เลือกสีตามสไลต์ที่คุณชอบ:
SaveOurSea.NET  

กลับไป   SaveOurSea.NET > สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม

ตอบ
 
Share คำสั่งเพิ่มเติม เรียบเรียงคำตอบ
  #1  
เก่า 02-12-2020
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันพุธที่ 2 ธันวาคม 2563

ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา


สภาวะอากาศทั่วไป

บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังค่อนข้างแรงยังคงปกคลุมประเทศไทยตอนบนและทะเลจีนใต้ ทำให้บริเวณดังกล่าวมีอากาศเย็นถึงหนาวกับมีลมแรง ส่วนยอดดอยและยอดภูมีอากาศหนาวถึงหนาวจัดและมีน้ำค้างแข็งบางแห่งในภาคเหนือ ขอให้ประชาชนบริเวณภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลางดูแลสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศที่หนาวเย็นลงไว้ด้วย

สำหรับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้มีกำลังแรง ประกอบกับมีหย่อมความกดอากาศต่ำปกคลุมภาคใต้ตอนล่าง ลักษณะเช่นนี้ทำให้ภาคใต้มีฝนตกหนักถึงหนักมากหลายพื้นที่ ขอให้ประชาชนบริเวณภาคใต้ระวังอันตรายจากฝนที่ตกหนักถึงหนักมากไว้ด้วย ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน และน้ำป่าไหลหลากได้ ส่วนคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยและทะเลอันดามันมีกำลังแรง โดยอ่าวไทยตอนบนและทะเลอันดามันมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร และอ่าวไทยตอนล่างคลื่นสูง 2-3 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร ขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากคลื่นลมแรงที่ซัดเข้าหาฝั่งและชาวเรือควรเดินเรือ ด้วยความระมัดระวัง รวมทั้งควรหลีกเลี่ยงการเดินเรือบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง เรือเล็กควรงดออกจากฝั่งจนถึงวันที่ 4 ธ.ค. 63


กรุงเทพมหานครและปริมณฑล

เมฆเป็นส่วนมาก กับมีลมแรง โดยมีฝนตกเล็กน้อยบางแห่ง อุณหภูมิต่ำสุด 23-24 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 31-33 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 10-30 กม./ชม.


คาดหมาย0

ในช่วงวันที่ 1 ? 2 ธ.ค. 63 บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังค่อนข้างแรงยังคงแผ่ลงมาปกคลุมประเทศไทยตอนบนและทะเลจีนใต้ ทำให้บริเวณดังกล่าวมีอากาศเย็นถึงหนาวกับมีลมแรง อุณหภูมิจะลดลง 1-3 องศาเซลเซียส ส่วนยอดดอยและยอดภูมีอากาศหนาวถึงหนาวจัด

ส่วนในช่วงวันที่ 3 - 7 ธ.ค. บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังแรงอีกระลอกหหนึ่งจากประเทศจีนจะแผ่เสริมลงมาปกคลุมประเทศไทยตอนบน ในขณะที่จะมีลมตะวันตกพัดพาความหนาวเย็นจากประเทศเมียนมาปกคลุมประเทศไทยตอนบน ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณดังกล่าวมีอากาศหนาวเย็นลง กับมีลมแรง และอุณหภูมิจะลดลงได้อีก 3 - 5 องศาเซลเซียส สำหรับบริเวณยอดดอยและยอดภูมีอากาศหนาวถึงหนาวจัดกับมีน้ำค้างแข็งบางพื้นที่

สำหรับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้ยังคงมีกำลังแรง ประกอบกับในช่วงวันที่ 2 ? 3 ธ.ค. 63 หย่อมความกดอากาศต่ำปกคลุมบริเวณทะเลจีนใต้ตอนล่างจะเคลื่อนผ่านประเทศมาเลเซียเข้าสู่ทะเลอันดามัน ทำให้ภาคใต้มีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง ส่วนคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยตั้งแต่จังหวัดชุมพรลงไปมีคลื่นสูง 2-3 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร หลังจากนั้นในช่วงวันที่ 4 - 7 ธ.ค. 63 ภาคใต้มีฝนลดลง และคลื่นลมมีกำลังอ่อนลง


ข้อควรระวัง

ในช่วงวันที่ 2 ? 7 ธ.ค. 63 ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนดูแลสุขภาพเนื่องจากอากาศที่หนาวเย็นลงด้วย สำหรับประชาชนบริเวณภาคใต้ตอนล่างระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมากและฝนที่ตกสะสม ในช่วงวันที่ 1 ? 3 ธ.ค. 63 ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลากด้วย และชาวเรือควรเดินเรือด้วยความระมัดระวัง ควรหลีกเลี่ยงการเดืนเรือบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง และเรือเล็กบริเวณอ่าวไทยควรงดออกจากฝั่ง ในช่วงเวลาดังกล่าว



*********************************************************************************************************************************************************



ประกาศกรมอุตุนิยมวิทยา "ฝนตกหนักและคลื่นลมแรงบริเวณภาคใต้ (มีผลกระทบจนถึงวันที่ 4 ธ.ค. 2563)" ฉบับที่ 12 ลงวันที่ 02 ธันวาคม 2563

มรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้มีกำลังแรง ประกอบกับมีหย่อมความกดอากาศต่ำปกคลุมบริเวณภาคใต้ตอนล่างของประเทศไทย และจะเคลื่อนตัวทางตะวันตกเข้าสู่ทะเลอันดามันต่อไป (วันที่ 3 ธ.ค. 63) ทำให้บริเวณภาคใต้มีฝนตกหนักถึงหนักมากหลายพื้นที่ ขอให้ประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัยในบริเวณดังกล่าว ระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมากไว้ด้วย ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลากได้

จังหวัดที่คาดว่าจะมีฝนตกหนักถึงหนักมาก มีดังนี้


ในช่วงวันที่ 2 ธันวาคม 2563 มีฝนตกหนักถึงหนักมากหลายพื้นที่

ภาคใต้: จังหวัดสุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา ปัตตานี ยะลา นราธิวาส พังงา ภูเก็ต กระบี่ ตรัง และสตูล


ในวันที่ 3 ธันวาคม 2563 มีฝนตกหนักบางแห่ง

ภาคใต้: จังหวัดสุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา ปัตตานี ยะลา นราธิวาส กระบี่ ตรัง และสตูล

ส่วนคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยและทะเลอันดามันมีกำลังแรง โดยอ่าวไทยตอนบนและทะเลอันดามันคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร อ่าวไทยตอนล่างตั้งแต่จังหวัดชุมพรลงไปคลื่นสูง 2-3 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร ขอให้ประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณชายฝั่งภาคใต้ฝั่งตะวันออกระวังอันตรายจากคลื่นลมแรงที่ซัดเข้าหาฝั่ง และชาวเรือควรเดินเรือด้วยความระมัดระวัง เรือเล็กบริเวณ อ่าวไทยควรงดออกจากฝั่งจนถึงวันที่ 4 ธ.ค. 63






__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #2  
เก่า 02-12-2020
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default

ขอบคุณข่าวจาก ThaiPBS


ทส.สั่งทุกจังหวัดตรวจหมึกบลูริงโผล่เสียบไม้ขาย



ทส.สั่งสแกนหมึกบลูริง สัตว์ทะเลมีพิษทั่วทุกจังหวัด หลังเจอหมึกพิษโผล่เสียบไม้ขายตลาดนัดพื้นที่ จ.ปทุมธานี และก่อนหน้าเคยเจอ จ.ตาก เร่งประชาสัมพันธ์สร้างความเข้าใจทั้งผู้ประกอบการ นักท่องเที่ยว ประชาชนวงกว้าง

กรณีพบหมึกบลูริงเสียบไม้ปิ้งขายในตลาดนัดพื้นที่ จ.ปทุมธานี วันนี้ (1 พ.ย.2563) นายโสภณ ทองดี อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) กล่าว่าหมึกบลูริงมีพิษที่รุนแรงถึงชีวิต จึงต้องเร่งประชาสัมพันธ์สร้างความเข้าใจให้ประชาชนหากพบเห็นรีบหลีกเลี่ยง ห้ามสัมผัสและบริโภคเด็ดขาด และเตรียมประสานทุกจังหวัดทั่วประเทศช่วยประชาสัมพันธ์ให้ความรู้กับนักท่องเที่ยว และประชาชน หากพบเห็นให้แจ้งเจ้าหน้าที่ตรวจสอบทันที

เบื้องต้นให้นักวิชาการที่ศึกษาด้านชีววิทยาสัตว์ทะเลที่มีความรู้และความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับหมึกบลูริง จัดทำสื่อการเรียนรู้และข้อมูลประกอบ เพื่อการประชาสัมพันธ์ให้กับนักท่องเที่ยวและประชาชนทุกคนทราบ ควบคู่กับเร่งประชาสัมพันธ์อย่างเข้มข้นทุกรูปแบบและกระจายทั่วทั้งประเทศ เนื่องจากเคยพบหมึกบลูริงเสียบไม้ปิ้งขายลักษณะนี้ในพื้นที่จ.ตาก

สำหรับหมึกบลูริงเป็นหมึกจำพวกเดียวกับหมึกยักษ์ มีขนาดไม่ใหญ่มากนัก จะพบได้ในทะเลทั้งฝั่งอ่าวไทยและอันดามัน รวมทั้ง ทะเลแถบเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นสัตว์ที่อาศัยบริเวณผืนทรายใต้ท้องน้ำและแนวปะการัง เคยมีรายงานพบคนได้รับพิษจากหมึกบลูริง ส่วนมากจะติดมากับเครื่องมือประมงและการแอบเลี้ยงของกลุ่มผู้เลี้ยงสัตว์ทะเลแปลกสวยงาม ซึ่งกรมประมงได้ประกาศห้ามไม่ให้เลี้ยงหรือนำเข้าหมึกชนิดนี้แล้ว แต่ยังพบมีลักลอบนำเข้า

นายโสภณ กล่าวว่า ทั้งนี้นายวราวุธ ศิลปอาชารมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ยังได้กำชับให้ขยายผลไปยังสัตว์ทะเลมีพิษอื่นๆที่อาจส่งผลกระทบต่อชีวิตด้วย เช่น ปลาปักเป้า แมงกระพรุน ที่มีนำมาบริโภคในปัจจุบัน ดังนั้นจึงขอฝากเตือนประชาชนทุกคนที่พบเห็นหมึกที่มีลักษณะคล้ายหมึกยักษ์ แต่มีขนาดเล็กและมีลายวงสีน้ำเงินเด่นชัด ห้ามสัมผัสหรือบริโภคเด็ดขาด แม้จะผ่านกรรมวิธีด้วยความร้อนแล้ว เนื่องจากพิษชนิดนี้สามารถทนความร้อนได้มากกว่า 200 องศาเซลเซียส

ทั้งนี้ เมื่อพบเห็นในธรรมชาติให้พยายามหลีกเลี่ยงการสัมผัสและพบมีการจำหน่ายทั้งแบบยังมีชีวิตหรือขายเป็นอาหารตามท้องตลาด หรือไม่แน่ใจว่าใช่หรือไม่ ควรแจ้งหน่วยงานกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง หรือสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดทั่วประเทศ หรือแจ้งสายด่วน GREEN CALL 1310 เพื่อส่งเจ้าหน้าที่มีความรู้ความชำนาญไปตรวจสอบต่อไป



ทำความรู้จักกันหมึกสายวงน้ำเงิน "หมึกบลูริง"

สำหรับหมึกสายวงน้ำเงิน หรือหมึกบลูริง (Blue-ringed octopus) เป็นหมึกยักษ์จำพวกหนึ่งแต่มีขนาดเล็ก ขนาดตัวเต็มวัยมีความยาวลำตัวประมาณ 4-5 เซนติเมตรมี 8 หนวด แต่ละหนวดยาวประมาณ 15-20 เซนติเมตร หมึกสายวงน้ำเงินมีจุดเด่นที่ต่างจากหมึกทั่วไปตรงที่มีลวดลายเป็นวงแหวนสีน้ำเงิน กระจายตามลำตัวและหนวด มีสารพิษที่มีความร้ายแรงมากผสมอยู่ในน้ำลาย ผู้ที่ถูกกัดอาจตายได้ภายในไม่กี่ชั่วโมง จึงนับเป็นหนึ่งในสัตว์น้ำที่มีพิษร้ายแรงมากที่สุดชนิดหนึ่งของโลก สารพิษของหมึกสายวงน้ำเงินนั้น เรียกว่าเตโตรโดท็อกซิน (Tetrodotoxin) ผู้ป่วยที่ได้รับพิษจากเตโตรโดท็อกซินมีอัตราตายสูงถึงร้อยละ 50-60 แต่ถ้าผู้ป่วยยังมีชีวิตรอดหลังได้รับพิษแล้ว 24 ชั่วโมง จะพบว่ามีอัตราการรอดชีวิตได้มากขึ้น พิษที่เกิดจากหมึกสายวงน้ำเงินกัดจะเกิดอย่างรวดเร็วภายใน 5 นาทีหลังถูกกัด

ลักษณะอาการเริ่มจากการชาบริเวณริมฝีปาก ลิ้น ต่อมาชาบริเวณใบหน้า แขนขาและเป็นตะคริวในที่สุด น้ำลายไหลคลื่นไส้ อาเจียน มีอาการท้องเสียร่วมกับปวดท้อง ซึ่งอาการปวดท้องจะเป็นมากขึ้นเรื่อยๆ จากนั้นกล้ามเนื้อจะเริ่มทำงานผิดปกติ อ่อนแรง ในผู้ป่วยที่ได้รับพิษปริมาณมาก ระบบประสาทส่วนกลางจะไม่ทำงาน หายใจไม่ออกเนื่องจากกล้ามเนื้อกะบังลมและหน้าอกไม่ทำงาน ทำให้ไม่สามารถนำอากาศเข้าสู่ปอดได้ ผู้ป่วยจะเสียชีวิตภายใน 4-6 ชั่วโมงแต่ก็มีรายงานการเสียชีวิตเร็วที่สุดหลังจากได้รับพิษไปเพียง 20 นาทีเท่านั้น


https://news.thaipbs.or.th/content/298815


*********************************************************************************************************************************************************


จับตา! ผืนป่าแอมะซอนถูกทำลายมากที่สุดในรอบ 12 ปี

ผืนป่าแอมะซอนของบราซิลถูกทำลาย ทำสถิติสูงที่สุดในรอบ 12 ปี ซึ่งมีข้อสังเกตว่าอาจเกี่ยวข้องกับนโยบายแก้ปัญหาความยากจนของรัฐบาล



วันนี้ (1 ธ.ค.2563) สถาบันวิจัยอวกาศแห่งชาติบราซิล เปิดเผยว่า ปีนี้ป่าแอมะซอนถูกทำลายไป 11,088 ตารางกิโลเมตร ซึ่งทำสถิติสูงที่สุดในรอบ 12 ปี นับตั้งแต่ปี 2551 เป็นต้นมา

นอกจากนี้ ยังตั้งข้อสังเกตว่าผืนป่าแอมะซอนถูกทำลายอย่างรวดเร็ว หลังจากจาอีร์ โบลโซนาโร ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีบราซิล เมื่อเดือน ม.ค.ปีที่แล้ว

เนื่องจากผืนป่าแอมะซอนที่ถูกทำลาย เมื่อปี 2561 ก่อนการขึ้นดำรงตำแหน่งของผู้นำบราซิลคนปัจจุบัน ครอบคลุมพื้นที่เพียง 7,536 ตารางกิโลเมตรเท่านั้น โดยผู้นำบราซิลส่งเสริมการทำเกษตรกรรมในเชิงพาณิชย์และการทำเหมืองแร่ในผืนป่าแอมะซอนเพื่อแก้ปัญหาความยากจน สวนทางกับนักเคลื่อนไหวเพื่อสิ่งแวดล้อม



ทั้งนี้ ข้อมูลดังกล่าวชี้ว่าบราซิลไม่สามารถทำตามเป้าหมายในการลดจำนวนผืนป่าที่ถูกทำลายให้เหลือประมาณ 3,900 ตารางกิโลเมตร ได้ตามข้อกำหนดภายใต้กฎหมายว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เมื่อปี 2552


https://news.thaipbs.or.th/content/298819

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #3  
เก่า 02-12-2020
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default

ขอบคุณข่าวจาก Greennews


บทบรรณาธิการ: หมอกควันธันวา ปัญหามลพิษฝุ่นไม่มีวันหมด ถ้าไม่เปลี่ยนวิธีแก้ ................. โดย ปรัชญ์ รุจิวนารมย์

และแล้วประเทศไทยก็เข้าสู่ฤดูหนาวเต็มตัว ในเดือนสุดท้ายของปี พ.ศ.2563 เช่นเดียวกับลมเย็นๆ ที่พัดผ่านหน้าชาวกรุงฯ ยามรอรถไฟฟ้าตอนเช้า หากเรามองออกไปยังเส้นขอบฟ้า ชั้นอากาศขมุกขมัวที่ปกคลุมเหนือป่าคอนกรีตก็กลับมาตามสัญญาอีกครั้ง และในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ปัญหาฝุ่นควันพิษก็จะแผ่ปกคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ทางตอนบนของประเทศ เกิดเป็นวิกฤตด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อมเรื้อรัง ปีแล้วปีเล่า

แม้ว่านักวิชาการและหน่วยงานด้านอุตุนิยมวิทยาชั้นนำ ต่างคาดการณ์ว่า ฤดูหนาวปีนี้ ไทยเราจะเผชิญกับปรากฏการณ์ ลานีญา (La Ni?a) ระดับแรง ทำให้ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีสภาพอากาศเย็นและฝนตกชุกกว่าปกติ ทำให้สถานการณ์ฝุ่นควัน PM2.5 ในไทยฤดูกาลนี้ น่าจะรุนแรงน้อยกว่าปีก่อนๆ อย่างไรก็ตาม ในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ชาวกรุงเทพฯ ก็เริ่มได้รับผลกระทบจากปัญหาฝุ่นควันมลพิษในพื้นที่เมืองหลวงและปริมณฑลกันแล้ว


เปลวไฟเผาผลาญผืนป่าบนดอยสุเทพ จ.เชียงใหม่ เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา //ขอบคุณภาพจาก: ฝ่าฝุ่น

จากการศึกษาการเปลี่ยนแปลงความเข้มข้นของ PM2.5 ในประเทศไทยช่วงปี พ.ศ.2541 ? 2559 ด้วยข้อมูลดาวเทียม สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA เปิดเผยเมื่อเร็วๆ นี้ว่า ประเทศไทยเผชิญปัญหามลพิษทางอากาศ และฝุ่น PM2.5 มาอย่างยาวนาน โดยข้อมูลจากดาวเทียมพบว่า แนวโน้มความเข้มข้นของมลพิษฝุ่น PM2.5 มีค่ากระจุกในพื้นที่ภาคเหนือค่อนข้างมาก โดยเฉพาะ จ.น่าน จ.พะเยา จ.เชียงใหม่ จ.เชียงราย และ จ.แม่ฮองสอน ซึ่งอยู่ในจุดเสี่ยงที่ค่าฝุ่น PM2.5 เกินมาตรฐานมานานเกือบ 20 ปี

ถึงแม้เราเริ่มตระหนักถึงปัญหาฝุ่นควันภาคเหนือมาไม่ต่ำกว่า 10 ปีแล้ว แต่การแก้ปัญหาฝุ่นควันยังคงเสมือนพายเรือวนในอ่าง ปีแล้วปีเล่า หน่วยงานรัฐยังคงเน้นใช้มาตรการแก้ปัญหาแบบรวมศูนย์ และใช้กฎหมายนำในการควบคุมกิจกรรมการเผาในที่โล่งและไฟป่า โดยมองชาวบ้าน เกษตรกร และกลุ่มชาติพันธุ์ ว่าเป็นผู้ต้องหาหลักที่ทำให้เกิดไฟป่าและปัญหามลพิษฝุ่น PM2.5 ซึ่งสถานการณ์หมอกควันภาคเหนือรุนแรงตลอดหลายปีที่ผ่านมา ได้พิสูจน์แล้วว่า มาตรการเหล่านี้ไม่มีประสิทธิภาพในการควบคุมมลพิษฝุ่น PM2.5

ในช่วงปีนี้ เราได้เห็นความกระตือรือร้นของภาครัฐในการแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศที่มีมากขึ้น โดยเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ อรรถพล เจริญชันษา เปิดเผยว่า กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้มีการถอดบทเรียนและทบทวนแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติ ?การแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง? และจัดทำแผนเฉพาะกิจเพื่อการแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง 12 ข้อ โดยได้ยืนยันว่าการดำเนินแผนเฉพาะกิจฯ จะช่วยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการในการแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองเชิงรุกมากขึ้น

นอกจากนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และ กรมควบคุมมลพิษ ยังได้ทดลองใช้ระบบบัญชาการดับไฟป่า ผ่านแอปพลิเคชัน Line Chatbot รวมถึงแอปพลิเคชัน ?FIRE Ranger? และ ?จองเบิร์น? เพื่อสนับสนุนปฎิบัติการควบคุมไฟป่าและหมอกควันภาคเหนือในปีนี้

กระนั้น กองบรรณาธิการสำนักข่าวสิ่งแวดล้อม ยังสังเกตุว่า มาตรการทั้งหลายเหล่านี้ แม้จะมีความเข้มข้นมากขึ้น แต่ก็ยังเน้นการปฏิบัติการแบบรวมศูนย์ ที่เน้นการใช้กฎหมายและการสั่งการโดยหน่วยงานรัฐเป็นหลักอยู่ดี เนื้อแท้ของการปฏิบัติการยังแทบไม่ต่างจากรูปแบบที่ภาครัฐเคยปฏิบัติซ้ำๆ ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ทั้งการ ออกมาตรการห้ามเผา 60 วัน หรือการควบคุมการเผาในพื้นที่เกษตรโดยใช้กฎหมายควบคุมที่ตัวเกษตรกร

ภาครัฐยังคงไม่มีความชัดเจนในเรื่องมาตรฐานการแจ้งเตือนภัยคุณภาพอากาศผ่านช่องทางของภาครัฐ เช่น แอปพลิเคชัน Air4Thai และ social media ของหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง ซึ่งยังคงใช้ค่าเฉลี่ย PM2.5 ราย 24 ชั่วโมง ซึ่งไม่เหมาะสมกับการแจ้งเตือนคุณภาพอากาศแบบเรียลไทม์ ที่ควรใช้ค่าเฉลี่ย 1 ชั่วโมง อีกทั้งยังใช้เกณฑ์มาตรฐานค่าฝุ่น PM2.5 ที่ 50 มิลลิกรัม/ลูกบาศก์เมตร ซึ่งสูงกว่าค่ามาตรฐานฝุ่น PM2.5 ขององค์การอนามัยโลกกว่า 2 เท่า ทำให้เกิดความสับสนในหมู่ประชาชน ต่อความรุนแรงของสถานการณ์ฝุ่นควัน

นี่จึงยังทำให้เรากังขาว่า แผนเฉพาะกิจฯ แก้ไขปัญหาหมอกควันในปีนี้จะมีประสิทธิภาพเพียงใด

อย่างไรก็ตาม ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เราก็ได้เห็นพัฒนาการของเครือข่ายนักวิชาการ ประชาสังคม และชุมชนท้องถิ่น ที่ได้ประสานกำลังกันในการสนับสนุนภาครัฐแก้ไขปัญหาฝุ่นควัน PM2.5 อาทิ สภาลมหายใจเชียงใหม่ ที่ได้ผลักดันการออกกฎหมายอากาศสะอาด เพื่อผลักดันการแก้ไขมลพิษทางอากาศอย่างรอบด้าน หรือเครือข่าย ?ฝ่าฝุ่น? ที่ได้ทำงานสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าและฝุ่นควันภาคเหนือ จนเห็นผลสัมฤทธิ์ที่ชุมชนบ้านก้อ อ.ลี้ จ.ลำพูน

ที่กล่าวมา ยังไม่นับถึงโครงการต่างๆ อีกจำนวนมากที่ริเริ่มผลักดันโดยชุมชนท้องถิ่น ในการป้องกันไฟป่า รวมถึงจัดการและใช้ประโยชน์ทรัพยากรป่าไม้อย่างยั่งยืน ทำให้เห็นว่า ภาควิชาการและประชาสังคมไทย มีศักยภาพสูงมากในการช่วยเหลือสนับสนุนปฏิบัติการป้องกันแก้ไขปัญหามลพิษฝุ่น PM2.5 ของภาครัฐ

ดังนั้น ถึงเวลาแล้วหรือยังที่ภาครัฐจะหันมาทบทวนมาตรการแก้ไขปัญหามลพิษฝุ่น PM2.5 อย่างแท้จริง และหันมาสร้างความร่วมมือกับเครือข่ายนักวิชาการ ภาคประชาสังคม และชุมชนท้องถิ่น ในการแก้ไขปัญหาฝุ่นควันพิษอย่างรอบด้าน รวมถึงปฎิรูปมาตรฐานการแจ้งเตือนสถานการณ์ฝุ่นควันแก่ประชาชนให้ทันกาลและตรงกับความเป็นจริงที่สุด เพื่อปกป้องคุณภาพชีวิตและเสริมสร้างความมั่นคงด้านสิ่งแวดล้อมให้กับประเทศอย่างยั่งยืน


https://greennews.agency/?p=22229

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
ตอบ


กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 11:14


vBulletin รุ่น 3.8.10
สงวนลิขสิทธิ์ ©2000-2024, บริษัท Jelsoft Enterprises จำกัด
Ad Management plugin by RedTyger