบาลเต่าทะเล และเราพร้อมจะ ผลักดันให้เกาะมันในเป็นโมเดลพื้นที่สำหรับการบริหารจัดการด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ พัฒนางานด้านระบบนิเวศทางทะเล ระบบนิเวศทางบก และความหลากหลายของทรัพยากรสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ รวมถึงนกที่มักจะอพยพมาเป็นประจำทุกปีและนกที่อยู่ตามธรรมชาติบนเกาะอย่างเป็นระบบแห่งแรกของประเทศไทย จะเป็นประโยชน์ในการบริหารจัดการพื้นที่อนุรักษ์แห่งอื่นๆ ของประเทศ และจะเป็นที่ยอมรับทั้งในระดับประเทศ และนานาประเทศด้วย" ดร.ปิ่นสักก์ระบุ ดร.ปิ่นสักก์กล่าวอีกว่า หากเราพัฒนาเกาะมันในเป็นต้นแบบการอนุรักษ์แล้ว ก็จะเตรียมประกาศเป็นเขตพื้นที่คุ้มครองทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งหมู่เกาะมัน จ.ระยอง ตามพ.ร.บ. ส่งเสริมการบริการจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง พ.ศ.2558 มาตรา 20 ซึ่งเป็นกระบวนการหนึ่ง ที่ทำให้ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งได้รับการสงวน คุ้มครอง อนุรักษ์ และฟื้นฟูให้คงสภาพธรรมชาติและมีสภาพแวดล้อม ระบบนิเวศที่มีความอุดมสมบูรณ์เพื่อให้ประชาชน รุ่นหลังได้ใช้เป็นฐานทรัพยากรต่อไป กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งเห็นว่างานด้านการศึกษา วิจัย และพัฒนาด้านทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งของประเทศ รวมทั้งความหลากหลายของสิ่งมีชีวิตทั้งพืชและสัตว์ในระบบนิเวศปะการัง หญ้าทะเล ชายหาด และป่าชายเลน ซึ่งเป็นระบบนิเวศทางทะเลที่มีความซับซ้อน มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการบูรณาการร่วมกันระหว่างหน่วยงาน ทั้งด้านการเสริมสร้างความเข้มแข็งทางด้านวิชาการเพื่อเพิ่มองค์ความรู้ การสนับสนุนบุคลากรที่มีความสามารถและความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านในการดำเนินงาน และเครื่องมือเฉพาะด้าน เพื่อให้การดำเนินงานด้านระบบนิเวศทางทะเลของประเทศ ครอบคลุมในทุกมิติ ทั้งด้านการอนุรักษ์ ฟื้นฟู การวิจัย การบริหารจัดการและพัฒนาพื้นที่ทางทะเลและชายฝั่งที่เหมาะสม https://www.khaosod.co.th/lifestyle/news_4716448
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#5
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก BBCThai
ปรสิตดูดเลือดทำตัวเป็น "ลิ้นเทียม" ในปากปลาทะเล ภาพสแกนภายในกะโหลกของปลาแฮร์ริงเคลที่พบปรสิตเกาะอยู่ หลายคนอาจเคยได้ยินเรื่องราวสยองขวัญของ "ปรสิตกินลิ้น" หรือไอโซพอด (Isopod) ตัวจิ๋วบางชนิด ซึ่งมักเข้าไปดูดกินเลือดที่ลิ้นของปลาทะเลเป็นอาหาร จนในบางครั้งทำให้เนื้อลิ้นตายลงและหลุดออกไปในที่สุด ความน่ากลัวของปรสิตดังกล่าวยังไม่จบแค่นั้น เพราะเมื่อช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมามีรายงานจากนักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกันว่า ปรสิตที่เป็นสัตว์ทะเลมีเปลือกแข็งหุ้มชนิดนี้ มีพฤติกรรมประหลาดขณะอาศัยอยู่ในปากของปลาแฮร์ริงเคล (Herring cale) โดยทำตัวเสมือนว่ามันได้กลายเป็นลิ้นของปลา แทนที่ลิ้นของจริงซึ่งเนื้อลิ้นได้ตายและหลุดออกไปแล้ว ดร. คอรี อีแวนส์ นักชีววิทยาจากมหาวิทยาลัยไรซ์ของสหรัฐฯ ได้ค้นพบพฤติกรรมปลอมตัวเป็นลิ้นปลาของปรสิตดังกล่าวโดยบังเอิญ ระหว่างจัดเก็บข้อมูลดิจิทัลจากภาพสแกนกะโหลกของปลาทะเลหลายชนิดในวงศ์ปลานกขุนทอง (Wrasse) ทำให้เขาสังเกตเห็นตัวปรสิตดังกล่าว ขณะใช้ชีวิตแนบติดกับเนื้อเยื่อตรงที่เคยเป็นโคนลิ้นมาก่อน "ปลาแฮร์ริงเคลกินสาหร่ายทะเลเป็นอาหาร ไม่น่าจะกินสัตว์ที่ดูคล้ายแมลงเข้าไปได้ ความผิดปกตินี้ทำให้ผมเอะใจและสังเกตดูอย่างใกล้ชิดมากขึ้นว่ามันคืออะไรกันแน่" ดร. อีแวนส์กล่าว ปลาแฮร์ริงเคล (Herring cale) กินสาหร่ายทะเลเป็นอาหาร ตัวผู้จะมีผิวสีน้ำเงิน ปรสิตชนิดนี้เคลื่อนไหวตัวเหมือนกับลิ้นขณะที่ปลากินอาหาร แต่ก็ไม่สู้จะคล่องแคล่วนัก อย่างไรก็ตาม พวกมันไม่ได้ดูดเลือดปลาทะเลหรือสัตว์อื่น ๆ ไปเสียทุกชนิด แต่จะเลือกอยู่กับปลาบางสายพันธุ์ที่มันชอบเท่านั้น แม้จะยังไม่ทราบชัดว่าปรสิตดังกล่าวคือสัตว์ชนิดพันธุ์ใด แต่ก่อนหน้านี้เคยมีรายงานว่า สัตว์ขาปล้องหรืออาร์โทรพอด (Arthropod) ที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Cymothoa exigua ซึ่งอาศัยอยู่บริเวณผิวน้ำตั้งแต่แถบชายฝั่งตะวันตกของอเมริกาเหนือลงไปจนถึงเอกวาดอร์ มีพฤติกรรมเป็นปรสิตดูดเลือดที่ลิ้นของปลาเช่นกัน นอกจากนี้ ไอโซพอดในวัยเจริญพันธุ์หลายชนิดก็มีพฤติกรรมเกาะเหงือกปลาเพื่อดูดกินเลือดด้วย โดยไอโซพอดตัวเมียจะหาทางเข้าไปในปากปลา ใช้ก้ามตัดเส้นเลือดที่หล่อเลี้ยงเนื้อลิ้นเพื่อดูดกินเลือดจนเนื้อตายและหลุดออก หลังจากนั้นมันจะขยายพันธุ์และเลี้ยงดูตัวอ่อนอยู่ในปากปลา จนกว่าสารอาหารที่มีอยู่จะหมดลง อย่างไรก็ตาม ไอโซพอดตัวแม่อาจผละออกจากปลาที่มันดูดเลือดไปก่อนได้โดยที่ปลาตัวนั้นก็ยังมีชีวิตอยู่ แต่มันจะกลายเป็นปลาไร้ลิ้นซึ่งต้องใช้ชีวิตต่อไปอย่างยากลำบาก https://www.bbc.com/thai/features-53792083
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
|