#1
|
||||
|
||||
สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันอังคารที่ 13 ตุลาคม 2563
ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา
สภาวะอากาศทั่วไป ร่องมรสุมกำลังแรงพาดผ่านภาคใต้ตอนบน และภาคตะวันออก เข้าสู่หย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณประเทศลาวตอนล่าง ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคใต้ และอ่าวไทย ยังคงมีกำลังแรง ทำให้ประเทศไทยยังคงมีฝนตกต่อเนื่อง และมีฝนตกหนักบางแห่ง บริเวณภาคใต้ ขอให้ประชาชนที่อาศัยในพื้นที่เสี่ยงภัยบริเวณดังกล่าว ระวังอันตรายจากฝนที่ตกหนักและฝนที่ตกสะสมไว้ด้วย สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเล อันดามันและอ่าวไทยตอนบนมีคลื่นสูง 2-3 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร ขอให้ชาวเรือในบริเวณดังกล่าวควรเดินเรือด้วยความระมัดระวัง และควรงดการเดินเรือ ในระยะนี้ อนึ่ง พายุระดับ 3 (พายุโซนร้อน) "นังกา" บริเวณทะเลจีนใต้ตอนบน กำลังเคลื่อนตัวทางทิศตะวันตก คาดว่า จะเคลื่อนผ่านเกาะไหหลำเข้าสู่บริเวณประเทศเวียดนามตอนบน ในช่วงวันที่ 14 ? 15 ตุลาคม 2563 โดยจะมีผลกระทบต่อภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ทำให้บริเวณดังกล่าวมีฝนเพิ่มขึ้น กรุงเทพมหานครและปริมณฑล เมฆมาก กับมีฝน ร้อยละ 30 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 24-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 31-33 องศาเซลเซียส ลมตะวันออก ความเร็ว 10-25 กม./ชม. คาดหมาย ในช่วงวันที่ 12 - 13 ต.ค. และ 16 - 18 ต.ค. ร่องมรสุมพาดผ่านภาคกลางตอนล่าง ภาคใต้ตอนบน และภาคตะวันออก ในขณะที่ มรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังแรงพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย ตลอดช่วง ทำให้ภาคตะวันออก และภาคใต้ ยังคงมีฝนฟ้าคะนองและมีฝนตกหนักบางแห่ง สำหรับภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนมีความกดอากาศสูงจากประเทศจีนได้แผ่ลงมาปกคลุมทำให้มีฝนน้อยในระยะนี้ อนึ่ง พายุดีเปรสชัน บริเวณทะเลจีนใต้ตอนบน มีแนวโน้มทวีกำลังแรงขึ้น คาดว่าเคลื่อนตัวเข้าสู่อ่าวตังเกี๋ย และเคลื่อนขึ้นฝั่งประเทศเวียดนามตอนบนในช่วงวันที่ 14-15 ตุลาคม 2563 ในช่วงวันที่ 16 - 18 ต.ค. หย่อมความกดอากาศต่ำ บริเวณทะเลจีนใต้ตอนกลาง คาดว่าเคลื่อนตัวเข้าสู่ชายฝั่งประเทศเวียดนามตอนกลางวันที่ 17 ตุลาคม 2563 ข้อควรระวัง ขอให้ประชาชนบริเวณพื้นที่เสี่ยงภัยของประเทศไทย ระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมาก ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก สำหรับชาวเรือในบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทย ควรเดินเรือด้วยความระมัดระวังและหลีกเลี่ยงบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง ********************************************************************************************************************************************************* ประกาศกรมอุตุนิยมวิทยา "พายุระดับ 3 (พายุโซนร้อน) "นังกา" บริเวณทะเลจีนใต้ตอนบน (มีผลกระทบตั้งแต่วันที่ 14 ? 16 ต.ค. 2563)" ฉบับที่ 3 ลงวันที่ 13 ตุลาคม 2563 เมื่อเวลา 04.00 น. ของวันนี้ (13 ตุลาคม 2563) พายุระดับ 3 (พายุโซนร้อน) "นังกา" บริเวณทะเลจีนใต้ตอนบน มีศูนย์กลางอยู่ห่างประมาณ 290 กิโลเมตร ทางด้านตะวันออกของเกาะไหลำ ประเทศจีน หรือที่ละติจูด 18.0 องศาเหนือ ลองจิจูด 112.8 องศาตะวันออก มีความเร็วลมสูงสุดใกล้ศูนย์กลางประมาณ 75 กิโลเมตรต่อชั่วโมง กำลังเคลื่อนตัวทางทิศตะวันตกด้วยความเร็ว ประมาณ 20 กิโลเมตรต่อชั่วโมง คาดว่าจะเคลื่อนผ่านเกาะไหหลำ เข้าสู่ประเทศเวียดนามตอนบน ในช่วงวันที่ 14 ? 15 ตุลาคม 2563 โดยจะทำให้มีฝนเพิ่มขึ้นในบริเวณด้านตะวันออกและตอนบนของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อนึ่ง มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย ยังคงมีกำลังแรง ทำให้ภาคใต้มีฝนตกต่อเนื่องและมีฝนตกหนักบางแห่ง สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันและอ่าวไทยตอนบน มีคลื่นสูง 2-3 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองจะมีคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร ขอให้ชาวเรือในบริเวณดังกล่าวควรเดินเรือด้วยความระมัดระวัง และควรงดการเดินเรือ ในระยะนี้
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#2
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการออนไลน์
"อ.เจษฎ์" คลายฉงน สาเหตุน้ำทะเลบางแสนใสทะลุเห็นเม็ดทราย อ.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านชีววิทยา ออกมาโพสต์ข้อมูลให้ความรู้เกี่ยวกับสาเหตุของน้ำทะเลของชายหาดบางแสน จ.ชลบุรี มีสภาพใสจนมองเห็นพื้นทรายได้ ทำให้มีนักท่องเที่ยวเข้าไปเล่นน้ำพักผ่อนเป็นจำนวนมาก เผย ได้อานิสงส์จากการเปลี่ยนของทิศทางลม พร้อมชวนคนไทยเที่ยวทะเลในประเทศช่วงปลายปี จากเหตุการณ์ เพจ "ชอบจัง บางแสน" เผยภาพบรรยากาศชายหาดบางแสน ตำบลแสนสุข อำเภอเมือง จังหวัดชลบุรี ภายในเผยให้เห็นความใสของน้ำทะเล มองทะลุลงไปเห็นพื้นทราย ถือเป็นปกติของทุกปีที่ในช่วงฤดูหนาว ประกอบกับลมและกระแสน้ำ ทำให้น้ำทะเลบางแสนใสสะอาด อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 12 ต.ค. เพจ "อ๋อ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง by อาจารย์เจษฎ์" หรือ อ.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ออกมาโพสต์ข้อความไขข้อข้องใจเกี่ยวกับเหตุการณ์น้ำทะเลใสในพื้นที่ชายหาดบางแสน ซึ่ง อ.เจษฎา เผยว่า "ทำไมทะเลหาดบางแสน ถึงน้ำใส ตอนหน้าหนาว หลายคนแชร์ภาพของชายหาดบางแสน จังหวัดชลบุรี ที่น้ำทะเลใสแจ๋ว อย่างกับไปมัลดีฟส์ แหล่งท่องเที่ยวชื่อดังในต่างประเทศ .. ซึ่งน่าแปลกใจมาก เพราะตอนหน้าร้อน ไปเที่ยวบางแสน พัทยา ชลบุรี ระยอง มากันก็หลายครั้ง ก็ไม่เคยเจอตอนที่น้ำทะเลใส ไร้ตะกอน น่าเล่นน้ำมากขนาดนี้ จริงๆ แล้ว น้ำทะเลที่บางแสนนั้น จะใสเป็นประจำทุกปี แต่จะเป็นช่วงหน้าหนาว ไม่ใช่ช่วงหน้าร้อนที่นักท่องเที่ยวนิยมมากัน ... ยิ่งถ้าเข้าเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนมกราคม น้ำจะยิ่งใสมากขึ้นกว่าตอนนี้อีกทำไมน้ำทะเลชายหาดบางแสนถึงใสในช่วงหน้า ผศ.ดร.อนุกูล บูรณประทีปรัตน์ ภาควิชาวาริชศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา ได้เคยให้สัมภาษณ์ไว้ รู้ไหม..ทำไม? บางแสนน้ำใส (หน้าหนาว) - ปกติประเทศไทย ช่วงหน้าฝน จะได้รับอิทธิพลจากลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ ส่วนช่วงหน้าหนาว จะเป็นลมตะวันออกเฉียงเหนือ - น้ำทะเลบางแสน จะไม่ใสในฤดูฝน ที่มีลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ โดยธรรมดาก็จะมีปัญหาเรื่องขยะเยอะ และแพลงก์ตอนบลูม (พวกแพลงก์ตอนสาหร่ายขนาดเล็กที่ตามองไม่เห็น อย่างน็อกติลูก่า Noctiluca เจริญเติบโตมากผิดปกติ จะเห็นทะเลเรืองแสง) ทำให้น้ำเน่าเสีย โดยไม่ได้มีจุดกำเนิดจากตัวเมืองบางแสน แต่มากับน้ำที่มาจากนอกฝั่ง - แถมในช่วงฤดูฝน จะมีปริมาณน้ำจืดไหลลงมาตามแม่น้ำต่างๆ เช่น เจ้าพระยา บางปะกง ประจวบกับมีกระแสลมพัดให้กระแสน้ำจากปากแม่น้ำในอ่าวไทยเข้ามาทางชลบุรี ทำให้สิ่งต่างๆ ที่มากับแม่น้ำก็จะไหลมาทางบางแสนไปด้วย ทั้งตะกอนดิน (ทำให้น้ำขุ่น) สารอาหาร (ของแพลงก์ตอน) และขยะเป็นปริมาณมหาศาล เก็บขยะแถวชายหาดเท่าไหร่ก็ไม่หมด ในช่วงฤดูนี้ - แต่กลับกัน ช่วงหน้าน้ำ ลมก็จะเปลี่ยนทิศตามมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ ทำให้กระแสน้ำที่ไหลออกมาจากปากแม่น้ำเจ้าพระยา ไหลไปทางหัวหิน ไปทางเพชรบุรีแทน .. เปิดโอกาสให้น้ำจากพัทยา สัตหีบ ไหลเข้ามาแทนที่ และทำให้น้ำทะเลที่บางแสนใสขึ้น (เหมือนมีน้ำดี มาไล่น้ำเสีย) จนกว่าจะหมดช่วงมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ หมดฤดูหนาว ดังนั้น ใครมีเวลาว่างช่วงวันหยุดปลายปี แทนที่จะไปเที่ยวทะเลต่างประเทศ (ซึ่งคงไปไหนยาก ในสถานการณ์โควิดทั่วโลกแบบนี้) ก็ลองแวะไปดูน้ำทะเลใสๆ ทางด้านบางแสนของไทยเราเองบ้างนะครับ ใกล้แค่นี้เอง ไปเช้าเย็นกลับยังได้เลย" https://mgronline.com/onlinesection/.../9630000104302 ********************************************************************************************************************************************************* อยู่ดี ๆ ก็รวย! หนุ่มไต้หวันนั่งตกปลาเจอก้อนปริศนาลอยมาตามน้ำ รับเละ 6 ล้านดอลลาร์ (แฟ้มภาพเอเอฟพี) กลุ่มสื่อไต้หวัน รายงาน (10 ต.ค.) ขณะที่ชายไต้หวันแซ่หลี่กำลังตกปลาบนเกาะแห่งหนึ่งในเมืองไถจง ก็พบวัตถุลึกลับลอยมาตามคลื่นทะเล รายงานระบุว่า วัตถุดังกล่าวเป็นก้อนสีดำ สภาพคล้ายยางมะตอย เมื่อถูกความร้อนมีควันสีเทาและมีกลิ่นหอม นายหลี่ได้ส่งวัตถุดังกล่าวไปตรวจพิสูจน์ที่มหาวิทยาลัยเกาสง ก่อนจะได้รับการยืนยันว่าวัตถุดังกล่าวคือ ?อำพันทะเล? โดยประเมินมูลค่าเบื้องต้นเป็นราคา 6 ล้านดอลลาร์ไต้หวัน หรือราว 6 ล้านบาท "อำพันทะเล" หรือ "อ้วกวาฬ" เป็นสารที่ถูกหลั่งออกมาในลำไส้ของวาฬสเปิร์มซึ่งชอบกินปลาหมึก แต่ร่างกายจะไม่สามารถย่อยไขมันจากปลาหมึกได้ ทำให้ไขมันไปสะสมอยู่ในลำไส้ จนขับถ่ายไขมันส่วนนี้ออกมาด้วยการสำรอกเป็นอ้วก ช่วงแรกที่อ้วกวาฬออกมาจากตัววาฬจะมีกลิ่นเหม็นอย่างรุนแรง อย่างไรก็ดี เมื่อเวลาผ่านไป กลิ่นจะค่อยๆ หอมขึ้นมา และสามารถนำไปใช้ประโยชน์เป็นหัวน้ำหอม กลิ่นไวน์ และกลิ่นอาหารบางชนิด และมีสรรพคุณบำรุงกำลัง บำรุงหัวใจ แก้อ่อนเพลีย แก้ลมวิงเวียน แก้เสมหะ และบำรุงโลหิต เป็นส่วนผสมในยาแผนโบราณตำราต่าง ๆ ทำให้มีราคาแพง https://mgronline.com/china/detail/9630000103733
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#3
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก โพสต์ทูเดย์
โครงการสะพานไทย 9.9 แสนล้านบาท....โจทย์คืออะไร ...................... คอลัมน์ 'เศรษฐกิจรอบทิศ' ภายใต้ภาวะเศรษฐกิจของประเทศมีท่าทีจะถดถอยและหรือชะลดตัวต่อเนื่องไปอย่างน้อย 2-3 ปี การลงทุนของภาคเอกชนหดตัวสะท้อนจากการลงทุนทางตรงผ่านการยื่นขอส่งเสริมการลงทุนช่วง 8 เดือนที่ผ่านมามีมูลค่า 6.2 หมื่นล้านบาท ขณะที่การลงทุนของภาครัฐในโครงการขนาดใหญ่ต่าง ๆ โดยเฉพาะรถไฟฟ้าในพื้นที่กทม.และเชื่อมโยงปริมณฑลในช่วงคสช.ต่อเนื่องมาจนถึงรัฐบาลปัจจุบันมีนับเป็นสิบสายจนไม่รู้จะทำที่ไหนอีกแล้ว มีการฟื้นโครงการในอดีตแต่เล็ก ๆ ไม่ทำปรับใหม่เป็นอภิมหาโปรเจคเริ่มจากการผลักดันของรมว.คมนาคมเดือนกันยายนเสนอสร้างโครงการสะพานเศรษฐกิจภาคใต้หรือ "Southern Land Bridge" เป็นการสร้างถนนมอเตอร์เวย์และทางรถไฟฟ้าระยะทางประมาณ 120 ก.ม. เชื่อมสองฝั่งทะเลเพื่อให้เรือสินค้าขนาดใหญ่ที่มาจากยุโรปไม่ต้องผ่านช่องแคบมะละกาหรือแวะจอดท่าเรือสิงคโปร์ โครงการพัฒนาท่าเรือน้ำลึกระนองที่สร้างมานานแล้วแต่ไม่ค่อยคุ้มค่าเพราะเรือมาเทียบน้อยให้กลายเป็นท่าเรือระดับโลก ขณะเดียวกันจะสร้างท่าเรือที่อำเภอหลังสวน จังหวัดชุมพรให้เป็นท่าเรือน้ำลึกฝั่งอ่าวไทย โดยจะมีระบบเปลี่ยนถ่ายตู้สินค้าคอนเทนเนอร์จากเรือลงรถบรรทุกหรือรถไฟไปขึ้นอีกท่าเรือหนึ่งเพื่อเปลี่ยนเรือที่เรียกว่า "Inter Model Transhipment" โครงการนี้ใช้เงินประมาณ 6-7 หมื่นล้านบาทซึ่งครม.มีมติให้งบประมาณไปศึกษา ต่อมาช่วงต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมาคุณสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พลังงานฯ ออกมาเปิดตัวโครงการศึกษาสะพานไทยเป็นโครงการภายใต้ "อีอีซี" ด้วยการสร้างสะพานข้ามอ่าวไทยจากจังหวัดชลบุรีเชื่อมจังหวัดเพชรบุรีระยะทาง 80-100 กิโลเมตรจากนั้นมีโครงการสร้างสะพานเลาะชายฝั่งทะเลผ่านจังหวัดต่าง ๆ ตามโครงการที่ออกมาระบุว่าจะไปเชื่อมกับท่าเรือชุมพรซึ่งจะไปรับกับ "Southern Land Bridge" เชื่อมโยงกับท่าเรือระนองโครงการนี้มีมูลค่า 9.9 แสนล้านบาทเป็นโครงการที่ใช้งบประมาณมากสุดเท่าที่เคยมีในประเทศไทย เหตุผลของการลงทุนครั้งนี้ระบุว่าจะเป็นเส้นทางขนส่งสินค้าจากแหลมฉบังเชื่อมต่อกับท่าเรือระนองเพื่อให้เป็นทำให้เป็นทางเลือกในการนำเข้า-ส่งออกที่ค้าขายกับประเทศที่อยู่ทางฝั่งตะวันตกที่เรือจะต้องอ้อมแหลมมะละกาและมาเปลี่ยนถ่ายเรือที่ท่าเรือสิงคโปร์ให้กลับมาใช้ท่าเรือระนองแล้วขนถ่ายขึ้นบกไปส่งมอบสินค้าตามจุดหมายปลายทางในประเทศ หากจะไปต่อเรือก็สามารถเชื่อมโยงกับท่าเรือแหลมฉบังโดยหวังว่าจะเป็นการกระจายความมั่งคั่งจากอีอีซีไปสู่ภาคใต้ตอนบนและจะมีอุตสาหกรรมไปลงทุนในพื้นที่ ขณะเดียวกันจะเป็นการเชื่อมโยงการท่องเที่ยวเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวจากพัทยาให้มาเที่ยวทั้งจังหวัดเพชรบุรี หัวหิน จังหวัดชุมพร จนไปถึงระนองเป็นการกระจายความเจริญจากภาคตะวันออกมาเชื่อมกับชายฝั่งทะเลภาคใต้ทั้งอ่าวไทยและอันดามัน โครงการนี้ไม่ใช่พูดกันเล่น ๆ เพราะนายกรัฐมนตรีได้เห็นชอบให้มีการศึกษาความเป็นไปได้และมีการจัดสรรงบประมาณให้ทำการศึกษาและให้เป็นโครงการอยู่ภายใต้อีอีซี ประเด็นคือโครงการสะพานไทยกับ "Southern Land Bridge" จะเชื่อมต่อกันหรือไม่ เพราะออกมาคนละเวทีแต่ดูเหมือนว่าจะมีการให้เชื่อมโยงกัน โครงการนี้ใช้เงินเกือบหนึ่งล้านล้านบาทเป็นการลงทุนระยะยาวเฉพาะเป็นระยะเวลาก่อสร้างมากกว่า 10 ปี โจทย์ต้องชัดเจนว่าสร้างเพื่ออะไร ผลลัพธ์อยู่ตรงไหน ความคุ้มค่าของการลงทุนและปัจจัยความเสี่ยงมีอะไรบ้าง การกล่าวว่าจะเป็นคอนเทนต์ของคนไทยจะช่วยโรงปูนโรงเหล็กเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจคิดแค่นี้คงไม่ใช่เพราะอุตสาหกรรมที่ได้ประโยชน์ล้วนเป็นอุตสาหกรรมกึ่งผูกขาดขนาดใหญ่แต่ SMEs และชาวบ้านไม่ได้อะไรหรือได้ก็แค่จิ๊บจ๊อย หากต้องการลดต้นทุนโลจิสติกส์การขนส่งในประเทศและหรือส่งเสริมการท่องเที่ยวแค่สร้างสะพานเชื่อมพัทยากับหัวหินซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของสองฝั่งอ่าวไทยก็น่าจะพอเพียงแล้วและลดระยะทางได้ไม่น้อยกว่า 400 กิโลเมตรขณะเดียวกันสะพานไทยก็จะกลายเป็น "Landmark" ของประเทศ https://www.posttoday.com/economy/columnist/635275 ********************************************************************************************************************************************************* นี่ไม่ใช่หิมะแต่คือมลภาวะในแม่น้ำยมุนา ภาพมลภาวะที่เกิดขึ้นกับแม่น้ำที่ครั้งหนึ่งเคยมีสีฟ้าใสแต่กลายเป็นที่ทิ้งขยะจากเมืองหลวงของอินเดีย ภาพเหล่านี้ไม่ใช่หิมะสีขาวสะอาดตาแต่เป็นฟองที่เกิดจากมลภาวะในแม่น้ำยมุนาช่วงที่ไหลผ่านกรุงนิวเดลี ประเทศอินเดีย นอกจากฟองที่ลอยฟ่องไปทั่วแม่น้ำแล้วริมตลิ่งยังเต็มไปด้วยขยะมากมาย ในปีพ. ศ. 2452 น่านน้ำของแม่น้ำยมุนามีสีฟ้าใส แต่เพราะการเติบโตของประชากรที่หนาแน่นและการขยายตัวทางอุตสาหกรรมอย่างรวดเร็ว ยมุนาจึงกลายเป็นแม่น้ำที่มีมลพิษมากที่สุดแห่งหนึ่งในอินเดียและในโลก และแม่น้ำยมุนาเป็นแหล่งมลพิษทางปลายน้ำของนิวเดลีซึ่งทิ้งของเสียประมาณ 58% ลงในแม่น้ำ โดยรวมแล้วแม่น้ำยมุนารับน้ำเสียที่ไม่ผ่านการบำบัด 800 ล้านลิตรและน้ำทิ้งจากโรงงานอุตสาหกรรมอีก 44 ล้านลิตรในแต่ละวัน แม่น้ำยมุนามีมลภาวะที่น่าวิตก เจ้าหน้าที่อินเดียระบุว่าแม่น้ำแห่งนี้มีสภาพเป็น "ท่อระบายน้ำเสีย" ที่มีค่าความต้องการออกซิเจนทางชีวเคมี (BOD) หรือค่าที่บอกคุณภาพของน้ำ ตั้งแต่ 14 ถึง 28 มก. / ล. ซึ่งค่าบีโอดีสูง แสดงว่าน้ำมีคุณภาพไม่ดี นอกจากนี้แม่น้ำยมุนายังมีปริมาณโคลิฟอร์มสูงด้วย ทั้งนี้ เป็นแม่น้ำสายสำคัญของประเทศอินเดีย ได้ชื่อว่าเป็นแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ของชาวฮินดู มีต้นกำเนิดทางภาคเหนือของอินเดียบริเวณเทือกเขาหิมาลัย ไหลขนานกับแม่น้ำคงคาไปทางตะวันออกเฉียงใต้ และไปรวมกันที่เมืองอัลลอฮาบาดในอินเดีย แม่น้ำยมุนาแห่งอินเดียมีความยาวประมาณ 1,376 กิโลเมตร https://www.posttoday.com/world/635239
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#4
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก แนวหน้า
'นายอำเภอ'ปิ๊งไอเดีย! รับซื้อขยะชาวประมงพื้นบ้านเกาะลันตา ช่วงหยุดหาปลาหน้ามรสุม "นายอำเภอ"ปิ๊งไอเดีย! รับซื้อขยะชาวประมงพื้นบ้านเกาะลันตา ช่วงหยุดหาปลาหน้ามรสุม ออกไปเก็บขยะทะเลที่ถูกคลื่นซัดตามป่าโกงกางมาขายที่ว่าการอำเภอเกาะลันตา รายได้เฉลี่ย700-1,000บาทต่อวัน ด้าน"นายอำเภอ"เผยขยะทะเลเป็นทรัพย์สมบัติบล้ำค่าจากมหาสมุทร เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2563 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ชาวประมงพื้นบ้าน ต.ศาลาด่าน อ.เกาะลันตา จ.กระบี่ และพื้นที่ใกล้เคียง นั่งเรือหางยาวออกไปที่บริเวณป่าชายเลนริมคลองศาลาด่าน ต.ศาลาด่าน อ.เกาะลันตา จ.กระบี่ เพื่อหาขยะในทะเลไปขายเป็นรายได้เสริม เช่น เชือกอวนไนล่อน รองเท้าเก่า ขวดพลาสติก เป็นต้น ที่ถูกทิ้งในทะเลแล้วคลื่นซัดขึ้นมาติดตามป่าโกงกาง เพื่อนำกลับมาขายให้รถรับซื้อขยะของนายอำเภอเกาะลันตา ซึ่งละวันได้ขยะมากว่า 200 - 300 กิโลกรัม สร้างรายได้เฉลี่ยวันละ 700 - 1,000 บาท โดย ชาวบ้าน เล่าว่า ช่วงทะเลมีคลื่นลมแรง ไม่สามารถออกจับสัตว์น้ำได้ ทำให้ชาวประมงพื้นบ้านขาดรายได้ จึงต้องออกไปหาขยะทะเลมาขาย เช่น รองเท้าแตะ ขวดพลาสติก และเชือกอวนประมง ซึ่งตอนนี้ขยะที่ชายหาดลดน้อยลง เนื่องจากชาวบ้านเก็บไปชายจำนวนมาก จึงชักชวนเพื่อนบ้านนั่งเรือหางยาวออกไปตามลำคลองป่าโกงกาง ซึ่งเชื่อมต่อไปยังคลองทุ่งหยีเพ็ง อ.เกาะลันตา เพื่อเก็บขยะมาขายแทนการหาปลา เนื่องจากตามลำคลองคลื่นลมไม่แรงเหมือนกลางทะเล ซึ่งวันนี้ก็ได้เชือกอวนประมงประมาณ 200 กิโลกรัม รายได้กว่า 780 บาท นำมาแบ่งกัน ก็พอจุนเจือครอบครัวได้ บางครั้งก็ได้เยอะกว่าออกหาปลาทะเล ด้าน นายสมบูรณ์ เต็มชื่น นายอำเภอเกาะลันตา กล่าวว่า โครงการเก็บขยะทะเล เกิดจากช่วงหน้ามรสุม ทุกปีจะมีขยะทะเลลอยมาติดชายหาดจำนวนมาก เช่น ขยะพลาสติก เชือกไนล่อน ขวดพลาสติก เป็นต้น ซึ่งเหล่านี้เป็นขยะที่อันตรายต่อสัตว์ทะเล และทำลายทัศนียภาพความสวยงามของหาดทราย แหล่งท่องเที่ยว จึงได้ไประสานกับโรงงานรับซื้อขยะบนฝั่ง เพื่อจัดรถลงมารับซื้อ โดยจัดรถบริการรับซื้อให้ชาวบ้านถึงที่โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเดินทาง เช่น เชือกอวน ไนล่อน โพลีเอสเตอร์ กิโลกรัมละ 3 บาท รองเท้าลอยทะเล กิโลกรัมละ 3 บาท เป็นการกระตุ้นให้ชาวบ้านหันมาเก็บขยะ อนุรักษ์สิ่งแวดล้อมในทะเลกันมากขึ้น และสร้างรายได้ให้กับชาวประมงในช่วงหน้ามรสุมด้วย ซึ่งขยะเชือกอวนประมงนั้น มาจากชาวประมงที่ออกทำประมงแล้วเกิดชำรุดเสียหายทิ้งไว้ในทะเล จึงได้เกิดไอเดียรับซื้อ เพราะสามารถนำไปรีไซเคิล ได้ ทำให้ขยะทะเลมีค่า ตามสโลแกน "ขยะทะเลเป็นทรัพย์ที่ล้ำค่าจากมหาสมุทร" https://www.naewna.com/local/524672
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#5
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก กรุงเทพธุรกิจ
'อ.เจษฎ์' เฉลยสาเหตุชายหาดบางแสนน้ำใส ราวกับมัลดีฟส์ "อ.เจษฎ์" เฉลยทำไมทะเลบางแสน ถึงน้ำใสตอนช่วงเข้าสู่ฤดูหนาว ราวกับมัลดีฟส์ จากกรณีที่เพจ ชอบจัง บางแสน โพสต์ภาพทะเลบางแสน น้ำใส ลงเฟซบุ๊ค จนโลกออนไลน์แชร์ภาพสร้างความฮือฮาให้นักท่องเที่ยวทั่วประเทศเป็นอย่างมาก ล่าสุดเพจเฟซบุ๊ค อ๋อ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง by อาจารย์เจษฎ์ ได้ออกมาโพสต์ข้อความถึงเรื่องราวดังกล่าวเอาไว้ว่า "ทำไมทะเลหาดบางแสน ถึงน้ำใส ตอนหน้าหนาว" หลายคนแชร์ภาพของชายหาดบางแสน จังหวัดชลบุรี ที่น้ำทะเลใสแจ๋ว อย่างกับไปมัลดีฟ แหล่งท่องเที่ยวชื่อดังในต่างประเทศ .. ซึ่งน่าแปลกใจมาก เพราะตอนหน้าร้อน ไปเที่ยวบางแสน พัทยา ชลบุรี ระยอง มากันก็หลายครั้ง ก็ไม่เคยเจอตอนที่น้ำทะเลใส ไร้ตะกอน น่าเล่นน้ำมากขนาดนี้ จริงๆ แล้ว น้ำทะเลที่บางแสนนั้น จะใสเป็นประจำทุกปี แต่จะเป็นช่วงหน้าหนาว ไม่ใช่ช่วงหน้าร้อนที่นักท่องเที่ยวนิยมมากัน ... ยิ่งถ้าเข้าเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนมกราคม น้ำจะยิ่งใสมากขึ้นกว่าตอนนี้อีก ทำไมน้ำทะเลชายหาดบางแสนถึงใสในช่วงหน้า ผศ.ดร.อนุกูล บูรณประทีปรัตน์ ภาควิชาวาริชศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา ได้เคยให้สัมภาษณ์ไว้ - ปรกติประเทศไทย ช่วงหน้าฝน จะได้รับอิทธิพลจากลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ ส่วนช่วงหน้าหนาว จะเป็นลมตะวันออกเฉียงเหนือน้ำทะเลบางแสน จะไม่ใสในฤดูฝน ที่มีลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ โดยธรรมดาก็จะมีปัญหาเรื่องขยะเยอะ และแพลงตอนบลูม (พวกแพลงตอนสาหร่ายขนาดเล็กที่ตามองไม่เห็น อย่างน็อกติลูก่า Noctiluca เจริญเติบโตมากผิดปรกติ จะเห็นทะเลเรืองแสง) ทำให้น้ำเน่าเสีย โดยไม่ได้มีจุดกำเนิดจากตัวเมืองบางแสน แต่มากับน้ำที่มาจากนอกฝั่ง - แถมในช่วงฤดูฝน จะมีปริมาณน้ำจืดไหลลงมาตามแม่น้ำต่างๆ เช่น เจ้าพระยา บางปะกง ประจวบกับมีกระแสลม พัดให้กระแสน้ำจากปากแม่น้ำในอ่าวไทยเข้ามาทางชลบุรี ทำให้สิ่งต่างๆ ที่มากับแม่น้ำก็จะไหลมาทางบางแสนไปด้วย ทั้งตะกอนดิน(ทำให้น้ำขุ่น) สารอาหาร(ของแพลงตอน) และขยะเป็นปริมาณมหาศาล เก็บขยะแถวชายหาดเท่าไหร่ก็ไม่หมด ในช่วงฤดูนี้ - แต่กลับกัน ช่วงหน้าน้ำ ลมก็จะเปลี่ยนทิศตามมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ ทำให้กระแสน้ำที่ไหลออกมาจากปากแม่น้ำเจ้าพระยา ไหลไปทางหัวหิน ไปทางเพชรบุรีแทน .. เปิดโอกาสให้น้ำจากพัทยา สัตหีบ ไหลเข้ามาแทนที่ และทำให้น้ำทะเลที่บางแสนใสขึ้น (เหมือนมีน้ำดี มาไล่น้ำเสีย) จนกว่าจะหมดช่วงมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ หมดฤดูหนาว ดังนั้น ใครมีเวลาว่างช่วงวันหยุดปลายปี แทนที่จะไปเที่ยวทะเลต่างประเทศ (ซึ่งคงไปไหนยาก ในสถานการณ์โควิดทั่วโลกแบบนี้) ก็ลองแวะไปดูน้ำทะเลใสๆ ทางด้านบางแสนของไทยเราเองบ้างนะครับ ใกล้แค่นี้เอง ไปเช้าเย็นกลับยังได้เลย https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/902199
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#6
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก ThaiPBS
กังขา! ขุดลอกร่องน้ำอ่าวกันตังกระทบหญ้าทะเลตาย 1,000 ไร่ ชาวเกาะลิบง อ.กันตังจ.ตรัง เรียกร้องให้เร่งแก้ปัญหาหญ้าทะเลเน่าตาย ส่งผลกระทบต่อแหล่งอาหารของพะยูนฝูงสุดท้าย 200 ตัว คาดเป็นผลกระทบจากกรมเจ้าท่า ขุดลอกร่องน้ำบริเวณอ่าวกันตัง และนำตะกอนดินมาทิ้งใกล้แหล่งหญ้าทะเล นักอนุรักษ์ชวนลงพื้นที่ 16 ต.ค.นี้ วันนี้ (12 ต.ค.2563) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ชาวบ้านเกาะลิบง อ.กันตัง จ.ตรัง และเครือข่ายประมงพื้นบ้าน สำรวจแหล่งหญ้าทะเลบริเวณอ่าวทุ่งจีน อ.กันตัง จ.ตรัง พบใบเปลี่ยนเป็นสีเหลือง เริ่มเน่าตายเป็นบริเวณกว้าง เนื่องจากน้ำทะเลมีลักษณะเป็นตะกอนขุ่น ชาวบ้านอ้างว่า สาเหตุเกิดจากกรมเจ้าท่า ทำการขุดลอกร่องน้ำ บริเวณอ่าวกันตัง แล้วนำตะกอนดินไปทิ้งใกล้กับแหล่งหญ้าทะเล เมื่อเกิดพายุทำให้คลื่นพัดตะกอนดินทับถมหญ้าทะเล กระทบต่อแหล่งอา หารของพะยูน อาจทำให้พะยูนในเกาะที่มีอยู่ประมาณ 180 ตัว อพยพไปและอาจสูญพันธุ์ในอนาคต สอดคล้องกับข้อมูลของเจ้าหน้าที่ศูนย์ปฏิบัติการอุทยานแห่งชาติทางทะเลที่ 3 จ.ตรัง ที่สำรวจติดตามประเมินสถานภาพพะยูนและสัตว์ทะเลหายาก ในเขตห้ามล่าสัตว์ป่าหมู่เกาะลิบง ระหว่างวันที่ 5 -7 ต.ค.ที่ผ่านมา พบร่องรอยพะยูนเข้ามาหากินน้อยลง และบางหาดไม่พบร่องรอย จากเดิมที่เคยพบจำนวนมาก สันนิษฐานว่า อาจเกิดจากการที่นำตะกอนดิน ไปทิ้งในทะเล ทั้งนี้ชาวบ้านเกาะลิบง อ.กันตัง จ.ตรัง เตรียมเข้ายื่นหนังสือต่อนายอำเภอกันตัง กรมเจ้าท่า และสำนักงานเทศบาล เพื่อเรียกร้องให้ยุติโครงการขุดลอกแม่น้ำตรัง และนำดินโคลนมาทิ้งในทะเล หลังพบว่าหญ้าทะเลเสียหาย ตายกว่า 1,000 ไร่ บริเวณทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเกาะลิบง ซึ่งคิดเป็น 50% ของปริมาณหญ้าทะเลทั้งหมดบนเกาะ โดยจะยื่นหนังสือต่อผู้ว่าราชการจังหวัดตรังด้วย เพื่อร้องเรียนให้มาตรวจสอบความเสียหายที่เกิดขึ้น ภาพ : เฟซบุ๊ก Chainarong Setthachua เรียกร้องยุติทำลายแหล่งหญ้าทะเล-บ้านพะยูน ขณะที่เฟซบุ๊กของ บัณฑิตา ฮาริ อย่างดี โพสต์เฟซบุ๊กว่า หยุดทิ้งโคลนบ้านพะยูน?เกาะลิบง เกาะลิบง เป็นบ้านที่ปลอดภัยของพะยูนไหม อาจจะไม่ปลอดภัย เนื่องจากแหล่งหญ้าทะเล ซึ่งเป็นบ้านและอาหารของพะยูนกำลังถูกทำลายจากการนำโคลน (ดินทรายตะกอนดิน) มาทิ้งบริเวณเกาะลิบง ภายใต้โครงการขุดลอกและบำรุงรักษาร่องน้ำกันตัง ชาวประมงพื้นบ้าน ซึ่งมีส่วนร่วมในการดูแลพะยูนและหญ้าทะเลมาโดยตลอดได้ร้องเรียนหน่วยงานรัฐให้แก้ไขปัญหา เป็นเวลาประมาณ 2-3 เดือน แต่ยังไม่มีการแก้ไขปัญหาแล้วแผนอนุรักษ์?พะยูน?จะมีประโยชน์?อะไร?? ข้อมูล ระบุว่าปัจจุบันมีพะยูนในไทยประมาณ 250 ตัว ประมาณ 70% พบในบริเวณทะเลจ.ตรัง พะยูนตรังเพิ่มขึ้น จากจำนวน 125 ตัว ในพ.ศ.2556 เป็น 185 ตัว ในปี 2562 ร่างแผนอนุรักษ์พะยูนแห่งชาติ มีเป้าหมายให้พะยูนเพิ่มขึ้นจาก 250 ตัว เป็น 280 ตัวในเวลา 3 ปี จากการสำรวจพะยูน ล่าสุดพบพะยูนบริเวณแหลมจูโหย เกาะลิบง 30 ตัว (จากเพจศูนย์ปฏิบัติการอุทยานแห่งชาติทางทะเลที่ 3 จ.ตรัง) วันที่ 22 เม.ย.63 ภาพ : เฟซบุ๊ก Chainarong Setthachua ชวนสำรวจหญ้าทะเล 16 ต.ค.นี้ นอกจากนี้ แหล่งหญ้าทะเลเป็นบ้าน และแหล่งอาหารของพะยูน หญ้าทะเลบริเวณทุ่งจีน หาดมดตะนอย หน้าแหลมจุโหย มีเนื้อที่ 7,000 ไร่ จากพื้นที่หญ้าทะเลผืนใหญ่ในตรัง 18,000 ไร่ นอกจากนี้จากกระแสมาเรียม พะยูนน้อย พลัดหลงจากแม่หลังจากเกยตื้น และถูกนำมาเลี้ยงที่เกาะลิบง ส่งผลให้พะยูนถูกให้ความสำคัญ มีการกำหนดวันอนุรักษ์พะยูนแห่งชาติ วันที่ 17 ส.ค.มีการยกร่างแผนอนุรักษ์พะยูนแห่งชาติ มีการผลักดันให้เกาะลิบงเป็นแหล่งเรียนรู้แหล่งท่องเที่ยวทางทะเลเชิงนิเวศแห่งอาเซียน ในส่วนสำนักข่าวต่างชาติ CNN ได้ยกเกาะลิบงเป็นสวรรค์สำหรับพะยูนไทย เช่นเดียวเฟซบุ๊กของนายไชยณรงค์ เศรษฐเชื้อ Chainarong Setthachua นักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อม โพสต์ว่า วันที่ 16 ต.ค.นี้ ยามบ่าย ชาวบ้านนัดกันออกไปสำรวจเก็บรายละเอียดความเสียหายของแนวหญ้าทะเลที่ จ.ตรังขอเขิญสื่อมวลชนและผู้สนใจเข้าร่วมทำข่าวและร่วมกิจกรรมครับ https://news.thaipbs.or.th/content/297301
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
|