#1
|
||||
|
||||
สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน 2563
ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา
สภาวะอากาศทั่วไป บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังค่อนข้างแรงยังคงแผ่ลงมาปกคลุมประเทศไทยตอนบนและทะเลจีนใต้ ทำให้บริเวณดังกล่าวมีอากาศเย็นถึงหนาวกับมีลมแรง อุณหภูมิจะลดลง 1-3 องศาเซลเซียส ส่วนยอดดอยและยอดภูมีอากาศหนาว ขอให้ประชาชนบริเวณภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลางดูแลสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศที่หนาวเย็นลงไว้ด้วย สำหรับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้มีกำลังแรง ประกอบกับมีหย่อมความกดอากาศต่ำปกคลุมชายฝั่งประเทศมาเลเซีย ลักษณะเช่นนี้ทำให้ภาคใต้มีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง ขอให้ประชาชนบริเวณภาคใต้ระวังอันตรายจากฝนที่ตกหนักถึงหนักมากไว้ด้วย ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลากได้ ส่วนคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยมีกำลังแรงขึ้น โดยอ่าวไทยตอนบนคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร และอ่าวไทยตอนล่างคลื่นสูง 2-3 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร ขอให้ชาวเรือบริเวณดังกล่าวเดินเรือด้วยความระมัดระวัง และควรหลีกเลี่ยงการเดินเรือบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง เรือเล็กควรงดออกจากฝั่งจนถึงวันที่ 4 ธ.ค. 63 กรุงเทพมหานครและปริมณฑล เมฆบางส่วน กับมีลมแรง โดยมีฝนตกเล็กน้อยบางแห่ง อุณหภูมิต่ำสุด 23-24 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-34 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 10-30 กม./ชม. คาดหมาย0 ในช่วงวันที่ 30 พ.ย. ? 5 ธ.ค. 63 บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังแรงจากประเทศจีนยังคงแผ่เสริมลงมาปกคลุมประเทศไทยตอนบนและทะเลจีนใต้อย่างต่อเนื่อง ทำให้บริเวณดังกล่าวมีอากาศเย็นถึงหนาวกับมีลมแรง อุณหภูมิจะลดลง 2-4 องศาเซลเซียส สำหรับบริเวณยอดดอยและยอดภูมีอากาศหนาวถึงหนาวจัดกับมีน้ำค้างแข็งบางพื้นที่ สำหรับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้ยังคงมีกำลังแรงขึ้นในช่วงวันที่ 30- พ.ย. ? 3 ธ.ค. 63 ทำให้ภาคใต้มีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง ส่วนคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยมีคลื่นสูง 2-3 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร อนึ่ง หย่อมความกดอากาศต่ำปกคลุมบริเวณทะเลจีนใต้ตอนล่าง มีแนวโน้มจะเคลื่อนเข้าปกคลุมภาคใต้ตอนล่าง ในช่วงวันที่ 30 พ.ย. ? 3 ธ.ค. 63 ทำให้บริเวณภาคใต้ตอนล่างมีฝนตกหนักถึงหนักมากเกิดขึ้น ข้อควรระวัง ในช่วงวันที่ 30 พ.ย. ? 4 ธ.ค. 63 ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนดูแลสุขภาพเนื่องจากอากาศที่หนาวเย็นลงด้วย สำหรับประชาชนบริเวณภาคใต้ตอนล่างระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมากซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลากด้วย ส่วนชาวเรือควรเดินเรือด้วยความระมัดระวัง ควรหลีกเลี่ยงการเดืนเรือบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง และเรือเล็กบริเวณอ่าวไทยควรงดออกจากฝั่ง ในช่วงวันที่ 30- พ.ย. ? 3 ธ.ค. 63 ********************************************************************************************************************************************************* ประกาศกรมอุตุนิยมวิทยา "ฝนตกหนักและคลื่นลมแรงบริเวณภาคใต้ (มีผลกระทบตั้งแต่วันที่ 30 พ.ย. 2563 จนถึงวันที่ 3 ธ.ค. 2563)" ฉบับที่ 4 ลงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2563 มรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้มีกำลังแรง ประกอบกับมีหย่อมความกดอากาศต่ำปกคลุมบริเวณชายฝั่งประเทศมาเลเซีย ทำให้บริเวณดังกล่าวมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางพื้นที่ ขอให้ประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัยในบริเวณดังกล่าว ระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมากไว้ด้วย ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลากได้ จังหวัดที่คาดว่าจะมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง มีดังนี้ ในช่วงวันที่ 30 พฤศจิกายน - 2 ธันวาคม 2563 มีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง ภาคใต้: จังหวัดสุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา ปัตตานี ยะลา นราธิวาส กระบี่ ตรัง และสตูล ในวันที่ 3 ธันวาคม 2563 มีฝนตกหนักบางแห่ง ภาคใต้: จังหวัดนครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา ปัตตานี ยะลา นราธิวาส กระบี่ ตรัง และสตูล ส่วนคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยมีกำลังแรง โดยอ่าวไทยตอนบนคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร และอ่าวไทยตอนล่างคลื่นสูง 2-3 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร ขอให้ประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณชายฝั่งภาคใต้ฝั่งตะวันออกระวังอันตรายจากคลื่นลมแรงที่พัดเข้าหาฝั่ง และชาวเรือควรเดินเรือด้วยความระมัดระวัง เรือเล็กบริเวณอ่าวไทยควรงดออกจากฝั่งจนถึงวันที่ 4 ธ.ค. 63
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#2
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก ไทยรัฐ
ภูเขาไฟอินโดนีเซียปะทุ พ่นควันสูง 4 กม. อพยพปชช. 2,700 คน เกิดเหตุภูเขาไฟปะทุรุนแรงที่อินโดนีเซีย ทำให้ชาวบ้านกว่า 2,700 คนต้องอพยพ ขณะที่หน่วยงานรัฐประกาศยกระดับการเฝ้าระวังสู่ระดับ 2 สำนักข่าว แชนเนลนิวส์เอเชีย รายงานว่า ภูเขาไฟ ?อิลเล เลโวโตลอค? (Ile Lewotolok) ในจังหวัดนูซาเติงการาตะวันออก ของประเทศอินโดนีเซีย ปะทุอย่างรุนแรงในวันแาทิตย์ที่ 29 พ.ย. 2563 พ่นเถ้าถ่านและฝุ่นควันขึ้นสู่ท้องฟ้าสูงร่วม 4 กม. และทำให้ประชาชนมากกว่า 2,700 คนต้องอพยพไปยังที่ปลอดภัย นาย ราดิตยา จาตี โฆษกสำนักงานบรรเทาภัยพิบัติอินโดนีเซีย ออกแถลงการณ์ระบุว่า การปะทุของภูเขาไฟ อิลเล เลโวโตลอค ซึ่งอยู่ห่างจากกรุงจาการ์ตาไปทางตะวันออกราว 2,600 กม. สร้างความแตกตื่นให้กับประชาชนที่อาศัยอยู่ใกล้เคียง และทำให้ประชาชนราว 2,780 คนใน 26 หมู่บ้านต้องอพยพ ด้านศูนย์บรรเทาความเสี่ยงทางธรณีวิทยาและภูเขาไฟ โพสต์ข้อความผ่านเว็บไซต์ของตัวเองว่า พื้นที่ใกล้กับภูเขาไฟ น่าจะถูกเมฆร้อน, ธารลาวา และ แก๊สพิษ ปกคลุมทั้งหมด และยกระดับการเฝ้าระวังขึ้นสู่ระดับ 2 หรือ ?มีภัยคุกคามมากขึ้น? จากทั้งหมด 4 ระดับ อย่างไรก็ตาม จนถึงตอนนี้ยังไม่มีรายงานผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิต https://www.thairath.co.th/news/foreign/1986023
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#3
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการออนไลน์
พบซากเต่าตนุยักษ์หนัก 150 กก.อายุ 80 ปี ตายเกยชายหาดแม่โจ้ ชุมพร ชุมพร - พบซากเต่าตนุยักษ์ หนักกว่า 150 กม. อายุกว่า 80 ปี ถูกคลื่นซัดเดยหาดแม่โจ้ จ.ชุมพร คาดป่วยถูกคลื่นซัดเข้าฝั่ง วันนี้ (29 พ.ย.) น.ส.ราตรี จันทรัตน์ ประมงอำเภอละแม เปิดเผยว่า ได้รับแจ้งจากชาวบ้านว่า พบเต่าทะเลตัวขนาดใหญ่ถูกคลื่นซัดขึ้นมาตายอยู่บนชายหาดหน้ามหาวิทยาลัยแม่โจ้ วิทยาเขตชุมพร หมู่ที่ 5 ต.ละแม อ.ละแม จ.ชุมพร จากการตรวจสอบเป็นเต่าตนุ เพศเมีย น้ำหนัก 150 กิโลกรัม อายุประมาณ 80 ปี ตามขาและกระดองมีตัวเพรียงเกาะหลายจุด คาดว่าตายมาแล้วหลายชั่วโมง ไม่พบบาดแผลหรือร่องรอยการถูกทำร้าย สภาพเริ่มขึ้นอืด เกล็ดตามขาและเปลือกกระดองเริ่มหลุดลอกออก เบื้องต้น สันนิษฐานว่าช่วงนี้เป็นฤดูลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ ทะเลมีคลื่นลมแรง เต่าตนุยักษ์ตัวดังกล่าวซึ่งมีอายุมากแล้วอาจจะป่วยไม่สบาย หรือถูกคลื่นทะเลซัดไปกระทบกับโขดหินหรือของแข็งจนได้รับบาดเจ็บภายใน ทำให้ไม่สามารถประคองตัวขึ้นมาหายใจเหนือน้ำได้ จึงทำให้จมน้ำตายและถูกคลื่นซัดเข้าเกยชายหาดดังกล่าว อย่างไรก็ตาม จะต้องประสานไปยังศูนย์วิจัยและพัฒนาทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอ่าวไทยตอนกลาง จ.ชุมพร มาผ่าซากเต่าชันสูตรอย่างละเอียดเพื่อหาสาเหตุการตายที่แท้จริงอีกครั้ง https://mgronline.com/south/detail/9630000122658
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#4
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก ข่าวสด
สลดใจ! ผ่าซาก วาฬเพชฌฆาตดำ เกยตื้นหาดชุมพร พบอวนเต็มท้อง วันที่ 29 พ.ย.63 จากกรณีที่ ชาวประมงพบเจอ วาฬเพชฌฆาตดำ ยาวประมาณ 4 เมตร น้ำหนักประมาณ 200กิโลกรัม เกยตื้นบริเวณชายหาดหน้าโครงการส่วนพระองค์บ้านน้ำพุ หมู่5 ต.ปากคลอง อ.ปะทิว จ.ชุมพร เมื่อวันที่ 14 พ.ย. ที่ผ่านมา และมีเจ้าหน้าที่ศูนย์ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอ่าวไทยตอนกลาง ทีมแพทย์ และเครือข่ายชุมชนมาช่วยกันนำปลาวาฬตัวดังกล่าวไปรักษาตัวบริเวณใกล้ชายฝั่งบ้านเกาะเตียบ จนเมื่อเช้าวันที่ 27 พ.ย. ปลาวาฬตัวดังกล่าวได้ตายลง ซึ่งวันนี้ (29 พ.ย.) ศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอ่าวไทยตอนกลางได้ผ่าซากพิสูจน์อย่างละเอียดพบว่าวาฬความยาว 4.33 เมตร ค่อนข้างผอม บาดแผลภายนอกที่เกิดจากการเกยตื้นสมานได้ดี พบรอยถูกรัดบริเวณครีบหลัง และโคนหาง เมื่อทำการผ่าชันสูตรพบว่ากล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อใต้ผิวหนังอักเสบ กล้ามเนื้อหัวใจพบจุดเลือดออกโดยเฉพาะห้องซ้ายล่าง ในหลอดลมมีของเหลวปนอากาศ ปอดซ้ายมีก้อนหนองและมีหนองอยู่ภายในจำนวนมาก ซึ่งสอดคล้องกับอาการลอยตัวเอียงของวาฬ ประกอบกับต่อมน้ำเหลืองบริเวณฝั่งซ้ายของลำตัวอักเสบและมีขนาดใหญ่กว่าปกติ พบเศษปลา และก้อนเศษอวนน้ำหนัก 0.5 กิโลกรัม ในกระเพาะอาหารส่วนต้น คาดว่าทำให้เกิดการอุดตันบางส่วนของกระเพาะอาหาร พบพยาธิจำนวนมากในลำไส้เล็ก จนทำให้เกิดการตีบของลำไส้ ตับอ่อนอักเสบ มีจุดเลือดออก ทั้งนี้จากความผิดปกติที่พบจึงคาดว่าวาฬติดเครื่องมือประมงไม่ทราบชนิดมาก่อน และมีการสำลักน้ำ ส่งผลให้ปอดเกิดการอักเสบและติดเชื้อตามมา จนทำให้เกิดการป่วยเรื้อรังก่อนที่วาฬเข้ามาเกยตื้น นอกจากนี้การที่วาฬกินเศษอวนและพบพยาธิจำนวนมากในลำไส้ ส่งผลให้เกิดการอักเสบ อุดตันของทางเดินอาหารบางส่วนและทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของทางเดินอาหารลดลง จากอาการป่วยเรื้อรังของวาฬดังกล่าว ประกอบกับความเครียดที่เกิดจากคลื่นลมแรง ทำให้วาฬช็อก การทำงานของหัวใจและระบบหายใจล้มเหลว และตายในที่สุด ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ได้เก็บตัวอย่างอวัยวะเพื่อศึกษาในห้องปฏิบัติการต่อไป https://www.khaosod.co.th/update-news/news_5428889
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#5
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก ข่าวสด
. พบขยะหน้ากากในเกาะห่างไกล ส่งผลกระทบระยะยาว วอนช่วยกันทิ้งให้ถูกที่ โควิดทำพิษ OceanAsia พบขยะหน้ากากในเกาะห่างไกล เกรงสร้างผลกระทบระยะยาว วอนประชาชนช่วยกันลดขยะ ทิ้งให้ถูกที่ ไม่เบียดเบียนสิ่งแวดล้อม OceanAsia ทีมที่ทำการศึกษาขยะทะเล ซาก และไมโครพลาสติก ซึ่งทำงานวิจัยในหมู่เกาะโซโกะ เน้นการศึกษาขยะ แหล่งที่มาและอื่นๆ ซึ่งหมู่เกาะโซโกะ อยู่ในบริเวณของฮ่องกง เป็นเกาะห่างไกล และไม่มีผู้คนอยู่ ซึ่งหมายความว่าขยะเหล่านี้พัดพาลงทะเลมาจากเกาะหลัก ทาง OceanaAsia เผยว่าในฮ่องกงสามารถเห็นหน้ากากถูกทิ้งตามธรรมชาติ และการเดินของมันในการลงทะเล พัดขึ้นสู่หาด และเกาะ ก็เกิดขึ้นเร็วมาก และนี่ทำให้เห็นว่าระบบการจัดการปัญหาขยะนั่นมีปัญหาในฮ่องกงและ จีน และเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมาทางทีมได้พบมลพิษทะเลใหม่ที่เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวนั่นก็คือ "ขยะหน้ากาก" ยิ่งเวลาผ่านไปเท่าไหร่ สถานการณ์ขยะหน้ากาก ก็ยิ่งแย่ลงไปเรื่อยๆ ล่าสุดเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายนทาง Ocean Asia ได้เผยภาพการไปสำรวจหาดบนเกาะเดิมอีกครั้ง พวกเขาพบขยะหน้ากากที่เพิ่มมากขึ้นซึ่งสร้างความกังวลอย่างมาก เพราะภายในหนึ่งชั่วโมงพวกเขาสามารถรวบรวมหน้ากากได้เป็นจำนวนมากในบริเวณ 100 เมตร ของชายหาดในเกาะ โดยหน้ากากอนามัยมักจะมีพลาสติกอย่างโพลีโพรพิลีน (Polypropylene) ใช้เวลาในการย่อยสลายที่ยาวนานถึง 450 ปี หน้ากากอนามัยเหล่านี้ไม่ต่างจากระเบิดเวลาทางสิ่งแวดล้อมที่สร้างผลกระทบอย่างรุนแรงต่อธรรมชาติและโลก และในขณะนี้มลพิษขยะหน้ากาก และ PPE อื่นๆกำลังเป็นปัญหาทั่วโลก โดยมีการพบขยะหน้ากากในทะเลหลายประเทศทั่วโลก อาทิในฝรั่งเศส อังกฤษ และฮ่องกง ซึ่งต้องเร่งแก้ไข เพราะมันกำลังส่งผลกระทบต่อสัตว์น้ำอย่างมาก จึงมีการรณรงค์ให้ให้ทุกคนช่วยกันรักษาสิ่งแวดล้อม อย่างการลดการสร้างขยะหน้ากากโดยการใช้หน้ากากผ้า ซักใช้ซ้ำได้ รวมไปถึงแยกขยะหน้ากากอนามัยแบบใช้ครั้งเดียวทิ้งก่อนทิ้งให้ "ลงถัง" เพื่อลดอันตรายจากเชื้อต่อเจ้าหน้าที่ และเพื่อการจัดการที่ถูกวิธีปลอดภัย วิธีการทิ้งหน้ากากอนามัย พับ มัด หน้ากาก ให้ส่วนที่สัมผัสกับใบหน้า สารคัดหลั่ง ฝอยละอองน้ำลายอยู่ด้านใน เพื่อป้องกันการแพร่กระจาย (ตัดหูออก) นำใส่ถุงใสที่สามารถมองเห็นได้ ถ้าเป็นถุงทึบให้เขียนบนถุงให้ชัดเจน มัดมิดชิดก่อนทิ้ง และล้างมือทุกครั้งหลังทิ้งหน้ากากอนามัย แต่วิธีที่ปลอดภัยที่สุดคือการทิ้งในถังขยะติดเชื้อหรือติดต่อกับสถานพยาบาลใกล้บ้านเพื่อส่งหน้ากากไปกำจัด หรือมองหาจุดรับขยะติดเชื้อใกล้บ้าน ห้ามทิ้งลงในถังขยะอันตรายเด็ดขาด https://www.khaosod.co.th/lifestyle/news_5426210
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#6
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก ไทยโพสต์
ผงะ!ผลผ่าชันสูตรวาฬเพชฌฆาตดำ พบเศษอวนอุดตันกระเพาะอาหาร 29 พ.ย.63- กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง โดยศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอ่าวไทยตอนกลาง จ.ชุมพร ได้รายงานผลผ่าชันสูตรซากวาฬเพชฌฆาตดำ ซึ่งผลการตรวจสอบอย่างละเอียดดังนี้วาฬมีความยาว 4.33 เมตร ค่อนข้างผอม บาดแผลภายนอกที่เกิดจากการเกยตื้นสมานได้ดี พบรอยถูกรัดบริเวณครีบหลัง และโคนหาง กล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อใต้ผิวหนังอักเสบ กล้ามเนื้อหัวใจพบจุดเลือดออกโดยเฉพาะห้องซ้ายล่าง ในหลอดลมมีของเหลวปนอากาศ ปอดซ้ายมีก้อนหนองและมีหนองอยู่ภายในจำนวนมาก ซึ่งสอดคล้องกับอาการลอยตัวเอียงของวาฬ ประกอบกับต่อมน้ำเหลืองบริเวณฝั่งซ้ายของลำตัวอักเสบและมีขนาดใหญ่กว่าปกติ พบเศษปลา และก้อนเศษอวนน้ำหนัก 0.5 กก.ในกระเพาะอาหารส่วนต้น คาดว่าทำให้เกิดการอุดตันบางส่วนของกระเพาะอาหาร พบพยาธิจำนวนมากในลำไส้เล็ก จนทำให้เกิดการตีบของลำไส้ ตับอ่อนอักเสบ มีจุดเลือดออก ทั้งนี้จากความผิดปกติที่พบจึงคาดว่าวาฬติดเครื่องมือประมงไม่ทราบชนิดมาก่อน และมีการสำลักน้ำ ส่งผลให้ปอดเกิดการอักเสบและติดเชื้อตามมา จนทำให้เกิดการป่วยเรื้อรังก่อนที่วาฬเข้ามาเกยตื้น นอกจากนี้การที่วาฬกินเศษอวนและพบพยาธิจำนวนมากในลำไส้ ส่งผลให้เกิดการอักเสบ อุดตันของทางเดินอาหารบางส่วนและทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของทางเดินอาหารลดลงจากอาการป่วยเรื้อรังของวาฬดังกล่าว ประกอบกับความเครียดที่เกิดจากคลื่นลมแรง ทำให้วาฬช็อก การทำงานของหัวใจและระบบหายใจล้มเหลว และเสียชีวิตในที่สุด ทั้งนี้เก็บตัวอย่างอวัยวะเพื่อศึกษาในห้องปฏิบัติการต่อไป. https://www.thaipost.net/main/detail/85432
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#7
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก Nation TV
ออสเตรเลียร้อน 40 องศาฯ เสี่ยงเจอวิกฤตไฟป่าซ้ำ ทีมดับเพลิงของออสเตรเลียกำลังเร่งดับไฟป่าหลายสิบแห่ง หลังอุณหภูมในหลายรัฐสูงกว่า 40 องศาเซลเซียส ทำสถิติคืนเดือนพฤศจิกายนที่ร้อนที่สุดเป็นประวัติการณ์ นครซิดนีย์ของออสเตรเลียได้บันทึกสถิติคืนเดือนพฤศจิกายนที่ร้อนที่สุดเป็นประวัติการณ์ โดยคาดว่าอุณหภูมิตอนกลางวันจะอยู่ที่ 40 องศาเซลเซียสในวันอาทิตย์ ขณะที่แถบตะวันตกของรัฐนิวเซาท์เวลส์ รัฐเซาท์ออสเตรเลีย และรัฐวิกตอเรียตอนเหนือ อาจเผชิญอุณหภูมิที่สูงขึ้นถึงเกือบ 45 องศา อุณภูมิความร้อนดังกล่าวทำให้หน่วยดับเพลิงของรัฐนิวเซาท์เวลส์ต้องออกคำเตือนห้ามการจุดไฟทั้งหมดในพื้นที่ส่วนใหญ่ทางตะวันออกและตะวันออกเฉียงเหนือของรัฐ ขณะที่ทีมนักผจญเพลิงกำลังต่อสู้กับไฟป่าหลายสิบแห่ง ท่ามกลางอุณหภูมิในช่วงสุดสัปดาห์ที่ยังเพิ่มสูงขึ้นในส่วนอื่น ๆ ของประเทศ และสำนักอุตุนิยมวิทยาได้คาดการณ์ว่าจะเกิดคลื่นความร้อนนาน 5-6 วันในบางพื้นที่ทางตอนเหนือของรัฐนิวเซาท์เวลส์และทางตะวันออกเฉียงใต้ของรัฐควีนส์แลนด์ นับเป็นช่วงสุดสัปดาห์แรกของความตึงเครียดในการควบคุมไฟป่าในปีนี้ หลังออสเตรเลียเพิ่งเผชิญวิกฤตไฟป่าเมื่อปลายปีที่แล้ว ซึ่งเป็นช่วงฤดูไฟป่าที่รุนแรงที่สุดเป็นประวัติการณ์ของออสเตรเลีย มีเพลิงลุกไหม้ทั่วพื้นที่กว่า 150 ล้านไร่ ทำลายบ้านเรือนกว่า 3,000 หลัง มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 33 คน และคร่าชีวิตสัตว์ไปเกือบ 3 พันล้านตัว https://www.nationtv.tv/main/content...mpaign=foreign
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#8
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก PPTV
พบเขี้ยวฉลามน้ำจืดโบราณสกุล "กลายฟิส" ครั้งแรกในไทย นอกจากการขุดพบโครงกระดูกวาฬโบราณอายุราว 2,000-5,000 ปี ระหว่างที่นักวิชาการกำลังทำงาน ได้พบเขี้ยวฉลามน้ำจืด จัดอยู่ในสกุล "กลายฟิส" ซึ่งฉลามชนิดนี้ไม่เคยมีบันทึกการอาศัยอยู่ในประเทศไทย จึงนับได้ว่าเป็นการพบครั้งแรก เจ้าหน้าที่คณะขุดโครงกระดูกวาฬโบราณ นำเขี้ยวฉลามออกจากซองเก็บ ให้ทีมข่าวพีพีทีวีบันทึกภาพ ซึ่งการค้นพบเขี้ยวฉลามกว่า 20 ซี่นี้ เป็นการพบระหว่างการขุดโครงกระดูกวาฬโบราณ ในพื้นที่ ต.อำแพง อ.บ้านแพ้ว จ.สมุทรสาคร ห่างจากชายฝั่งทะเลสมุทรสาครราว 12 กิโลเมตร เขี้ยวที่พบคือฉลามน้ำจืด ในสกุล "กลายฟิส" และเขี้ยวฉลามเสือ โดยพบอยู่ในชั้นตะกอนดินทับถมด้านบนโครงกระดูกวาฬโบราณ ฉลามสกุลกลายฟิส จัดเป็นหนึ่งในหกของปลาฉลามหายาก ซึ่งเรียกกันว่าเป็นปลาฉลามน้ำจืด หรือ ปลาฉลามแม่น้ำ เพราะเป็นปลาฉลามเพียงประเภทเดียวเท่านั้น ที่สามารถอาศัยอยู่ในน้ำกร่อยหรือน้ำจืดสนิทได้ตลอดทั้งชีวิต การค้นพบเขี้ยวฉลามน้ำจืดครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกของประเทศไทย ซึ่งเขี้ยวของฉลามจะมีอายุใกล้เคียงกับกระดูกวาฬโบราณ คือ 2,000-5,000 ปี แต่ถูกพบในชั้นบนที่เป็นตะกอนดินของชั้นดินเหนียวกรุงเทพ นางสาวสุชาดา คำหา นักวิชาการ ประจำองค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ หรือ อพวช. เปิดเผยว่า ได้เปรียบเทียบเขี้ยวของฉลามที่พบกับข้อมูลฉลามทุกชนิดแล้ว ซึ่งรูปทรงของเขี้ยวที่พบตรงกับฉลาม 2 ชนิด คือ ฉลามน้ำจืด สกุล "กลายฟิส" กับ ฉลามเสือ ข้อมูลการอาศัยอยู่ของปลาฉลามกลายฟิส นางสาวสุชาดา ระบุว่า มีรายงานการพบอยู่บริเวณอ่าวเบงกอลและทะเลอันดามัน ซึ่งไทยไม่มีหลักฐานยืนยันการพบฉลามสกุลนี้มาก่อน มีเพียงคำบอกเล่าปากต่อปากเท่านั้นว่า เคยพบเมื่อปี 2006 หรือ พ.ศ.2549 แต่ไม่ระบุว่าเจอที่ใด และมีข้อมูลทางการศึกษาน้อยมาก ทำให้การขุดรอบๆ หลุมโครงกระดูกวาฬโบราณ จึงต้องเก็บตัวอย่างดินและหาหลักฐานเพิ่มเติมต่อไป https://www.pptvhd36.com/news/%E0%B8...0%B8%99/137421
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
|