เลือกสีตามสไลต์ที่คุณชอบ:
SaveOurSea.NET  

กลับไป   SaveOurSea.NET > สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม

ตอบ
 
Share คำสั่งเพิ่มเติม เรียบเรียงคำตอบ
  #1  
เก่า 20-08-2020
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันพฤหัสบดีที่ 20 สิงหาคม 2563

ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา


สภาวะอากาศทั่วไป

ร่องมรสุมพาดผ่านภาคเหนือตอนบน เข้าสู่หย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณประเทศเวียดนามตอนบน ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้พัดปกคลุมทะเลอันดามันตอนบน ประเทศไทย และอ่าวไทย ลักษณะเช่นนี้ทำให้ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันออก มีฝนตกหนักบางแห่ง ขอให้ประชาชนที่อาศัยในพื้นที่เสี่ยงภัยบริเวณดังกล่าว ระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสมซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก

อนึ่ง ในช่วงวันที่ 20-23 สิงหาคม 2563 ร่องมรสุมจะเลื่อนลงมาพาดผ่านภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ทำให้ประเทศไทยตอนบนมีฝนเพิ่มมากขึ้นและมีฝนตกหนักบางแห่ง


กรุงเทพมหานครและปริมณฑล

เมฆเป็นส่วนมาก กับมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 60 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 24-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 34-35 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-25 กม./ชม.


คาดหมาย

ในช่วงวันที่ 20 - 23 ส.ค. 63 ร่องมรสุมพาดผ่านภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน เข้าสู่หย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณประเทศเวียดนามตอนบน ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้พัดปกคลุมทะเลอันดามัน และประเทศไทย ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยมีฝนตกต่อเนื่องและมีฝนตกหนักบางแห่ง

ส่วนในช่วงวันที่ 24 - 25 ส.ค. 63 มรสุมตะวันตกเฉียงใต้พัดปกคลุมทะเลอันดามัน และประเทศไทย ประกอบกับมีร่องมรสุมที่พาดผ่านตอนบนของภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือได้อ่อนกำลังลง ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยฝนลดลง

อนึ่ง พายุระดับ 4 (โซนร้อนกำลังแรง "ฮีโกส") ที่ปกคลุมบริเวณมณฑลกวางตุ้ง ประเทศจีน คาดว่าจะอ่อนกำลังลงตามลำดับและสลายตัวไป ในช่วงวันที่ 19-20 สิงหาคม 2563


ข้อควรระวัง

ในช่วงวันที่ 20 ? 23 ส.ค. 63 ขอให้ประชาชนในบริเวณภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออก ระวังอันตรายจากฝนตกหนักซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน และน้ำป่าไหลหลากในระยะนี้ไว้ด้วย






__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #2  
เก่า 20-08-2020
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default

ขอบคุณข่าวจาก ไทยรัฐ


หุ่นยนต์ใต้น้ำเผยกิจวัตรของวาฬหัวทุย


(ภาพประกอบ Credit : Adrian J Matthews)

เมื่อเร็วๆนี้มีการศึกษาจากนักวิจัยของมหาวิทยาลัยอีสต์ แองเกลีย ในอังกฤษ เกี่ยวกับกิจวัตรประจำวันของวาฬหัวทุยหรือวาฬสเปิร์มที่อาศัยในแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ซึ่งเป็นชนิดที่ใกล้สูญพันธุ์ ทีมวิจัยอาศัยหุ่นยนต์ขับเคลื่อนอิสระใต้น้ำ ซึ่งติดตั้งจอภาพเพื่อบันทึกเสียงของวาฬสเปิร์มในมหาสมุทรเป็นเวลาหลายเดือน ในระยะทาง 1,000 กิโลเมตร

เป็นที่รู้กันมานานว่าวาฬสเปิร์มจะใช้เสียงเป็นสัญญาณบอกตำแหน่งการเคลื่อนไหว โดยเสียงที่เปล่งออกจะมีลักษณะเป็นเสียง "คลิก" ทว่าเสียงคลิกจะมีความแตกต่างกัน ซึ่งจะระบุตำแหน่งและปฏิสัมพันธ์ทางสังคมของวาฬ นักวิจัยเผยว่าการบันทึกเสียงคลิกของวาฬสเปิร์ม ช่วยยืนยันการปรากฏตัวของวาฬชนิดนี้อย่างกว้างขวางในทางตะวันตกเฉียงเหนือของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และสามารถระบุจุดที่เป็นไปได้สำหรับที่อยู่อาศัยของวาฬสเปิร์มในอ่าวสิงโต ที่พบว่ามีอัตราของเสียงคลิกที่สูงขึ้น

ทีมวิจัยเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้อาจบ่งบอกถึงจำนวนวาฬสเปิร์มที่สูงขึ้น และอาจชี้ให้เห็นว่าวาฬมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการหาอาหารตามปกติได้ตลอดเวลา เพื่อปรับให้เข้ากับความพร้อมของเหยื่อในท้องถิ่น มีข้อมูลว่าวาฬสเปิร์มเมดิเตอร์เรเนียนที่โตเต็มวัยมีจำนวนน้อยกว่า 2,500 ตัว และภัยคุกคามก็คืออวนจับปลา การประมงที่ผิดกฎหมาย อันตรายจากเรือ การกลืนกินขยะในทะเล และเสียงรบกวนที่มาจากการกระทำของมนุษย์ เช่น การตามดูวาฬนั่นเอง.


https://www.thairath.co.th/news/foreign/1912885
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #3  
เก่า 20-08-2020
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default

ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการออนไลน์


นักดำน้ำฮือฮา! ฉลามวาฬโผล่เล่นน้ำบริเวณหินไบเกาะพะงัน

สุราษฎร์ธานี - ธรรมชาติท้องทะเลอ่าวไทย ฝั่งอำเภอเกาะพะงัน กลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง ส่งผลให้นักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบดำน้ำ ได้ตื่นตาตื่นใจกับฉลามวาฬ ที่ออกมาว่ายน้ำโชว์อย่างใกล้ชิด



วันนี้ (19 ส.ค.) นายจันทร์โชติ พิริยะสถิตย์ ผู้จัดการบริษัทโลตัสไดร์วิ่ง บริษัทดำน้ำ ในบ้านโฉลกหลำ อำเภอเกาะพะงัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี เปิดเผยว่า ขณะที่นำเรือทัวร์ดำน้ำพานักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบดำน้ำชมความงามของธรรมชาติในทะเล ประมาณ 4-5 คน ออกไปยังจุดนำน้ำ ขณะที่นำเรือออกไปดำน้ำบริเวณจุดดำน้ำหินไบ ซึ่งเป็นจุดดำน้ำที่สวยงามอีกจุดหนึ่งในอำเภอเกาะพะงัน

ได้พบกับฉลามวาฬขนาดใหญ่ ความยาวประมาณ 5 เมตร ว่ายน้ำเข้ามาเล่นน้ำโชว์อยู่ข้างๆ เรือ และบริเวณกลุ่มนักท่องเที่ยวที่กำลังดำน้ำ โดยเจ้าฉลามวาฬได้เล่นน้ำกับกลุ่มนักดำน้ำอย่างสนุกสนานอยู่หลายนาทีก่อนที่จะดำน้ำหายไป

โดยนายจันทร์โชติ พิริยะสถิตย์ ยังกล่าวอีกว่า ระหว่างที่ฉลามวาฬเข้ามาเล่นน้ำ ทางกัปตันเรือได้บันทึกภาพเอาไว้ ทั้งนี้ อ่าวไทยโดยเฉพาะจุดดำน้ำหินไบ หรือ Sail Rock บนเกาะพะงัน สภาพความงามของธรรมชาติได้กลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง หลังจากที่ก่อนหน้านี้ ได้ถูกสั่งห้ามยกเลิกทำกิจกรรมทางทะเล ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 แพร่ระบาด ซึ่งเหมือนกับได้ให้ธรรมชาติพักผ่อน และในปัจจุบันทำชาติได้ฟื้นฟูขึ้นมาอย่างสวยงามอีกครั้ง

โดยจุดดำน้ำหินไบ หรือ Sail Rock ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของเกาะเต่า อยู่ตรงกลางระหว่างเกาะเต่ากับเกาะพะงัน เป็นกองหินที่โผล่พ้นน้ำ ความลึกประมาณ 24 เมตร มีฝูงปลาให้นักดำน้ำได้ศึกษาหลากหลายชนิด


https://mgronline.com/south/detail/9630000085002


*********************************************************************************************************************************************************


นวัตกรรมหยุดขยะพลาสติก!! ครั้งแรกของโลก



พันธมิตรเพื่อยุติขยะพลาสติก (Alliance to End Plastic Waste) เป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร ก่อตั้งขึ้นในเดือนมกราคม 2562 เพื่อช่วยแก้ปัญหาของขยะพลาสติก 8 ล้านตัน ที่หลุดลงสู่มหาสมุทรทุกปีและทำลายระบบนิเวศทางทะเลและฆ่าสัตว์น้ำจำนวนมาก

พวกเขาไม่ใช่เอ็นจีโอที่เน้นลุยเดี่ยว แต่ได้ผนึกกำลังกับภาคอุตสาหกรรมที่เป็นต้นตอปัญหา โดยเป็นพันธมิตรกับบริษัทที่มีบทบาทเกี่ยวกับการผลิตพลาสติกเกือบ 50 แห่ง และบริษัทเหล่านี้จะลงทุนให้ 1,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐเพื่อป้องกันการรั่วไหลของพลาสติก การกู้คืนพลาสติกและสร้างมูลค่าจากขยะพลาสติก

แนวคิดของกลุ่มนี้ก็คือ No one can do it alone (ไม่มีใครทำงานคนเดียวได้) และภาคธุรกิจมีบทบาทสำคัญที่จะละเลยหรือมองเป็นศัตรูไม่ได้ พันธมิตรเพื่อยุติขยะพลาสติกมีโครงการน่าทึ่งหลายโครงการ ตัวอย่างเช่น The End Plastic Waste Innovation Platform (แพลตฟอร์มนวัตกรรมหยุดขยะพลาสติก) ซึ่งจัดร่วมกับ Plug and Play ผู้ลงทุนสตาร์ทอัพและแพลตฟอร์มนวัตกรรมรายใหญ่จากสหรัฐอเมริกา โครงการนี้มุ่งเน้นการให้เงินลงทุนสนับสนุนสตาร์ทอัพใหม่ ๆ ทั่วโลกให้คิดค้นนวัตกรรมเกี่ยวกับพื้นที่จัดการขยะพลาสติก ลดของเสีย ทำให้การรีไซเคิลและกู้คืนพลาสติกได้ง่ายขึ้น รวมทั้งสร้างมูลค่าให้กับพลาสติกที่ใช้แล้ว

สาเหตุที่เน้นการรีไซเคิลและการสร้างมูลค่าให้ขยะ เพราะในทุกปีเราจะสูญเสียเงินไปฟรี ๆ ถึง 120,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากหีบห่อสินค้าไม่เข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลครบถ้วน จาก 100% ของบรรจุภัณฑ์พลาสติกมีเพียง 14% เท่านั้นที่จะถูกนำมารีไซเคิล และยังเกิดการสูญหายระหว่างการแยกขยะอีก ทำให้เหลือวัตถุดิบเพียง 5% เท่านั้น ขณะที่พลาสติกประเภทอื่น ๆ มีอัตราการรีไซเคิลต่ำกว่าอีกหรือแค่ประมาณ 2%



นี่คือการระดมทุนเพื่อสร้างแพลตฟอร์มนวัตกรรมหยุดขยะพลาสติกครั้งแรกของโลก โดยโครงการนี้ตั้งศูนย์สนับสนุนสตาร์ทอัพอยู่ 3 แห่ง นั่นคือ ซิลิคอนวัลเลย์, ปารีส และสิงคโปร์ เบื้องต้นได้คัดสตาร์ทอัพมาได้แล้วบางส่วน แต่เกิดโควิด-19 ขึ้นจึงต้องทำงานผ่านระบบออนไลน์และขยายเวลาคิดค้นนวัตกรรมและทำการตลาด จากเดิมให้เวลาแค่ 90 วันมาเป็น 180 วัน

อีกโครงการมีชื่อว่า Renew Oceans (คืนชีวิตให้มหาสมุทร) จะช่วยประสานงานในการทำความสะอาดแม่น้ำ 10 สายที่สกปรกที่สุดในโลก เริ่มต้นด้วยแม่น้ำคงคาในอินเดีย (และสาขาของคงคา) ซึ่งหล่อเลี้ยงผู้คน 400 ล้านคน แต่ปล่อยขยะสู่มหาสมุทรถึง 90% ของขยะพลาสติกจากแผ่นดินทั้งหมด มีขยะพลาสติกสะสมประมาณ 544,000 ตันต่อปี

กลุ่มพันธมิตรจะใช้เทคโนโลยีจากนวัตกรรมเพื่อใช้ขยะจากแม่น้ำคงคาเป็นตัวขับเคลื่อนโดยในปี 2562 มีการรวบรวมขยะพลาสติกจากแม่น้ำคงคาได้ประมาณ 50 ตัน และในปี 2563 ตั้งเป้าจะเพิ่มเป็นสองเท่า ซึ่งขยะพลาสติกเหล่านี้จะถูกเปลี่ยนเป็นน้ำมันดีเซล

ขณะที่ในอินโดนีเซีย มีการริเริ่มโครงการ Project Stop 3 (Jembrana) ในเขตเจมบรานา บนเกาะบาหลี ซึ่งขยะพลาสติกบนเกาะประมาณ 33,000 ตัน ถูกปล่อยลงสู่แหล่งน้ำและไหลลงมหาสมุทร และที่สำคัญแม่น้ำอิโจ กาดิง ในเขตเจมบรานามีขยะพลาสติกลงสู่ทะเลมากที่สุดของเกาะบาหลี คิดเป็น 12% ของทั้งจังหวัด



Zero Plastic Waste Cities (เมืองขยะพลาสติกเป็นศูนย์) เป็นโครงการของ Grameen Creative Lab ที่เป็นการริเริ่มของทางพันธมิตรฯ กับโมฮัมหมัด ยูนุส เจ้าของรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ผู้ริเริ่มธนาคารของคนจนและติดอาวุธด้านการเงินให้ผู้ด้อยโอกาส โครงการนี้มุ่งสร้างระบบการจัดการขยะโดยใช้เงินทุนน้อยและเลี้ยงตัวเองได้ โดยไม่ให้เหลือของเสียหรือเหลือน้อยที่สุด

นี่คือตัวอย่างโครงการของพันธมิตรเพื่อยุติขยะพลาสติกซึ่งใช้นวัตกรรมนำการแก้ปัญหา เป็นโครงการที่สร้างมูลค่าได้ มีตลาดรองรับ และเป็นมิตรกับการลงทุน ที่สำคัญเป็นการแก้ปัญหาที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตแบบปกติ


https://mgronline.com/greeninnovatio.../9630000085064

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #4  
เก่า 20-08-2020
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default

ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการออนไลน์


ไอเดียสร้างสรรค์!! ?แมงกะพรุนสุ่มไก่?ริมชายหาด เตือนภัย-สีสันท่องเที่ยว



สะดุดตากันแต่ไกล!! สิ่งประดิษฐ์ริมชายหาดกระบองเพชรจากความคิดสร้างสรรค์ของชาวบ้านตำบลม่วงงาม จ.สงขลา ที่ร่วมกันทำขึ้นเพื่อเตือนภัยแมงกะพรุนพิษที่ลอยมาอยู่ในทะเลในช่วงฤดูกาลนี้ ด้วยการนำสุ่มไก่ มาคลุมด้วยผ้าหลากสีสดใส ในรูปลักษณ์แมงกะพรุน ได้ประโยชน์ทั้งการเตือนภัยและสร้างสีสันทางการท่องเที่ยว

ผู้คนที่เดินทางท่องเที่ยวมาพักผ่อนหย่อนใจที่หาดกระบองเพชร ตำบลม่วงงาม อำเภอสิงหะนคร จังหวัดสงขลา ต่างสะดุดตากับสิ่งประดิษฐ์สีสันสดใสริมชายหาด รูปลักษณ์คล้ายแมงกะพรุน โดยใช้สุ่มไก่หรือฝาชีที่ทำจากไม้ นำมาคลุมด้วยผ้าสีสันสดใสสะท้อนแสงทั้งสีเขียว ชมพู เหลือง พร้อมติดตั้งป้ายเตือนภัย "ระวังแมงกะพรุนพิษ" บริเวณชายหาด และข้อมูลการปฐมพยาบาลเบื้องต้น ปักติดไว้อย่างเด่นชัด



ถือเป็นการเตือนภัยแนวใหม่ที่กลมกลืนกับธรรมชาติและยังสร้างสีวันทางการท่องเที่ยวในพื้นที่ได้อีกทางหนึ่งด้วย ผู้ที่มาท่องเที่ยวก็สะดุดตากับแมงกะพรุนขนาดใหญ่หลากสีสันจากความคิดสร้างสรรค์ของชาวบ้านที่ช่วยกันประดิษฐ์เพื่อเตือนภัย และยังถ่ายภาพเป็นที่ระลึกแชร์กันในสื่อสังคมออนไลน์ โดยมีจุดนั่งพักชมวิวอีกหลายจุดริมหาดกระบองเพชร ซึ่งต่อเนื่องกับหาดม่วงงาม มีความงดงามตามธรรมชาติ ไม่มีปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง ซึ่งชุมชนก็ร่วมกันพัฒนาพื้นที่ และกลายเป็นจุดเช็คอินใหม่ดึงดูดให้ไปท่องเที่ยว พร้อมกับเตือนภัยไปในเวลาเดียวกันได้เป็นอย่างดี

ขณะที่ บริเวณแนวชายหาดชลาทัศน์และหาดสมิหลา จ.สงขลา ซึ่งเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวจำนวนมาก มีการปักแผ่นป้ายแจ้งเตือนขนาดใหญ่ เพื่อแจ้งเตือนประชาชนที่มาท่องเที่ยวชายหาดทั้ง 2 แห่ง มีข้อความว่า ?แจ้งเตือนภัย!!! ระวังแมงกะพรุนพิษ บริเวณชายหาดสมิหลาและชายหาดชลาทัศน์ และเลี่ยงลงเล่นน้ำทะเล หากพบเจอห้ามจับ สำหรับผู้ที่ถูกพิษของแมงกะพรุน ให้ราดด้วยน้ำส้มสายชูเท่านั้น ติดต่อสายด่วน 1132 1669 และ โทร 074-31424



นอกจากนี้ สำนักบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ 5 สงขลา มีการนำน้ำส้มสายชูมาใส่ไว้ที่เสาที่ปักไว้ริมชายหาด และมีป้ายบอกขั้นตอนในการรักษาพยาบาลเมื่อโดนแมงกะพรุนพิษอย่างละเอียด เพื่อให้ความสะดวกกับนักท่องเที่ยวและประชาชน หากโดนแมงกะพรุนพิษก็สามารถที่จะมานำน้ำส้มสายชูจากบริเวณที่ใกล้ที่สุดไปใช้ได้ทันที

สำหรับสาเหตุการพบแมงกะพรุนกลุ่ม Scyphozoa ในพื้นที่น่านน้ำจังหวัดสงขลา น่าจะมาจากกระแสน้ำและคลื่นลม เนื่องจากแมงกะพรุนเป็นแพลงก์ตอนสัตว์ขนาดใหญ่ล่องลอยในน้ำ ส่วนแมงกะพรุนกล่องอยู่ในระหว่างการศึกษาปัจจัยแวดล้อมที่มีผลต่อการแพร่กระจาย ปัจจุบันยังไม่สามารถสรุปสาเหตุได้แน่ชัด อย่างไรก็ตาม ชายฝั่งทะเลของจังหวัดสงขลาจัดเป็นพื้นที่เฝ้าระวัง เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่พบแมงกะพรุนกล่อง แต่ยังไม่มีรายงานผู้ป่วยสงสัยเสียชีวิตหรือบาดเจ็บรุนแรง



ทั้งนี้ ข้อมูลความหลากหลายของแมงกะพรุน โดย กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง พบจำนวน 15 ชนิด เป็นแมงกะพรุนในกลุ่ม Cubozoa หรือ แมงกะพรุนกล่อง จำนวน 4 ชนิด ได้แก่ Morbakka sp. A, Morbakka sp. B, Carukiidae (unidentifiable) และ Chiropsoides buitendijki

แมงกะพรุนกลุ่ม Scyphozoa จำนวน 9 ชนิด ได้แก่ Acromitus flagellatus (แมงกะพรุนหางขน) Catostylus townsendi (แมงกะพรุนขี้ไก่หรือแมงกะพรุนถ้วย) Cyanea buitendijli (แมงกะพรุนรกช้าง) Lobonemoides sp. (แมงกะพรุนลอดช่อง) Lychnorhiza malayensis (แมงกะพรุนนก) Phyllorhiza punctata (แมงกะพรุนลายจุดหรือแมงกะพรุนด่างออสเตรเลีย) Chrysaora sp. (แมงกะพรุนไฟ) Rhopilema hispidum (แมงกะพรุนหนังหรือแมงกะพรุนส้มโอ) และ Versuriga anadyomene (แมงกะพรุนหอม)

แมงกะพรุนกลุ่ม Hydrozoa จำนวน 2 ชนิด ได้แก่ Physalia cf. utriculus (แมงกะพรุนไฟหมวกโปรตุเกสหรือแมงกะพรุนไฟเรือรบโปรตุเกสหรือแมงกะพรุนหัวขวด) และ Porpita porpita (แมงกะพรุนแว่นตาพระอินทร์หรือแมงกะพรุนกระดุมสีฟ้า)

โดยมีแนวโน้มพบแมงกะพรุน C. buitendijki และแมงกะพรุนในสกุล Morbakka ในช่วงลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ ระหว่างเดือนพฤศจิกายนถึงมกราคม และพบแมงกะพรุนไฟ Chrysaora ตลอดช่วงลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือถึงช่วงต้นลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ ระหว่างเดือนพฤศจิกายนถึงมิถุนายนและพบแมงกะพรุน P. cf. utriculus ในช่วงลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ถึงมีนาคม


(มีต่อ)
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #5  
เก่า 20-08-2020
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default

ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการออนไลน์


ไอเดียสร้างสรรค์!! "แมงกะพรุนสุ่มไก่" ริมชายหาด เตือนภัย-สีสันท่องเที่ยว ......... ต่อ


ทำอย่างไรเมื่อถูกพิษแมงกะพรุน!?

เว็บไซต์พบแพทย์ (POBPAD) ให้ข้อมูลเรื่อง "แมงกะพรุนต่อยกับการปฐมพยาบาลอย่างถูกวิธี" ไว้ว่าแมงกะพรุนเป็นสัตว์น้ำอันตรายที่ต้องคอยระวังเมื่อว่ายน้ำหรือดำน้ำในทะเล เพราะแมงกะพรุนเกือบทุกสายพันธุ์มีกระเปาะพิษขนาดเล็กอยู่ตามหนวด หากสัมผัสโดนพิษจะเข้าสู่ร่างกายอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้มีอาการปวด บวม และเกิดรอยแดงเป็นแนวยาวตามผิวหนัง ในกรณีร้ายแรงอาจทำให้เกิดอันตรายถึงชีวิตได้


แมงกะพรุนต่อยมีอาการอย่างไรบ้าง?

อาการที่พบได้ทั่วไปเมื่อถูกแมงกะพรุนต่อย ได้แก่ ปวดแสบปวดร้อนอย่างรุนแรง โดยเฉพาะช่วง 1 ชั่วโมงแรก และคันตามผิวหนังหรือมีร่องรอยของหนวดแมงกะพรุนอยู่บนผิวหนังบริเวณที่ถูกต่อย ในรายที่มีอาการรุนแรงอาจรู้สึกอ่อนแรง คลื่นไส้ ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ กล้ามเนื้อกระตุก น้ำมูกและน้ำตาไหล เหงื่อออกมาก หรือเจ็บหน้าอก

แมงกะพรุนพิษที่พบได้บ่อยและอาจเสี่ยงถูกต่อยขณะเล่นน้ำทะเลมากที่สุด ได้แก่ แมงกะพรุนทั่วไป แมงกะพรุนเรือรบโปรตุเกส และแมงกะพรุนกล่อง ซึ่งแต่ละชนิดก็ส่งผลให้เกิดอาการที่ต่างกันออกไป ดังนี้

1) แมงกะพรุนทั่วไป (True Jellyfish) มีพิษน้อยกว่าชนิดอื่นๆ โดยแมงกะพรุนในกลุ่มนี้ที่คนไปสัมผัสจนถูกต่อยมากที่สุด คือ แมงกะพรุนไฟ มีรูปร่างคล้ายระฆัง มีขนาดใหญ่ถึง 1 เมตร และอาจมีหนวดยาวถึง 30 เมตร เมื่อไปสัมผัสโดนหนวดจะทำให้รู้สึกเจ็บปวดที่ผิวหนังบริเวณนั้นภายในเวลาเพียงไม่กี่นาที และเกิดผื่นแดงนูนที่มีลักษณะเป็นรอยคล้ายโดนแส้ฟาดขนาดประมาณ 2-3 มิลลิเมตร ซึ่งอาการเหล่านี้มักทุเลาลงหลังผ่านไปประมาณ 30 นาที ส่วนผื่นแดงที่เกิดขึ้นจะเริ่มยุบลงภายใน 1 ชั่วโมง แต่จะยังคงทิ้งรอยไว้เป็นเวลานานหลายวันกว่าจะหายไปจนหมด

2) แมงกะพรุนเรือรบโปรตุเกส (Portuguese Man-of-War) มีลักษณะเป็นกระเปาะใส อาจมีสีฟ้า ชมพู หรือม่วง ขนาดประมาณ 10-30 เซนติเมตร มีหนวดยาวถึง 30 เมตร มีพิษร้ายแรงกว่าแมงกะพรุนทั่วไป แม้หนวดของแมงกะพรุนชนิดนี้จะหลุดออกจากตัวแล้ว แต่หนวดยังมีพิษอยู่ หากสัมผัสโดนจะรู้สึกเหมือนถูกสายฟ้าฟาด เจ็บ ชา แสบร้อน บางรายอาจมีอาการคลื่นไส้ หายใจลำบากหรือแน่นหน้าอกร่วมด้วย และเกิดผื่นนูนในบริเวณที่สัมผัสโดน ซึ่งอาจยุบลงภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง แต่หลังจากนั้นอาจกลายเป็นรอยดำหรือแผลเป็นนูน และหากมีอาการรุนแรงอาจทำให้เป็นอันตรายถึงชีวิตได้

3) แมงกะพรุนกล่อง (Box Jellyfish) รูปร่างเหมือนระฆังสี่เหลี่ยม สีกึ่งโปร่งใส เป็นแมงกะพรุนที่มีพิษร้ายแรงที่สุด เมื่อสัมผัสจะทำให้เกิดผื่นนูนแดงบนผิวหนัง ลักษณะคล้ายถูกแส้ฟาด มีอาการปวดนานหลายชั่วโมง หากถูกพิษปริมาณมากอาจส่งผลให้ผิวหนังบริเวณดังกล่าวมีสีเขียวคล้ำ เป็นตุ่มน้ำพอง เนื้อตาย และเกิดการติดเชื้อที่แผลตามมาได้ นอกจากนี้ หากถูกพิษอย่างรุนแรงจะทำให้หัวใจเต้นผิดปกติ หายใจลำบาก และอาจเสียชีวิตได้ภายในเวลาไม่กี่นาที




๐ วิธีการปฐมพยาบาลหลังถูกแมงกะพรุนต่อย

หากพบผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจากการถูกแมงกะพรุนต่อย สามารถช่วยปฐมพยาบาลเบื้องต้นตามขั้นตอนดังต่อไปนี้

1. นำผู้บาดเจ็บขึ้นจากน้ำ โดยให้อยู่นิ่งๆ ไม่เคลื่อนไหวเพื่อลดการกระจายของพิษแมงกะพรุน ในกรณีที่ผู้บาดเจ็บหมดสติ ควรจัดท่าให้นอนลงและอาจเชยคางขึ้นเพื่อเปิดทางเดินหายใจ เป่าปากหรือทำ CPR โดยประสานมือทั้ง 2 ข้างแล้วกดลงบนหน้าอกบริเวณเหนือลิ้นปี่เล็กน้อย เพื่อช่วยให้ผู้ที่บาดเจ็บกลับมามีสติอีกครั้ง

2. ล้างแผลและนำหนวดแมงกะพรุนออก ใช้น้ำส้มสายชูราดบริเวณที่ถูกแมงกะพรุนต่อยเป็นเวลาอย่างน้อย 30 วินาที เพื่อป้องกันการกระจายของพิษ หากไม่มีน้ำส้มสายชูสามารถใช้น้ำอัดลมแทนได้ แต่จะมีประสิทธิภาพต่ำกว่า และห้ามล้างด้วยน้ำจืดเพราะจะทำให้พิษกระจายตัวมากขึ้น จากนั้นใช้ไม้หรืออุปกรณ์อื่นๆ คีบหนวดแมงกะพรุนออกจากร่างกาย ห้ามใช้ทรายถู ห้ามขูดผิวหนังบริเวณดังกล่าว และห้ามใช้ผ้าพันแผลหรือพลาสเตอร์ปิดแผลไว้

3. บรรเทาอาการ หากโดนแมงกะพรุนชนิดที่มีพิษไม่รุนแรงต่อย สามารถบรรเทาอาการปวดโดยการใช้น้ำแข็งประคบที่แผล รับประทานยาแก้ปวด รับประทานยาแก้แพ้ หรือทาครีมไฮโดรคอร์ติโซนเพื่อบรรเทาอาการคันและบวม แต่หากมีอาการรุนแรงก็ควรรีบไปพบแพทย์

4. สังเกตุอาการ หลังถูกแมงกะพรุนต่อย ควรเฝ้าดูอาการอย่างน้อย 45 นาที หากปวดที่บาดแผลอย่างรุนแรง ปวดศีรษะ หลัง หรือลำตัว กระสับกระส่าย สับสน เหงื่อออกมาก คลื่นไส้ อาเจียน มือสั่น ใจสั่น เจ็บหน้าอก หายใจเร็ว หายใจลำบาก หอบเหนื่อย หน้าซีด หรือบริเวณปลายมือและเท้าเปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ำ ควรรีบนำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลทันที

การป้องกันแมงกะพรุนต่อย การป้องกันการถูกพิษจากแมงกะพรุนขณะลงเล่นน้ำทะเลทำได้โดยปฏิบัติตามแนวทางดังต่อไปนี้

- สอบถามเจ้าหน้าที่ประจำชายหาดเกี่ยวกับชนิดของแมงกะพรุนที่พบในบริเวณดังกล่าวและจำนวนผู้ที่ถูกแมงกะพรุนต่อย เพื่อประเมินว่ามีความเสี่ยงมากน้อยเพียงใด โดยปกติแล้วจะพบแมงกะพรุนได้มากในช่วงฤดูฝน ซึ่งในช่วงที่แมงกะพรุนชุกชุม เจ้าหน้าที่อาจประกาศห้ามลงเล่นน้ำด้วย

- สวมใส่อุปกรณ์ป้องกันอย่างชุดดำน้ำหรือชุดว่ายน้ำที่คลุมทั้งตัวและสวมถุงมือเมื่อลงเล่นน้ำหรือดำน้ำในบริเวณที่อาจพบแมงกะพรุน โดยหลีกเลี่ยงการหยิบจับซากแมงกะพรุนที่ตายแล้วด้วยมือเปล่า เพราะอาจสัมผัสโดนพิษได้ รวมทั้งระมัดระวังการลงเล่นน้ำทะเลในตอนกลางคืน เพราะเป็นช่วงเวลาที่แมงกะพรุนจะลอยขึ้นมาที่ผิวน้ำ

- ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการปฐมพยาบาลเบื้องต้นเมื่อถูกแมงกะพรุนต่อย และเตรียมชุดยาสำหรับปฐมพยาบาลไปด้วยทุกครั้งที่ไปทะเล

- หากดำน้ำแล้วพบแมงกะพรุนลอยอยู่เหนือศีรษะ ให้ปล่อยลมออกจากถังออกซิเจนสำรอง เพื่อไล่หรือทำให้ฝูงแมงกะพรุนกระจายตัวออกไป

- หลีกเลี่ยงการลงเล่นน้ำในบริเวณที่แมงกะพรุนชุกชุม และไม่สัมผัสกับสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ใต้ทะเล เพราะอาจมีพิษเช่นเดียวกับแมงกะพรุน


https://mgronline.com/greeninnovatio.../9630000084802
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #6  
เก่า 20-08-2020
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default

ขอบคุณข่าวจาก สำนักข่าวไทย


ระดับน้ำทะเลเพิ่มกว่า 10 ซม. ในรอบ 80 ปีเหตุ "น้ำแข็งกรีนแลนด์" ละลาย



โคเปนเฮเกน, 19 ส.ค. ? การคาดการณ์จากผลการศึกษาของทีมนักวิจัยนานาชาติ ซึ่งรวมถึงตัวแทนจากสถาบันอุตุนิยมวิทยาเดนมาร์ก (DMI) ระบุว่าแผ่นน้ำแข็งซึ่งปกคลุมพื้นที่ 3 ใน 4 ของเกาะขนาดใหญ่ที่สุดในโลกอย่างเกาะกรีนแลนด์ (Greenland) กำลังละลายในอัตราที่จะส่งผลให้ระดับน้ำทะเลอาจสูงขึ้น 10-12.5 เซนติเมตร ในช่วงปลายศตวรรษนี้

"หากภาวะโลกร้อนยังคงดำเนินต่อไปอย่างที่เป็นมา นั่นคือสิ่งที่เราเรียกว่าภาพจำลองการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Emission scenario) ระดับสูง อุณหภูมิมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอีก 4.0-6.6 องศาเซลเซียสภายในปี 2100 การเพิ่มขึ้นเช่นนั้นของอุณหภูมิโลกสูงกว่าที่เราคาดการณ์ไว้ในภาพรวมในคาบเวลาเดียวกันอย่างมีนัยสำคัญ สะท้อนว่าพื้นที่แถบขั้วโลกเปราะบางต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศอย่างยิ่ง" รูธ มอตทรัม นักวิจัยด้านสภาพอากาศ ระบุในคำแถลงต่อสื่อมวลชนของสถาบันฯ เมื่อวันอังคาร (18 ส.ค.)

ทีมนักวิจัยใช้เครื่องมือการสร้างแบบจำลองสภาพภูมิอากาศระดับโลกและระดับภูมิภาคที่มีอยู่ล่าสุดในการคำนวณปริมาณการละลายของน้ำแข็งบนแผ่นดินของเกาะกรีนแลนด์ ที่จะส่งผลกระทบต่อระดับน้ำทะเลทั่วโลก ด้วยการตรวจสอบความสัมพันธ์อันไม่แน่นอนระหว่างการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิช่วงฤดูร้อนบนกรีนแลนด์ และความสมดุลของมวลพื้นผิวของน้ำแข็งตลอด 30 ปีที่ผ่านมา

"การวิจัยของเราชี้ให้เห็นว่าเราควรคาดการณ์ว่าระดับน้ำทะเลทั่วโลกจะเพิ่มขึ้น 10-12.5 เซนติเมตรภายในปี 2100 อันเป็นผลลัพธ์โดยตรงจากน้ำแข็งที่ละลายเพิ่มขึ้นและการสูญเสียมวลพื้นผิวของแผ่นน้ำแข็งบนกรีนแลนด์เพียงประการเดียว" มอตทรัมกล่าว

จอห์น แคปเปเลน นักภูมิอากาศวิทยาอาวุโสของสถาบันฯ และสมาชิกทีมวิจัยดังกล่าว ย้ำถึงความสำคัญของการศึกษาครั้งนี้ พร้อมทั้งสนับสนุนการปฏิบัติตามข้อตกลงปารีส (Paris Agreement) ซึ่งเป็นหนทางจำกัดสภาพอากาศที่อุ่นขึ้นของกรีนแลนด์

"เราต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมบางอย่าง หากต้องการจำกัดสภาพอากาศที่อุ่นขึ้นนั้น" แคปเปเลนกล่าว

ทั้งนี้ ผลการวิจัยได้รับการเผยแพร่ผ่านวารสารอินเทอร์เนชันนัล เจอร์นัล ออฟ คลิมาโทโลจี (International Journal of Climatology)

อนึ่ง ข้อตกลงปารีสเป็นข้อตกลงที่ผ่านการเห็นพ้องโดย 195 ประเทศสมาชิก ณ กรุงปารีส เมื่อปี 2015 มีจุดมุ่งหมายลดภาวะโลกร้อน

อย่างไรดี โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศเมื่อเดือนมิถุนายน 2017 ว่าสหรัฐฯ จะถอนตัวจากข้อตกลงดังกล่าว และเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2019 ฝ่ายบริหารของสหรัฐฯ ภายใต้การนำของทรัมป์แจ้งต่อสหประชาชาติ (UN) อย่างเป็นทางการว่าเริ่มกระบวนการถอนตัวจากข้อตกลงปารีสแล้ว ซึ่งจะทำให้สหรัฐฯ เป็นเพียงประเทศเดียวที่ถอนตัวจากข้อตกลงดังกล่าว


https://www.mcot.net/view/5f3cf08ee3f8e40af14877e4

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #7  
เก่า 20-08-2020
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default

ขอบคุณข่าวจาก BBCThai


โควิด-19: ปัญหาขยะทางการแพทย์แก้ไขอย่างไรดี เพื่อรักษาทั้งชีวิตและสิ่งแวดล้อม


ภาพ,REUTERS

เมื่อ แคล เตเวซ (นามสมมติ) ศัลยแพทย์ชาวฟิลิปปินส์ไปร่วมโครงการฝึกงาน 6 เดือนที่โรงพยาบาลในสิงคโปร์ เธอต้องปรับตัวหลายอย่าง

จากที่ทำงานในโรงพยาบาลที่ดูแลคนยากจนในประเทศที่กำลังพัฒนา เธอได้มาอยู่ในโรงพยาบาลที่มีเครื่องไม้เครื่องมือทันสมัยในประเทศที่ร่ำรวยกว่ามาก

แต่สิ่งที่เธอต้องแปลกใจอีกประการหนึ่งคือ โรงพยาบาลแห่งนี้ใช้พลาสติกเป็นจำนวนมหาศาลแค่ไหน

ในห้องผ่าตัด เครื่องมืออย่างเครื่องถ่างแผลพลาสติกต้องกลายเป็นขยะทางการแพทย์เมื่อการผ่าตัดแต่ละครั้งเสร็จสิ้นลง ขณะที่ในฟิลิปปินส์ เธอและเพื่อนแพทย์ต้องนำเครื่องมือเหล่านี้ไปทำความสะอาดฆ่าเชื้อเอากลับมาใช้ใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่า

นี่ทำให้เธอตัดสินใจแอบเก็บเครื่องมือที่ทำจากพลาสติกสำหรับใช้ครั้งเดียวเหล่านี้ไว้โดยได้ความช่วยเหลือจากเพื่อนแพทย์ที่สนับสนุนเธอ ในที่สุด เธอก็เก็บสะสมเครื่องมือเหล่านี้จนใส่เต็มกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ได้

แต่การพูดคุยเรื่องผลกระทบของวงการแพทย์ที่มีต่อสิ่งแวดล้อมมักทำให้เกิดประเด็นถกเถียง เพราะถึงที่สุดแล้ว การช่วยชีวิตคนไข้ตรงหน้าก็สำคัญกว่าข้อกังวลอื่นใด

เตเวซก็เห็นด้วยในเรื่องนี้ ที่เธอเก็บสะสมเครื่องมือจากที่โรงพยาบาลนี้ก็เพื่อไปช่วยเหลือคนไข้ของเธอที่ฟิลิปปินส์เหมือนกัน และหากมองในมุมนี้ การบริหารจัดการเพื่อความยั่งยืนก็เป็นการช่วยเหลือคนไข้เช่นกัน


ที่มาของภาพ,REUTERS

องค์กรการดูแลสุขภาพที่ปราศจากผลอันตราย(Health Care Without Harm) ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงผลกำไร ระบุว่า หากนับระบบสาธารณสุขในประเทศต่าง ๆ เป็นประเทศหนึ่ง ประเทศดังกล่าวจะเป็นประเทศผู้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากเป็นอันดับที่ 5 ของโลก เทียบเท่ากับการปล่อยคาร์บอนของโรงงานผลิตไฟฟ้าจากถ่านหิน 514 แห่ง หรือร้อยละ 4.4 ของการปล่อยคาร์บอนทั้งหมดทั่วโลก


ราคาของของเสีย

ปัญหาสำคัญเรื่องขยะทางการแพทย์คือ แพทย์ที่ทำงานแผนกฉุกเฉินมองว่าการรักษาคนไข้และการเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเป็นสิ่งที่ไปด้วยกันไม่ได้ ต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง

ดูอุปกรณ์ที่ทำจากพลาสติกสำหรับใช้ครั้งเดียวเป็นตัวอย่าง เจ้าหน้าที่สาธารณสุขมองว่าอุปกรณ์ลักษณะนี้สำคัญเพราะช่วยลดโอกาสการแพร่ระบาดของโรค และโควิด-19 ก็เป็นตัวอย่างที่ดีเยี่ยมในเรื่องนี้

อย่างไรก็ดี มีขยะทางการแพทย์ 15% เท่านั้นที่เป็น "ขยะอันตราย" ที่อาจทำให้เชื้อแพร่ระบาด เป็นพิษ หรือปนเปื้อนสารกัมมันตรังสี ขยะทางการแพทย์อีก 85% ไม่ต่างจากขยะตามครัวเรือนทั่วไป


ที่มาของภาพ,REUTERS


แล้วหากดูเรื่องต้นทุนล่ะ ?

มองกันว่าการใช้อุปกรณ์ที่ใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้งใช้ต้นทุนต่ำกว่า ส่วนอุปกรณ์ที่นำกลับมาใช้ใหม่ต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษเพื่อป้องกันการติดเชื้อและการเสื่อมสภาพ

แต่ในระยะยาวแล้ว การใช้เครื่องมืออุปกรณ์แล้วเปลี่ยนใหม่ต้องใช้ต้นทุนสูงกว่า

ทีมศัลยแพทย์ด้านประสาทที่โรงพยาบาลในแคนาดาแห่งหนึ่งสามารถลดต้นทุนได้ 5.7 แสนดอลลาร์สหรัฐฯ หรือคิดเป็น 30% เมื่อใช้อุปกรณ์ที่ใช้ได้ครั้งเดียวน้อยลง

ถุงมือพลาสติกเป็นอีกตัวอย่างหนึ่ง โซเนีย รอสช์นิค อดีตผู้อำนวยการหน่วยเพื่อพัฒนาความยั่งยืนของสำนักงานบริการสุขภาพแห่งชาติ (NHS) ของอังกฤษ เล่าว่า เมื่อพยาบาลที่โรงพยาบาลเกรต ออร์มอนด์ สตรีท (Great Ormond Street) ในกรุงลอนดอนถูกเตือนว่าพวกเขาไม่จำเป็นต้องใส่ถุงมือเวลาเปลี่ยนที่นอนคนไข้หรือว่าอาบน้ำให้เด็กทารก แต่สามารถล้างมือเอาก็ได้ โรงพยาบาลสามารถประหยัดเงินได้ถึง 1.2 แสนดอลลาร์สหรัฐฯ ไม่ต้องใช้พลาสติกที่มีน้ำหนักรวมถึง 21 ตัน

ในปี 2018 แบบสำรวจที่ทำขึ้นที่ มาโย คลินิก (Mayo Clinic) ศูนย์แพทย์ไม่แสวงหาผลกำไร 4 แห่งทั่วสหรัฐฯ พบว่า

- อุปกรณ์ที่ทำจากพลาสติกที่ใช้เพียงครั้งเดียวคิดเป็น 20% ของขยะทางการแพทย์ทั้งหมด
- 57% ของผู้ที่ตอบแบบสำรวจไม่ทราบว่าอุปกรณ์ในห้องผ่าตัดชิ้นไหนสามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้
- 39% ของผู้ที่ตอบแบบสำรวจบอกว่าเคยนำอุปกรณ์เก่ากลับมาใช้ใหม่บางครั้งหรือไม่เคยเลย
- 39% ของผู้ที่ตอบแบบสำรวจไม่มีความรู้เรื่องการรีไซเคิล

โจดี เชอร์แมน รองศาสตราจารย์ด้านวิสัญญีวิทยาจากวิทยาลัยแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเยล และเพื่อนร่วมวิจัยของเธอบอกว่า เกณฑ์วัดผลความสำเร็จหรือล้มเหลวของระบบสาธารณสุขตามธรรมเนียมยังไม่ได้รวมเรื่องขยะทางการแพทย์เข้ามาเป็นปัจจัยหนึ่งด้วย

โซเนีย รอสช์นิค ซึ่งตอนนี้มาเป็นผู้อำนวยการด้านนโยบายด้านสภาพภูมิอากาศขององค์กรการดูแลสุขภาพที่ปราศจากผลอันตราย บอกว่า วิกฤตโควิด-19 อาจเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงใหญ่ "เพราะคนอาจตระหนักว่าการทำให้สิ่งแวดล้อมแย่ลง คนเรายิ่งต้องเผชิญกับโรคภัยประเภทนี้มากขึ้นเรื่อย ๆ"


"สุขภาพ" ของสภาพภูมิอากาศ

นอกจากนี้ การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกก็ช่วยประหยัดต้นทุนให้กับภาคสาธารณสุขได้ด้วย

ในสหรัฐฯ ศูนย์แพทย์บอสตัน (Boston Medical Center) ซื้อกระแสไฟฟ้าจากโรงงานผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ และสามารถลดต้นทุนได้ถึง 25 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

ศูนย์แพทย์คลีฟแลนด์คลินิก (Cleveland Clinic) ลงทุนสร้างอาคารที่ได้รับใบรับรองระดับสากลว่าช่วยประหยัดพลังงานได้ เป็นผลให้ลดการใช้พลังงานได้ถึง 19% ซึ่งเท่ากับประหยัดเงินไป 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ


ที่มาของภาพ,REUTERS

นอกจากนี้ โรงพยาบาลหลายแห่งก็ยังเริ่มคิดวิธีที่จะลด "คาร์บอนฟุตพรินต์" หรือ ปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยออกมาจากกระบวนการจัดหาอาหาร ยกตัวอย่างเช่น ศูนย์แพทย์มหาวิทยาลัยวอชิงตัน (The University of Washington Medical Center) ที่หันไปร่วมมือกับสหภาพชาวไร่ในท้องถิ่นในการจัดหาอาหารให้กับคนไข้

นอกจากก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์แล้ว วงการแพทย์ยังต้องพึ่งก๊าซเรือนกระจกอื่น ๆ เช่น แก๊สยาสลบอย่าง เดสฟลูเรน, ซีโวฟูแรนซ์ และไนตรัสออกไซด์ อีกด้วย

เพียง 5% ของแก๊สเหล่านี้จะเข้าไปอยู่ในระบบร่างกายคนไข้ขณะผ่าตัด ส่วนที่เหลือจะกลายเป็นขยะทางการแพทย์

แก๊สที่มีสารประกอบอินทรีย์ของธาตุฮาโลเจนเหล่านี้มีศักยภาพทำให้เกิดสภาวะโลกร้อนมากกว่าคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 2,000 เท่า และนักวิจัยเริ่มเสนอแล้วว่าควรเริ่มใช้เทคโนโลยีในการจับและเก็บแก๊สเหล่านี้ไว้ในกระป๋องแทนที่จะปล่อยให้เป็นขยะทางการแพทย์

ความพยายามของแคล เตเวซ ที่โรงพยาบาลในสิงคโปร์ได้แสดงให้เห็นแล้วว่า การดูแลรักษาคนไข้อย่างดีที่สุดและความคิดเรื่องความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อมไปด้วยกันได้ และในสถานการณ์ที่ดูเหมือนทั้งสองจะไปด้วยกันไม่ได้ เราสามารถออกแบบระบบการรักษาในโรงพยาบาลเสียใหม่ทำให้คนเราไม่ต้องเลือกระหว่างการรักษาชีวิตคนไข้กับการรักษาสิ่งแวดล้อม

เมื่อพิจารณาว่ามลพิษทางอากาศ การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ และขยะพลาสติก สามารถส่งผลเสียต่อสุขภาพคนเราได้แค่ไหน จริง ๆ แล้วการปฏิรูประบบการแพทย์อาจเป็นโอกาสที่เราจะช่วยชีวิตคนได้อีกมากมาย


https://www.bbc.com/thai/international-53828652
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #8  
เก่า 20-08-2020
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default

ขอบคุณข่าวจาก Greennews


นโยบายปิดอุทยานแนวทางใหม่พักฟื้นระบบนิเวศเป็นเรื่องที่ดี แต่บทบาทนักท่องเที่ยวไม่ควรถูกมองข้าม

จากเวทีเสวนาออนไลน์ของผู้บริหารงานอุทยานแห่งชาติกับผู้ใช้บริการอย่างช่างภาพ ให้ความเห็นในประเด็นของนโยบายปิดอุทยานทั้งสองมิติว่า การปิดอุทยานสร้างผลดีระบบนิเวศได้พักฟื้น กับบทบาทของนักท่องเที่ยวดูแลระบบนิเวศที่สำคัญควรถูกนำพิจารณากับนโยบาย

เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2563 รองอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช จงคล้าย วรพงศธร เผยการจัดการท่องเที่ยวโดยใช้การจำกัดจำนวนนักท่องเที่ยวโดยผ่านแพลตฟอร์ม Application QueQ หลังเกิดเหตุการณ์ COVID-19 เห็นถึงธรรมชาติได้ถูกพักฟื้น เพื่อพัฒนาแนวทางการท่องเที่ยวเชิงระบบนิเวศของอุทยานแห่งชาติ และ นัท สุมนเตมีย์ ได้ให้ข้อสังเกตถึงบทบาทที่สำคัญของนักท่องเที่ยวในการดูแลทรัพยากรธรรมชาติ อธิบายผ่านเสวนาออนไลน์?ปิดอุทยาน: เหรียญสองด้านที่ควรพิจารณา?กับสำนักข่าวสิ่งแวดล้อม


เจ้าหน้าที่วัดอุณหภูมิและให้สแกน QR Code ก่อนเข้าอุทยาน / สำนักข่าวสิ่งแวดล้อม / ณิชา เวชพานิช

สืบเนื่องเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ.2563 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม วราวุธ ศิลปอาชา เผยบนเพจเฟซบุ๊กถึงแนวคิดปิดอุทยานแห่งชาติ 133 แห่งทั่วไทย ไม่ต่ำกว่า 3 เดือนทุกปีเพื่อให้ธรรมชาติได้พักฟื้น จงคล้าย วรพงศธร อธิบายว่า สถานการณ์ช่วง COVID-19 เล็งเห็นถึงทรัพยากรธรรมชาติฟื้นฟูหลังจากการปิดบริการให้นักท่องเที่ยวที่ผ่านมา ซึ่งอยู่ในช่วงระหว่างปรึกษาเข้ากรรมการที่ปรึกษาอุทยาน เพื่อหาช่วงเวลาที่เหมาะสมในแต่ละอุทยานตามศักยภาพแต่ละพื้นที่ ช่วงเวลาพักฟื้นจะไม่เหมือนกันบางพื้นที่ 3 เดือน หรือ 2 เดือนบางแห่ง และนำมาปรึกษาคนในท้องที่เห็นด้วยหรือไม่ เพื่อหาแนวทางร่วมกันนำมาประกาศใช้

การปรับเปลี่ยนการท่องเที่ยวเพื่อให้มีผลกระทบระบบนิเวศให้น้อยที่สุด โดยมีการใช้แอพพลิเคชั่น QueQ เพื่อจำกัดจำนวนคนเข้าเที่ยวอุทยาน โดยทำการจองเข้าใช้บริการผ่านทางแอพพลิเคชั่นในการจำกัดจำนวนนักท่องเที่ยว เพื่อรับนักท่องเที่ยวได้ตามศักยภาพแหล่งท่องเที่ยวที่จะรับได้ ช่วงที่ผ่านมามีนักท่องเที่ยวจองแอพพลิเคชั่นเข้ามาท่องเที่ยวมากถึง 2 แสนกว่าคนอันดับหนึ่ง อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ อันดับรอง อุทยานแห่งชาติป่าหินงาม และ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโตนงาช้าง ส่วนนักท่องเที่ยวมีบทบาทเข้ามาส่วนช่วยการดูแลทรัพยากรธรรมชาติ ทำให้นักล่าสัตว์เข้ามาพื้นที่ลดลง จงคล้าย วรพงศธร อธิบาย

ส่วนทางด้าน นัท สุมนเตมีย์ ช่างภาพใต้น้ำ และสัตว์ป่า อธิบายว่าตน ไม่มีความคิดเห็นขัดแย้งอย่างไรในนโยบายปิดอุทยาน แต่เห็นด้วยกับการจำกัดจำนวนผู้เข้าร่วมนั้นเป็นเรื่องสำคัญ ส่วนการปิดอุทยานทางทะเลมองว่า แทนที่จะกลายเป็นการฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติดี อย่างสัตว์น้ำ ปลา จากที่ตนได้รับข่าวสารจากเพื่อน พบว่าจุดดำน้ำหลายจุดที่ไม่มีนักท่องเที่ยวเดินทางเลย กลับพบเครื่องมือทำการประมงขนาดใหญ่ไม่ว่าจะเป็น อวน หรือ ลอบ ในมุมหนึ่ง นักท่องเที่ยวเองก็เป็นผู้ช่วย เพราะว่าเมื่อมีนักท่องเที่ยวเข้ามาเรือประมงก็ไม่กล้าเข้ามาใช้พื้นที่ซับซ้อน นักท่องเที่ยวเป็นหูเป็นตาให้กับกรมอุทยานได้เช่นกัน

นัท สุมนเตมีย์ ได้เสนอแนะการท่องเที่ยวอุทยาน การสื่อความหมายทางธรรมชาติ เดินทางไปอุทยานแห่งชาติ เพื่อเรียนรู้แหล่งท่องเที่ยว ยกตัวอย่างการท่องเที่ยวต่างประเทศ ที่มีรูปแบบกิจกรรมโดยมีเจ้าหน้าที่เป็นคนนำ อย่างทัวร์ถ่ายภาพ นักท่องเที่ยวพาไปที่จุดถ่ายภาพ ทัวร์ในพื้นที่ การนำการท่องเที่ยวหลายแหล่งท่องเที่ยว ในหลายๆครั้งนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ไม่รู้ข้อควรปฎิบัติในการศึกษาธรรมชาติ ซึ่งเสี่ยงส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศในภายหลัง

ต่อไปการท่องเที่ยวของอุทยานจะเริ่มเน้นการท่องเที่ยวเชิงระบบนิเวศเพิ่มมากขึ้น รับนักท่องเที่ยวโดยผ่านแอพพลิเคชั่น QueQ เพื่อจำกัดจำนวนนักท่องเที่ยว และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มเส้นทางการเรียนรู้ธรรมชาติและเน้นให้คนในพื้นที่เป็นมัคคุเทศก์นำศึกษาธรรมชาติ อุทยานยังคงให้ความสำคัญในศูนย์บริการนักท่องเที่ยวเพื่อสร้างความเข้าใจของนักท่องเที่ยวในการใช้บริการ


https://greennews.agency/?p=21655

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
ตอบ


กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 09:50


vBulletin รุ่น 3.8.10
สงวนลิขสิทธิ์ ©2000-2024, บริษัท Jelsoft Enterprises จำกัด
Ad Management plugin by RedTyger