#1
|
||||
|
||||
สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันพฤหัสบดีที่ 10 ธันวาคม 2563
ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา
สภาวะอากาศทั่วไป บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังค่อนข้างแรงที่ปกคลุมประเทศไทยตอนบนมีกำลังอ่อนลง ในขณะที่ลมตะวันตกในระดับบนยังคงพัดพาความหนาวเย็นจากประเทศเมียนมาเข้าปกคลุมบริเวณภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ลักษณะเช่นนี้ทำให้ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีอากาศเย็นถึงหนาว และบริเวณยอดดอยในภาคเหนือมีอากาศหนาวถึงหนาวจัด กับมีน้ำค้างแข็งบางพื้นที่ ส่วนบริเวณภาคกลางและภาคตะวันออกมีอากาศเย็นในตอนเช้า ขอให้ประชาชนบริเวณดังกล่าว ดูแลสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศที่หนาวเย็นลงไว้ด้วย สำหรับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้มีกำลังอ่อน ทำให้ภาคใต้มีฝนน้อย และคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยมีกำลังอ่อน โดยมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร กรุงเทพมหานครและปริมณฑล อากาศเย็นในตอนเช้า อุณหภูมิต่ำสุด 21-23 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 31-34 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 10-25 กม./ชม. คาดหมาย0 ในช่วงวันที่ 9 - 10 ธ.ค. บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังค่อนข้างแรงจากประเทศจีนยังคงแผ่ปกคลุมประเทศไทยตอนบน ในขณะที่ลมตะวันตกในระดับบนจากประเทศเมียนมาพัดปกคลุมภาคเหนือ ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณดังกล่าวมีอากาศเย็นถึงหนาวกับมีลมแรง สำหรับบริเวณยอดดอยและยอดภูมีอากาศหนาวถึงหนาวจัดกับมีน้ำค้างแข็งบางพื้นที่ ส่วนในช่วงวันที่ 11 - 13 ธ.ค. บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นที่ปกคลุมประเทศไทยตอนบนจะมีกำลังอ่อนลง ทำให้ประเทศไทยตอนบนมีอุณหภูมิสูงขึ้น โดยมีอากาศเย็นกับมีหมอกในตอนเช้าและมีหมอกหนาบางพื้นที่ หลังจากนั้นในช่วงวันที่ 14 - 15 ธ.ค. บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังค่อนข้างแรงจากประเทศจีนอีกละลอกหนึ่งจะแผ่ลงมาปกคลุมประเทศไทยตอนบน ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณดังกล่าวมีอากาศเย็นถึงหนาวกับมีลมแรง และอุณหภูมิจะลดลง 1-3 องศาเซลเซียส สำหรับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือกำลังปานกลางพัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้ ทำให้ภาคใต้มีฝนเพิ่มขึ้น ข้อควรระวัง ในช่วงวันที่ 9 - 10 และ 14 - 15 ธ.ค. ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนดูแลสุขภาพเนื่องจากอากาศที่หนาวเย็นลงด้วย ในช่วงวันที่ 11 - 13 ธ.ค. ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนระมัดระวังในการสัญจรผ่านบริเวณที่มีหมอกหนาไว้ด้วย
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#2
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก ไทยรัฐ
วิวัฒนาการแข่งขันอาวุธ ในสัตว์ทะเลโบราณ ภาพ Credit : John Paterson สัตว์หลายชนิดอาศัยอยู่ในแดนสนธยาของมหาสมุทรที่ลึกถึง 1,000 เมตร สัตว์เหล่านั้นปรับการมองเห็นให้เข้ากับโลกใต้น้ำอันมืดมิด วิวัฒนาการทำให้พวกมัน มีดวงตาขนาดใหญ่ และเกิดความซับซ้อนในการมองเห็นในแสงสลัว เช่น หมึกแวมไพร์ ปลาไวเปอร์ หรือสัตว์เปลือกแข็งที่กินสัตว์อื่นๆ ทว่ามีสัตว์โบราณที่สูญพันธุ์ไปแล้วชนิดหนึ่ง เป็นที่สนใจเกี่ยวกับการมองเห็น เนื่องจากสิ่งนี้อาจทำให้เกิดวิวัฒนาการแข่งขันทางอาวุธของสัตว์เอง เมื่อเร็วๆนี้ ศ.จอห์น แพทเทอร์สัน จากศูนย์วิจัยพาเลโอไซเอนซ์แห่งมหาวิทยาลัยนิวอิงแลนด์ ร่วมกับมหาวิทยาลัยแอดิเลด พิพิธภัณฑ์เซาธ์ออสเตรเลีย และพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติในอังกฤษ รายงานการวิจัยเกี่ยวกับเรดิโอดอนต์ (Radiodonts) สัตว์ขาปล้องโบราณที่ดวงตามีการพัฒนามาอย่างซับซ้อนมากกว่า 500 ล้านปี โดยดวงตาบางส่วนได้ถูกปรับให้เข้ากับแสงสลัวใต้น้ำลึก ทีมวิจัยเผยว่าเรดิโอดอนต์เป็นสัตว์หน้าตาประหลาดที่สูญพันธุ์ไปแล้ว แต่ครั้งหนึ่งพวกมันเคยครองมหาสมุทรยุคแคมเบรียนเมื่อ 541 ล้านถึง 485 ล้านปีก่อน เป็นไปได้ว่าเมื่อระบบภาพที่ซับซ้อนเกิดขึ้น สัตว์ก็สามารถรับรู้ถึงสภาพแวดล้อมได้ดีตามมา นั่นเลยกระตุ้นให้เกิดวิวัฒนาการแข่งขันทางอาวุธระหว่างผู้ล่าและเหยื่อ วิสัยทัศน์การมองเห็นจึงกลายเป็นแรงผลักดันในวิวัฒนาการ ช่วยกำหนดความหลากหลายทางชีวภาพ รวมถึงปฏิสัมพันธ์กับระบบนิเวศที่เห็นในปัจจุบัน ซึ่งการวิจัยนี้ได้ให้ข้อมูลใหม่ด้านวิวัฒนาการของระบบนิเวศของสัตว์ทะเลที่เก่าแก่ที่สุด. https://www.thairath.co.th/news/foreign/1991136
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#3
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการออนไลน์
ประมงพื้นบ้านปัตตานีสุดดีใจ ออกวางอวนในทะเลบริเวณหน้าบ้านได้กุ้งไซส์จัมโบ้ ปัตตานี - ชาวประมงพื้นบ้านปัตตานีสุดดีใจ ออกวางอวนในทะเลบริเวณหน้าบ้านได้ "กุ้งไซส์จัมโบ้" นำขายได้รายคาดี เป็นผลจากที่ทุกฝ่ายช่วยกันรณรงค์ฟื้นฟู ด้วยการไม่ใช้เครื่องมือประมงผิดกฎหมาย วันนี้ (9 ธ.ค.) บรรยากาศการทำประมงของชาวประมงพื้นบ้าน ในพื้นที่ปะนาเระ และสายบุรี จ.ปัตตานี บริเวณทะเลอ่าวไทย หน้าบ้านสามารถวางอวนจับกุ้งทะเลได้ไซส์ใหญ่ โดยเฉพาะกุ้งกุลาดำ สามารถทำเป็นพ่อแม่พันธุ์ได้ การออกเรือทำประมงหลังจากพายุฝนสงบลง เพื่อหารายได้เลี้ยงชีพ ทำให้ชาวประมงดีใจ เพราะมีรายได้เพิ่มขึ้น เพราะขายกุ้งได้ราคาดี ขนาด 1.5 ขีดขึ้นไป ราคาประมาณกิโลกรัมละ 400-600 บาท บางไซส์มีน้ำหนักที่ 4 ตัวต่อ 1 กิโลกรัม ซึ่งมีขนาดใหญ่มาก ราคาก็สูงตามไปด้วย ซึ่งทุกวันนี้ชาวประมงสามารถจับกุ้งไซส์ขนาดดังกล่าวเฉลี่ยรายละ 2-3 กิโลกรัม จำนวนเฉลี่ยต่อวันประมาณ 50-70 กิโลกรัม เนื่องจากช่วงนี้ชาวประมงบางพื้นที่ยังไม่สามารถออกเรือทำประมงได้ เพราะมีตะกอนดินทับถมปากแม่น้ำ ทำให้ปากคลองปิดไม่สามารถนำเรือออกไปได้ นับเป็นปัญหาซ้ำซากเป็นประจำทุกปี ชาวประมงจึงได้เรียกร้องให้รัฐเข้ามาวางแนวทางแก้ไขปัญหาที่ยั่งยืน ที่นอกเหนือจากการลอกทรายออกเป็นประจำทุกปี นายทศพล พลรัตน นักวิชาการศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงชายฝังจังหวัดปัตตานี กล่าวถึงกรณีชาวประมงสามารถจับกุ้งกุลาดำไซส์ใหญ่ หรือจัมโบ้ได้นั้น ต้องแสดงความยินดีกับชาวประมงด้วย และแสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ของสัตว์น้ำในอ่าวไทย ที่มีกุ้งไซส์พ่อแม่พันธุ์อยู่จำนวนเพิ่มขึ้น นับเป็นความสำเร็จของทุกฝ่ายที่ได้ช่วยกันรณรงค์ฟื้นฟูด้วยการไม่ใช้เครื่องมือประมงที่ผิดกฎหมาย ร่วมกันสร้างปะการังเทียม และมีการปล่อยพันธุ์ลูกกุ้งจากศูนย์วิจัยพัฒนาสัตว์น้ำชายฝั่ง มาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 10 กว่าปี จึงทำให้ผลผลิตออกสู่สายตาชาวประมงอย่างปฏิเสธไม่ได้ นายทศพล ยังกล่าวอีกว่า นับตั้งแต่ศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงชายฝั่งปัตตานี ได้เริ่มดำเนินการผลิตพันธุ์กุ้งกุลาดำ ขนาด 0.5-1.0 กรัม หรือขนาด 1,000-2,000 ตัวต่อกิโลกรัม ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2548 ต่อเนื่องมาจนถึงปี 2563 พบว่าในกระบวนการเพิ่มผลผลิตกุ้งกุลาดำในแหล่งน้ำธรรมชาติของ จ.ปัตตานี เป็นผลงานสำคัญชิ้นหนึ่งของกรมประมง ที่ได้สร้างเอกลักษณ์อันโดดเด่นเป็นที่ประจักษ์ต่อสายตาของราษฎร และชาวประมงพื้นบ้านรอบอ่าวปัตตานี และตามแนวชายฝั่งทะเล 6 อำเภอของ จ.ปัตตานี ได้แก่ อ.หนองจิก เมืองปัตตานี ยะหริ่ง ปะนาเระ สายบุรี และ อ.ไม้แก่น เป็นอย่างมาก จากการติดตามผลการจับกุ้งกุลาดำในปีนี้ พบว่า ชาวประมงพื้นบ้านสามารถจับกุ้งกุลาดำ ขนาด 100-300 กรัม ได้เป็นจำนวนมาก แต่ละครั้งที่ชาวประมงออกจับกุ้งกุลาดำ จะได้ผลผลิตกุ้งกุลาดำตั้งแต่ 3-20 กิโลกรัมต่อวัน โดยปริมาณกุ้งที่จับได้มากที่สุดมีน้ำหนัก 20 กิโลกรัมต่อครั้งที่ออกเรือวางอวน ราคาในการจำหน่ายแบ่งขนาดกุ้งที่จับได้เป็น 2 ขนาด คือ กุ้งกุลาดำที่มีขนาดตั้งแต่ 150 กรัมขึ้นไป ราคาจำหน่ายประมาณ 400-600 บาท กุ้งกุลาดำขนาดต่ำกว่า 150 กรัม ราคาจำหน่ายประมาณ 350 บาท จากการสำรวจข้อมูลผลผลิตครั้งนี้ พบว่าในพื้นที่ 6 อำเภอตามแนวชายฝั่งทะเล ชาวประมงสามารถจับพันธุ์กุ้งกุลาดำได้ในช่วง 4 เดือนของฤดูมรสุม ตั้งแต่เดือนธันวาคมถึงมีนาคม 2563 คิดเป็นมูลค่าสูงถึง 5,292,000 บาท จากการดำเนินงานด้วยเงินงบประมาณ 1,800,000 บาท ในปีงบประมาณ 2563 https://mgronline.com/south/detail/9630000126257
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
|