#1
|
||||
|
||||
สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันอังคารที่ 15 กันยายน 2563
ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา
สภาวะอากาศทั่วไป ร่องมรสุมพาดผ่านภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ในขณะที่มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ยังคงพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย ทำให้ประเทศไทยยังคงมีฝนฟ้าคะนองในระยะนี้ กับมีฝนตกหนักบางแห่งในภาคตะวันออก และภาคใต้ ขอให้ประชาชนบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสมไว้ด้วย สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันมีกำลังปานกลาง โดยทะเลอันดามันบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร ขอให้ชาวเรือเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง เรือเล็กบริเวณทะเลอันดามันควรงดออกจากฝั่งช่วงที่มีฝนฟ้าคะนองในระยะนี้ กรุงเทพมหานครและปริมณฑล เมฆเป็นส่วนมาก กับมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 60 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 25-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-35 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-25 กม./ชม. คาดหมาย ในช่วงวันที่ 14 - 15 ก.ย. 63 มรสุมตะวันตกเฉียงใต้พัดปกคลุมทะเลอันดามัน และประเทศไทย ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยมีฝนตกหนักบางแห่งในภาคตะวันออกและภาคใต้ ส่วนคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากว่า 3 เมตร ส่วนในช่วงวันที่ 16 - 17 ก.ย. 63 มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคใต้ และอ่าวไทยจะมีกำลังแรงขึ้น ทำให้ภาคตะวันออกและภาคใต้ยังคงมีฝนตกหนักบางแห่ง ทั้งนี้เนื่องจากหย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรงบริเวณมหาสมุทรแปซิฟิกจะเคลื่อนผ่านประเทศฟิลิปปินส์ลงสู่ทะเลจีนใต้ตอนกลาง และคาดว่าจะทวีกำลังแรงขึ้นเป็นพายุดีเปรสชันในระยะต่อไป โดยในช่วงวันที่ 18 ? 20 ก.ย. จะเคลื่อนตัวเข้าใกล้อ่าวตังเกี๋ยและชายฝั่งประเทศเวียดนามตอนบน ส่งผลทำให้บริเวณประเทศไทยตอนบนมีฝนเพิ่มมากขึ้นและมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามัน และอ่าวไทยมีกำลังค่อนข้างแรง โดยทะเลอันดามันมีคลื่นสูง 2-3 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูง 3-5 เมตร และอ่าวไทยคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร ข้อควรระวัง ในช่วงวันที่ 18 ? 20 ก.ย. 63 ขอให้ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัยบริเวณภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก และภาคใต้ ระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมากและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลากไว้ด้วย สำหรับชาวเรือบริเวณทะเลอันดามันควรงดการเดินเรือในช่วงที่มีฝนฟ้าคะนอง ตลอดช่วง
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#2
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการออนไลน์
ดีเดย์ 1 ต.ค.นี้ เปิดจุดชมวิว 360 องศา แลนด์มาร์กแห่งใหม่ของ จ.กระบี่ กระบี่ - อุทยานแห่งชาติธารโบกขรณี ผุดแลนด์มาร์กแห่งใหม่ จ.กระบี่ จุดชมวิว 360 องศา ดีเดย์ 1 ตุลาคมนี้ บนยอดเขาภายในหมู่เกาะห้อง คนชอบเที่ยวต้องไม่พลาดจุดเช็กอินวิวหลักพันล้าน ห้ามพลาดกับจุดชมวิวแห่งใหม่ของเกาะห้อง ภายในเขตอุทยานแห่งชาติธารโบกขรณี จ.กระบี่ ซึ่งกำลังจะเปิดให้นักท่องเที่ยว และคนไทยเข้าไปชมได้ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.นี้เป็นต้นไป สำหรับจุดชมวิวดังกล่าวนับเป็นแลนด์มาร์กแห่งใหม่ของจังหวัดกระบี่ ที่ทางอุทยานฯ ได้จัดสร้างขึ้นบนยอดเขาสำหรับขึ้นไปชมวิวแบบ 360 องศา ซึ่งจะเห็นบรรยากาศของหมู่เกาะต่างๆ ทั้งเกาะพีพี เกาะยาว และหมู่เกาะห้องที่สลับไปมา มองเห็นแล้วตื่นตาตื่นใจกับความสวยงามเกินที่จะบรรยาย นายฑีฆาวุฒิ ศรีบุรินทร์ หัวหน้าอุทยานแห่งชาติธารโบกขรณี เปิดเผยว่า ในปีงบประมาณ 2562 ทางอุทยานฯ ได้งบประมาณจากสำนักงานบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 5 จำนวน 2 แห่ง ซึ่งเป็นการก่อสร้างเส้นทางศึกษาธรรมชาติ อาคารศูนย์บริการนักท่องเที่ยว ห้องน้ำ ห้องสุขารวมชายหญิง งบประมาณ 9,700,000 บาท ให้ดำเนินการก่อสร้างจุดชมวิว 360 องศา บนยอดเขาของเกาะห้อง ซึ่งมีความสูงจากระดับน้ำทะเล 109 เมตร ระยะทาง 239 เมตร บันได 419 ขั้น โดยจะก่อสร้างเป็นเส้นทางขึ้นเขา และลานชมวิวบนยอดเขา เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสมุมมองของหมู่เกาะห้อง ที่มีเกาะบริวารน้อยใหญ่กว่า 50 เกาะ โดยจุดดังกล่าวจะมองเห็นไปถึงเกาะยาว จ.พังงา ตลอดเส้นทางขึ้นจุดชมวิว ก็จะมีพันธุ์ไม้นานาชนิดให้นักท่องเที่ยวได้ชมระหว่างการเดิน โดยทางอุทยานฯ คาดว่าจุดชมวิวแห่งนี้ เมื่อสร้างเสร็จตามกำหนดจะกลายเป็นแลนด์มาร์กแห่งใหม่ของ จ.กระบี่ ที่นักท่องเที่ยวทุกคนไม่ควรพลาดการเข้าชม นายฑีฆาวุฒิ เปิดเผยอีกว่า เส้นทางเดินเท้าขึ้นจุดชมวิว 360 องศา ทั้งหมดมี 6 ลานพัก หรือจุดพักเหนื่อย A-F โดยเฉพาะลาน A ลานแรกมีความสูงจากพื้นดิน 60 เมตร นอกจากเป็นที่พักแล้วยังเป็นจุดไว้หลบภัยสึนามิ โดยมุมมองทั้ง 4 ทิศ ทางทิศเหนือสามารถมองเห็นถึง 13 เกาะ เช่น เกาะเหลากา เกาะปากกะ เกาะยะลาอูตัง เกาะเหลาลาดิง เกาะเหลาเหรียม เกาะผักเบี้ย เป็นต้น แต่ที่พิเศษ คือ เกาะเหลาลาดิง เกาะผักเบี้ย จะมีหาดทรายสามารถเดินเล่นทำกิจกรรมได้ นอกจากนี้ มองสุดสายตาไกลออกไป สามารถมองเห็นยอดเจดีย์วัดแหลมสัก อ.อ่าวลึก จ.กระบี่ ด้านทิศตะวันตก มองเห็นเกาะยาวน้อย ด้านทิศใต้ เกาะยาวใหญ่ เกาะพีพี เกาะเหลาหัง ตะวันวันออก หงอนนาค เกาะปอดะ เกาะไก่ เกาะปอดะ หาดทับแขก อ่าวท่าเลน เป็นต้น ทั้งนี้ จุดชมวิวที่เกาะห้องนั้นมีความสวยงามอย่างมาก เมื่อขึ้นไปจะเห็นวิวของทะเลกระบี่ได้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะยามเช้าที่พระอาทิตย์ขึ้นหรือยามเย็นที่พระอาทิตย์ตกดินหลังเกาะยาว จ.พังงา โดยจุดชมวิวแห่งนี้จะเปิดให้เข้าชมในวันที่ 1 ตุลาคมนี้สภาพพื้นที่ของเกาะห้อง ซึ่งดูแลโดยหน่วยงานอุทยานแห่งชาติธารโบกขรณี จ.กระบี่ มีการวางระบบควบคุม ดูแลความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวไว้พร้อม รวมถึงสภาพความสวยงามตามธรรมชาติของพื้นที่แห่งนี้ จึงกลายเป็นหนึ่งในจุดท่องเที่ยวที่ทุกคนต้องห้ามพลาดหากมาเที่ยว จ.กระบี่ โดยกิจกรรมที่นักท่องเที่ยวนิยมมากสุดคือ ลงเล่นน้ำทะเลที่ใสสะอาด เป็นสีเขียวมรกต รวมทั้งพักผ่อนหย่อนใจตามริมชายหาด บางส่วนก็นิยมเช่าเรือแคนู พายชมความงามรอบเกาะ https://mgronline.com/south/detail/9630000091923
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#3
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก PPTV
ครั้งแรกในออสเตรเลีย วาฬหลังค่อมเลี้ยวผิด เข้าถิ่นจระเข้น้ำเค็ม ผู้เชี่ยวชาญออสเตรเลียงง พบวาฬหลังค่อมในเขตจระเข้น้ำเค็มของอุทยานแห่งชาติ คาด "เลี้ยวผิด" เร่งหาทางช่วยเหลือ กลายเป็นเรื่องที่ชวนให้ชาวออสเตรเลียทั้งประเทศต้องประหลาดใจ เพราะเมื่อสัปดาห์ก่อน มีนักท่องเที่ยวอุทยานแห่งชาติคาคาดู ซึ่งเป็นอุทยานแห่งชาติที่ใหญ่ที่สุดของออสเตรเลียและเป็นแหล่งมรดกโลก พบเห็นวาฬหลังค่อม (Humpback Whale) ขณะพายเรือล่องแม่น้ำอีสต์อัลลิเกเตอร์ (East Alligator River) แหล่งที่อยู่ของจระเข้น้ำเค็มในพื้นที่อุทยาน ภาพวาฬหลังค่อมที่ว่ายไปตามแนวแม่น้ำที่เต็มไปด้วยโคลนและอยู่ห่างจากแหล่งน้ำทำให้ผู้พบเห็นประหลาดใจ แคโรล พาลเมอร์ (Carole Palmer) นักวิทยาศาสตร์ระบบนิเวศทางทะเลของรัฐบาลนอร์ธเทอริทอรี (North Territory) กล่าวว่า "มันเป็นสิ่งที่ไม่เคยมีการบันทึกมาก่อน ไม่ใช่แค่ในพื้นที่ทางเหนือ แม้แต่ในประวัติศาสตร์ออสเตรเลียมันก็แปลกมากจริง ๆ" พาลเมอร์ยังเสริมว่า เป็นครั้งแรกที่มีวาฬหลงเข้ามาในถิ่นอาศัยของจระเข้น้ำเค็ม ลึกเข้ามาในแผ่นดินกว่า 30 กิโลเมตร เธอเชื่อว่า วาฬหลังค่อมกลุ่มนี้กำลังอพยพตามฤดูกาล แต่พวกมันบางตัวอาจ "เลี้ยวผิด" พาลเมอร์เชื่อว่า ฝูงวาฬกำลังมุ่งหน้าลงใต้ไปยังแอนตาร์กติกา หลังอพยพมายังน่านน้ำที่อุ่นกว่านอกออสเตรเลียในช่วงฤดูใบไม้ผลิเพื่อคลอดลูก ก่อนที่จะมุ่งหน้ากลับไปที่แอนตาร์กติกาเพื่อหาอาหาร แต่ระหว่างทางพวกมันพลักหลงเข้าปากแม่น้ำไปโดยไม่ได้ตั้งใจ และพวกมันก็ว่ายลึกเข้าไปในแม่น้ำ ครั้งแรกในออสเตรเลีย วาฬหลังค่อมเลี้ยวผิด เข้าถิ่นจระเข้น้ำเค็ม เบื้องต้นทางการยังไม่ทราบจำนวนที่แน่ชัดของวาฬที่หลงเข้ามาในแม่น้ำ ต่อมามีวาฬหลังค่อม 2 ตัวสามารถว่ายน้ำออกจากแม่น้ำได้ แต่เป็นการยากที่จะระบุว่ามีวาฬหลังค่อมกี่ตัวที่ต้องการความช่วยเหลือ เพราะน้ำในแม่น้ำมีสีน้ำตาลขุ่น เบื้องต้นคาดว่ายังเหลืออีกอย่างน้อย 1 ตัวที่ยังติดอยู่ในแม่น้ำ ทั้งนี้ ด้วยขนาดตัวประมาณ 16 เมตร ผู้เชี่ยวชาญวิเคราะห์ว่า วาฬหลังค่อมไม่น่าจะถูกรบกวนหรือเกิดการเผชิญหน้ากับจระเข้ในพื้นที่ แต่ความเสี่ยงก็อาจเพิ่มขึ้นหากวาฬว่ายไปติดอยู่ในบริเวณน้ำตื้น "วาฬจะกลายเป็นอาหารที่ง่ายที่สุดสำหรับพวกมัน เพราะไม่มีทางที่เราจะยกวาฬหลังค่อมขนาด 12-16 เมตรขึ้นจากสันทรายได้ทันเวลา และนั่นอาจเป็นช่วงเวลาที่จระเข้จะลงมือ" พาลเมอร์กล่าว ขณะนี้ทางการได้ปิดเส้นทางล่องเรือดังกล่าวบางส่วน และภาวนาว่าวาฬจะจากไปได้ด้วยตัวเอง แต่มันยังคงอยู่ในบริเวณแม่น้ำที่อยู่ห่างจากทะเลประมาณ 20 กิโลเมตร พาลเมอร์กล่าวว่า เจ้าหน้าที่กำลังพิจารณาทางเลือกหลายทางในการล่อมันออกสู่มหาสมุทร เช่น การใช้เสียงรบกวนจากเรือ หรือการบันทึกเสียงเรียกของวาฬหลังค่อมด้วยกัน "มันเป็นเรื่องยุ่งยาก แต่ทุกคนพยายามหาวิธีที่ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้" เธอกล่าว https://www.pptvhd36.com/news/%E0%B8...0%B8%99/133164
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#4
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก BBCThai
โลกร้อน : โลกเข้าใกล้ภาวะเรือนกระจกสุดร้อนแรงเหมือนเมื่อ 50 ล้านปีก่อน สภาพภูมิอากาศโลกกำลังเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่เลวร้ายลงทุกขณะ โดยผลวิจัยล่าสุดพบว่า มีแนวโน้มที่ระดับอุณหภูมิเฉลี่ยจะพุ่งขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบ 50 ล้านปีเป็นครั้งแรก ภายในช่วงเวลาอีกไม่กี่ร้อยปีข้างหน้า สภาพการณ์ดังกล่าวไม่เคยปรากฏให้เห็นมาก่อน นับแต่ช่วง 10 ล้านปีหลังเหตุการณ์อุกกาบาตยักษ์พุ่งชนโลก ซึ่งทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศอย่างรุนแรงจนไดโนเสาร์ต้องสูญพันธุ์ไป ทีมนักวิทยาศาสตร์นานาชาติจากสหรัฐฯ และหลายชาติในยุโรป ตีพิมพ์ผลการศึกษาดังกล่าวในวารสาร Science โดยระบุว่าได้วิเคราะห์องค์ประกอบทางเคมีจากฟอสซิลของแพลงก์ตอนชนิดหนึ่ง ซึ่งขุดได้จากชั้นดินที่ก้นทะเลลึกหลายแห่ง โดยสัดส่วนระหว่างไอโซโทปของออกซิเจนกับธาตุอื่น ๆ ในเปลือกแข็งของแพลงก์ตอน จะช่วยบอกได้ว่าโลกในอดีตแต่ละยุคสมัยมีอุณหภูมิและปริมาณคาร์บอนในชั้นบรรยากาศเป็นอย่างไร ผลวิเคราะห์ดังกล่าวชี้ให้เห็นข้อมูลการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เกิดขึ้นตลอดช่วงมหายุคซีโนโซอิก (Cenozoic) หรือตั้งแต่ 67 ล้านปีที่แล้วมาจนถึงปัจจุบัน โดยโลกได้ผ่านการเปลี่ยนแปลงจากภาวะเรือนกระจกที่ร้อนแรง (Hothouse) มาสู่สภาพภูมิอากาศอบอุ่น (Warmhouse) และหนาวเย็น (Coldhouse) จนมาสู่ยุคน้ำแข็ง (Icehouse) ในช่วงหลายพันปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน แต่ล่าสุดโลกกำลังเปลี่ยนผ่านไปสู่ภาวะ Hothouse อีกครั้ง หลังเผชิญกับอุณหภูมิที่พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วจากฝีมือมนุษย์ ข้อมูลการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เกิดขึ้นตั้งแต่ 67 ล้านปีที่แล้วมาจนถึงปัจจุบัน รวมทั้งการคาดการณ์ในอนาคต ... ที่มาของภาพ,WESTERHOLD ET AL. / CENOGRID ข้อมูลจากแนวโน้มดังกล่าวทำให้นักวิทยาศาสตร์คาดการณ์ได้ว่า ในปี 2300 โลกอาจมีอุณหภูมิพื้นผิวโดยเฉลี่ยสูงกว่าในยุคปัจจุบันอย่างมาก ซึ่งก็คือสูงกว่าค่าเฉลี่ยที่คิดจากข้อมูลปี 1960-1991 ถึง 16 องศาเซลเซียส นับว่าไม่ต่างจากสภาพการณ์แบบ Hothouse เมื่อราว 50 ล้านปีก่อน ซึ่งเกิดจากการปล่อยคาร์บอนและก๊าซเรือนกระจกสู่ชั้นบรรยากาศในปริมาณมหาศาลเช่นกัน ศาสตราจารย์เจมส์ ซาคอส หนึ่งในสมาชิกทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย วิทยาเขตซานตาครูซ (UCSC) ของสหรัฐฯ บอกว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เกิดขึ้นจากน้ำมือของมนุษย์นั้น สามารถจะส่งผลกระทบได้อย่างรุนแรงและรวดเร็วยิ่งกว่าสภาพการณ์ที่คณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (IPCC) ของสหประชาชาติ ได้เคยคาดการณ์เอาไว้มาก "น่าห่วงว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จะไม่ได้เกิดขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปเหมือนในอดีตซึ่งใช้เวลาหลายล้านปี แต่จะเกิดขึ้นภายในเวลาเพียงไม่กี่ศตวรรษข้างหน้า" ศ. ซาคอสกล่าว https://www.bbc.com/thai/international-54145979
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
|