#1
|
||||
|
||||
สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันเสาร์ที่ 26 ธันวาคม 2563
ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา
สภาวะอากาศทั่วไป บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นที่ปกคลุมประเทศไทยตอนบนและทะเลจีนใต้มีกำลังอ่อน ทำให้บริเวณดังกล่าวมีอุณหภูมิสูงขึ้น 1-3 องศาเซลเซียส กับมีหมอกในตอนเช้า แต่ยังคงมีอากาศเย็นถึงหนาวในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ส่วนบริเวณยอดดอยและยอดภูมีอากาศหนาวถึงหนาวจัดและมีน้ำค้างแข็งบางพื้นที่ ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนระวังอัตรายสัญจรผ่านบริเวณ ที่มีหมอกไว้ด้วย สำหรับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้มีกำลังอ่อนลง ทำให้ภาคใต้ยังคงมีฝนตกหนักบางแห่ง กรุงเทพมหานครและปริมณฑล มีหมอกในตอนเช้า อุณหภูมิต่ำสุด 23-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 30-34 องศาเซลเซียส ลมตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็ว 10-20 กม./ชม. คาดหมาย ในช่วงวันที่ 26 ? 29 ธ.ค. 63 บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังปานกลางปกคลุมประเทศไทยตอนบน ทำให้บริเวณดังกล่าวอุณหภูมิจะสูงขึ้น 2-4 องศาเซลเซียสกับมีหมอกในตอนเช้าและมีหมอกหนาในบางพื้นที่ แต่ยังคงมีอากาศเย็นถึงหนาวในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ สำหรับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้จะมีกำลังอ่อนลง ส่วนคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยมีกำลังปานกลาง โดยบริเวณอ่าวไทยมีคลื่นสูง 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ส่วนในช่วงวันที่ 30 ? 31 ธ.ค. 63 บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นอีกละลอกจะแผ่เสริมลงมาปกคลุมประเทศไทยตอนบน ทำให้บริเวณดังกล่าวมีอากาศเย็นถึงหนาว อุณหภูมจะลดลง 4-6 องศาเซลเซียส กับมีลมแรง สำหรับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้จะมีกำลังแรงขึ้น ทำให้ภาคใต้มีฝนเพิ่มขึ้น และมีฝนตกหนักบางแห่ง ส่วนคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยมีกำลังปานกลาง ข้อควรระวัง ในช่วงวันที่ 26 ? 29 ธ.ค. 63 ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนระมัดระวังในการสัญจรผ่านบริเวณที่มีหมอกหนาไว้ด้วย และในช่วงวันที่ 25 - 26 ธ.ค. ขอให้ประชาชนบริเวณภาคใต้ ระวังอันตรายจากฝนตกหนัก ซึ่งอาจจะทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันน้ำป่าไหลหลากได้ ส่วนชาวเรือบริเวณอ่าวไทยขอให้เดินเรือด้วยความระมัดระวังในช่วงเวลาดังกล่าว
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#2
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก ไทยรัฐ
ภัยมลพิษ ขณะที่ทั่วโลกเผชิญกับวิกฤติโควิด-19 ที่คร่าชีวิตผู้คนไปแล้วมากกว่า 1.7 ล้านคน แต่สำหรับอินเดียนั้น วารสารทางการแพทย์ของอังกฤษ เดอะ แลนเซต รายงานว่า ?อากาศเป็นพิษ? คือมหันตภัยที่คร่าชีวิตชาวอินเดียสูงสุด มากถึง 1.67 ล้านคน หรือ 18% ของผู้เสียชีวิตทั้งหมดในปี 2562 เป็นการเสียชีวิตที่เกี่ยวข้องกับมลพิษมากที่สุดในโลก ในการศึกษาในปี 2560 พบว่า มลพิษในอากาศทำให้เกิดโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง การติดเชื้อทางเดินหายใจ มะเร็งปอด โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง เบาหวาน ความผิดปกติของทารกแรกเกิด และต้อกระจก นอกจากนี้มลพิษยังนำไปสู่การสูญเสียทางเศรษฐกิจรวม 36.8 พันล้านดอลลาร์ หรือ 1.36% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของอินเดีย โดยกรุงนิวเดลีเป็นเมืองหลวงที่มีมลพิษมากที่สุดในโลก นอกจากนี้ หัวหน้านักวิจัยจากบอสตัน คอลเลจ ฟิลิป แลนดริแกน ผอ.ศูนย์สังเกตการณ์มลพิษและสุขภาพโลก ได้กล่าวว่า นอกจากมลพิษอาจขัดขวางเป้าหมายที่จะทำเศรษฐกิจอินเดียให้ถึง 5 ล้านล้านดอลลาร์ภายในปี 2567 แล้ว ยังส่งผลอย่างยิ่งต่อชาวอินเดียรุ่นต่อไป โดยมลพิษจะเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ เบาหวาน และโรคทางเดินหายใจในเด็กเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ ไอคิวของเด็กลดลง นักวิจัยยังพบว่ารูปแบบการเปลี่ยนแปลงของมลพิษทางอากาศมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วตามรายงานอัตราการเสียชีวิตจากมลพิษทางอากาศภายในอาคาร ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากเตาปรุงอาหารในบ้านที่มีการระบายอากาศไม่ดีลดลง 64.2% ตั้งแต่ปี 2533 แต่การเสียชีวิตเนื่องจากมลพิษฝุ่นละอองโดยรอบจากภายนอกอาคารกลับเพิ่มขึ้น 115.3% และเนื่องจากมลพิษโอโซนโดยรอบเพิ่มขึ้น 139.2% สะท้อนให้เห็นถึงการปล่อยมลพิษที่เพิ่มขึ้นจากรถยนต์ รถบรรทุก และรถประจำทาง ตลอดจนการใช้ถ่านหินในการผลิตไฟฟ้าอย่างแพร่หลายในอินเดีย ด้านนายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี กล่าวเมื่อเดือนก่อนว่า อินเดียมีเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลง 30- 35% และยังจะเพิ่มการใช้ก๊าซธรรมชาติ 4 เท่าในทศวรรษนี้ และเพิ่มกำลังการกลั่นน้ำมันเป็น 2 เท่าในอีก 5 ปีข้างหน้า ขณะที่องค์การอนามัยโลกเรียกร้องให้อินเดียดำเนินการจัดการกับมลพิษทางอากาศอย่างเร่งด่วน โดยระบุว่ายิ่งชะลอมาตรการเหล่านั้นมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งมีปัญหามากขึ้นเท่านั้น. https://www.thairath.co.th/news/foreign/2001428
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
#3
|
||||
|
||||
ขอบคุณข่าวจาก BBCThai
ภาพวิดีโอเผยหมึกยักษ์ในทะเลแดงมีพฤติกรรมแบบอันธพาล ออกหมัดไล่ต่อยปลาที่เกลียดขี้หน้า หมึกยักษ์สีชมพู ที่มาของภาพ,GETTY IMAGES หมึกยักษ์ยังคงเป็นสัตว์มหัศจรรย์ที่นักวิทยาศาสตร์ให้ความสนใจศึกษาความสามารถน่าพิศวง และพฤติกรรมแปลกประหลาดของมัน โดยล่าสุดมีการบันทึกภาพวิดีโอได้หลายครั้งที่แสดงให้เห็นว่า หมึกยักษ์มีพฤติกรรมเป็นอันธพาลหรือ "จอมบูลลี่" กับปลาที่ร่วมออกล่าหาอาหารด้วยกัน ดร. เอดูอาร์โด แซมปาโย และคณะนักชีววิทยาทางทะเลจากมหาวิทยาลัยลิสบอนของโปรตุเกส เผยถึงการค้นพบข้างต้นในวารสาร Ecology โดยระบุว่าสามารถบันทึกภาพวิดีโอขณะที่หมึกยักษ์ในทะเลแดง (Red Sea)ใช้หนวดข้างใดข้างหนึ่งปล่อยหมัดเข้าใส่ปลาอย่างรุนแรงและรวดเร็ว ทำให้ปลาที่เป็นเพื่อนร่วมทีมหาอาหารต้องล่าถอยออกไปในทันที "หมึกยักษ์และปลาบางชนิดมีนิสัยชอบจับกลุ่มออกไล่ล่าและดักจับเหยื่อร่วมกัน โดยต่างก็พึ่งพาอาศัยคุณสมบัติที่ได้เปรียบของอีกฝ่าย เช่นหมึกยักษ์สามารถพรางตัวได้ดี และฝูงปลามีกลยุทธ์การเสาะหาอาหารหลายรูปแบบ" ดร. แซมปาโยกล่าว "แต่พอมีสมาชิกเข้าร่วมทีมหาอาหารมากเกินไป ทำให้เกิดความวุ่นวายสับสนและแบ่งผลประโยชน์ไม่ลงตัว ซึ่งอาจทำให้หมึกยักษ์คิดว่าถูกเอาเปรียบ และเริ่มจะวางกลไกควบคุมสมาชิกในกลุ่มด้วยการใช้กำลังเป็นครั้งคราว" ทีมผู้วิจัยเรียกพฤติกรรมแบบนี้ว่า "การกำจัดเชิงรุก" (active displacement) โดยหมึกยักษ์ใช้การต่อยตีทำให้ปลาบางตัวต้องล่าถอยไปอยู่ด้านนอก ซึ่งคล้ายกับการที่คนเราใช้ศอกกระแทกเพื่อเบียดแทรกฝูงชนเข้าไปซื้อของลดราคาหรือรับของแจกฟรีได้ก่อนเพื่อนนั่นเอง "หมึกยักษ์อาจมองว่าการกระทำเช่นนี้คุ้มค่า เพราะลงแรงน้อยแต่ได้ผลตอบแทนจากการร่วมทีมล่าเหยื่อมากขึ้น นอกจากนี้ การชกต่อยในบางครั้งอาจจะใช้เป็นบทลงโทษปลาขี้เกียจที่ไม่ช่วยลงแรงจับเหยื่อ โดยเฉพาะตัวที่เอาแต่ว่ายตามฝูงเพื่อมารอกินอาหารเท่านั้น" ทีมผู้วิจัยระบุในรายงาน อย่างไรก็ตาม เมื่อได้วิเคราะห์พฤติกรรมชกต่อยปลาของหมึกยักษ์ในหลายกรณีแล้ว ทีมผู้วิจัยชี้ว่าการกระทำดังกล่าวแม้จะมีเจตนามุ่งร้ายอย่างชัดเจน และมีแนวโน้มว่าเป็นการเบ่งแสดงอำนาจเพื่อให้ปลารู้ว่ามันเป็น "ขาใหญ่" แต่ในบางครั้งการออกหมัดต่อยเพื่อนปลาก็ดูเหมือนจะไม่มีเหตุผลใด ๆ รองรับทั้งสิ้น นอกเสียจากว่ามันกำลังหงุดหงิดอารมณ์ขุ่นมัว และระบายออกกับปลาตัวที่มันเกลียดขี้หน้า "มีความเป็นไปได้ทางทฤษฎีสองประการ คือหมึกยักษ์ต่อยเพื่อนปลาเพื่อจัดระเบียบภายในทีมล่า หรือไม่ก็เป็นการแสดงความเกลียดชังล้วน ๆ โดยไม่ได้คำนึงถึงความเหมาะสมเชิงผลประโยชน์เลยแม้แต่น้อย" ดร. แซมปาโยกล่าวทิ้งท้าย https://www.bbc.com/thai/features-55446426
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
|