เลือกสีตามสไลต์ที่คุณชอบ:
SaveOurSea.NET  

กลับไป   SaveOurSea.NET > สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม

ตอบ
 
Share คำสั่งเพิ่มเติม เรียบเรียงคำตอบ
  #1  
เก่า 06-10-2020
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันอังคารที่ 6 ตุลาคม 2563

ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา


สภาวะอากาศทั่วไป

ร่องมรสุมพาดผ่านภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง เข้าสู่หย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรงบริเวณทะเลจีนใต้ตอนกลาง ในขณะที่มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคใต้ และอ่าวไทยมีกำลังปานกลาง ทำให้ประเทศไทยยังคงมีฝนตกต่อเนื่อง และมีฝนตกหนักบางแห่งบริเวณภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก และภาคกลางรวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ขอให้ประชาชนที่อาศัยในพื้นที่เสี่ยงภัยบริเวณภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ระวังอันตรายจากฝนที่ตกหนักและฝนที่ตกสะสมไว้ด้วย

สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยตอนบนมีกำลังปานกลาง โดยทะเลอันดามันมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ขอให้ชาวเรือควรเดินเรือด้วยความระมัดระวัง และควรหลีกเลี่ยงบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง

อนึ่ง พายุระดับ 1 (หย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรง) บริเวณทะเลจีนใต้ตอนกลาง มีแนวโน้มจะทวีกำลังแรงขึ้นเป็นพายุระดับ 2 (ดีเปรสชัน) คาดว่าจะเคลื่อนขึ้นฝั่งบริเวณประเทศเวียดนามตอนใต้(ในวันที่ 7 ต.ค. 63) หลังจากนั้นจะเคลื่อนตัวทางทิศตะวันตกลงสู่บริเวณอ่าวไทยตอนบน(ในวันที่ 8 ต.ค. 63) โดยจะมีผลกระทบต่อภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ภาคตะวันออก ภาคกลาง และภาคใต้ ทำให้บริเวณดังกล่าวมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่งในช่วงวันที่ 7-9 ต.ค. 63


กรุงเทพมหานครและปริมณฑล

เมฆเป็นส่วนมาก กับมีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 70 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง อุณหภูมิต่ำสุด 24-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-34 องศาเซลเซียส ลมตะวันตกเฉียงใต้ ความเร็ว 10-20 กม./ชม.


คาดหมาย

ร่องมรสุมพาดผ่านภาคเหนือตอนล่าง ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ตลอดช่วง ประกอบกับในช่วงวันที่ 6 ? 7 ต.ค.บริเวณความกดอากาศสูงจะแผ่ปกคลุมประเทศไทยตอนบน ในขณะที่มรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังปานกลางพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย ทำให้บริเวณประเทศไทยมีฝนเพิ่มขึ้นและมีฝนตกหนักบางแห่ง

ส่วนในช่วงวันที่ 7 - 9 ต.ค. 63 หย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรงบริเวณทะเลจีนใต้ตอนกลาง มีแนวโน้มจะทวีกำลังแรงขึ้นเป็นพายุดีเปรสชัน และเคลื่อนเข้าปกคลุมภาคตะวันออก อ่าวไทยตอนบน และภาคใต้ตอนบน ทำให้บริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ภาคตะวันออก ภาคกลาง รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล และภาคใต้ มีฝนตกหนักถึงหนักมากกับมีลมแรง

สำหรับในช่วงวันที่ 7 ? 11 ต.ค. มรสุมตะวันตกเฉียงใต้จะมีกำลังแรง ทำให้คลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยมีกำลังแรง โดยทะเลอันดามันและอ่าวไทยตอนบนมีคลื่นสูง 2-4 เมตร อ่าวไทยตอนล่างคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร ส่วนบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 4 เมตร


ข้อควรระวัง

ขอให้ประชาชนบริเวณพื้นที่เสี่ยงภัยของประเทศไทย ระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมาก ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก สำหรับชาวเรือในบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทย ควรเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง เรือเล็กควรงดออกจากฝั่งในช่วงวันที่ 7 ? 11 ต.ค. 63


*********************************************************************************************************************************************************



ประกาศกรมอุตุนิยมวิทยา "หย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรงบริเวณทะเลจีนใต้ตอนกลาง(มีผลกระทบตั้งแต่วันที่ 7-9 ต.ค. 2563)" ฉบับที่ 1 ลงวันที่ 05 ตุลาคม 2563

หย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรงบริเวณทะเลจีนใต้ตอนกลาง มีแนวโน้มจะทวีกำลังแรงขึ้นเป็นพายุดีเปรสชันในวันพรุ่งนี้ (6 ต.ค.63) คาดว่าจะเคลื่อนขึ้นฝั่งบริเวณประเทศเวียดนามตอนใต้(ในวันที่ 7 ต.ค. 63) หลังจากนั้นจะเคลื่อนตัวทางทิศตะวันตกลงบริเวณอ่าวไทยตอนบน(ในวันที่ 8 ต.ค. 63) โดยจะมีผลกระทบต่อภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ภาคตะวันออก ภาคกลาง และภาคใต้ ทำให้บริเวณดังกล่าวมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่งในช่วงวันที่ 7-9 ต.ค. 63

อนึ่ง มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคใต้ และอ่าวไทยจะมีกำลังแรงขึ้น(ในช่วงวันที่ 6-9 ต.ค.63) ทำให้ภาคใต้มีฝนเพิ่มขึ้นและมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง

สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยตอนบนจะมีกำลังแรง โดยมีคลื่นสูง 2-4 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 4 เมตร ขอให้ประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณชายฝั่งภาคใต้ฝั่งตะวันออกและภาคตะวันออกระวังอันตรายจากคลื่นที่ซัดเข้าหาฝั่งไว้ด้วย ส่วนชาวเรือควรเดินเรือด้วยความระมัดระวัง และควรงดการเดินเรือในช่วงวันที่ 7-10 ต.ค. 63









__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #2  
เก่า 06-10-2020
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default

ขอบคุณข่าวจาก ไทยรัฐ


แม่เศร้าพาลูกสาวหาหอยได้แมงดา นำมาเผากิน โดนพิษออกฤทธิ์ถึงตาย

แม่จูงแขนลูกสาวหาหอยแครงในป่าชายเลน แต่ได้แมงดาทะเลติดมือมา 3 ตัว ลูกนำมาเผากิน โดนพิษเล่นงาน และเสียชีวิตต่อมา แต่ติดใจตอนส่งไปรพ. ที่รู้ว่าอาการสาหัส แต่ปล่อยให้กลับมารักษาตัวที่บ้านจนเกิดเหตุการณ์เช่นนี้



เมื่อเวลา 12.30 น. วันที่ 5 ต.ค.63 ผู้สื่อข่าวรับแจ้งว่า มีชาวบ้านกิน "แมงดาทะเล" แล้วเสียชีวิต ขณะนี้มีการตั้งศพบำเพ็ญกุศลศพที่สำนักสงฆ์กิ่งแก้ว ม.3 ต.รัษฎา อ.เมือง จ.ภูเก็ต จึงได้เดินทางไปตรวจสอบ เห็นที่ศาลาบำเพ็ญกุศลศพมีการตั้งบำเพ็ญกุศลศพของ นางสาววันทนา พุดช่อ อายุ 46 ปี บรรยากาศเป็นไปด้วยความโศกเศร้า

จากการสอบถาม นางสมใจ กิ่งวงศา อายุ 64 ปี เล่าว่า ตนเป็นมารดาของนางสาววันทนา พุดช่อ อายุ 46 ปี โดยก่อนหน้านี้เหตุเกิดเมื่อวันที่ 2 ต.ค. ได้ชวนผู้ตายออกไปหาหอยแครงบริเวณป่าชายเลน ซอยกิ่งแก้ว ต.รัษฎา อ.เมือง จ.ภูเก็ต ได้เจอแมงดาทะเล 3 ตัว จึงนำกลับมาที่บ้านเพื่อปรุงเป็นอาหาร ซึ่งผู้ตายได้เอามาเผาสดๆ 1 ตัว หลังเผาจนสุก ผู้ตายได้รับประทานเข้าไป ตนพยายามที่จะขอผู้ตายรับประทาน แต่ผู้ตายไม่ยอมให้รับประทาน ผู้ตายทานเพียงคนเดียว หลังผู้ตายทานไปสักพักเริ่มมีอาการอาเจียน เดินเซ มึนศีรษะ จึงได้รีบนำส่งโรงพยาบาลองค์การบริหารส่วนจังหวัดภูเก็ต (อบจ.ภูเก็ต) เนื่องจากผู้ตายมีอาการค่อนข้างหนัก

นางสมใจ เล่าไปพร้อมน้ำตาคลอเบ้าว่า รู้สึกเสียใจว่าลูกซึ่งมีอาการหนัก บอกแล้วว่ากินแมงดาเข้าไปมีพิษ ทำไม รพ.อบจ.ภูเก็ต ไม่ทำเรื่องส่งต่อที่ รพ.วชิระภูเก็ต ยังให้กลับมานอนรักษาตัวที่บ้าน จากนั้นไม่นานเมื่อถึงบ้าน ผู้ตายมีอาการตัวเขียวมือเขียวขึ้นมา จึงโทรเรียก 1669 เมื่อเจ้าหน้าที่ 1669 มาถึง ทำการปั๊มหัวใจ และนำตัวส่ง รพ.วชิระภูเก็ต และต่อมาผู้ตายได้เสียชีวิตลง แพทย์ชันสูตรพลิกศพยืนยันว่าเสียชีวิตจากพิษแมงดาทะเล

"แม่ติดใจว่าทำไม รพ.อบจ.ภูเก็ต ไม่ส่งลูกสาวไป รพ.วชิระภูเก็ต และยังให้กลับมานอนที่บ้าน อีกทั้งที่ยังมีอาการโคม่า และสุดท้ายลูกสาวมาตาย" นางสมใจกล่าว

ด้าน นายสอน วงษ์ศาลา หรือกัปตันสอน ผู้ชำนาญเรื่องสัตว์ทะเล กล่าวว่า จากที่เห็นสัตว์ทะเลในรูปพบว่า เป็นแมงดาถ้วยอยู่ตามป่าชายเลน ตัวไม่ใหญ่ ปลายหางมีขนทั้งสองข้าง มีพิษร้ายแรง ประชาชนที่จะไปหาแมงดามารับประทานขอเตือนว่า แมงดาถ้วย มีพิษและอันตรายมาก ไม่ควรนำมารับประทาน เพราะทำให้เสียชีวิตได้.


https://www.thairath.co.th/news/local/south/1945439

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #3  
เก่า 06-10-2020
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default

ขอบคุณข่าวจาก ข่าวสด


สาวกินแมงดาทะเล ดับสลด อ้วกพุ่ง เดินเซหัวทิ่ม ตัวเขียว หมอตรวจเจอพิษร้าย

ภูเก็ต พบสาวกินแมงดาทะเล เผาดับสลด ญาติเผยอาการ อ้วกพุ่ง เดินเซหัวทิ่ม ตัวเขียวมือเขียว หมอชันสูตร ตรวจเจอพิษร้าย ผู้เชี่ยวชาญชี้เป็นแมงดาถ้วยมีพิษอันตราย



วันที่ 5 ต.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พบผู้เสียชีวิตหลังจากรับประทานแมงดาทะเลเผา ก่อนมีอาการอาเจียน มึนหัว เดินเซ ทราบชื่อคือ น.ส.วันทนา อายุ 46 ปี ขณะนี้ญาติผู้เสียชีวิตได้จัดพิธีบำเพ็ญกุศลศพ ที่สำนักสงฆ์กิ่งแก้วและฌาปณกิจ ที่วัดถาวรคุณาราม(วัดแสนสุข) จ.ภูเก็ต

นางสมใจ อายุ 64 ปี แม่ผู้เสียชีวิต เล่าว่า วันก่อน 4 ต.ค. ลูกสาวไปหาหอยในป่าชายเลน ซ.กิ่งแก้ว ต.รัษฎา และเจอแมงดาทะเล 3 ตัว ลูกสาวเก็บกลับมาบ้านเพื่อปรุงเป็นอาหาร ลูกสาวเอาแมงดาทะเลมาเผาหนึ่งตัวก่อนกินเข้าไป สักพักเริ่มอาเจียน เดินเซ มึนศีรษะ จึงได้รีบนำตัวส่งรพ.

นางสมใจ เล่าอีกว่า ตนรู้สึกเสียใจว่า ทำไมลูกซึ่งมีอาการหนัก บอกแล้วว่ากินแมงดามีพิษเข้าไป ทำไมรพ.อบจ.ภูเก็ต ถึงไม่ส่งตัวไปที่รพ.วชิระภูเก็ต ให้พาไปกันเองทั้งๆที่อาการหนัก ทางครอบครัวได้พากลับมาแวะพักที่บ้านก่อนจะไปที่รพ. แต่ปรากฏว่า เมื่อถึงบ้านลูกสาวตัวเขียว มือเขียวขึ้นมา จึงรีบโทรเรียก 1669 เมื่อเจ้าหน้าที่มาถึงทำการปั๊มหัวใจ ต่อมาผู้ตายได้สิ้นใจ เจ้าหน้าที่จึงนำร่างผู้ตายส่งรพ.วชิระภูเก็ต แพทย์ชันสูตรพลิกศพยืนยันว่า เสียชีวิตจากพิษแมงดาทะเล

นายสอน วงษ์ศาลา ผู้ชำนาญเรื่องสัตว์ทะเล กล่าวว่า จากที่เห็นสัตว์ทะเลในรูปพบว่าเป็นแมงดาถ้วย อยู่ตามป่าชายเลนตัวไม่ใหญ่ ปลายหางมีขนทั้งสองข้าง มีพิษร้ายแรง ประชาชนที่จะไปหาแมงดามารับประทานขอเตือนว่า แมงดาถ้วยมีพิษและอันตรายมาก ไม่ควรนำมารับประทาน


https://www.khaosod.co.th/special-stories/news_5053009


*********************************************************************************************************************************************************


สุดสลด! ช้างป่าศรีลังกา คุ้ยขยะประทังชีวิต กินขยะมีพิษตายไปแล้ว 6 ตัว

การใช้พลาสติกเป็นอันตรายต่อคน และสัตว์ เมื่อยิ่งเป็นกองขยะที่ถูกนำมาทิ้งไว้ทั้งยังรุกล้ำถิ่นอาศัยของสัตว์ด้วยแล้วยิ่งส่งผลต่อการใช้ชีวิตของสัตว์เหล่านั้น



เฟสบุ๊กเพจ มูลนิธิช่วยเหลือสัตว์ป่าเอเชียน หรือ Asian Wild Aid Foundation (AWAF) เผยแพร่ภาพโขลงช้างป่ากว่า 40 ตัวกำลังหาอาหารบนภูเขาขยะ ในเมืองอัมปารา ทางตะวันออกของประเทศศรีลังกา ที่พยามดิ้นรนเอาชีวิตรอดด้วยการหาอาหารกินในกองขยะ

ช้างเหล่านี้มาออกจากป่า Oluvil Pallakattu แต่ละตัวคุ้ยขยะราวกับสัตว์ที่อาศัยอยู่ในเมือง ซึ่งเป็นภาพที่สะเทือนใจต่อผู้พบเห็นเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากกองขยะแห่งนี้เต็มไปด้วยพลาสติก และสารเคมีที่เป็นพิษจำนวนมาก

ลานขยะกว้างสุดลูกหูลูกตานี้เป็นแหล่งรวมสิ่งปฏิกูลของหลายเขตโดยรอบถูกส่งมาทิ้งยังบริเวณดังกล่าว ทำให้กองขยะขยายใหญ่โตขึ้นจนลุกลามไปในบริเวณพื้นป่าใกล้เคียง ทำให้ช้างป่าสามารถเข้ามาถึงกองขยะได้อย่างง่ายดาย แม้ว่าจะมีรั้วไฟฟ้าขึงรอบๆ บริเวณกองขยะ แต่ปัจจุบันรั้วไฟฟ้าดังกล่าวชำรุดพังเสียหาย ทำให้ไม่สามารถป้องกันสัตว์ป่าได้อีกต่อไป

โคลงช้างฝูงดังกล่าวเริ่มเคยชินกับการหากินใกล้ถิ่นอาศัยของมนุษย์ ได้เริ่มรุกล้ำนาข้าว และหมู่บ้านเพื่อหาอาหารมากขึ้น ทำให้เกิดความตึงเครียดระหว่าช้าง คน และสัตว์บริเวณใกล้เคียงมากขึ้น แม้จะมีการปรึกษาของเจ้าหน้าที่หลายฝ่ายเพื่อหาทางออก รวมถึงทำรั้วล้อมรอบกองขยะ แต่ก็ไม่สามารถป้องกัน และแก้ไขปัญหาช้างป่าที่เข้ามายังบริเวณเมืองได้

ทั้งนี้ยังมีรายงานว่า พบช้างตายแล้วถึง 6 ตัว เนื่องจากกินขยะที่มีสารพิษปนเปื้อนเข้าไป

โดยเมื่อปี 2560 รัฐบาลศรีลังกาได้มีคำสั่งห้ามทิ้งขยะในพื้นที่ใกล้เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ซึ่งในแถลงการณ์ของทางรัฐบาลระบุว่า มีช้างป่าประมาณ 300 ตัวตาย หลังจากที่พวกมันกินขยะที่มีการปนเปื้อนเข้าไป

อย่างไรก็ตามภาพช้างป่าออกมาหาอาหารในกองขยะที่ศรีลังกาไม่ได้เกิดขึ้นครั้งแรก เมื่อปี 2561 ผู้เชี่ยวชาญด้านช้างเอเชียของศรีลังกากล่าวว่า ช้างป่าหลายร้อยตัวจาก 7,500 ตัวในศรีลังกามีอาการป่วย ซึ่งเชื่อว่าเกิดการที่พวกมันกินขยะจากกองขยะที่มนุษย์นำมาทิ้งไว้นั่นเอง

ทั้งนี้ ช่วง 2 ปีที่ผ่านมาประเทศเอเชียหลายประเทศที่เป็นแหล่งทิ้งขยะ ซึ่งจะมีการส่งตู้คอนเทนเนอร์บรรจุขยะกลับประเทศต้นทางเป็นจำนวนมาก ซึ่งประเทศไทยก็เป็นอีกหนึ่งประเทศที่รองรับขยะนำเข้าจากประเทศอื่น อย่างในปี 2561 ไทยนำเข้าขยะพลาสติกจากต่างประเทศ อยู่ที่ 481,381 ตัน แต่ส่งออกขยะเพียง 74,906 ตัน

ขยะที่นำเข้ามาจากต่างประเทศนั้นอยู่ในเงื่อนไขที่ว่า ต้องมีความหนาไม่เกิน 2 เซนติเมตร ต้องสะอาด ซักล้างเรียบร้อย โรงงานสามารถนำเข้าขยะพลาสติกจากต่างประเทศมาใช้ได้เลย เพราะต้นทุนถูกกว่าการคัดแยกขยะในประเทศซึ่งมีการปนเปื้อน และไม่ต้องมีค่าใช้จ่ายสูงในการรีไซเคิล


https://www.khaosod.co.th/special-stories/news_5052298

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #4  
เก่า 06-10-2020
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default

ขอบคุณข่าวจาก ข่าวสด


ตะลึง! ผลวิจัยใหม่ เปิดชื่อเมืองจมบาดาล ชี้ กทม.อีก 30 ปีจมแน่



Climate Central องค์กรด้านสิ่งแวดล้อม ในรัฐนิวเจอร์ซีย์ ประเทศสหรัฐฯ ได้เผยข้อมูลที่น่าตกใจเกี่ยวกับผลกระทบของสภาวะโลกร้อนว่า ตอนนี้แผ่นน้ำแข็งแอนตาร์กติกได้แตกออกจากกันเรียบร้อยแล้ว เป็นสาเหตุให้พบแอ่งทะเลสาบที่เกิดจากการละลายของน้ำแข็งมากถึง 2,000 แห่ง ทำให้ระดับน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ยิ่งไปกว่านั้นเมืองใกล้ชายฝั่งในแถบอาเซียนและประเทศใกล้เคียงมีความเสี่ยงที่จะจมอยู่ใต้น้ำภายในปีค.ศ. 2050 อีกด้วย

นายสก๊อตต์ เอ คัลป์ นักวิจัยบอกว่าก่อนหน้านี้เราคำนวณระดับน้ำทะเลโลกในแง่ดีจนเกินไป ซึ่งเราอาศัยข้อมูลจากดาวเทียมซึ่งไม่สามารถบอกความสูงที่แท้จริงได้เพราะว่ามีตึกสูงและต้นไม้ปกคลุมทำให้ผลการคำนวณออกมาไม่แน่นอน แต่ทว่าตอนนี้ได้มีการนำเทคโนโลยี "เอไอ" มาใช้ในการคำนวณแต่นั่นก็ทำให้เราต้องตกใจกับผลลัพธ์ที่ออกมาเช่นกัน เนื่องจากระดับน้ำจะเพิ่มสูงขึ้นและเร็วขึ้นกว่าที่เคยคาดคะเนไว้


ภาพซ้าย - ผลคาดคะเนจากดาวเทียม
ภาพขวา -ผลคาดคะเนจากระบบ เอไอ


จากข้อมูลใหม่พบว่าประเทศเวียดนามคือประเทศที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุด โดยทางพื้นที่ภาคใต้ของเวียดนามจะจมลงใต้น้ำเกือบทั้งหมด มีการประเมิณว่าจะประชาชนชาวเวียดนามกว่า 20 ล้านคน หรือ คิดเป็น 1 ใน 4 นั้นจะต้องย้ายที่อยู่อย่างถาวร


ภาพซ้าย - ผลคาดคะเนจากดาวเทียม
ภาพขวา -ผลคาดคะเนจากระบบ เอไอ


ส่วนประเทศไทยนั้นถูกประเมินว่า กรุงเทพฯ และพื้นที่บริเวณดินใกล้ชายฝั่งนั้นจะได้รับความเสี่ยงจากระดับน้ำทะเลขึ้นสูงภายในปี พ.ศ. 2593 หรือ อีก 30 ปีต่อจากนี้ เนื่องจากปัจจุบัน กรุงเทพฯ ได้ทรุดตัวลง 1-2 เซนติเมตรต่อปี ซึ่งก่อนหน้านี้ สถาบันวิจัยเดลตาเรส ของเนเธอร์แลนด์ ได้เผยข้อมูลว่า กรุงเทพฯ เวนิส และนิวออร์ลีนส์ คือเมืองหลวงที่ทรุดตัวเร็วกว่าการเพิ่มขึ้นของน้ำทะเลถึง 3 เท่า

ลอเรตต้า ฮิเอเบร์ ฌิราเดท์ เจ้าหน้าที่บรรเทาความเสี่ยงจากภัยพิบัติขององค์การสหประชาชาติ กล่าวว่า จะมีประชากรอาเซียนราว 300 ล้านคนที่ได้รับผลกระทบน้ำท่วมในอนาคต เช่นเดียวกับ 8 เมื่อใหญ่ใกล้ชายฝั่งทั่วโลก เช่น ลอนดอน เซี่ยงไฮ้ จาการ์ต้า มะนิลา รวมถึง กรุงเทพฯ ด้วย


ภาพซ้าย - ผลคาดคะเนจากดาวเทียม
ภาพขวา -ผลคาดคะเนจากระบบ เอไอ


ล่าสุด เมื่อเดือนสิงหาคมปีที่ผ่านมา รัฐบาลอินโดนีเซียได้ประกาศย้ายเมืองหลวงจากกรุงจาร์กาตาร์ ไปที่ รัฐกาลิมันตัน บนเกาะเบอร์เนียว เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยทางรัฐบาลอินโดนิเซียได้ทุ่มงบกว่า 571 ล้านล้านรูเปียหรือเป็นเงินราวๆ 3.3 หมื่นล้านบาทเพื่อสร้างเมืองหลวงแห่งใหม่ หนีสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตที่คาดว่าพื้นที่ชายฝั่งของจาร์การ์ตา 95 เปอร์เซ็นต์นั้นจะจมลงใต้น้ำภายในปีพ.ศ. 2590


https://www.khaosod.co.th/lifestyle/news_5051871

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #5  
เก่า 06-10-2020
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default

ขอบคุณข่าวจาก โพสต์ทูเดย์


สหรัฐไปจีนกำลังจะมา จับตาฐานทัพกัมพูชาจ่ออ่าวไทย


Photo by Ly Lay / AFP

เบื้องลึกเบื้องหลังของการรื้อถอนอาคารด้านการทหารของสหรัฐในฐานทัพเรือกัมพูชาและกระแสข่าวเกี่ยวกับการเข้ามาใช้ฐานทัพเรือของจีน
หนังสือพิมพ์วอลล์สตรีทเจอร์นัลรายงานเมื่อปีที่แล้วเกี่ยวกับร่างข้อตกลงลับที่อนุญาตให้จีนเทียบท่าเรือรบที่ฐานทัพเรือเรียม ใกล้เมืองสีหนุวิลล์ริมชายฝั่งอ่าวไทย

แต่ฮุน เซนยืนยันซ้ำแล้วซ้ำอีกว่ารัฐธรรมนูญของกัมพูชาห้ามต่างชาติใดๆ มาตั้งฐานทัพภายในดินแดนของกัมพูชา

ฮุน เซน ปฏิเสธอีกครั้งในเดือนมิถุนายนปีนี้ว่าจีนไม่ได้รับอภิสิทธิ์ให้มาตั้งฐานทัพเรือ และไม่มีเหตุผลอะไรที่จีนจะต้องมาใช้ที่ของกัมพูชาเพราะจีนก็มีฐานทัพในทะเลจีนใต้แล้ว พร้อมกับบอกว่าต้อนรับเรือรบจากทุกประเทศให้เข้ามาเทียบท่าที่ฐานทัพเรือเรียม

ฐานทัพเรียมเป็นที่จับตาอย่างมากเพราะมีที่ตั้งทางยุทธศาสตร์ในอ่าวไทยซึ่งจะช่วยให้สามารถเข้าถึงทะเลจีนใต้ได้ ทำให้เกิดความกังวลว่าจีนอาจจะเข้ามาใช้ฐานทัพเรียม

ฐานทัพเรือเรียมตั้งอยู่ในเมืองเรียม จังหวัดพระสีหนุหรือเมืองสีหนุวิลล์ทางตะวันตกเฉียงใต้ของกัมพูชาริมฝั่งอ่าวไทย การที่ต่างชาติจะมาใช้ฐานทัพนี้แบบถาวรอาจจะยาก เพราะตามรัฐธรรมนูญของกัมพูชาแล้วห้ามไม่ให้มีการตั้งฐานทัพต่างชาติในประเทศ และการตั้งฐานทัพต่างชาติยังขัดต่อสนธิสัญญาปารีสปี 1991 ที่ยุติสงครามกลางเมืองกัมพูชา

ถึงแม้จะห้ามต่างชาติเข้ามาปักหลัก แต่ตั้งแต่ปี 2010 ฐานนี้เป็นที่ตั้งของการฝึกร่วมกัมพูชา-สหรัฐประจำปีและการฝึกทางเรือภายใต้โครงการ Cooperation Afloat Readiness and Training (CARAT) ซึ่งเป็นการฝึกซ้อมทางเรือระหว่างสหรัฐกับอาเซียน แสดงให้เห็นว่าก่อนหน้านี้สหรัฐใช้ฐานทัพนี้เช่นกันและยังให้เงินช่วยเหลือในการสร้างอาคารปฏิบัติงานที่กำลังเป็นข่าว

แต่ภาพดาวเทียมที่เผยแพร่โดยศูนย์ศึกษายุทธศาสตร์และการศึกษาระหว่างประเทศ (CSIS) ของสหรัฐที่เพิ่งเปิดเผยช่วงต้นเดือนตุลาคม 2020 แสดงให้เห็นว่ามีการรื้อถอนอาคารที่ได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐในฐานทัพเรือของเรียม คือสำนักงานใหญ่ทางยุทธวิธีของคณะกรรมการแห่งชาติเพื่อความมั่นคงทางทะเลที่เปิดใช้ในปี 2012 (หลังจากการซ้อมรบ CARAT กับสหรัฐ) จนทำให้เกิดคำถามเกี่ยวกับข่าวลือที่จีนจะเข้ามาเกี่ยวข้องกับท่าเรือแห่งนี้

ที่น่าสังเกตก็คือ ขณะที่ทางการกัมพูชาปฏิเสธการมีอยู่ของข้อตกลงและยังบอกว่ามันเป็น "ข่าวปลอม" กัมพูชาได้เงินช่วยเหลือจากจีนเท่านั้น แต่แล้วนายกรัฐมนตรี ฮุน เซน กลับกล่าวว่าจะนำความช่วยเหลือจากจีนมาสนับสนุนการพัฒนาฐานทัพเรือ ส่วนทางการจีนกลับนิ่งเฉยไม่รับและไม่ปฏิเสธทำให้เรื่องนี้ยิ่งลึกลับมากขึ้น

นักวิเคราะห์กล่าวว่าฮุน เซน มีเล่ห์เหลี่ยมสูงจำเป็นต้องรู้หลบเป็นปีกรู้หลีกเป็นหางเพราะอาจเกิดกระแสต้านจีนจากสาธารณชน โดยเฉพาะในสีหนุวิลล์ซึ่งตอนนี้ธุรกิจและคาสิโนส่วนใหญ่เป็นของจีน

การทำลายอาคารของสหรัฐที่ฐานทัพเรือเรียมก็เช่นกันน่าจะมีนัยอะไรบางอย่างที่ทำให้สหรัฐต้องกังวล

เมื่อวันที่ 4 กันยายน 2020 เตีย บัญ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของกัมพูชาปฏิเสธข้อกังวลดังกล่าว เขาบอกกับสำนักข่าวเอเอฟพีพร้อมยืนยันว่าอาคารดังกล่าวถูกทุบลงเมื่อเดือนที่แล้ว และบอกว่า ?เราย้ายสถานที่ไปยังจุดใหม่ เราไม่สามารถรักษามันได้อีกต่อไปและอาคารก็เก่าแล้ว?

เตีย บัญ กล่าวว่าที่ตั้งของอาคารใหม่จะ "ดีกว่ามาก" และเสริมว่ากัมพูชาได้ "ความช่วยเหลือเพียงเล็กน้อย" จากสหรัฐในการก่อสร้างอาคารที่พังยับเยินในขณะนี้

ส่วนที่ตั้งของอาคารแห่งใหม่อยู่ระหว่างการก่อสร้างตั้งทางเหนือของฐานทัพเรียมประมาณ 30 กิโลเมตรเรียกได้ว่าไกลจากฐานทัพแบบเข้าป่าเข้าพง เพราะน่าจะเลยเข้าไปในเขตชนบทที่ห่างจากเมืองสีหนุวิลล์

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ฮุน เซน หันเหออกจากสหรัฐเนื่องจากรัฐบบาลสหรัฐตำหนิรัฐบาลกัมพูชาที่บั่นทอนประชาธิปไตยและกดขี่สิทธิมนุษยชน ทำให้กัมพูชาหันไปคบหากับจีนมากขึ้นจนจีนกลายเป็นผู้ลงทุนรายใหญ่ในกัมพูชา

มีเงื่อนงำบางอย่างที่น่าสนใจก่อนการทุบอาคารของสหรัฐในฐานทัพเรียม เกี่ยวข้องกับสถานที่อีกขุดหนึ่งที่อาจจะถูกใช้เป็นฐานทัพจีน นั่นคือดาราสาครรีสอร์ทในจังหวัดเกาะกง

เมื่อวันที่ 22 กันยายน ไมค์ ปอมเปโอรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐอ้างถึง "รายงานที่น่าเชื่อถือ" ว่าดาราสาครรีสอร์ทในจังหวัดเกาะกงที่บริษัทจีนกำลังพัฒนาอยู่สามารถใช้เป็น "สินทรัพย์" ทางทหารของจีนได้

ในช่วงสัปดาห์เดียวกัน ดับเบิลยู. แพทริก เมอร์ฟี เอกอัครราชทูตสหรัฐประจำกัมพูชาได้พบหารือกับ เตีย บัญ ไม่นานหลังจากที่ที่กระทรวงการคลังสหรัฐประกาศมาตรการคว่ำบาตรกลุ่ม Union Development Group (UDG) ในเทียนจิน ซึ่งเป็นบริษัทจีนกำลังก่อสร้างดาราสาครรีสอร์ทในจังหวัดเกาะกง มูลค่า 3,800 ล้านเหรียญสหรัฐ

หลังจากคุยกับเตีย บัญ ทูตเมอร์ฟีโพสต์เฟซบุ๊คว่า การหารือเกี่ยวกับ "ความร่วมมือด้านความมั่นคงที่เข้มแข็งยิ่งขึ้น รวมทั้งความพยายามอย่างต่อเนื่องในการรักษาอธิปไตยของกัมพูชา"

แต่จากปากคำของ เตีย บัญ อาคารที่สหรัฐมอบเงินให้สร้างที่ฐานทัพเรียมก็น่าจะถูกทุบในเดือนกันยายนนั่นเอง แสดงให้เห็นถึงท่าทีของกัมพูชาต่อความเป็นห่วงเป็นใยของสหรัฐต่ออธิปไตยของกัมพูชาได้เป็นอย่างดี นั่นคือ "สหรัฐอย่าเข้ามายุ่ง"

กัมพูชาไม่มีเหตุอะไรที่ต้องทำตามสหรัฐเลย สหรัฐนั่นเองยังบีบให้กัมพูชาจนมุมจนต้องเลือกจีน เมื่อสภาคองเกรสผ่านกฎหมาย Cambodia Democracy Act of 2019 โดยอ้างประชาธิปไตยเล่นงานฮุน เซนและพรรคพวกฐานบ่อนทำลายประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน

กฎหมายตัวนี้ยังไม่มีผลบังคับใช้เพราะประธานาธิบดีสหรัฐยังไม่เซ็น ถ้าเซ็นเท่ากับปิดฝาโลงไม่ให้สหรัฐเข้ามามีอิทธิพลกัมพูชาอย่างแน่นอน ดังนั้นสหรัฐก็จะใช้มันขู่ฮุน เซนอยู่แบบนี้

แต่ฮุน เซนเป็นพวกหมูไม่กลัวน้ำร้อนแถมยังเหลี่ยมจัด

ศัตรูคนสำคัญของฮุน เซน คือสม รังสีที่ลี้ภัยอยู่ในต่างประเทศพยายามเจาะยางฮุน เซนโดยใช้ประเด็นนี้เป็นอาวุธ เมือเดือนมิถุนายน 2020 สม รังสี เขียนบทความลงในนิตยสาร Foreign Affairs อนทรงอิทธิพลซึ่งพิทักษ์ผลประโยชน์ของอเมริกัน เขาร่ายยาวถึงแผนการที่จีนใช้ฮุน เซนและฮุน เซนช่วยเหลือจีนอย่างไร

แต่สม รังสีก็เล่นเกมส์อันตรายด้วยการเอียงไปทางสหรัฐอย่างชัดเจน โดยเฉพาะการที่เขาบอกว่าจีนต้องการกัมพูชาเป็นฐานทัพเพื่อที่จะจีนจะได้ข่มขู่ (harass) เรือรบของสหรัฐและพันธมิตรของสหรัฐในภูมิภาค

สม รังสีพยายามชี้ให้เห็นว่า "ปัจจุบันเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ส่วนใหญ่ยังคงอยู่นอกขอบเขตอิทธิพลโดยตรงของจีน แต่หากประชาคมระหว่างประเทศไม่ดำเนินการในตอนนี้เพื่อหยุดการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานแบบใช้สองทางของจีนซึ่งจะอนุญาตให้กองกำลังติดอาวุธของจีนปฏิบัติการจากกัมพูชา ในไม่ช้าความเป็นอิสระทางการเมืองของประเทศเหล่านี้จะตกอยู่ในอันตราย"

ถึงแม้ว่าสม รังสีจะเอียงพอๆ กับฮุน เซน แต่เขาก็พูดถึงเรื่องนัยพัวพันของอาเซียนกับกรณีฐานทัพในกัมพูชา เพียงแต่เขาพยายามจี้ให้สหรัฐเดินเกมรุกมากกว่านี้ โดยเฉพาะการบอกว่า "กัมพูชาอาจกลายเป็นจุดตายของยุทธศาสตร์การควบคุม (จีน) ของสหรัฐในภูมิภาคนี้"

เราจะเห็นได้ว่าทั้งฮุน เซนและสม รังสี ชักศึกเข้าบ้านตัวเองไม่พอ ยังจะชักยักษ์เข้ามาขยี้อาเซียนด้วย

ย้อนกลับไปเมื่อเดือนมิถุนายนที่ฮุน เซนปฏิเสธข่าวให้จีนมาตั้งฐานทัพ เขาบอกว่าต้อนรับเรือรบจากทุกประเทศให้เข้ามาเทียบท่าที่ฐานทัพเรือเรียม แต่จริงๆ แฃล้วคงไม่ใช่ทุกชาติที่กัมพูชาจะต้อนรับ เพราะเมื่อปี 2017 กัมพูชาแจ้งกับสหรัฐไปว่าขอระงับการซ้อมรบร่วมในปีนั้นละปีต่อไปและหลังจากนั้นก็ไม่ได้ซ้อมร่วมกันอีก

ตรงกันข้าม เมื่อต้นปีนี้เองสำนักข่าว ABC ของออสเตรเลียเปิดเผยว่าเจ้าหน้าที่ทหารของจีนพบกับฝ่ายกัมพูชาอย่างลับๆ เมื่อปี 2019 หนึ่งในกิจกรรมที่เจ้าหน้าที่หทารฝ่ายจีนทำในกัมพูชาคือการ "ตรวจตราฐานทัพเรียม" และรวมถึงเกาะตาเกียวที่มีฐานหน่วยทัพเรืออีกแห่งของกัมพูชาอยู่ใกล้ๆ กัน และยังไปถึงเกาะปูลูไวที่อยู่ห่างออกไปแทบจะกลางอ่าวไทย

เกาะปูลูไวมีความสำคัญมากกับไทยเพราะเกาะนี้ตั้งในพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลระหว่างกัมพูชา ไทย และเวียดนาม และว่ากันตามตรงแล้วอ่าวไทยมีพื้นที่ทับซ้อนที่วุ่นวายเกี่ยวพันถึง 4 ประเทศ การปล่อยให้การตั้งฐานทัพของ "ประเทศที่ 5" จะสร้างปัญหาแน่นอน

แต่เดูเหมือนกัมพูชาจะไม่สนใจเรื่องนั้น หลังจากเชิญฝ่ายจีนมาชมพื้นที่ทับซ้อนแล้ว ต่อมากัมพูชาร่วมซ้อมรบกับจีนเมื่อเดือนมีนาคม 2020 ทั้งๆที่โคโรนาไวรัสกำลังระบาดหนักในจีนและเริ่มลามมายังที่อื่นๆ ถ้าไม่รักกันจริงกัมพูชากับจีนคงไม่กล้าทำอะไรแบบนี้ในสถานการณ์ที่วุ่นวายเอามากๆ

น่าจะชัดแล้วว่ากัมพูชาเลือกใคร ระหว่างสหรัฐกับจีน


https://www.posttoday.com/world/634670
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #6  
เก่า 06-10-2020
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default

ขอบคุณข่าวจาก แนวหน้า


สาวอ่างทองไปเที่ยวทะเลระยองพบ 'อ้วกวาฬ' นำมาให้ยายเก็บไว้มั่นใจเป็นของจริง



วันที่ 5 ต.ค.63 ผู้สื่อข่าวรายงานจากจังหวัดอ่างทองว่า มีชาวบ้านเก็บก้อนอ้วกวาฬ หรืออำพันทะเล ซึ่งได้มาจากจังหวัดระยอง แล้วนำมาเก็บไว้ที่บริเวณบ้านเลขที่ 95 หมู่ 7 ตำบลแสวงหา อำเภอแสวงหา จังหวัดอ่างทอง โดยพบว่าเป็นก้อนสีขาวคล้ำ เนื้อเนียน ลื่นๆ เป็นก้อนกลมรี มีน้ำหนักประมาณ 1 ขีด เบื้องต้นได้ตรวจสอบจากสื่อออนไลน์ พบว่าเป็นก้อนอ้วกวาฬ หรืออำพันทะเล ซึ่งเป็นสิ่งพบยากมากในท้องทะเลอ่าวไทย ขณะที่บางข้อมูลระบุว่าราคาของอ้วกวาฬ ซึ่งเป็นของหายากซื้อขายกันถึงหลักล้านต่อกิโลกรัม โดยมีชาวบ้านทราบข่าวต่างเดินทางมาขอดูกันอย่างคึกคัก

ก้อนอ้วกวาฬ มีลักษณะเป็นของแข็ง มีส่วนประกอบของคอเลสเตอรอลและไขมันมากถึง 80% ดูด้วยตาเป็นเหมือนก้อนไขมันมีหลายสีทั้งสีเทา สีดำ ไปจนถึงสีโทนอ่อนสีส้ม หรือสีขาวคล้ายหินอ่อน จากกลิ่นของมูลสัตว์หรือจากการสำรอกที่ส่งกลิ่นเหม็นมากๆ แต่เมื่อทิ้งไว้ไประยะเวลาหนึ่งจะมีกลิ่นหอมมากๆ เพราะมีสารเบนโซอิกและแอลกอฮอล์เชิงซ้อนทำให้มีกลิ่นหอม เป็นที่ต้องการในอุตสาหกรรมน้ำหอม นำไปเป็นส่วนผสมในการทำน้ำหอมและเครื่องสำอาง

นางประจวบ บุญอำไพ อายุ 58 ปี เล่าให้ฟังว่า ก้อนอ้วกวาฬที่เห็นนี้เป็นของหลานสาวชื่อนางสาวกัญญารัตน์ ปานหงส์ อายุ 20 ปี เก็บได้ที่ริมทะเล จังหวัดระยอง หลังจากไปทำงานเมื่อหลายเดือนก่อนแล้วไปเที่ยวเล่นที่ริมทะเล พบเห็นจึงได้เก็บมาไว้ที่บ้านที่อ่างทอง ซึ่งมีชาวบ้านหลายคนได้ทำการค้นหาและตรวจสอบจากสื่อออนไลน์พบว่าอวก๊วาฬมีราคาแพง และได้ทำการทดลองตัดบางส่วน นำใส่ช้อนแล้วใช้ไฟลนพบว่ามีน้ำใสๆ ละลายออกมา หากว่าเป็นของจริงมีผู้สนใจซื้อก็อยากจะขายเพื่อนำเงินไปเลี้ยงครอบครัวต่อไป


https://www.naewna.com/likesara/522894

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #7  
เก่า 06-10-2020
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default

ขอบคุณข่าวจาก สำนักข่าวไทย


สาวจับแมงดาถ้วยจากป่าชายเลนมาเผากิน เกิดอาการแพ้ดับ

ภูเก็ต 5 ต.ค. ? แม่เศร้าชวนลูกสาววัย 46 ปี ออกไปหาหอยแครง บริเวณป่าชายเลน และเจอแมงดาถ้วยจึงนำกลับมาเผากิน แต่เกิดอาการแพ้ ครอบครัวพาส่งโรงพยาบาล แต่หมอให้กลับบ้าน สุดท้ายอาการทรุดหนักเสียชีวิต



มีเหตุการณ์หญิงสาวรายหนึ่งที่จังหวัดภูเก็ต กินแมงดาทะเล จากนั้นมีอาการอาเจียนและมึนศีรษะอย่างรุนแรง ญาตินำส่งโรงพยาบาลองค์การบริหารส่วนจังหวัดภูเก็ต แพทย์ลงความเห็นว่าอาการดังกล่าวเกิดจากการแพ้พิษแมงดาทะเล หลังจากออกจากโรงพยาบาล หญิงสาวรายดังกล่าวกลับมาเสียชีวิตที่บ้านในเวลาต่อมา

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในพื้นที่ตำบลรัษฎา อำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต ตั้งแต่วันที่ 2 ตุลาคมที่ผ่านมา ผู้เสียชีวิตคือ นางสาววันทนา พุดช่อ อายุ 46 ปี วันนี้ครอบครัวนำร่างผู้เสียชีวิตมาบำเพ็ญกุศลภายในสำนักสงฆ์กิ่งแก้ว ท่ามกลางความเศร้าโศกเสียใจของผู้มาร่วมงาน

นางสมใจ กิ่งวงศา อายุ 64 ปี แม่ของผู้เสียชีวิต เล่าว่า ก่อนเกิดเหตุได้ชวนลูกสาวออกไปหาหอยแครง บริเวณป่าชายเลนภายในซอยกิ่งแก้ว และเจอแมงดาทะเล 3 ตัว จากนั้นนำกลับมาที่บ้านเพื่อปรุงอาหาร โดยลูกสาวนำแมงดาทะเลมาเผาสดๆ 1 ตัว หลังจากรับประทานเข้าไป ปรากฏว่าลูกสาวมีอาการมึนศีรษะ อาเจียน และเดินเซ จึงรีบนำตัวส่งโรงพยาบาลองค์การบริหารส่วนจังหวัดภูเก็ต เนื่องจากลูกสาวมีอาการหนัก แต่ต่อมาทางโรงพยาบาลบอกให้นำตัวลูกสาวไปรักษาต่อยังโรงพยาบาลวชิระภูเก็ต ตนจึงนำลูกสาวออกจากโรงพยาบาล อบจ.ภูเก็ต เพื่อพาไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลวชิระภูเก็ต แต่ในระหว่างนั้นมาแวะพักที่บ้าน กระทั่งพบว่าครึ่งชั่วโมงหลังจากนั้นลูกสาวเริ่มมีอาการชัก ปากเขียว มือเขียว จึงโทรเรียก 1669 เมื่อเจ้าหน้าที่มาถึงพยายามช่วยปั๊มหัวใจ แต่ไม่สามารถยื้อชีวิตลูกสาวได้ ตนรู้สึกเสียใจและติดใจว่าสาเหตุใดโรงพยาบาล อบจ.ภูเก็ต ไม่ช่วยทำเรื่องส่งตัวลูกสาวไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลวชิระภูเก็ต ทั้งที่ลูกสาวมีอาการหนัก ทั้งนี้ ก่อนนำร่างลูกสาวมาบำเพ็ญกุศล แพทย์ลงความเห็นว่าลูกสาวเสียชีวิตจากการรับประทานแมงดาทะเลที่เป็นพิษ.


https://tna.mcot.net/region-555237

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #8  
เก่า 06-10-2020
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default

ขอบคุณข่าวจาก ThaiPBS


รอลุ้น! ถ้ำนาคา -อุทยานทางทะเลเปิดพร้อมกัน 15 ต.ค.นี้

เตรียมเปิดถ้ำนาคา จ.บึงกาฬ หลังมีการเรียกร้องขอให้เปิดเข้าชมถ้ำนาคา คาดจัดกลุ่มไม่เกิน 15-20 คนต่อกลุ่ม และจำกัดไม่เกิน 300 คนต่อวันเพื่อป้องกันปัญหา ขณะที่ยังเตรียมการท่องเที่ยวทางทะเล 15 ต.ค.นี้หลังปิดป้องกัน COVID-19



วันนี้ (3 ต.ค.2563) นายธัญญา เนติธรรมกุล อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช เปิดเผยว่า ถ้ำนาคา ในเขตอุทยานแห่งชาติภูลังกา จ.บึงกาฬ ที่ถูกปิดจากการขีดเขียนตามผนังถ้ำของนักท่องเที่ยว จนเกิดความเสียหาย และขณะนี้ได้แก้ไขเรียบร้อยแล้ว โดยวันนี้ นายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.)พร้อมด้วยกรมอุทยานฯ จะลงพื้นที่ไปติดตามข้อเท็จจริง และรับฟังถึงการบริหารจัดการถ้ำนาคา เพราะหากปล่อยให้มีนักท่องเที่ยวเข้าไปจำนวนมากอย่างเช่นที่ผ่านมาอาจเกิดความเสียหายได้

"ความเป็นไปได้อาจจะให้มีการจัดเป็นกลุ่ม ไม่เกิน 15-20 คน มีการกำหนดเวลา เพื่อไม่ให้ไปรอกัน มีเจ้าหน้าที่คุมหัวและท้าย เพื่อป้องกันกันปัญหา ส่วนการจำกัดนักท่องเที่ยวคาดว่าจะให้รองรับได้ประมาณ 300-400 คนต่อวัน"

เปิดอุทยานแห่งชาติทางทะเล 15 ต.ค.นี้

นายธัญญา กล่าวอีกว่า ทั้งนี้จะเปิดอย่างเป็นทางการช่วงไหน และมีข้อกำหนดเพิ่มเติมอะไรบ้าง ต้องรอผลสรุปจากที่ประชุมอีกครั้ง นอกจากนี้ ในวันที่ 15 ต.ค.นี้ อุทยานแห่งชาติทางทะเล ฝั่งอันดามัน หลายแห่งจะเปิดฤดูกาลท่องเที่ยว แต่ขอให้ผู้ที่จะเดินทางไปตรวจสอบสภาพอากาศก่อน เพื่อความปลอดภัย ที่สำคัญต้องปฏิบัติตามมาตรการป้องกันเชื้อ COVID-19 ตามนโยบายรัฐบาลอย่างเคร่งครัด รวมทั้งยังคงมาตรการจำกัดจำนวนนักท่องเที่ยวด้วย




https://news.thaipbs.or.th/content/297057

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
ตอบ


กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 14:24


vBulletin รุ่น 3.8.10
สงวนลิขสิทธิ์ ©2000-2024, บริษัท Jelsoft Enterprises จำกัด
Ad Management plugin by RedTyger