#1
|
||||
|
||||
สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันอังคารที่ 22 กันยายน 2563
ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา
สภาวะอากาศทั่วไป ร่องมรสุมพาดผ่านภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน เข้าสู่หย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณอ่าวตังเกี๋ย ในขณะที่มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทยเริ่มมีกำลังอ่อนลง ทำให้ประเทศไทยมีฝนลดลง สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยมีกำลังปานกลาง โดยทะเลอันดามันมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองมีคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ขอให้ชาวเรือเพิ่มความระมัดระวังในการเดินเรือบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง กรุงเทพมหานครและปริมณฑล เมฆเป็นส่วนมาก กับมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 30 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 26-27 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-34 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-25 กม./ชม. คาดหมาย ในช่วงวันที่ 21 - 22 กันยายน 2563 ร่องมรสุมพาดผ่านภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน เข้าสู่หย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณทะเลจีนใต้ ในขณะที่มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทยมีกำลังอ่อนลง ทำให้ประเทศไทยมีฝนลดลง สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามัน และอ่าวไทยมีกำลังอ่อนลง ส่วนในช่วงวันที่ 23 - 27 กันยายน 2563 ร่องมรสุมพาดผ่านภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เข้าสู่หย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณทะเลจีนใต้ สำหรับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ยังคงพัดปกคลุมทะเลอันดามัน และประเทศไทยจะมีกำลังค่อนข้างแรง ในขณะที่มีลมตะวันออกเฉียงใต้พัดปกคลุมอ่าวไทย ภาคตะวันออก และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ทำให้ประเทศไทยมีฝนเพิ่มขึ้น และมีฝนตกหนักบางแห่ง สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามัน และอ่าวไทยจะมีกำลังแรงขึ้น โดยทะเลอันดามันมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ส่วนบริเวณอ่าวไทยคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร ข้อควรระวัง ในช่วงวันที่ 23 - 27 ก.ย. 63 ขอให้ประชาชนบริเวณพื้นที่เสี่ยงภัยของภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก และภาคใต้ระวังอันตรายฝนตกหนักไว้ด้วย ส่วนชาวเรือควรเดินเรือด้วยความระมัดระวังในบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#2
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก ไทยรัฐ
โพลชี้ชาวโลกตระหนักปัญหาโลกร้อนเป็นภัย แต่ไม่คิดรีบแก้ไข ผลสำรวจพบว่า ประชากรโลกส่วนใหญ่มีความตระหนักถึงภัยคุกคามจากความเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ แต่ส่วนใหญ่ไม่ได้คิดว่าเป็นประเด็นเร่งด่วน ที่ต้องรีบลงมือแก้ไข เมื่อวันที่ 21 ก.ย. เว็บไซต์ข่าว BBC รายงานอ้างผลสำรวจของสำนักโพล "โกลบสแกน" (Globescan) ที่ระบุว่า ประชากรทั่วโลกมากขึ้นถึง 90% มีความวิตกกังวลอย่างมาก หรือค่อนข้างวิตกกังวลอย่างมาก ต่อปัญหาความเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ แม้ว่าจะยังอยู่ในช่วงปัญหาการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และปัญหาเศรษฐกิจถดถอย แต่อย่างไรก็ตามพบว่า ประชากรที่เห็นว่าปัญหานี้มีความสำคัญ แต่กลับยังมีความคิดเห็นแตกต่างกันเกี่ยวกับความเร่งด่วนในการลงมือแก้ปัญหา โดยประชากรส่วนใหญ่ในกลุ่มประเทศยากจน ต่างเห็นพ้องถึงความสำคัญในการแก้ปัญหาสภาพอากาศเปลี่ยนอย่างเร่งด่วน ในระดับเดียวกับความเร่งด่วนในการแก้ปัญหาวิกฤติโควิด-19 แต่ในกลุ่มประเทศร่ำรวย การสนับสนุนให้แก้ปัญหาโลกร้อนอย่างเร่งด่วนยังไม่มากเท่าที่ควร โกลบสแกน ทำการสำรวจออนไลน์ทั่วโลก จากตัวอย่าง 1,000 คนในแต่ละ 27 ประเทศ ในช่วงเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา พบว่าในหลายประเทศอย่างแคนาดา ฝรั่งเศส อินเดีย เคนยา ไนจีเรีย และสหรัฐฯ ประชาชนตระหนักถึงภัยคุกคามของปัญหาโลกร้อนมากขึ้น โดยเฉพาะที่สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นมาเป็น 80% จาก 60% ในการสำรวจเมื่อปี 2557 และที่อินเดียเพิ่มมาเป็น 93% จาก 70% ในการสำรวจเมื่อปีที่แล้ว เอริค วาน เจ้าหน้าที่โกลบสแกนเปิดเผยว่า โควิด-19 ทำให้ประชากรโลกตระหนักถึงภัยคุกคามจากการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกมากขึ้น แต่เมื่อถูกถามว่ารัฐบาลในประเทศของพวกเขาควรจะแก้ปัญหาโลกร้อนเร่งด่วนเหมือนโควิด-19 หรือไม่ พบว่าประเทศร่ำรวยอย่าง ญี่ปุ่น สวีเดน อสเตรเลีย สหรัฐฯ และอังกฤษ กลับเห็นด้วยเพียง 45% ในขณะที่บางประเทศอย่างเคนยา เม็กซิโก อาร์เจนตินา ตุรกี และไนจีเรีย กลับสนับสนุนมากกว่า 70% สำหรับคำถามว่าใครจะได้รับผลกระทบหนักสุดจากปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ พบว่าประชาชนในบราซิล ตุรกี เคนยา และแอฟริกาใต้ถึง 60% เชื่อว่า คือประเทศยากจน แต่ประชาชนในญ่ปุ่น ออสเตรเลีย สหรัฐฯ และอังกฤษ เพียง 40% เท่านั้นที่มองว่าประเทศยากจนจะได้รับผลกระทบหนักที่สุด นอกจากนี้ชาวอังกฤษ 13% ระบุว่าพวกเขาได้รับผลกระทบโดยตรงจากการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิ และได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ถึง 34% ขณะที่ประชาชนในเม็กซิโก ตุรกี และเวียดนาม ถึง 50% มองว่าพวกเขาได้รับผลกระทบโดยตรง. https://www.thairath.co.th/news/foreign/1933959
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#3
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการออนไลน์
"แหลมหาด" มัลดีฟส์เมืองไทย แหล่งท่องเที่ยวที่ต้องไม่พลาด พังงา - อเมซิ่ง! แหลมหาด แหล่งท่องเที่ยวไม่ควรพลาด หาดขาวสวยทะเลใส จนได้รับการขนานนามให้เป็นมัลดีฟส์ของเมืองไทย เป็นหนึ่งฉากในหนังฮอลลีวูด "เกาะยาว" เป็นอำเภอหนึ่งของจังหวัดพังงาอยู่ในทะเลอันดามันในอ่าวพังงา ประกอบด้วยเกาะยาวน้อยและเกาะยาวใหญ่ เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมในกลุ่มนักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบในธรรมชาติทั้งบนบกและในทะเล เป็นเกาะที่เปรียบเสมือนศูนย์กลางการท่องเที่ยวทางทะเลระหว่างจังหวัดภูเก็ต พังงา กระบี่ ทำให้ที่นี่มีโรงแรมและรีสอร์ตที่สวยงามมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ซึ่งมีรีสอร์ตที่มีค่าที่พักต่อคืนสูงสุดถึงคืนละ 400,000 บาท เป็นเกาะที่สามารถเดินทางท่องเที่ยวได้ตลอดทั้งปี สำหรับเกาะยาวมีแหล่งท่องเที่ยวจำนวนมาก โดย "แหลมหาด" เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังอันดับต้นๆ ของเกาะยาวใหญ่ เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่ไม่ควรพลาด เนื่องจากเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีความสวยงาม เป็นปลายแหลมเล็กๆ อยู่ระหว่างเกาะยาวใหญ่และเกาะยาวน้อย เมื่อน้ำลงจะมีชายหาดทอดตัวยาวเป็นกิโลเมตร หาดทรายขาวละเอียด น้ำใส ซึ่งที่ผ่านมา เป็นหนึ่งในสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง The Mechanic Resurrection 2 ทำให้ทุกคนที่มาเยือนเกาะยาวจะต้องไม่พลาดที่จะเลือกเล่นน้ำทะเลที่แหลมหาด และบางคนถึงกับบอกว่าแหลมหาดมีความสวยงามเหมือนมัลดีฟส์ของเกาะยาวเลยทีเดียว https://mgronline.com/south/detail/9630000092883
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#4
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก โพสต์ทูเดย์
อภิโปรเจคคลองไทยและโครงการแลนด์บริดจ์...เชื่อม 2 ฝั่งทะเลภาคใต้ .................. คอลัมน์ เศรษฐกิจรอบทิศ ท่ามกลางวิกฤตระดับโลกเกิดจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทั้งเศรษฐกิจโลกและของไทยชะงักงันยกระดับไปถึงถดถอย องค์กรการค้าโลก (WTO) ประเมินว่าการค้าโลก 1 ใน 3 หายไปมูลค่ามหาศาลประมาณ 283.5 ล้านล้านบาท ด้วยสภาวะแบบนี้โครงการลงทุนระดับเมกะใหญ่ ๆ ต่างชะลอตัวรอท่าทีการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ซึ่งไม่รู้ว่าหลัง "New Normal" จะไปในทิศทางไหน ประเทศไทยซึ่งเศรษฐกิจอิงกับการค้าระหว่างประเทศในสัดส่วนที่สูง ดัชนีเศรษฐกิจทุกรายการร่วงหมดประเมินว่ามูลค่าทางเศรษฐกิจจากจีดีพีที่หดตัวอาจสูงถึง 1.5 ล้านล้านบาท ยังไม่รวมงบกระตุ้นเศรษฐกิจเฟสแรก 2.0 ล้านล้านบาทซึ่งรัฐบาลกำลังหาเงินเข้ามาโปะ ความสูญเสียทางเศรษฐกิจ ยังมาจากธุรกิจเอกชนเฉพาะภาคท่องเที่ยวหายไปไม่น้อยกว่า 1.9 ล้านล้านบาทและการเสียรายได้จากการว่างงานรวมกันอีก 6.0 แสนล้านบาท ความเสียหายจากวิกฤตเศรษฐกิจครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก อย่างไรก็ตามท่ามกลางความมืดมนมีการผลักดันโครงสร้างพื้นฐานที่เรียกว่า "อภิโปรเจคระดับโลก" ออกมา สองโครงการต่างแข่งขันชิงธงจองพื้นที่ก่อสร้างเป็นการสวนกระแสรวมถึงความไม่แน่นอนของเสถียรภาพรัฐบาลและแรงกดดันการเมืองนอกสภาที่ยกระดับไม่ใช่แค่เด็ก ๆ ออกมาเล่นสนุกรายวัน ส่วนการชุมนุมใหญ่เมื่อวันเสาร์ที่ 19 กันยายนที่ผ่านมาเป็นแค่ยกสองยังมีต่ออีกยาว กลับมาที่การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานลองส่องกล้องเข้าไปดูว่ามีอะไรบ้างเริ่มจากโครงการแรกซึ่งจองกฐินมาอย่างยาวนานคือ "การขุดคอคอดกระ" หลังจากมีการเสนอความเหมาะสมเป็นสิบเส้นทางมาลงตัวที่แนว 9A เริ่มจากอำเภอสิเภาจังหวัดตรังไปออกอ่าวไทยที่อำเภอระโหนดเหนือทะเลสาบสงขลาเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น "โครงการพัฒนาคลองไทย" "Thai Canal" ไม่ใช่โครงการใหม่ผลักดันมาตั้งแต่นายกทักษิณ ชินวัตร มาจนถึงยุคคสช. มีกลุ่มสนับสนุนล้วนเป็นอดีตระดับบิ๊กมีทั้งนักการเมืองตั้งแต่ระดับชาติไปจนถึงระดับท้องถิ่นแต่เบื้องหลังเป็นกลุ่มทุนจีนที่เป็นสปอนเซอร์ซึ่งโครงการนี้ถูกผนวกเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ "ไห่หนาน" เป็นเส้นทางสายไหมทางทะเลของจีนเป็นคลองลัดระดับนานาชาติเชื่อมชายฝั่งทะเลอันดามันกับทะเลจีนใต้ รายละเอียดโครงการจะมีการถมเกาะขนาดใหญ่ 2 เกาะสร้างท่าเรือน้ำลึกใหญ่เทียบเท่ากับสิงคโปร์ อนุกรรมธิการสภาผู้แทนราษฎร์ที่รับลูกไปศึกษาเพื่อที่จะให้มี การสำรวจและขุดคลองไทย ทราบว่าจะทำให้มีการจ้างงานในพื้นที่ถึง 16 ล้านตำแหน่งเกือบครึ่งหนึ่งของแรงงานที่มี งานทำทั้งประเทศและยังบอกว่าจะทำให้มีรายได้ต่อปีถึง 4 ล้านล้านบาทมูลค่าเท่ากับนำสินค้าส่งออก 12 อันดับแรก มารวมกัน ที่กล่าวนี้เป็นด้านดีซึ่งแลกด้วยอายุสัมปทาน 100 ปีที่ต้องเข้าใจว่าการลงทุนของจีนไม่เหมือนกับชาติใดในโลกเพราะจะแบบเหมาเข่งมาพร้อมกับการส่งออกคนจีนจำนวนมากออกมาทำมาหากินแบบถาวรเหมือนกับที่เกิดในสปป.ลาว, ประเทศแถบแอฟริกาตอนนี้กำลังลุกเข้าไปในศรีลังการวมถึงกัมพูชา อย่าลืมว่าสิ่งที่จีนหวังจะได้คือพัฒนาถมทะเลสร้างเกาะใหม่เพื่อเป็นแหล่งท่องเที่ยวรองรับนักท่องเที่ยวของจีน ทราบว่าอาจจะมีการสร้างสนามบินในพื้นที่ สิ่งที่ต้องศึกษาให้ดีและรอบคอบคือสภาพแวดล้อมเนื่องจากการขุดคลองกว้างเกือบ 600 เมตรยาว 135 กิโลเมตร ดินตะกอนที่ขุดเอามาถมทะเลได้ 2 เกาะที่อยู่ในสัมปทานของจีนรวมกันขนาดน้อง ๆ เกาะภูเก็ต ลองหลับตาดูว่า ดินตะกอนที่ฟุ้งกระจายจะกระทบอะไรบ้างสำหรับชาวบ้านในพื้นที่คงมองเป็นโอกาสที่จะฟื้นเศรษฐกิจเพราะแค่ยางพารา ปาล์มน้ำมันราคาเอาแน่เอานอนไม่ได้ ราคาที่ดินคงจะพุ่งนายหน้าที่ดินคงรวยกันความเป็นอยู่คงจะดีขึ้น ไม่ต้องคิดไกลลองไปถามคนแถวจังหวัดระยองว่ามีท่าเรือใหญ่ ๆ และนิคมอุตสาหกรรมหลายสิบแห่งชีวิตของพวกเขารวยขึ้นมากน้อยเพียงใด แต่เรื่องพวกนี้ทุกคนก็มีสิทธิคิดเพราะเห็นประโยชน์ใกล้ตัวส่วนที่จะให้ชาติใดมาลงทุนหรือ มาฉกฉวยผลประโยชน์ระดับชาติเป็นสิ่งไกลตัวมองไม่เห็นงานนี้จึงไม่ขอขัดลาภใครแค่ฝากเอาไปคิดเท่านั้น https://www.posttoday.com/economy/columnist/633459
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#5
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก สำนักข่าวไทย
ฝูงวาฬ 70 ตัวเกยตื้นที่เกาะแทสเมเนียของออสเตรเลีย แทสเมเนีย 21 ก.ย. ? ฝูงวาฬราว 70 ตัวเกยตื้นที่อ่าวแห่งหนึ่งในเกาะแทสเมเนียของออสเตรเลีย ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญทางทะเลรุดเข้าช่วยชีวิตฝูงวาฬอย่างสุดความสามารถ เกิดเหตุฝูงวาฬเกยตื้นที่บริเวณอ่าวแมคควอรีทางชายฝั่งตะวันตกของรัฐแทสเมเนียที่มีประชาชนอาศัยอยู่น้อย คาดว่าฝูงวาฬเกยตื้นอยู่บนสันดอนทราย หน่วยงานสิ่งแวดล้อมของรัฐแทสเมเนียเผยว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจและผู้เชี่ยวชาญทางทะเลรุดเข้าตรวจสอบบริเวณดังกล่าวแล้ว ขณะที่ลูกเรือพร้อมด้วยอุปกรณ์ช่วยชีวิตวาฬจะเดินทางมาถึงในวันนี้ โดยคาดว่าฝูงวาฬเกยตื้นเป็นวาฬนำร่อง แต่ยังไม่ทราบแน่ชัดว่าเป็นสายพันธุ์ใด รัฐแทสเมเนียเกิดเหตุวาฬเกยตื้นจำนวนมากอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งก่อให้เกิดความวิตกกังวลในการช่วยชีวิตวาฬ. https://tna.mcot.net/world-543757
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#6
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก Nation TV
ออสเตรเลียเร่งช่วยชีวิตวาฬเกยตื้น วาฬนำร่องกว่า 270 ตัวติดอยู่บนสันดอนทราย ที่นอกเกาะแทสเมเนีย ทางตอนใต้ของออสเตรเลียในวันนี้ ในขณะที่เจ้าหน้าที่กำลังพยายามช่วยชีวิตให้สามารถกลับลงทะเลไปได้ เจ้าหน้าที่อุทยานและบริการสัตว์ป่าของรัฐแทสเมเนียเปิดเผยว่ามีวาฬราว 270 ตัวติดอยู่บนสันดอนทรายในจุดที่เรียกว่าแม็คควอรี่ เฮด ใกล้เมืองสตราฮาน เมืองในเขตชายฝั่งตะวันตก นักวิทยาศาสตร์ทางทะเล เปิดเผยว่าวาฬนำร่อง มักจะมีปัญหาเกี่ยวกับเหตุการณ์ทำนองนี้อยู่บ่อยครั้ง และในแทสเมเนีย ก็เคยเกิดกรณีแบบนี้หลายครั้ง หรือแม้กระทั่งในเขตชายฝั่งทางตะวันตกของออสเตรเลีย และเมื่อดูที่จำนวนของสัตว์ที่เกยตื้น ที่มารวมตัวกันเป็นจำนวนมากเช่นนี้ก็ไม่น่าแปลกใจ เพราะวาฬพวกนี้เป็นสัตว์สังคมอย่างมาก และเราสามารถพบพวกมันเป็นฝูงใหญ่ ๆ หรือที่เรียกว่าพ็อดได้ และน่าเสียดายที่ในกรณีแบบนี้ ก็อาจเกิดความผิดพลาด สัตว์บางตัวอาจจะนำทางตัวอื่น ๆ มาผิดทาง และตอนนี้พวกมันก็เลยต้องมาเกยตื้น ปัจจุบัน ออสเตรเลียมีการส่งเจ้าหน้าที่อนุรักษ์ทางทะเลของรัฐบาลมาที่นี่ เพื่อพยายามช่วยชีวิตวาฬ ล่าสุดมีรายงานว่าวาฬราว 25 ตัวได้ตายแล้ว https://www.nationtv.tv/main/content/378796871/
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
|